คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : Blueming!
มิยาจิ เมย์ริคิดว่ายังหลับฝันไปอยู่หลังจากถูกเขย่าแขนจนหลุดจากภวังค์ล้ำลึก หากเมื่อปิดเปลือกตากลับและลืมขึ้นใหม่อีกครั้ง เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่อยู่ในชุดเครื่องแบบของโรงเรียนรัฐบาลซึ่งเธอสังกัดและกำลังชะโงกหน้าที่มีรอยยิ้มขบขันลงมาก็ยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมเช่นนั้นไม่มีผิดเพี้ยน คนที่ยังกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ถึงเมื่อครู่ก็เป็นอันต้องเบิกตาโพลง ลุกพรวดพราดขึ้น ในจังหวะเดียวกับที่เขาถอยกลับไปยืดตัวตรงจนสามารถมองเห็นร่างสูงชะลูดของผู้ชายคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ลูกสาวคนเดียวของบ้านมิยาจิ ผู้แน่ใจว่าไม่มีพี่น้องหรือลูกหลานญาติฝ่ายไหนที่เธอไม่เคยพบเห็นหน้าได้แต่อ้าปากพะงาบ พยายามจะพูดอะไรสักอย่างหากก็ควานหาถ้อยคำไม่เจอ จึงถูกชิงตัดหน้าจากเขาที่เปิดปากพูดเสียก่อนว่า “ขอโทษด้วยที่ถือวิสาสะเข้ามา ฉันเห็นว่าจะสายแล้วก็เลยขอคุณป้า...หมายถึงคุณแม่ของเธอขึ้นมาปลุก แต่เคาะประตูเรียกแล้วเธอไม่ยอมตื่นสักทีก็เลย...นะ” เขายักไหล่คล้ายเสียไม่ได้ในประโยคปิดท้าย ก่อนเว้นช่วงจังหวะนิดหนึ่งเหมือนรั้งรอว่าเธอจะว่าอะไรหรือไม่ แต่เมื่อคนบนเตียงยังคงนั่งทำหน้าค้างอยู่ก็เลยหยุดรอยยิ้มขันๆ นั้นไม่ลง แม้ในตอนที่ชี้มือไปยังบานประตูและเอ่ยต่อไปว่า “โอเค งั้นฉันลงไปรอข้างล่างก่อนก็แล้วกัน” พร้อมกับบานประตูที่งับปิด หากเป็นหัวสมองของเมย์ริที่เปิดพรวด ตีรวนชนิดที่กว่าจะลุกจากที่นอนไปจัดการตัวเองได้ก็ในอีกห้านาทีให้หลัง กระทั่งจะลงบันไดเลี้ยวไปห้องกินข้าวที่แม่กำลังนั่งคุยอยู่กับเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นอย่างแช่มชื่น ก็ปาเข้าไปแปดโมงสิบห้านาทีแล้ว
“ใจคอจะไปถึงโรงเรียนให้ประตูมันปิดไล่หลังหรือไงฮะ! ลูกคนนี้นี่!”
“อะไรของแม่เนี่ย! หนูก็ไปเวลานี้ทุกวัน!”
