ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Anima-City

    ลำดับตอนที่ #1 : ★ Final Fantasy VII: On the Way to a Smile "Episode: Shinra" 1 ★

    • อัปเดตล่าสุด 17 ส.ค. 63


    แปลจากหนังสือตีพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษของค่าย Yen On จากสำนวนของคุณ Melissa Tanaka (เราซื้อฉบับจริงมาจากคิโนะ ไม่ได้หาอ่านเถื่อนนะจ๊ะเตง)
    ขอแปลเก็บไว้เพราะจะได้อ่านซ้ำเรื่อยๆ ด้วยสำนวนของเราเอง หึ เราเลือกแปลเฉพาะ Episode: Shinra เพราะเราสนใจเรื่องของฝั่งนี้มาตั้งแต่ดูภาค AC แล้ว
    และบทบาทของรูฟัสกับเทิร์กส์ก็สุดจริง หลังจากเราอ่านแล้วดีดดิ้นกับรูฟัส จึงอยากขอแบ่งปันแง่มุมนี้ของท่านประธานที่จะพบเจอแค่ในเล่มนี้เท่านั้นให้รู้โดยทั่วกัน
    ชื่อเฉพาะหรือคำศัพท์อันไหนที่แปลออกมาแล้วมันแปลกแปร่งไปก็ขออภัย เพราะเรายึดตามความเข้าใจรวมถึงความเคยชินในการอ่านของเราเอง
    สำนวนหลายจุดโคตรจะทื่อ เราได้ค้นพบแล้วว่างานแปลหนังสือนั้นน่าอึดอัดมากเพราะศัพท์มันไม่เวิ่น และเราก็ไม่อาจหาญพอจะใส่สำนวนตัวเองลงไป











    .

    ซัง ผู้อำนวยการแผนกวิจัยการบริหารของบริษัทพลังงานไฟฟ้าชินระ อยู่ระหว่างการทำภารกิจออกตามหาวัตถุลึกลับที่รู้จักกันในชื่อแบล็กมาทีเรีย ก่อนเซฟิรอธจะหาเจอ ภารกิจนี้ทำให้เขาต้องเดินทางจากซีกโลกหนึ่งถึงอีกซีกโลก กระทั่งในที่สุดก็นำพาเขาไปยังวิหารของเผ่าโบราณ

    กระนั้นเขาก็ยังได้เผชิญหน้ากับเซฟิรอธที่นั่นและได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากพังพาบลงบนพื้น มองดูเลือดหลั่งรินลงไปในสระน้ำรอบตัวเขา เขาเริ่มจะหมดสติ และรู้ว่ามันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นก่อนจุดจบจะมาถึง แต่เมื่อเขาจำนนให้แก่ความตาย แอริธและพรรคพวกก็มาถึงวิหาร พวกเขาเองก็ไล่ตามเซฟิรอธเช่นกัน

     

    เป็นเวลานานมากแล้วที่ซังได้รับมอบหมายให้ติดตามแอริธ ทายาทคนสุดท้ายของเผ่าโบราณ กับเป้าหมายในการเกลี้ยกล่อมให้เธอร่วมมือกับชินระ

    ขณะที่เขาและเพื่อนร่วมงานไม่เคยลังเลใจในการใช้วิธีที่รุนแรงเพื่อให้เป็นไปตามผลลัพธ์เมื่อถึงเหตุการณ์อันสมควร พวกเขาได้เรียนรู้ว่าภารกิจที่ไม่ธรรมดานี้ต้องใช้ความอ่อนโยน เมื่อเคยมีบทเรียนราคาแพงที่ต้องจ่าย ความพยายามควบคุมแม่แท้ๆ ของแอริธด้วยการใช้กำลัง แลกมาด้วยความตายของหล่อน

    ภารกิจที่ผิดพลาดนั้นทำให้แอริธเป็นเผ่าโบราณคนสุดท้ายในโลกที่เหลืออยู่ จำต้องเข้าหาเธอด้วยความระมัดระวังอย่างสูงสุด และซัง ในฐานะตัวแทนของด้านมืดและด้านอันตรายของบริษัท คิดว่าเขาเป็นตัวเลือกที่ห่วยแตกสำหรับงานนี้ ด้วยความไม่มั่นใจเลยว่าควรจะทำเช่นไร เขาปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปหลายสัปดาห์โดยไม่ทำอะไรเลย นอกจากจับตาดูเธอ

