ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Strange Tales Of Panorama Island

    ลำดับตอนที่ #69 : Dead by Daylight: HARBINGER OF HELL: Chapter 1 – Roots Of Dread

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 67


    HARBINGER OF HELL: Chapter 1 – Roots Of Dread
    Inspiration: Dead By Daylight: Roots of Dread (Video Game, 2022)
    Playlist: DIR EN GREY – 13

     
     











    .

    ความตาย ความบอบช้ำ ความกลัว ทั้งหมดนำมาถึงนี่ มิติทับซ้อน

    แฮดดี้ คัวร์, หายนะแห่งห้วงนรก ตอนที่ 11

    (เดด บาย เดย์ไลท์ แชปเตอร์ 24: รูทส์ ออฟ เดร็ด)

     

    เคนโตะ นากาโอะ ไม่คาดคิดว่า แขกที่มาเยี่ยมหาเขาในเวลาดึกดื่น หลังจากคุณริชาร์ดมาเคาะประตูเรียกเขาซึ่งกำลังนั่งทำรายงานออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวรายละเอียดอะไรมากไปกว่านั้น จะเป็นโรโกะ นากาโอะ พี่สาวที่ห่างหายไปนานมาก...กระทั่งเปลี่ยนกลายเป็นความเหินห่าง เมื่อเธอได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยในแมสซาชูเซตต์ เพื่อที่จะจรจากไปโดยไม่หวนกลับมาหาสมาชิกครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ในโคโลราโดอีกเลย ไม่สนใจแม้แต่จะรับสายเขาที่เพียรโทร.หา หรือใยดีที่จะตอบรับการแจ้งข่าวเรื่องการเสียชีวิตของแม่ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน และเพราะอย่างนั้น การได้เห็นใบหน้าที่อาจเรียกได้ว่าคุ้นเคยดีมาเกือบตลอดทั้งชีวิตซึ่งแทบจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยนอกจากผมสีดำยาวที่ถูกหั่นสั้นลง หากช่วงเวลาที่ผันผ่านมาเนิ่นนานถึงกว่าสามปีนั้นก็มากพอที่จะทำให้โรโกะ นากาโอะ ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าสำหรับเคนโตะ นากาโอะ จนชายหนุ่มไม่คิดที่จะปิดบังสีหน้าขุ่นข้องไม่พอใจ เลยไปถึงการเบือนเฉยเมื่อมองเมินผ่านไป ถึงเธอจะพยายามยกริมฝีปากเล็กคู่นั้นขึ้นเป็นรอยยิ้มเพื่อทักทายก็ตาม

    กระนั้นเขาก็ยังเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอ่ยปากก่อนด้วยการแดกดันอย่างมีอารมณ์ว่า

    “คงต้องเป็นเรื่องสำคัญมากเลยสินะพี่ถึงได้ถ่อมาหาผมถึงนี่”

    “พี่เสียใจด้วยเรื่องแม่...”

    “เสียใจเหรอ!” หากเมื่อโรโกะเอ่ยถึงเรื่องที่กระทบจิตใจเขามากที่สุด นั่นเองที่จะทำให้เคนโตะอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป จนต้องแผดเสียงตะโกนลั่นไปทั่วห้องโถงซึ่งโชคดีที่บัดนี้มีเพียงพวกเขาว่า “เสียใจๆๆ! พูดออกมาได้ง่ายดีเหลือเกินนี่! รู้ไหมว่าขนาดก่อนตายแม่ยังร้องเรียกหาแต่พี่ๆๆ! ทั้งที่ผมต่างหากที่ต้องเสียสละทุกอย่างในชีวิต เพราะพี่หายหัวไปอยู่ที่โน่นโดยไม่แม้แต่จะติดต่อกลับมา! ขนาดตอนที่แม่ตายพี่ก็ยังไม่สนใจจะกลับมาร่วมงานศพเลยด้วยซ้ำ! หรือหลังจากนั้นที่พี่ก็รู้มาตลอดว่าเหลือแค่ผมตัวคนเดียวแล้วพี่เคยมาสนใจใยดีอะไรด้วยหรือไง! เพราะงั้นพี่อย่ามีหน้ามาพูดว่าเสียใจ! อย่ามาพ่นอะไรจอมปลอมแบบนั้นให้ผมฟัง! หุบปากของพี่ไปซะ! เพราะผมไม่อยากฟังเรื่องตอแหลหรือเรื่องแม่จากปากของพี่อีก!”

    ตลอดช่วงเวลาที่เคนโตะเริ่มต้นระบายความในใจทั้งหมดออกมา ใบหน้าขาวของโรโกะก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ พร้อมกับน้ำตาที่หยดเผาะลงมาอย่างง่ายดาย เหมือนอย่างที่เธอเคยเป็นพี่สาวคนขี้แยให้เคนโตะที่เข้มแข็งกว่ามากต้องคอยปลอบ ทว่าในเวลานี้มันกลับทำให้เขารู้สึกโกรธจัดเสียจนปัดป้องมือเล็กของเธอที่พยายามเอื้อมมาแตะต้องตัวเขาออกไป

    “เคนโตะ...พี่...พี่ขอโทษ...พี่เสียใจจริงๆ”

    “ถ้าจะมาพูดแค่นี้ก็ไสหัวกลับที่ที่พี่มาไปเหอะ!”

    “พี่...พี่ไม่เคยบอกเธอเรื่องแม่...เรื่องยาย”

    เรียกเอาใบหน้าของชายหนุ่มให้หันกลับมาจ้องสบกับเธอ

    “อะไร? พี่พูดถึงเรื่องอะไร?”