ลูกสาวตัวจริงของบ้านมิยาจิบ่นกระปอดกระแปด เดินหน้ามุ่ยไปเปิดตู้เย็นและหยิบเอากล่องนมรสจืดออกมาเจาะกล่องดูด เป็นมื้อเช้าที่เต็มรูปแบบดีแล้วสำหรับคนที่เลือกนอนให้เต็มคราบแทนที่จะลงมาหาอะไรกินกับครอบครัวพร้อมหน้า แม่มักบ่นว่าที่เธอเลื่อนลอยแถมดูไม่เต็มเต็งเพราะกินอาหารไม่ครบสามมื้อ แต่เมย์ริไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกันตรงไหน
ครั้นเมื่อเหลือบสายตาไปหาเด็กหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น เขาก็จะส่งรอยยิ้มเช่นเดิมกับที่เธอเคยได้รับเมื่อหลายนาทีก่อนหน้ามาให้ ไม่ทันได้อ้าปากส่งคำถามที่ในหัวสมองของเธอเรียบเรียงเป็นรูปเป็นร่างได้แล้ว อีกฝ่ายก็จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ ขยับตัวหันไปพูดกับแม่ของเธออย่างแข็งขันว่า “งั้นผมกับเมย์ริไปเรียนแล้วนะครับ” ทั้งยังร้องเรียกเธอให้ตามไปด้วยชื่อต้นเฉยๆ จนสำลักค่อกแค่กไปเสียหน คุณนายมิยาจิเป็นอันต้องถอนหายใจเมื่อมองดูลูกสาวกรอกน้ำดื่มลงคออั้กๆ บอกลาหล่อนเร็วๆ แล้ววิ่งตึงตังออกไปโดยขาดไร้ความเป็นกุลสตรีสิ้นดี
มือข้างหนึ่งของเธอยังถือกล่องนมที่ไม่พร่องเอาไว้เพื่อเป็นพร็อพประกอบการเดินทางไปโรงเรียน คู่กับเฮดโฟนสีชมพูอ่อนและเพลย์ลิสต์คู่ใจซ้ำๆ กิจวัตรยามเช้าของเมย์ริเป็นรูปแบบเดิมเช่นนี้เสมอตั้งแต่สมัยชั้นปีที่หนึ่ง คือตื่นนอนตอนแปดโมง อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จราวๆ แปดโมงสิบห้า จากนั้นจึงใช้เวลาเดินเท้าไปถึงโรงเรียนที่อยู่ไม่ไกลนักอีกราวสิบถึงสิบห้านาที ไม่เคยมีการเผื่อเวลาจนเพื่อนๆ อดทึ่งไม่ได้ว่าคนขี้เกียจอย่างเธอไม่เคยมาโรงเรียนสาย (แม้อาจมีฉิวเฉียดบ้าง) ได้อย่างไร หากเจ้าตัวเองต่างหากที่ประหลาดใจกับเพื่อนสนิทที่ตื่นนอนตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่งและปั่นจักรยานสี่คูณร้อยมาจากบ้านที่อยู่ห่างจากเธอไม่เกินสิบนาที แต่ก็ยังสายจนถูกหักคะแนนจิตพิสัยแทบไม่เหลือหลอ จนเป็นที่กล่าวขานว่าเพราะเธอปิ๊งรักคณะกรรมการนักเรียนเลยหาเรื่องเหลวไหลไปโน่น แม้เจ้าตัวจะนั่งยันนอนยัน ยอมขอสาบานต่อศาลเจ้าให้รู้กันไปเลยว่าเธอไม่เคยคิดพิศวาสผู้ชายปากร้าย นิสัยเสีย แถมยังขี้เก๊กสุดๆ แบบนั้นไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน! ก็เห็นจะเป็นเรื่องตลกในหมู่เพื่อนเสียมากกว่าจนเจ้าตัวต้องขอยกธงขาวยอมแพ้ ได้แต่เก็บมาบ่นพร่ำกับเธอคนเดียวที่เข้าอกเข้าใจด้วยความชอกช้ำ
เพราะฉะนั้นเมย์ริจึงอดประหลาดใจไม่ได้ เมื่อจักรยานคันสีม่วงที่ได้รับเป็นของขวัญจากคุณป้าที่โตเกียวซึ่งนอนแอ้งแม้งอยู่ในโรงจอดอยู่กับจักรยานจ่ายกับข้าวของแม่มากว่าครึ่งปีแล้วจะมาจอดอยู่ตรงหน้า เพิ่มเติมคือคนที่ยันรองเท้าผ้าใบแตะลงบนพื้นขณะจับแฮนด์จักรยานด้วยมือทั้งสองข้าง ขยับริมฝีปากเอ่ยออกมาว่า “ขึ้นมาสิ”
“เอ๊ะ?”