    ประหลาดดี แอริธเป็นฝ่ายเข้ามาคุยกับเขาก่อน เธอยังเป็นเด็กในตอนที่เดินตรงมาหาเขา

    “ขอบคุณค่ะ” เธอพูด

    ซังแปลกใจว่าเขาได้ยินถูกต้องหรือเปล่า

    “คุณปกป้องหนูใช่ไหม?” เธอว่า เมื่อเขาไม่ได้ตอบกลับ

    ความเข้าใจผิดอาจเป็นประโยชน์สำหรับเขา ตราบเท่าที่ภารกิจยังต้องดำเนิน แต่เขากลับบอกความจริงไป ความซื่อสัตย์แทบไม่ใช่วิธีการของเขา อย่างน้อยก็ในฐานะมืออาชีพ แต่วันนั้นมันใช่

    “ฉันทำงานให้ชินระ ฉันชื่อซัง ฉันอยากจะคุยกับเธอ”

    “หนูเกลียดชินระ!

    เมื่อมองดูร่างเล็กๆ ของเธอผละจากไป เขาก็รู้สึกถึงความโล่งอก แบบนี้ดีกว่า ถึงแม้ว่าวันที่เขาต้องพาเธอไปโดยใช้กำลังจะมาถึง เขารู้สึกได้ว่าสิ่งหนึ่งที่ตัวเองไม่สามารถทนทำได้คือการหลอกเธอ และนั่นคือเรื่องแปลก

    สัปดาห์ผันผ่านเป็นเดือน เดือนผันผ่านเป็นปี แอริธเติบโตขึ้น มีความเปลี่ยนแปลงเพียงน้อย กระทั่งถึงวันที่เธอสนิทสนมกับองค์กรต่อต้านชินระ แอวะแลนช์ นั่นทำให้เรื่องยากขึ้นกว่าเดิม ด้วยความโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถในการควบคุม ซังปฏิบัติต่อเธอในแบบคนใจร้ายที่ไม่ใยดี เล่นใหญ่เสียจนเพื่อนร่วมงานคอยเอามาตอกย้ำซ้ำเติม

    แต่ทุกครั้งที่พวกเขาพูดถึงมัน ความคิดเดิมๆ ก็จะหวนย้อนกลับมาหาเขา

    มันไม่ใช่การแสดง สำหรับแอริธ ชินระไม่ใช่อะไรนอกจากปิศาจ และปิศาจก็ทำในสิ่งที่ปิศาจต้องทำ

     

    สุดท้าย แม้ในตอนที่เขาคิดว่าตัวเองกำลังจะตาย ซังก็ยังจะขอเลือกเผชิญหน้ากับแอริธในฐานะเทิร์ก

    “บ้านะ ตั้งแต่ฉันปล่อยให้เธอหลุดรอดไปได้ หายนะก็เกิดขึ้นตามมาไม่หยุด”

    แต่แอริธก็ยังคงหลั่งน้ำตาเพื่อเขา เธอพบว่าการมองเขาในฐานะศัตรูนั้นเป็นเรื่องยาก เมื่อเธอรู้จักเขามาตั้งแต่ตอนที่ยังเด็ก ซังไม่เคยจินตนาการว่าจะมีใครร่ำร้องไห้เพื่อเขา บางทีความตายอาจจะเมตตากับเราในท้ายที่สุด เขาคิด แต่คำที่หลุดรอดออกมากลับเป็นมุกตลก

    “ฉันยังไม่ตาย”

    หลังเธอเดินจากไป เขาก็นั่งรอคอยความตายอย่างเงียบงัน ดูเหมือนจะใช้เวลานานพอดู เขารู้สึกว่าสติค่อยๆ หลุดลอยไป แต่ความรู้สึกถึงจิตวิญญาณที่จะหลอมรวมเข้าไปในไลฟ์สตรีมยังไม่มาถึง

    ความช่วยเหลือมาถึงในรูปแบบของรีฟ ที่จริงแล้ว ในรูปแบบของหุ่นยนต์แมวหน้าโง่ขี่มูเกิลตัวอ้วนกลม ซึ่งรีฟควบคุมมันด้วยทักษะในระดับที่เหลือเชื่อ เขาเรียกมันว่าเคตซี่ เขาใช้สิ่งประดิษฐ์นี้เพื่อแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มของแอริธและรวบรวมข่าวสาร

    “ดูเหมือนว่านายจะอยู่ในสภาพแย่นะ ซัง” เคตซี่ให้ความเห็น

    “แบล็กมาทีเรียอยู่ไหน?”