    “พี่ฝันถึงมัน ถึงเรื่องนั้น ถึงสิ่งนั้น เคนโตะ คำตอบทุกอย่างอยู่ที่นั่น เราต้องกลับไปที่บ้านเกิด” เหมือนกับหนนี้ที่เคนโตะจะยอมให้เธอใช้มืออันสั่นเทาทั้งสองข้างจับท่อนแขนของเขาไว้ราวกับเป็นหลักยึด อาจทั้งกับตัวเธอ...หรือรวมถึงตัวเขาเอง “เราต้องกลับไปที่โฟลด์

    จากชื่อของหมู่บ้านที่เรียกเอาความประหวั่นพรั่นพรึงให้หวนกลับคืนมาอีกครั้ง

     

    คืนนั้น เคนโตะตัดสินใจแบ่งปันห้องพักให้โรโกะ แทนที่หล่อนจะได้กลับไปพักโรงแรมที่จองไว้ เพราะเนื้อตัวที่สั่นสะท้านเอามากหลังจากเอ่ยประโยคนั้น ถึงสถานที่ที่สองพี่น้อง — รวมถึงมารดาผู้ล่วงลับ — ของบ้านนากาโอะเคยได้เผชิญกับความน่าหวาดหวั่นที่ทำให้พวกเขาต้องกระเสือกกระสนหนีออกมาจากสิ่งที่คลาคล้ายกับฝันร้ายนั่น

    ฝันร้ายที่ยังคงตามติดมาหลอกหลอนโรโกะอย่างไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยอีกต่อไป

    เคนโตะปล่อยให้เธอนั่งลงบนเตียงตรงมุมห้องขณะที่เขาทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้เพื่อรั้งรอ ถึงข้างในใจของเขาอยากจะเร่งเร้าให้เธอบอกเล่าเรื่องราวที่ทิ้งคำใบ้เอาไว้ไม่ต่างจากปริศนาซึ่งกำลังรอเวลาขานไข แต่สภาพน่าเวทนาที่ได้เห็นนี้ก็มากพอที่จะทลายกำแพงความโกรธข้างในใจเคนโตะที่มีต่อพี่สาวคนเดียวลงไปได้ โรโกะอาจเป็นคนอ่อนไหวง่ายจนร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยเรื่องเล็กน้อยอยู่ตั้งบ่อย แต่ไม่ใช่คนหวาดกลัวอะไรง่ายๆ อย่างนี้ และเคนโตะก็ไม่เคยเห็นเธอแสดงท่าทีหวาดผวาแบบนี้มาก่อน อย่างน้อยก็ไม่ หลังจากเหตุการณ์นั้นที่...โฟลด์

    ความเงียบดำเนินเดินไปอีกครู่ใหญ่ๆ กระทั่งโรโกะจะเอ่ยปากขอน้ำดื่ม ด้วยความที่มีเหลืออยู่แค่ครึ่งขวดเขาเลยบอกว่าจะออกไปกดจากตู้ที่โถงทางเดินมาให้ แต่โรโกะจะโน้มตัวไปฉวยคว้าข้อมือเขาไว้ สั่นหัว บอกว่าไม่เป็นไร หากเคนโตะก็สามารถอ่านความนัยที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้นั้นได้ว่าเธอแค่ไม่อยาก...ไม่กล้า...อยู่คนเดียว

    เคนโตะไม่รอให้เธอเปิดฝาขวดจนเสร็จด้วยซ้ำในตอนที่ตัดสินใจโพล่งถามขึ้นเมื่อเห็นควรแก่เวลาเสียทีว่า

    “มันเกิดอะไรขึ้นกับพี่กันแน่?”

    แต่เขาก็ยังต้องรอให้เธอค่อยๆ ดื่มน้ำลงไป กลืนมันช้าๆ เหม่อมองดูผนังข้างห้องที่ว่างเปล่าด้วยสายตาที่คงจะเลื่อนลอยไม่แพ้กันอย่างที่เคนโตะไม่เข้าใจ อีกเป็นพักเธอจึงขยับริมฝีปากส่งคำพูดในที่สุด

    “หลังจากที่แม่ตาย พี่ก็เริ่มฝันถึงมัน...สวนแห่งความสุข ทีแรกพี่คิดว่าอาจเป็นเพราะเหนื่อย เพราะเครียด พี่รู้ว่ามันฟังดูเห็นแก่ตัวที่พูดแบบนี้ แต่พี่กลับมาหาแม่ไม่ได้ เพราะพี่กลัวว่าสิ่งที่ยายเฝ้ากรอกหูพี่มันจะเป็นเรื่องจริง พี่กลัวว่ามันจะตามมาหาพี่จนเจอ พี่ถึงได้หนีไปให้ไกลที่สุด ถึงนั่นจะหมายความว่าพี่ต้องทิ้งเธอ”

    “พี่หมายถึง...”

    “เธอรู้เท่าที่ได้เห็น แต่ไม่ใช่เรื่องนี้ เธอไม่เคยรู้เรื่องนี้ เคนโตะ เพราะมันเกี่ยวข้องกับแค่ผู้หญิงในครอบครัวเราเท่านั้น แต่...ความจริงแล้ว...พี่...พี่...” เสียงของเธอสั่นพร่าขาดหาย ใบหน้ากลับมาแดงก่ำเหมือนกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง จนเคนโตะต้องเปลี่ยนไปนั่งข้างเธอบนเตียงเพื่อช่วยจับมืออันเย็นเยียบคู่นั้นไว้เป็นการปลอบโยน “ยายบอกว่าพี่ต้องเสียสละตัวเองให้กับผู้นำ เพื่อ...เพื่อชุมชน...เพื่อโลก...เพื่อเปิดทางให้แก่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า...ไม่ใช่แม่...แต่เป็นพี่...พวกมันรอเวลาจนกว่าพี่จะเหมาะสม...พี่กลัวมาก...พี่...”