“คุณป้าบอกว่าฉันขี่จักรยานคันนี้ได้เพราะเธอไม่ใช้”
“อ๋อ อื้ม” กระแอมไอเล็กน้อย เริ่มต้นเมื่อเห็นว่าตนเองยังไม่ได้พูดจากับคนตรงหน้านี้เป็นประโยคสักที “เชิญใช้ได้ตามสบายเลย”
เมย์ริผายมือให้และเตรียมจะเดินเลี่ยงผ่านไป หากเขากลับบุ้ยใบ้ผ่านสีหน้าบอกให้เธอขึ้นมานั่งซ้อนท้ายอีกครั้ง ครั้นเห็นเธอยังลังเลจึงเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะไปว่า
“มัวแต่ลังเลแบบนี้เดี๋ยวก็ได้สายหรอก ฉันเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเส้นทางด้วย ขึ้นมาเถอะนะ” ที่เมื่อเจอประโยคขอร้องเข้าให้ คนขี้ใจอ่อนมาแต่ไหนแต่ไรจึงพยักหน้าตอบรับพร้อมลมหายใจพรูยาว วางกระเป๋านักเรียนยัดรวมกับของเขาที่ตะกร้าหน้ารถ ก่อนขึ้นไปซ้อนท้ายพาหนะสองล้อที่เธอไม่เคยโดยสารมาก่อนหลังจากล้มกลิ้งไม่เป็นท่าเมื่อตอนประถมสามอย่างเก้กัง ท่าทางดูกังวลว่าจะทำมันล้มคว่ำหรือเปล่าจนสารถีต้องบอกขันๆ ให้เธอได้ใจชื้นว่าไม่เป็นไร
จะว่าไปปกติผู้หญิงที่ซ้อนท้ายจักรยานเขานั่งควบกันหรือเปล่านะ? ดูไม่น่าจะเหมาะ แม้เธอจะไม่ถือ ก็คิดว่าเขาคงถือที่ต้องปั่นจักรยานฝ่าวงล้อมของเพื่อนนักเรียนอาโอมิเนะจอมแซวดะไป พลันนึกขึ้นได้ว่าคนที่ชะรอยต้องขายหน้ากลางเพื่อนนักเรียนเห็นจะเป็นเธอเสียมากกว่า จึงเผลอตัวดึงเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเครื่องแบบของโรงเรียนให้เขาได้ชะงักมองก่อนล้อจะหมุนออกไปว่า “เดี๋ยว! อย่ารีบนะ ฉันกลัวตก” ด้วยน้ำเสียงแผ่วค่อย ที่จะเรียกเสียงหัวเราะสดใสบนใบหน้าซึ่งเข้ากับท้องฟ้าสีสว่างของฤดูใบไม้ผลิยามเช้าในโชนัน อย่างที่เมย์ริไม่เคยพบเห็นมาก่อนจนใจเธอเต้นผิดจังหวะไปนิดหนึ่ง
หัวสมองเริ่มครวญคิดอีกหนว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน แล้วมาอยู่ที่บ้านของเธอทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากแม่ขนาดยอมให้เปิดผัวะเข้าไปในห้องนอนของลูกสาวคนเดียวได้อย่างไร ทว่าคำถามทั้งหลายก็พลันสลายวับเมื่อเขาส่งน้ำเสียงเริงร่าผ่ากลางฟองความคิดใคร่สงสัยเหล่านั้นว่า “งั้นก็จับเอาไว้แบบนี้แหละ” แล้วพุ่งทะยานไปบนท้องถนนเหมือนกับการโบยบินครั้งแรกของเธออย่างไรอย่างนั้น
เมย์ริหลับตาปี๋ จากนั้นเมื่อสายลมระต้องเส้นผมสีดำยาวที่ปล่อยสยายจนปลิดปลิว พร้อมกับการเดินทางที่แสนจะนุ่มนวล จึงลืมตาขึ้นแล้วแตะรอยยิ้มให้กับประสบการณ์ใหม่ในเช้าวันเปิดเทอมแรกของชั้นปีที่สอง...กับเด็กชายแปลกหน้าผู้นี้
“นี่”
“หือ?” เขาหันใบหน้ามานิดหนึ่ง ท่าทางอารมณ์ดี หรือเมย์ริควรต้องบอกว่าเขาดูอารมณ์ดีแบบนี้อยู่แล้วมากกว่าเห็นจะถูก
เธอตัดสินใจถามคำถามที่ค้างคาเป็นอย่างแรกว่า
“นายชื่ออะไรเหรอ?”