    “...”

    ไม่มีคำตอบ ที่จริง หุ่นยนต์ไม่เคลื่อนไหวเลยสักนิด ซังเริ่มสงสัยแล้วว่ามันอาจจะมีบางอย่างผิดปกติ เมื่อรีฟเริ่มพูดอีกครั้ง “โทษที ฉันพยายามควบคุมสองเครื่องในเวลาเดียวกัน มันซับซ้อนนิดหน่อยน่ะ”

    “มิน่า” ซังไม่เข้าใจหรือว่าใส่ใจ เขารอคอยอย่างอดทน

    “แบล็กมาทีเรีย ฉันจะให้พวกของคลาวด์ได้ไปก่อนในตอนนี้ ดีกว่าให้เซฟิรอธได้ไป”

    คลาวด์ เด็กหนุ่มที่มีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุการณ์วุ่นวายนี้อย่างลึกซึ้ง แต่เขาได้ชิ้นส่วนอีกชิ้นที่ซังไม่ได้เลยได้อย่างไร ในขณะเดียวกัน ก็ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะได้มันไป คลาวด์คือกุญแจ ซังแน่ใจ แต่เขาแทบนึกไม่ออกเลยว่าประตูบานไหนที่กุญแจนั้นจะไขได้

    ถ้าพวกเขาอยากขัดขวางการใช้งานของเวทมนตร์ดำขั้นสุดยอด เมเทโอ คาถาที่ทรงพลังขนาดทำลายล้างโลก การให้คลาวด์เก็บแบล็กมาทีเรียไว้ก็ย่อมดีกว่า

    “คลาวด์ได้แบล็กมาทีเรีย” ซังว่า “เข้าใจแล้ว”

    “ซัง ฉันจะบอกสำนักงานใหญ่เรื่องสถานะของนาย”

    “...ขอบคุณ”

    “ส่วนฉัน คลาวด์กับคนอื่นๆ รู้แล้วว่าฉันเป็นสปายของบริษัท แต่ฉันจะอยู่กับพวกเขาไปก่อน พวกเขาน่าสนใจดี หรืออย่างน้อยๆ ฉันก็สนใจในตัวพวกเขา ทีนี้ก็อดทนไว้ ฉันต้องเคลื่อนย้ายนาย”

    ซังยังมีคำถามอีกนิดหน่อย แต่ขณะที่มูเกิลตัวยักษ์ยกเขาขึ้น ความเจ็บปวดก็เข้าเล่นงาน ความทรงจำของสิ่งที่ตามมานั้นรางเลือน

    เขาถูกยกไปขึ้นเรือโดยอดีตผู้บังคับบัญชาและอดีตเพื่อนร่วมศึกสองคน ซังประหลาดใจว่าทำไมรีฟถึงติดต่อพวกเขาแทนที่จะเป็นพนักงานบริษัทธรรมดา บางทีรีฟอาจติดต่อกับพวกเขามาโดยตลอด

    มีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวของเขา แต่ซังไม่มีกำลังพอที่จะถามใครก็ตาม เขาหมดสติตลอดระยะเวลาการเดินทาง ก่อนที่จะได้มันคืนมาภายในห้องเล็กๆ บนแผ่นดิน กลิ่นของสนิมและน้ำเค็มที่อบอวลในอากาศบอกว่านี่คือจูนอน บางคน อาจเป็นบริษัท ไม่ก็รีฟ ได้จัดการหาหมอให้เขา ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อ

     

    *

     

    มีหลายสิ่งเกิดขึ้นระหว่างที่ซังกำลังรักษาตัว แอริธถูกฆ่า และแบล็กมาทีเรียก็ถูกเปลี่ยนมือจากคลาวด์ไปยังเซฟิรอธ