    เคนโตะเคยคิดว่าความบ้าคลั่งของยาย เหมือนกับผู้นำวิปริต — ที่เขานึกคลางแคลงใจมาตลอด — จนถึงขั้นปาดคอเชือดนักข่าวที่ลักลอบเข้ามาในชุมชนของพวกเขา แม้จะถูกจับมัดประจานท่ามกลางฝูงชน นักข่าวสาวผู้โชคร้ายและกล้าหาญคนนั้นก็ยังตะโกนกล่าวอ้างว่าแท้จริงแล้วผู้นำไม่ใช่นักบุญอย่างที่ประกาศตน แต่เป็นสมาชิกของลัทธิเก่าแก่ซึ่งตั้งใจจะสังเวยมนุษย์และโลกให้แก่เทพโบราณ ผู้คนที่ถูกเนรเทศออกไปจากเกาะเพราะทำผิดกฎอย่างที่ทุกคนได้รับรู้นั้นเป็นเรื่องเหลวไหล เมื่อความจริงแล้วพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ถูกฆ่าเพื่อสังเวยต่างหาก เลือดสีแดงที่สาดกระเซ็นราวกับน้ำพุมายังใบหน้าของเขาที่ยืนอยู่แถวหน้าสุดโดยไม่ให้ทันได้ตั้งตัว ทั้งกลิ่นคาวคลุ้ง ความเหนอะหนะ รสชาติที่คล้ายกับสนิมเหล็กในปาก ครั้นหวนประหวัดไปถึง ทุกอย่างก็กลับคืนมาเป็นความรู้สึกที่แจ่มชัดอยู่เบื้องหน้า แม้แต่เสียงหัวเราะด้วยความสะอกสะใจดังลั่นราวปีศาจจากขุมนรกของยายที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ยังคงชัดเจนเข้มข้น หลังจากวันนั้น แม่ก็จะรีบพาเขากับโรโกะหนีออกมาให้ไกลที่สุดโดยไม่มีความคิดที่จะย้อนกลับไปยังดินแดนที่ถูกครอบงำจากลัทธิอุบาทว์นี้อีก ลบเลือนทุกเรื่องราวและสถานที่แห่งนั้นราวกับว่ามันไม่มีอยู่จริง ทว่าเคนโตะไม่เคยรู้เลยว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าที่เขาเคยได้เผชิญ

    “ในความฝัน มันเห็นพี่ มันเข้ามาใกล้พี่เรื่อยๆ อสูรกายน่าเกลียดน่ากลัวนั่น พี่ไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร แต่ตอนที่พี่ได้จ้องสบตามัน พี่ถึงได้รู้ว่ามันคือไอ้ผู้นำวิปริตนั่น ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนร่างเป็นแบบนั้นได้ยังไง แต่มันจะมาเอาตัวพี่ไปเป็นเหยื่อสังเวย พี่...พี่ถึงต้องกลับไปที่นั่น เคนโตะ! พี่ต้องกลับไป...ไปฆ่ามัน! ไปทำลายมัน! ก่อนที่มันจะมาทำลายพี่...” และก่อนที่เธอจะระเบิดน้ำตาที่คลอหน่วยออกมาจริงๆ โรโกะก็เอื้อมไปจับมือของเขาแล้วยกมันขึ้นกุม “พี่...พี่ขอโทษ...พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องเห็นแก่ตัวที่มีหน้ากลับมาขอร้องเธอ แต่พี่ไม่เหลือใครให้พึ่งพิงอีกแล้ว เคนโตะ ขอร้องล่ะ ช่วยกลับไปกับพี่เถอะนะ”

    แต่ก่อนที่เขาจะได้อ้าปากพูดอะไร เสียงเคาะประตูสองจังหวะก็จะรั้งเรียกความสนใจไป นั่นทำให้โรโกะสะดุ้งเฮือกจนตัวโยน แต่เคนโตะที่รู้จักจังหวะนั้นดีจะเพียงบีบมือเธอเบาๆ บอกว่า “นั่นเพื่อนผมเอง” แล้วลุกขึ้นเดินไปเปิดรับ

    “โทษที ฉันมาขอยืมสารานุกรม...” คำพูดของโอฮาชิ ซาคุยะ หลุดรอดออกมาได้เพียงแค่นั้น แต่เป็นการเคลื่อนไหวของนัยน์ตาที่เลิกกว้างขึ้น เมื่อมองเลยเข้าไปเห็นผู้หญิงแปลกหน้าหน้าตาสะสวยอยู่ร่วมห้องกับเขา ชัดเจนเสียจนเคนโตะต้องดันไหล่เธอออกไปข้างนอก เปิดบานประตูแง้มไว้ เพื่อที่อย่างน้อยก็ไม่ให้โรโกะต้องรู้สึกหวาดกลัวกับการอยู่คนเดียว

    “นั่นพี่สาวฉัน” เขาลดเสียงลงตอบคำถามที่เธอยังไม่ทันได้เอ่ย

    “นายมีพี่สาวด้วยหรือไง! อย่ามาโกหก!” ซาคุยะเองก็ไม่ได้ต่าง ถึงที่ต่างไปคือความกดกลั้นเพราะประโยคที่ควรเป็นการแผดตะโกนก็ตาม

    “นั่นโรโกะ พี่สาวฉันที่ย้ายไปอยู่แมสซาชูเซตส์ แต่เราไม่ได้ติดต่อกันมาสามปีแล้ว ตอนนี้เขากำลังลำบาก เรื่องมันยาวน่ะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวก เดี๋ยวฉันไปหยิบสารานุกรมที่เธออยากได้มาให้แล้วเราค่อยคุยกันวันหลังได้ไหม?”