มีรอยยิ้มกว้างผุดขึ้นมาบนใบหน้าที่เมย์ริได้เห็นเพียงเสี้ยวด้านข้าง “ฉันชื่อเคียวเฮ” เขาตะโกนแข่งกับสายลมเย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิที่พัดโพยมา “ทากาฮาชิ เคียวเฮ”
อาราตาเกะ โมอานะได้แต่ฮึดฮัดกับตัวเองด้วยความคับข้องใจอันเหลือแสน โทรศัพท์มือถือที่กระเป๋ากระโปรงข้างขวาบอกเวลาแปดโมงสิบนาที เมื่อถึงระยะครึ่งทางสู่โรงเรียนมัธยมปลายอาโอมิเนะ พร้อมกับของขวัญรับวันเปิดเทอมแรกคือจักรยานคันสีเหลืองอ๋อยที่ไม่ได้รับการเหลียวแลตลอดช่วงปิดเทอมของเธอยางแตก!
พระเจ้าคงเห็นว่าแค่นี้ยังซวยไม่พอ ถึงได้เสกพาไถลไปชนกับไหล่ทางจนระเนระนาดกันโครมใหญ่ทั้งรถทั้งคน สาวเจ้าหลุดสถบพลางคลำแขนข้างที่ล้มลงไปทักทายกับเพื่อนใหม่ที่มีชื่อว่าคอนกรีตป้อยๆ แม้ไม่มีบาดแผลผ่านเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวสีฟ้าและกระโปรงลายสก็อตสีน้ำเงินแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บเลยเสียที่ไหน หากเธอยังพอมีแก่ใจปลอบตัวเองได้อยู่ว่า เอาน่ะ! ไม่มีเพื่อนนักเรียนอาโอมิเนะอยู่แถวนี้แล้วหัวเราะชอบใจเก็บไปเป็นเรื่องเมาท์ก็ดีถมเถ หลังจากถอนหายใจจึงค่อยกระเถิบตัวลากขาไปจับแฮนด์จักรยานที่กลิ้งโค่โร่อยู่ถัดไปไม่ไกลโดยไม่สนใจแล้วว่าชุดเครื่องแบบจะเปรอะเปื้อน ไหนๆ จะซวยแล้วก็ให้มันสุดกันไปเลย! ทว่าโมอานะกลับถูกตัดหน้าด้วยมือหนาที่ก้มลงจับมันขึ้นตั้งตรงก่อนจะยื่นมืออีกข้างมาให้เธอใช้เป็นหลักยึดโดยไม่ทันได้เงยมองเท่าคำขอบคุณที่ส่งไปอย่างรวดเร็วกว่า
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
ทว่าทันทีที่หยัดยืนขึ้นและได้ยินเสียงซึ่งเธอแน่ใจเป็นที่สุดว่าคุ้นเคยดี...ถึงดีมาก ขนาดสามารถแยกความแตกต่างได้จากเสียงจอแจทั้งหลายที่รายล้อม ใบหน้าก็พลันตวัดขึ้นให้เด็กสาวละล่ำละลักปากคอสั่น จนเผลอพูดคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้อีกฝ่ายต้องหัวเราะขัน ปล่อยมือของเธอไปจับแฮนด์จักรยานที่ก็เป็นของเธออยู่ดีด้วยมือทั้งสองข้าง
ราวกับว่าความเจ็บปวดทั้งหมดของโมอานะจะหายเกลี้ยงเป็นปลิดทิ้ง เมื่อถูกน้ำเสียงนุ่มนวลถามไถ่เช่นนั้น แทนที่ด้วยความเหม่อลอยถึงเด็กผู้ชายจากห้องเดียวกันที่มีชื่อว่าทากาฮาชิ ไคโตะ ผู้เป็นทั้งเพื่อนนักเรียนห้องเดียวกับเธอมาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่ง และยังเป็นรักแรกของเธอในอาโอมิเนะด้วยระยะเวลาเทียมเท่ากัน นอกจากเคยพูดคุยเรื่องกิจกรรมหรือทักทายกันทั่วไปไม่กี่ประโยคแล้ว โมอานะก็แทบไม่มีโอกาสเท่าเพื่อนสนิทของเธอที่นั่งอยู่หน้าเขาตามลำดับการจับฉลาก ซึ่งมักถูกสะกิดคุยเรื่องการบ้านหรือยืมเครื่องเขียนโน่นนี่อย่างน่าอิจฉาที่สุดเลยแม้แต่น้อย
ที่ซ้ำร้ายคือเด็กผู้ชายข้างหลังเธอยังจุ๊กจิ๊กน่ารำคาญเป็นบ้าเสียอีกแน่ะ!