    เซฟิรอธใช้มันเพื่อร่ายคาถาร้ายกาจที่สุด เมเทโอ

    รายงานว่ามีเวลาไม่ถึงสัปดาห์ก่อนที่มันจะส่งผล เมเทโอจะพุ่งชนโลกและทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หยุดผู้คนไม่ให้พยายาม

     

    *

     

    จากมิดการ์เซกเตอร์ศูนย์ ใกล้กับอาคารชินระ มีคนเห็นปืนใหญ่ถูกขนมาจากจูนอนและตอนนี้ก็ปรากฏอยู่เหนือเซกเตอร์แปดบนโครงสร้างเสาค้ำอย่างเร่งรีบ ซิสเตอร์เรย์ ชื่อที่ตั้งโดยสการ์เล็ต ผู้อำนวยการแผนกพัฒนาอาวุธ คือความหวังสุดท้ายในการล้มเซฟิรอธ ท่อพิเศษเสียบเข้ากับตาปฏิกรณ์ที่ยังใช้งานได้ของมิดการ์ในแต่ละเซกเตอร์มายังซิสเตอร์เรย์โดยตรง ซึ่งจะยิงลำแสงพลังงานมาโก้บริสุทธิ์ ขยายโดยฮิวจ์มาทีเรีย เข้าสู่ถ้ำตอนเหนืออันห่างไกลที่เซฟิรอธยังคงหลับใหล

    ถ้าพวกเขาจัดการเขาได้ ฝันร้ายที่เขาจะเรียกมันมาก็จะจบลง เมเทโอจะหายวับไปจากท้องฟ้า หรือพวกเขาก็หวังอย่างนั้น

    พวกเขายังหวังด้วยว่าเมื่อภัยคุกคามของหายนะวันสิ้นโลกได้แพ้พ่าย เหล่าอาวุธมีชีวิตก็อาจจะกลับไปยังที่พำนักของพวกมันด้วยเช่นกัน

     

    “ทางทฤษฎี มันน่าจะได้ผล” รู้ดมองขึ้นไปยังซิสเตอร์เรย์

    “ทางปฏิบัติล่ะ” เรโนว่า น้ำเสียงฟังดูจริงจัง ไม่เหมือนกับเวลาปกติ

    “บอกได้ว่าบางคำถามก็ไม่มีคำตอบ”

    “เรื่องนั้นฉันรู้! แต่ฉันมีเพียบเลย”

    “อย่างอะไร” รู้ดจำเป็นต้องถาม

    “โอเค ฟังนะ อย่างเช่นว่าพวกเขาจะเดินหน้ายิงมันเลยใช่ไหม? โดยไม่มีการทดสอบก่อนด้วยซ้ำเหรอ? มิดการ์จะถูกทำลายเหี้ยนตอนมันดีดกลับหรือเปล่า? ถ้าเกิดพวกเขายิงพลาดล่ะ? ถ้าเกิดมันทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ล่ะ? ถ้าเกิด

    “ถ้าเกิดฉันบอกว่ามันจะต้องเรียบร้อย นายจะหุบปากรึเปล่า?” รู้ดพึมพำ

    “ชิ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย ฉันก็แค่ถามดู”

     

    ซิสเตอร์เรย์ ซึ่งถูกแนะนำว่าเป็นผู้กอบกู้โลก ทำไม่สำเร็จและลงเอยเป็นเศษเหล็กขนาดมหึมา สิ่งเดียวที่มันทำได้คือกระตุ้นให้เหล่าเวพ่อนตอบโต้และทำลายอาคารชินระจนเกือบราบคาบ