    แต่เพราะความสอดรู้สอดเห็นที่มีอยู่มากเป็นทุนเดิม ทำให้ซาคุยะอดไม่ได้ที่จะเยี่ยมหน้าเข้าไปส่องข้างในห้องสี่เหลี่ยมนั้นอีกครั้งด้วยความคลางแคลงใจ แต่สิ่งที่หล่อนได้ยินเธอพึมพำออกมาถึงด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ก็มากพอที่จะทำให้ริมฝีปากอ้าค้าง  หายใจเฮือกเข้าไปอย่างแรงด้วยความรู้สึกที่เคนโตะคาดเดาไม่ถูก แม้ว่าอารมณ์ที่เปลี่ยนไปปุบปับของหล่อนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยจนเขาคาดการณ์ไม่ได้ก็ตาม

    “เคนโตะ...” น้ำเสียงของหล่อนเกือบจะเรียกได้ว่าสั่น เหมือนกับมือที่บีบไหล่เขาซึ่งมีส่วนสูงเทียมกันเอาไว้แน่น เคนโตะไม่ค่อยแน่ใจนักแต่เกือบเชื่อว่ามันคือ...ความตื่นเต้น “นายได้ยินที่พี่นายพูดไหม?”

    เขานิ่วหน้าไปเล็กน้อย สั่นศีรษะ ทั้งจากความเจ็บของแรงกดและคำถามที่ไม่เข้าใจนั้น

    ซาคุยะจ้องสบตากับเขา ทวนคำพูดที่ได้ยินและเสริมเติมแต่งท่อนที่ขาดหายเหล่านั้นด้วยความแน่ใจไม่มีตกหล่น

    “รัชสมัยของดรูอานีจะหวนกลับมา ภายใต้ความมืดมิดที่จะกลืนกิน”

     

     

    โรโกะนอนหลับลงไปได้ในที่สุดหลังจากยานอนหลับหนึ่งเม็ดที่ซาคุยะขันอาสาไปเอามาให้จากห้องพักชั้นบน อาจรวมกับความอบอุ่นของฝ่ามือที่เคนโตะช่วยจับกระชับมันไว้ ขณะนั่งอยู่บนพื้นข้างเตียงเตี้ยๆ อย่างที่เขาเคยทำในตอนที่โรโกะนอนฝันร้ายถึงสัตว์ประหลาดน่ากลัวเมื่อครั้งยังเด็ก ทว่าบัดนี้มันคือปีศาจน่าสะพรึงขวัญที่เคนโตะอาจยังไม่รู้จักหน้าค่าตาของมัน แต่เขารู้จักหน้าตาของผู้นำ ลึกลงไปถึงข้างในใจที่วิปริตผิดมนุษย์มนา หรือไม่มันก็ควรต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เมื่อสิ่งที่ลัทธิอุปโลกน์นั่นปรารถนาหาใช่สิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อย แต่คือเทพเจ้า...เทพสูงสุด

    “ดรูอานีคือปีศาจแห่งความมืด หรือที่พวกชั่วร้ายบางกลุ่มอาจเรียกว่าเทพเจ้า”

    ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ในยามนี้แน่นขนัดไปด้วยแขกที่ไม่ได้รับเชิญ แต่ซาคุยะที่ไม่มีคำว่า เกรงใจอยู่ในพจนานุกรม อย่างน้อยๆ ก็กับเขา และกับคนที่เธอจะรีบวิ่งไปเคาะประตูเรียกที่หอพักอีกตึกหนึ่งเพื่อให้มาร่วมวงสนทนาในยามดึกด้วยกัน โอฮาชิ คาซึยะ ส่งสีหน้าขอโทษขอโพยมาให้เคนโตะที่ยิ้มรับ สั่นศีรษะ แสดงออกว่าไม่ถือสาทั้งกับคนพี่หรือว่าคนน้อง ขณะเดินตามหลังเธอที่เบียดแทรกเข้ามา เดินไปหยิบเบาะที่อยู่ตรงมุมห้องมาวางแหมะลงไป ตบปุให้คนทั้งสองมานั่งล้อมวงด้วยกันอย่างถือวิสาสะ ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้องถึงเธอจะชอบแวะเวียนมาบ่อยก็เถอะเสียเอง

    “ยานอนหลับของฉันแรงมาก พี่นายไม่ตื่นเพราะเสียงคุยแค่นี้หรอก” เมื่อซาคุยะมั่นใจว่าอย่างนั้น เธอเลยไม่คิดที่จะปรับระดับเสียงเป็นคำกระซิบกระซาบที่น่าอึดอัดเป็นบ้า “ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลา แต่เรื่องที่พี่นายพูดมันติดอยู่ในใจฉันมาก ฉันถึงได้ตัดสินใจเรียกพี่คาซึยะมา”

    ที่ถึงแม้ว่าคาซึยะจะร่ำเรียนในเอกคลาสสิกศึกษาเหมือนกันกับพวกเขา แต่ดูเหมือนความสนใจหลักนอกเหนือจากนั้นจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่า ตำนาน นิทานปรัมปรา ทั้งของเทพเจ้าและปีศาจ ไม่ว่าจะจากการค้นคว้าในห้องสมุด และโดยเฉพาะจากการสนทนาแลกเปลี่ยนกับศาสตราจารย์ลูอิสประจำภาควิชาศาสนาและปรัชญาที่เจ้าตัวสนิทสนมด้วยหลังลงเรียนวิชาเลือกที่เขาเป็นผู้สอนตั้งแต่เทอมแรกสุด อย่างที่ซาคุยะมักจะเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาเล่าต่อให้เคนโตะที่สนใจบ้าง...ไม่สนใจมากกว่า...ฟังอยู่บ่อยครั้ง