“ม...ไม่เลย! ไม่เจ็บตรงไหนสักนิดเลย!” ทั้งยังยกมือทั้งสองขึ้นโบกแรงๆ เป็นการเสริมย้ำไปด้วย ชักไม่แน่ใจว่าที่เจ็บแขนข้างซ้ายขึ้นมาเพราะการกระทำนี้หรือมาจากเหตุการณ์ก่อนหน้ากันแน่ สีหน้าของเธอหลุดฟ้องออกมาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะรีบฉีกยิ้มกว้างเป็นการกลบเกลื่อน
“ไม่เจ็บเลยจริงๆ นะ?”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้ หรือเพราะความมีน้ำใจล้นเหลือกันแน่ แต่โมอานะขอทึกทักเอาว่าเป็นอย่างแรก เมื่อไคโตะที่เพื่อนห้องบีรู้จักเป็นคนดี แต่ไม่ใช่คนที่แจกจ่ายน้ำใจพร่ำเพรื่อถึงเพียงนั้น ไม่อย่างนั้นยัยอ. (นามสมมติ) ห้องเอคงไม่สาปแช่งเขาถึงบัดนี้เนื่องจากไม่ยอมไปส่งบ้านหลังเลิกชมรมจนเป็นเรื่องล้อเลียนประจำห้อง พอๆ กับที่เธอถูกล้อเลียนว่าปิ๊งรักอีตาคณะกรรมการนักเรียนขี้เก๊กนั่นแหละ!
เขาเอ่ยเพียงแค่ “งั้นฉันจูงจักรยานให้นะ” แล้วทำท่าว่าจะเดินดุ่มนำหน้าคนที่ยังยืนงงๆ ไป
ก่อนโมอานะจะได้สติแล้วรีบวิ่งไปยืนขวางหน้า ส่งคำพูดรัวเร็ว
“ไม่เป็นไรๆ! ไม่ต้องรบกวนทากาฮาชิคุงหรอก ฉันกะว่าจะเอาไปเก็บที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปโรงเรียน”
“เดี๋ยวก็ไปสายหรอก” เขาว่า หันใบหน้าพยักเพยิดไปทางจักรยานของตัวเองที่จอดพิงข้างทางอยู่ แล้วเสนอความมีน้ำใจให้แก่เธอ “ขี่จักรยานของฉันไปก็แล้วกัน ถ้ารีบหน่อยก็คงทัน”
“เอ๊ะ! แล้วทากาฮาชิคุงล่ะ!”
“ฉันสบายมาก”
ถึงเขาจะพูดออกมาเต็มปากเต็มคำอย่างนั้น แต่มันจะสบายมากต่อคนขี้เกรงใจ...ยิ่งกับคนที่เธอแอบชอบไปได้อย่างไร เลยได้แต่ดื้อดึงบอกว่าไม่เป็นไร ไม่อยากรบกวนทากาฮาชิคุงซ้ำไปซ้ำมาอย่างกับหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมไว้แล้วพยายามจะยื้อแย่งจักรยานของตัวมาจูง หากเด็กหนุ่มเองก็จะดึงดันในเจตนา จูงจักรยานหนีพลางส่งเสียงหัวเราะร่วนแบบที่ทำให้โมอานะหน้าร้อนขึ้นมาอีกสามระดับ ขืนยังไม่หยุด หัวใจเธอต้องกระเด้งกระดอนออกมาอยู่ต่อหน้าเขาแน่!