    เรโนกับรู้ดคุ้นเคยกับความตายและการทำลายล้าง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็คือเทิร์กส์ แต่การได้เห็นบทลงโทษอันโหดร้ายกับอาคารชินระนั้นแตกต่างกัน ในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนาม สำหรับพวกเขา สำนักงานใหญ่เปรียบเสมือนที่พักพิงหรือแม้แต่บ้าน ที่หลบภัยซึ่งพวกเขาจะกลับมาหลังจากการทำงาน ช่วงเวลาในห้องทำงานหมายถึงการพักผ่อน ใช้เวลากับเพื่อนๆ ฝึกซ้อมกับผู้บังคับบัญชา และแหงล่ะ จีบสาวในแผนกอื่น ข้างนอก พวกเขาต้องตื่นตัวและพร้อมสำหรับทุกอย่าง แต่ที่สำนักงานใหญ่ พวกเขาจะปิดสวิตช์และพักผ่อน มันคือขั้วตรงข้ามของพนักงานธรรมดา แต่มันทำให้พวกเขาผูกพันกับอาคารชินระอย่างลึกซึ้งมากกว่า

    ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกแย่มากเมื่ออาคารถูกโจมตี และมันยิ่งเลวร้ายเมื่อพวกเขารู้ว่ารูฟัส ประธานบริษัท หายสาบสูญไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้

    มีพยานหลายคนเห็นห้องทำงานของประธานถูกโจมตีโดยตรงจากลำแสงพลังงานของเวพ่อนตัวหนึ่ง นี่แปลว่าโอกาสที่ประธานจะยังคงมีชีวิตอยู่แทบจะริบหรี่

    ไม่ใช่แค่ประธานเท่านั้น สถานะของผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงเหล่าคณะกรรมการบริหารก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน สายการบังคับบัญชาของบริษัทอยู่ในช่วงอลหม่านสุดขีด เมื่อเมเทโอจะพุ่งเข้าโจมตีโลกในอีกไม่กี่วัน พนักงานส่วนใหญ่ต้องทิ้งที่มั่นของตน

    งานแรกของเรโนกับรู้ดคือหาว่ารูฟัสยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่การเข้าถึงชั้นของผู้บริหารนั้นเป็นเรื่องยุ่งยาก ลิฟต์ด่วนที่มีความปลอดภัยแน่นหนาซึ่งพาขึ้นไปยังชั้นสูงสุดได้โดยตรงไม่ทำงาน และพวกเขาก็ถูกบีบให้ต้องใช้ทางที่ช้ากว่า คือลิฟต์ระยะสั้นที่พนักงานทั่วไปใช้กัน

    “พวก ไอ้นี่ก็ไม่ทำงานเหมือนกัน” เรโนบ่น

    “บางทีพวกมันอาจปิดการทำงานฉุกเฉิน” รู้ดว่า

    “โอ้ใช่ เพราะนั่นช่วยได้ตอนเกิดเหตุฉุกเฉิน”

    “ทั้งสองคน เลิกเถียงกันแล้วใช้บันไดซะ”

    ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันก่อนจะหันมา เบื้องหลังพวกเขามีร่างที่คุ้นเคยกับผมสีดำยาวยืนอยู่ คนสุดท้ายที่พวกเขาคาดหวังว่าจะเจอที่นี่ “หัวหน้า!

    หลายวันก่อน พวกเขาได้ข่าวว่าซังถูกฆ่าตายระหว่างทำภารกิจ เด็กใหม่ อีลีน่า สาบานว่าจะแก้แค้นแทนเขาและออกเดินทางไปสุดตอนเหนือเพื่อไล่ตามคลาวด์ เพียงเพื่อจะได้พบความล้มเหลวและกลับมายังมิดการ์พร้อมคำสบถเป็นชื่อของคลาวด์ เรโนกับรู้ดยังคงได้ยินเธอพึมพำว่า “ฉันจะทำให้เขาชดใช้! ฉันจะทำให้ได้!” ภายใต้ลมหายใจเหมือนการร่ายคาถา เท่าที่พวกเขารู้ ซังตายแล้วจริงๆ

    “จ้องอะไรอยู่ได้ แล้วก็ปิดปากซะ” ซังพูด

    “หัวหน้า...ยังอยู่” รู้ดได้สติ

    “แน่อยู่แล้ว แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเล่า”

    “ใช่” เรโนผงกหัวอย่างรวดเร็ว แสดงให้หัวหน้ารู้ว่าเขาพร้อมที่จะจัดการทุกอย่างโดยไม่มีอิดออด