    “ความคิดที่ชั่วร้ายของผู้คนมอบพลังความแข็งแกร่งให้กับมัน”

    “ตั้งแต่ผมจำความได้ โฟลด์ของพวกเราก็ถูกเรียกว่ายูโทเปีย” ในที่สุดเคนโตะก็เปิดปากพูดถึงบ้านเกิดที่เขาเก็บงำไว้กับตัวเองลำพัง — ด้วยความตั้งใจที่อยากจะลืมเลือน — เอาไว้อยู่นาน บรรยากาศของโมงยามนี้ดูเคร่งขรึมจริงจังมาก ขนาดที่ทำให้ซาคุยะซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ข้างๆ จะเพียงแค่หันมาจดจ้องมองดู รับฟังคำพูดของพวกเขาโดยไม่พยายามขัดขึ้นเหมือนอย่างที่เป็น “แต่ผมคิดมาตลอดว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ พวกผู้ใหญ่ชอบทำท่าทางแปลกๆ ลัทธิแห่งความสุขกับผู้นำที่ดูไม่ชอบมาพากลนั่นก็พิลึกพิลั่น ผมไม่เคยเชื่ออยู่แล้วว่ายูโทเปียจะมีอยู่จริง แค่ผมไม่คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพี่”

    “และตอนนี้พวกเขาก็ต้องการตัวพี่นายไปเป็นเหยื่อสังเวย”

    “เพื่อเป็นเหยื่อสังเวย” คาซึยะทวนซ้ำคำพูดของน้องสาว ก่อนขยายความเข้าใจที่ยิ่งชวนหวั่นพรั่นให้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม “เพื่อการให้กำเนิด”

    “เดี๋ยวนะ พี่หมายถึงกับใคร? ในเมื่อเคนโตะบอกว่าพี่สาวเห็นผู้นำลัทธินั่นเปลี่ยนเป็นอสูรกายแล้วไม่ใช่เหรอ?”

    ความเงียบของคาซึยะอาจแทนทดต่อคำตอบของทุกอย่าง จนทำให้ดวงตากลมโตของซาคุยะเลิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเมื่อเข้าใจความหมายนั้น ก่อนสลับขวับไปหาหญิงสาวคนที่นอนกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ใบหน้าที่ขาวซีดของหล่อนปรากฏวี่แววของความเหนื่อยล้าและไม่สงบ ราวกับว่าไม่มีฝันดีใดจะเข้าไปเยี่ยมกราย

    ทั้งที่คนนอกอย่างเธอแสดงความตื่นตระหนกออกมาตั้งมากขนาดนั้น เคนโตะก็ยังคงรักษาสีหน้าและน้ำเสียงเรียบนิ่งเอาไว้เช่นเดิมเมื่อโพล่งถามขึ้นว่า

    “ดรูอานีคือผู้นำนั่นหรือเปล่า?”

    คาซึยะสั่นหัว “พวกเขาต้องทำพิธี ต้องสังเวยเลือด สังเวยชีวิต ต้องมอบความกลัวให้มากพอ ให้ถึงที่สุด และให้กำเนิดทายาทที่จะเรียกมันมา”

    “งั้นก็คงต้องใช้เวลาอีกนานเลย” ซาคุยะพึมพำ

    “การเติบโตของครึ่งคนครึ่งเดรัจฉานย่อมไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป เธอต้องอย่าลืมข้อนี้นะซาคุยะ”

    “ถ้าอย่างนั้นก็มีแค่ทางเดียว” อีกครั้งด้วยคำพูดที่แน่วแน่จริงจัง “ผมต้องกลับไปที่โฟลด์กับพี่เพื่อจัดการไอ้ผู้นำนั่น ไม่ว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นอะไรไปแล้วก็ตาม”

    ตรงกันข้ามกับซาคุยะที่หวีดร้องเสียงหลงออกมาทันทีโดยไม่รอให้เขาได้เอ่ยจนจบประโยคด้วยซ้ำ มือที่สั่นเทาไม่มั่นคงของเธอบีบท่อนแขนของคนข้างตัวเอาไว้แน่น ขณะแผดเสียงตะโกนใส่หน้าเข้าไปว่า “นายจะบ้าเหรอเคนโตะ! นั่นไม่ใช่คนนะ! ไม่สิ ถึงต่อให้ใช่ แต่คนอย่างนายก็ไม่มีทางกล้าฆ่าใครอยู่ดีนั่นแหละ!”

    “แล้วเธอจะให้ฉันปล่อยพี่สาวไปที่นั่นคนเดียวเพื่อกลายเป็นเหยื่อสังเวยเหรอ!”

    “ใช่! เธอทิ้งนายไปตั้งสามปี ไม่เคยสนใจใยดีว่านายจะเป็นตายร้ายดียังไง แต่พอตัวเองเจอเรื่องคอขาดบาดตายถึงได้มีหน้ากลับมาขอให้นายช่วย! ทั้งที่น่าจะรู้ว่ามันคือการพานายไปตายชัดๆ! พี่นายก็แค่คนขี้ขลาดที่กลัวว่าจะต้องตายคนเดียวเท่านั้นแหละเคนโตะ! พี่นายมันเห็นแก่ตัว!

    “ซาคุยะ!