“มัวแต่เกี่ยงกันแบบนี้เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก”
ให้โมอานะชะงักค้าง ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลา แล้วจึงรีบยกมือขึ้นแปะขอโทษขอโพยเขาด้วยความรู้สึกผิดเป็นการใหญ่
“เพราะฉันแท้ๆ”
ไคโตะสั่นหัวเบาๆ แทนคำกล่าวว่าไม่เป็นไร หันรีหันขวางอยู่ครู่จึงกลับมาจ้องหน้าเธอราวกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ว่า “งั้นฉันเอาจักรยานของเธอไปจอดไว้ตรงโน้นก่อน ตอนขากลับค่อยมาเอาก็แล้วกัน ส่วนเธอไปเอาจักรยานของฉันตามมานะ อย่าปั่นหนีไปซะก่อนล่ะ” ไม่วายแกล้งหยอกมุกขำ ก่อนฉิวข้ามถนนไปยังที่จอดรถจักรยานฝั่งตรงกันข้าม เป็นทางเลือกง่ายแสนง่ายที่คนบื้ออย่างโมอานะดันคิดไม่ทันเสียนี่ เธอได้สติจูงจักรยานของเขาตามหลังไป กว่าจะไปถึงตัว เขาก็ล็อกล้อจักรยานของเธอให้เข้าที่เสร็จพอดิบพอดี
“ขอบใจมาก”
หลังกล่าวคำขอบคุณต่อเธออย่างแข็งขัน เขาก็เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนจักรยานที่เธอจูงมาถึงเมื่อครู่ หันไปบอกให้เธอรีบขึ้นมาด้วย ท่ามกลางความตกใจระคนคาดไม่ถึงจนหัวสมองของเธอหมุนติ้วไปหมดด้วยไม่รู้ว่านี่มันคือเรื่องจริงหรือความฝัน ถ้าเอาไปเล่าให้เพื่อนสนิทที่นั่งหน้าเขาฟังเป็นได้ช็อกอ้าปากค้างตามเธอในตอนนี้ไปแหง ไม่ทันให้โมอานะได้ปฏิเสธ เขาก็จะรีบพูดสวนขึ้นทันทีว่า “ขืนช้ากว่านี้ได้สายกันจริงๆ แน่ รีบขึ้นมาเร็วเข้าเถอะ!” พอถูกเร่งรัด สติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยเลิ่กลั่กแล้วรีบปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเขา พลางจับกระเป๋านักเรียนสวมไหล่เอาไว้แน่นอย่างกับเป็นเครื่องรางก็ไม่ปาน
“ฉันต้องซิ่งนะอาราตาเกะ เอามือเกาะฉันไว้ ตรงไหนก็ได้ ขืนตกไปคราวนี้ไม่ช่วยแล้วนะ” เขาเย้ากลั้วเสียงหัวเราะเหมือนไม่ได้รับรู้ถึงหน้าแดงๆ ของเจ้าตัวเลยในตอนที่ตัดสินใจใช้มือข้างหนึ่งกอดใต้อกเขาเอาไว้ และเมื่อนั้น จักรยานคันเก่งของเขาก็พุ่งฉิวไปตามทางด้วยระยะความเร็วชนิดให้โมอานะเผลอหลุดปากร้องเหวออย่างห้ามไม่อยู่
“เอาล่ะ จากนี้จะเร็วกว่านี้อีก เตรียมพร้อมให้ดีๆ นะ”
“เอ๊ะ! ยังจะเร็วกว่านี้อีกเหร...”
คำถามที่เอ่ยไม่ทันจบถูกกลบแทรกด้วยเสียงกรี๊ดอย่างไม่ทันตั้งตัวของคนซ้อน ซึ่งกลัวลงไปจูบพื้นเป็นรอบที่สองของวันในระยะเวลาไม่เกินสิบนาที จนต้องรีบยกแขนทั้งสองข้างขึ้นรั้งเขาเสียแน่น ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอารมณ์ดีของไคโตะลอยแว่วมาตามลม เธอเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของเขา ทั้งหวาดกลัว ตื่นเต้น แต่ก็แสนสุขใจ
_______________
ความคิดเห็น