    “รุ่นพี่!” เป็นเสียงเรียกของหญิงสาว ทั้งสามคนหันไปพร้อมกันเพื่อจะพบอีลีน่า เด็กใหม่ ซึ่งไม่ปิดบังความดีใจที่ได้เห็นผู้บังคับบัญชากลับมาจากความตาย เธอวิ่งตรงไปหาซังและโอบวงแขนรอบกายเขา

    “นี่นะ อีลีน่า” เรโนว่า “เราทุกคนดีใจที่ได้เห็นหัวหน้า แต่

    “แต่อะไร ฉันรู้ว่ารุ่นพี่ก็อยากกกอดเขาเหมือนกันแหละ” เธอย้อน

    “ฉันขอผ่านดีกว่า”

    หลังจากซังหลุดออกจากอ้อมกอดของอีลีน่าแล้ว เขาก็มองไปยังลูกน้องทั้งสามคนด้วยความเด็ดเดี่ยวแล้วพยักหน้า “ไปทำงานกันเถอะ”

     

    มีแต่ความมืด และยิ่งมืดขึ้นไปอีก เวพ่อนที่ชั่วร้ายได้ทำลายอาคาร ตอนนี้ รูฟัส ชินระกำลังไถลลงมายังพื้นลาดที่ไม่มีจุดสิ้นสุด หัวเราะไปตลอดทาง

     

    การที่มีอสูรแบบนั้นอาศัยอยู่ในโลกอาจดูเป็นเรื่องเหนือจินตนาการ แต่มันก็มีอยู่จริง และเมื่อมันโจมตีอาคารชินระ ใกล้กับห้องทำงานของประธาน คลื่นกระแทกได้เหวี่ยงรูฟัสลงบนพื้น การระเบิดอีกระลอกตามมา เพดานถล่ม และคานเหล็กก็ร่วงลงมาห่างจากศีรษะของเขาแค่ไม่กี่นิ้ว ยังมีเศษซากร่วงหล่นลงมาอีกในจุดเริ่มต้น เขากลิ้งเข้าไปใต้โต๊ะ หวังว่ามันจะช่วยป้องกันได้

    เมื่อเขาเห็นลำแสงจากสัตว์ประหลาดมุ่งตรงมายังอาคาร เขาพร้อมรับความตายแล้ว แต่หลังจากคลื่นกระแทกซึ่งทำให้เขาเพียงล้มลง ความโกรธได้เข้าแทนที่การยอมจำนน รูฟัสโมโหตัวเองที่ยอมรับความตายง่ายดายขนาดนั้นโดยไม่ยืนหยัด ฉันคิดอะไรอยู่? ฉันไม่ควรต้อนรับความตาย แต่ฉันควรจะหัวเราะเยาะใส่หน้ามันต่างหาก!

    ความโกรธทำให้เขามีสติ เวพ่อนอาจจะปล่อยลำแสงอีกระลอก เขาต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด

    จากแหล่งหลบภัยที่ใต้โต๊ะ รูฟัสกวาดตามองไปรอบห้องเพื่อหาทางออก สิ่งที่สะดุดตาเขาคือสวิตช์เล็กๆ ที่มีเครื่องหมาย แอล

    มันอยู่ข้างล่างโต๊ะนี้เอง ถูกออกแบบมาให้อำพราง บางอย่างที่หลบซ่อนอยู่ที่นี่อาจเป็นบางอย่างสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน อย่างเช่นเหตุการณ์นี้ที่เขากำลังประสบ เขากดสวิตช์โดยไม่เสียเวลาคิดแม้แต่นิดเดียว

    ชิ้นส่วนพื้นข้างใต้แผ่นหลังของเขาหายไปพร้อมกับเสียงแกร๊ง มันช่วยไม่ได้ แต่เขาก็ร่วงหล่นลงไปหลายฟุตโดยที่แผ่นหลังแนบเข้ากับพื้นผิวแข็งๆ