    ไม่ใช่เคนโตะที่ยังคงปิดปากเงียบและปล่อยให้เธอได้ระบายความคับข้องใจทั้งหมดออกมา เพราะเขาเข้าใจถึงความเป็นห่วงและหวังดีที่มีอยู่อย่างมากมาย นับตั้งแต่วินาทีที่เธอยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือในยามที่ต้องลำบากดิ้นรนกับชีวิตที่มีเพียงตัวเองลำพัง ถึงจะถูกผลักไสหลายต่อหลายครั้งก็ไม่เคยท้อถอดใจ กลับเป็นคาซึยะที่ร้องเรียกชื่อเธอด้วยโทนเสียงที่ไม่ใคร่จะมีใครได้ยินบ่อยนักจากคนที่ใจดีอยู่เสมอเพื่อเตือนสติ และเมื่อซาคุยะผละห่างออกไปนั่งกอดเข่าก้มหน้าซุกแผ่นหลังชิดติดกำแพง เคนโตะถึงได้มองเห็นผู้หญิงที่เข้มแข็งไม่ว่ากับเรื่องอะไรกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นจนเนื้อตัวสั่นเทาเป็นครั้งแรก

    ขณะที่เคนโตะได้แต่นิ่งอั้นด้วยทำอะไรไม่ถูก คาซึยะก็จะเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่โอนอ่อนลงไปว่า “เราจะไปกับนายด้วย”

    “ผม...”

    “ตอนนี้นายก็เหมือนกับครอบครัวของเราแล้วเคนโตะ” เขาเอื้อมมือไปตบไหล่คนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเบาๆ “อีกอย่าง...ฉันรู้ว่าเรื่องนี้อาจฟังดูบ้า แต่ฉันก็อยากเห็นปีศาจนั่น อยากเห็นหมู่บ้านยูโทเปียของนายกับตาตัวเอง แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะไปถามเพิ่มเติมกับศาสตราจารย์ลูอิส หาวิธีกำจัดมัน แล้วช่วยให้เราทั้งสี่คนรอดกลับมาด้วยกัน หรือถ้าสุดท้ายแล้วเราแก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆ มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่มนุษย์เราจะตายกันหมดไม่ใช่เหรอ?”

    ไม่มีใครโต้เถียงความจริงที่คาซึยะพูดออกมา นอกจากเสียงร้องไห้ที่ยังไม่ยอมหยุดของของซาคุยะที่พี่ชายอย่างเขาจะลุกไปโอบไหล่ ลูบหัว ย้ำซ้ำบอกกับเธอว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร เพื่อปลอบประโลมความโกรธและสิ้นหวังของเธอเพียงเท่านั้น












    2022年07月04日
    _______________
     มาในคอนเส้ป "คุรจะซุยนานิวะให้พี่จุงจนถึงเมื่อไหร่" "ตลอดไป" จนกว่าพี่จะเลือกเมนได้ ใครก็ได้ แล้วมาชอบนานิวะกับกูสักที มึงคอยดูไปละกันว่าแรงใจกูไม่มีวันหมดได้แค่ไหน และอีเหี้ยมึง! เมื่อวานก่อนนอนกูหลับตาคิดถึงฟิคริงกุขึ้นมา แล้วกูก็สะดุ้งเฮือกลืมตาตื่น O_O เพราะนึกขึ้นได้ว่ากูนี่แหละที่เอาไคโตะ เจสสี้ และโอฮาชิมารวมไว้ในเรื่องเดียวกันก่อนเมดเลย์จะมาอีก! อีเหี้ยๆๆ มันเป็นไปได้ยังไงวะ!!!
     ถึงแคสต์จะดูฝืนๆ แบบว่ามึงเอาหน้าเด็กน้อยเนี่ยนะมาเล่นพล็อตแบบนี้! แต่ฟังกูก่อน ใจเย็น พี่อย่าห้ามผม มันมีที่มา ต้องเริ่มต้นย้อนความไปว่าที่จริงกูได้พล็อตจาก DBD แชปเตอร์นี้ตั้งแต่เปิด PTB วันแรก ไปดูคนเล่นแล้วก็บร๊ะๆๆ! นี่แหละใช่เลย! (พีทีบีเล่นได้เฉพาะพีซีจ้ะ กูคอนโซลเลยเล่นไม่ได้นะจ๊ะ) ชอบแมปใหม่ที่เป็นบ้านมาก คิลเลอร์ที่ไม่ใช่คนก็เจ๋งมาก ชอบไอเดีย อะไร ใดๆ เพราะงั้นกูเลยหมายมั่นมาก ประกาศกร้าวเลยว่า DLC ออกปุ๊บ ข้อมูลมาปั๊บเมื่อไหร่กูแต่งแน่นวล! ที่อีเหี้ย! พอเทรเลอร์มาปุ๊บคือดับฝันกูปั๊บเหมือนจุดเทียนกลางสายฝนไล่ช้าง เพราะมันเหมือนเรื่องบ้านแม่มดมึงเกือบเป๊ะ! o<--< เอาให้มึงดูยังมีหน้ามาหัวเราะใส่ อีจุงอีควาย ต่ำนะ กูเลยพับๆๆ! กระทั่งวันหนึ่งในเดือนหก กูที่ดู JGR เล่น Identity V ซ้ำเป็นรอบที่สิบก็ปิ๊งพล็อตจากที่เคนโตะตายคนแรกตลอด ส่วนโอฮาชิรอบแรกรอดไปได้ รอบสองเหลือเป็นคนสุดท้าย แถมมีซีนพุ่งตัวหนี เปย์ไม้ปีนหลอก ส่องไฟฉายโดน แถมส่วนใหญ่เป็นคนไปช่วยเพื่อนจากเก้าอี้ กูก็คิดว่าเฮ้ย! บ่าวนี้ไม่ธรรรมดา! เป็นคนที่เล่นวิลเลจจบคนเดียวแล้วต้องมาสอนคนอื่นด้วยไม่ใช่หรือไงนะ สายเกมสยองเหมือนเราชัวร์ เลยคิดว่างั้นลองเอาพล็อตจาก DBD ที่เป็นแนวเดียวกันมาปัดฝุ่นดูดีไหม แต่ถามว่ามีพล็อตไหมก็ไม่ แต่งด้นสดไปเรื่อย ต้องแคร์อะไรวะ ที่แน่ๆ คือไม่เหมือนบ้านแม่มดมึงระกัน อีจุงอีควาย แต่เป้าหมายหลักจริงๆ ของเรื่องนี้คือกูตั้งใจแต่งให้พี่น้องโอฮาชิเป็นคนแบกพี่น้องนากาโอะเว้ย! 55555 เพราะมึงกับเคนโตะเล่นเกมอะไรก็ห่วยๆๆๆ ขณะที่ฮัสซุนเป็นจู๊คมาสเตอร์ ส่วนกูก็สายกล้าบ้าบิ่นถึงจะไม่เก่งพอตัว 8)
     หยิบตรงโน้นตรงนี้ในเกมมาอะแดปต์ไปเรื่อย แต่ถามว่าชอบไหมก็เฉยๆ สนุกไหมก็เฉยๆ ไม่รู้ว่าอยากแต่งต่อไหมด้วยซ้ำ อิหยังวะ เพราะงั้นกูถึงได้เล่าทุกอย่างเหมือนไล่ควาย ไม่ต้องตามหาปริศนาอะไรแล้ว ถ้าไปหมู่บ้านก็คือไล่ฆ่าอย่างเดียว จบ แต่ก็นั่นแหละ จะมีตอนต่อไหมไม่รู้ แต่มีครึ่งท้ายแน่นอนเพราะอยากแต่งโอฮาชิแล้วก็เล่าเรื่องดรูอานีด้วย นอกนั้นก็ตามบุญตามกรรม / ประกาศด้วยว่าวันเวย์ฯครึ่งท้ายยังไงก็มาแน่ ถึงอาจจะตัดชึบชับๆ และถึงกูจะเล่าให้มึงฟังจนจบแล้วก็ตาม เพราะกูยังไม่ได้ให้พูดประโยคที่กูแฮ้ปมาจากในหนังเลย มันไม่ถวกต้อง!
     ชื่อเรื่องมาจากชื่อพอดแคสต์ของแฮดดี้ที่เป็นเซอร์ไวเวอร์ในแชปเตอร์นี้ ตอนแรกลังเลไว้หลายชื่อและทุกชื่อจะเป็น _of_ แต่เพราะติดหูกับคำว่าฮาร์บินเจอร์จาก The Quarry เลยเลือกชื่อนี้มา ที่...โอ๊ยขอพูดหน่อยว่าทำไมถึงตามกระแสเกมนี้อะไรเบอร์นั้น นอกจากพวกบ้านแฮกเก็ตต์กับหมอดูที่บทดี นักแสดงดีทุกคนแล้ว พวกเด็กในแคมป์แม่งจางสัสๆ แถมยังน่ารำคาญ ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำ ขนาดกูมึงเล่นเองยังไม่ผูกพันกับใครเล้ย บทพูดก็เลอะเทอะ เล่นไปเมาท์กับมึงไปยังม่วนกว่าเพราะขี้เกียจฟังขี้เกียจอ่านเวลาพล่ามไปเรื่อย เล่นจบแล้วก็จบเลย ไม่หาดูด้วยซ้ำว่าใครตายยังไง นี่ไม่ดูคนอื่นเล่นเลยนอกจากพี่นัทปิ่นโตที่ก็เลื่อนดูผ่านๆ 55555 เทียบอันทิลดอว์นไม่ได้เล้ย ใต้ตีน อันนั้นดูยูทูบเบอร์ฝรั่งเล่นเป็นสิบๆ ช่องตั้งแต่พิวดี้พาย แจ็ค มาร์ค ฯลฯ ขนาดไปหาดูการตายทุกแบบ ฉากจบทุกอัน ไล่อ่านเรื่องราวในเกมจนปรุ ทั้งที่พล็อตยำเกรดบี ตัวละครก็โง่เบอร์นั้นแหละ แต่ทุกคนน่าจดจำหมด บทพูดก็สนุก ขนาดดูคนเล่นเป็นสิบแต่พอซื้อคอนโซลมา (ให้มึง) เล่นเกมนี้เองก็ยังสนุก หรือเพราะดีแลนมันน่ารักขนาดนั้นเลยเหรอ เอาจริงบทยังสู้เจสันจากเฮาส์ออฟแอชเชสไม่ได้เล้ย 55555 แต่ก็เข้าใจอ่ะเนาะ แก๊งวัยรุ่น ฟีลแคมป์ (จกตาว่าเป็น) ยุค 80s ไรงี้ พวกแอตกะติกต้องชอบ วี้ดว้าย แต่เอาเหอะ อยากแต่งฝรั่งปลอมๆ แคมป์ฤดูร้อนปลอมๆ ที่ก๊อปมึงมาหรือเปล่าไม่รู้ก็แต่งไป ปลายปีนี้เราเข้าโรงแรมไปรอเดวิลอินมีกันดีกว่าเนาะมึง >_<
     ก่อนมึงจะด่าว่าลงฟิคอะไรเยอะแยะ ผีเข้าเหรอ กูก็จะบอกว่าไม่ต้องห่วง วันที่เจ็ดกูยังมีฟิคเก่าเอามาเล่าใหม่อยู่อีก เพราะช่วงนี้กูว่างมาก ไม่มีงานแล้ว ถูกไล่ออก >_< ว่าไปปีนี้กูไม่ค่อยได้ฟังเพลงวิชวลเคย์เลยว่ะ พล็อตดาร์กๆ แบบญี่ปุ่นไม่มาเลยช่วงนี้ คิดถึงเหมือนกัน เดี๋ยวต้องแก้มือสักเรื่องในปีนี้หน่อยละ U_U และขอทิ้งท้ายก่อนจากกันในวันนี้ว่าเพลงซินเซียร์ (ที่ประกอบละครของริวเซย์) เวอร์ห้องอัดเคนโตะกับโอฮาชิหล่อมากๆๆๆ จ้าแม๊!