    พื้นผิวนั้นลาดเอียง เขาเริ่มไถลลงไป เร็วขึ้นและเร็วขึ้น

    โอเค แทนที่ฉันจะตายเพราะการระเบิด ฉันจะหล่นลงไปตายในท่ออากาศ

    สภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกพุ่งเข้าใส่เขาอย่างน่าขัน ผู้คนจะคิดยังไงเมื่อพบร่างของเขา ติดอยู่ในท่อลมครึ่งทางลงอาคารด้วยสภาพตีลังกาหน้าคว่ำ? หรือไปติดอยู่ในพัดลมระบายอากาศ? ขณะที่ภายนอกถูกล้อมรอบด้วยการต่อสู้อันแสนสิ้นหวังเพื่อชะตากรรมของโลก ประธานชินระ องค์กรที่ควรจะช่วยเหลือพวกเขา ตกลงมาตายผ่านช่องในห้องทำงานของตัวเอง

    เขาหัวเราะ จะเป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่เพราะความตายที่กำลังจะเกิดขึ้น

    ว่าแต่ใครเป็นคนสร้างท่ออากาศนี้ขึ้น? ทำไมมันถึงมีมุมโค้งให้ไถล? ทำไมถึงมีสวิตช์ที่มีเครื่องหมายแอล?

    และแล้วรูฟัสก็จดจำถึงบทสนทนากับพ่อของเขาเมื่อเกือบๆ ยี่สิบปีมาแล้วได้ จากนั้นเขาก็หัวเราะ

     

    รูฟัสในวัยห้าขวบตื่นขึ้นมาตอนกลางดึกและรับรู้ได้ในทันทีว่าพ่อของเขากลับมาถึงบ้าน เขาเข้าไปในห้องและเตรียมรับเสียงกระด้างที่จะพูดว่า “ไปนอนซะ!

    แต่ตาแก่อยู่ในช่วงคึกคักไม่เหมือนกับทุกที เขาให้รูฟัสดูพิมพ์เขียว สดๆ ร้อนๆ จากสถาปนิก  เขาว่า พวกเขาวางแผนสำหรับการปรับปรุงห้องทำงานของประธานในอาคารชินระที่จะมาถึง “แกคิดว่าไง? ฉันจะควบคุมทั้งโลกจากที่นั่น”

    “ว้าว” รูฟัสแสร้งทำเป็นประทับใจขณะที่เขาจ้องมองแปลนแทบไม่วางตา พยายามรวบรวมบางอย่างจากมัน บางอย่างที่จะทำให้เขาได้รับคำชมถึงความฉลาด แต่ก็ไม่พบอะไร เขาจึงตัดสินใจถามคำถามแทน “พ่อครับ แล้วพ่อจะหนียังไง?”

    หน้าผากของตาแก่ขมวดยับย่น

    “หมายความว่าไง หนี?

    “ถ้ามีคนโจมตี พ่อจะหนีได้ยังไง?”

    “ฟังนะไอ้หนู บริษัทชินระไม่มีศัตรูที่กล้าโจมตีฉันหรอก ถึงต่อให้จะมี ห้องทำงานของประธานชินระก็อยู่ตั้งชั้นเจ็ดสิบ ไม่มีทางที่พวกมันจะขึ้นมาได้ไกลขนาดนั้น ไม่เมื่อเรามีการรักษาความปลอดภัยอย่างที่เป็นอยู่”

    “คุณพาลเมอร์บอกว่าอาจมีการโจมตีจากนอกโลก”

    “เขาพูดเหรอ?” รอยย่นบนหัวคิ้วยิ่งลึกขึ้นไปอีก นั่นแสดงว่าเขากำลังโกรธ

    พาลเมอร์คือผู้บริหารโปรแกรมอวกาศของบริษัท ฟังดูเหมือนว่าเขาจะต้องเจอปัญหาทีหลังแน่ แต่พาลเมอร์พูดเสมอว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องถูกตะคอกใส่อยู่แล้ว ดังนั้นรูฟัสจึงไม่ห่วงเขามากนัก ตราบที่ตาแก่ไม่ตะคอกใส่ฉัน รูฟัสคิด แต่เขาบอกได้เลยว่าเขาได้ทำลายอารมณ์ดีๆ ของพ่อไปจนหมด “ขอโทษครับพ่อ ผมจะไปนอนแล้ว”

    “ฉันจะบอกอะไรให้นะรูฟัส” เพรสสิเดนท์ชินระเมินเฉยความพยายามที่จะหลบหลีกของลูกชาย “ถ้าแกห่วงเรื่องนั้นนัก ฉันจะให้พวกเขาเพิ่มช่องทางหนีเผื่อมีการโจมตี ไม่ใช่สำหรับฉันหรอกนะ แต่ฉันจะทำให้แกตอนที่แกได้เป็นประธาน ทำให้ดูว่าแกทำงานหนักและพิสูจน์ว่าแกควรได้มัน แต่ไม่รับประกันนะ จำไว้ล่ะ”

    “พ่อครับ

    “ฮื้ม อย่างกับว่าฉันเคยต้องหนี

    “ผมขอโทษครับพ่อ”

    “ขอโทษเรื่องอะไร? นี่แกยอมรับเหรอว่าความคิดของแกมันผิด?”