    2022年07月22日
    _______________
     ยิ่งแต่งก็ยิ่งรู้ว่าไม่ชอบ ไม่ม่วน ไม่คือ แต่ทำไมกูถึงเลือกแต่งเรื่องนี้แทนที่จะไปแต่งวันเวย์ อุบุ หรือสวีทดรีมที่ชอบมากกว่าก็ไม่รู้ว่ะ อาจคิดว่าให้มันจบๆ ไปมั้ง ที่กูก็หายคาใจแล้วจริง U_U และนี่ก็คือตัวอย่างของฟิคที่กูจะใช้คำว่าฝืนเคือง เป็นแคสต์ที่กูจะบอกว่าไม่รอดทั้งคู่ บอกได้แค่ว่า ยับ! แต่ก็เอาเถอะ ไหนๆ ก็ไม่คิดจะแต่งต่อแล้ว ก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามแรงบันดาลใจแรกสุดนั่นแหละ อย่างน้อยก็ถือว่าได้คอมพลีตไปอีกหนึ่ง DLC ของ DBD แล้ว สบายใจ แต่เมาท์หน่อย ส่วนตัวนะ กูคิดว่าบทนากาโอะโยนให้เคียวเฮไม่ก็มิจิจะเปิงกว่า แต่บทโอฮาชิกูว่าไม่เปิงกับใครในนานิวะเลย ถ้าโอฮาชิที่เป็นลีดเดอร์ยังไม่ได้ก็จบแล้ว พัง! ยับ!
     ตอนมึงบอกว่าอ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงการ์ตูนผีตาหวานสมัยเด็กแล้วกูตกใจเมิ้ก! เพราะที่จริงแล้วฉากในตอนนี้มาจากหนังฟิลิปปินส์เรื่อง The Entity ที่กูดูซ้ำในเน็ตฟลิกซ์เป็นรอบที่ร้อยเว้ยมึง! เริ่มต้นเป็นฉากในหอที่พี่ (หรือน้อง) นี่แหละโทรศัพท์มาหา แล้วคนดูแลหอก็ไปเคาะเรียก แค่นี้จริงๆ แรกสุดเลยนะสี่คนนี้จะได้ไปเจอกันในหมู่บ้าน พี่น้องโอฮาชิจะทำพอดแคสต์เรื่องเหนือธรรมชาติ ซาคุยะมีญานทิพย์ ไรวี้ เหมือนแฮดดี้ในเกม แต่ก็คิดว่ามันดูกากๆ เห่ยๆ จังวะ เลยลองเปลี่ยนพล็อตให้เป็นยุคเก่าๆ ที่มือถือไม่มีเลยต้องวิ่งไปเรียกกัน ไม่ต้องมีหรอกพอดแคสต์ขายขำอะไร และเพราะในเอนติตี้เรื่องก็เป็นยุค 60s ที่ก็บังเอิญเว่อร์ที่ในดีบีดีก็มีคำว่าเอนติตี้! หูยขนลุกอีกแล้วค่ะพี่สาว >_< ซึ่งออกมาก็ถือว่าพอใจมาก ถึงลีดเดอร์จะบ้าๆ แต่กูก็ไม่อยากแต่งบทง่าวๆ ให้ล่ะนะ / ส่วนบทของผู้นำคือตั้งใจให้เป็นสัตว์ประหลาด ขนลุกข้าวพอง น่าเกลียดน่ากลัวไปเลย แล้วกูก็มานั่งคิดว่าถ้าเป็นมึงนะ พระนางคงเปลี่ยนเป็นเทพ ปีศาจ อะไร ใดๆ ไปเองแล้ว มีเทพไปแล้วกี่องค์ล่ะเรา ส่วนพล็อตดรูอานีไม่เหมือนในเกมจ้า แค่จิ๊กชื่อมา ที่เหลือกูแต่งเองหมด ฮู่ว ฉลาดจัง ส่วนที่ถ้าลูกจะออกมาเป็นปีศาจนั่นเพราะจู่ๆ ก็คิดถึงเรื่องดันวิชขึ้นมา แต่ไปเทพเลิ้บคร้าบตามมึงไม่ได้ว่ะ ความสามารถกูไม่พอ อย่างกูมันต้องแนวเฟสติวัล ขุดหลุมศพ ไม่ก็ผู้มาหลอกหลอนในความมืด หรือมึงว่าอย่างนี้กูก็ยังแต่งไม่ได้อีก ภัยความมั่น และมึงเคยพิมพ์อะไรแล้วไม่ม่วนสักอย่าง ตั้งแต่ชื่อสกุลพระนางทั้งสี่ (โรโกะพอไหว) ยันชื่อหมู่บ้านไหมวะ
     ปล. เพิ่งเกลารอบเดียวอยู่ แต่ไล่ควายเอามาลงก่อน งานการไม่ทงไม่ทำ เพราะกูพยายามลงฟิคในวันที่มีเลขสองเรียงกันของทุกเดือนอยู่ และเห้ย! มาซาคาโดะติดโควิด! TT_TT
    SNAP
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×