    “มันอาจจะผิด”

    “ฮ่า! อย่างน้อยแกก็จริงใจในเรื่องนี้”

    ถึงจุดนี้ รูฟัสคิดถึงแต่เรื่องการออกจากห้อง

    “ฉันจะทำเครื่องหมายไว้ด้วย เพื่อให้คนที่อยากหนีหามันเจอง่ายๆ เครื่องหมายก็คือแอล เข้าใจไหม? แอล มาจาก ขี้แพ้

     

    รูฟัสหวังว่าจะย้อนกลับไปจับมือกับตัวเองในวัยห้าขวบ

     

    ดูเหมือนว่าเขาจะไถลลงมาในทางลาดเป็นชาติแล้ว มันต้องลงไปยังชั้นล่างสุดแน่ๆ รูฟัสมีเวลาสะท้อนภาพในชีวิตของตัวเองมากมาย เหตุการณ์เล็กๆ ที่เขาหลงลืมไปแล้วหวนย้อนกลับมา และเมื่อเขาตระหนักได้ว่าพ่อมีส่วนสำคัญในเรื่องราวส่วนใหญ่ มันก็ทำให้เขาเข้าใจว่าตัวเองมองหาการยอมรับจากพ่อมาโดยตลอด พยายามอย่างหนักที่จะทำตัวให้เหนือกว่าตาแก่ แต่เขาทำมันผิดพลาดไปหมด ด้วยการทำตัวเป็นปรปักษ์และไม่ซื่อสัตย์ซึ่งทำให้เขาได้รับความโกรธจากพ่อมากกว่าความนับถือ

    เรื่องราวไม่สร้างสรรค์เหล่านั้นเข้าจู่โจมเขาเหมือนกับเรื่องตลก เขาอยู่นี่ เป็นชายที่เติบใหญ่ซึ่งกำลังไถลลงไปในความมืดมิด ครุ่นคิดถึงเรื่องราวสมัยเด็กและการไม่ได้รับการยอมรับจากพ่อ

     

    ในที่สุด ทางลาดก็สิ้นสุดลง รูฟัสถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วเต็มกำลังเข้าไปยังห้องเล็กสีขาว สว่างจ้า เขาคำรามออกมาเมื่อร่างกระแทกเข้ากับผนังฝั่งตรงกันข้าม

    “โอ๊ย!

    เสียงร้องน่าสมเพชดังมาจากตัวเขาอย่างนั้นหรือ? งี่เง่าชะมัด รู้สึกเหมือนซี่โครงบางซี่จะหัก แต่เขาก็ยังไม่หยุดหัวเราะเยาะตัวเอง พลิกคว่ำอยู่ในกองผนังเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกทิ้ง ในที่สุด อาการที่ใกล้เคียงจะทำให้เขาเป็นคนบ้าก็หายไป ความเจ็บปวดของกระดูกที่หักบีบให้เขากลับมาสู่ปัจจุบัน

    เขายังนอนอยู่บนพื้น กระเสือกกระสนอยู่ในตำแหน่งที่จะเจ็บปวดน้อยที่สุดและกวาดตามองรอบห้องเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ห้องนี้มีขนาดประมาณสิบหกตารางฟุต ใกล้กับทางลาดที่เขาออกมา มีเตียงเรียบๆ คลุมทับด้วยผ้าลินินสะอาด กระนั้นก็มีชั้นฝุ่นบางๆ ปกคลุมอยู่ ผนังทั้งหมดจนถึงทางขวาถูกบดบังด้วยตู้เสื้อผ้า ส่วนทางซ้ายมีประตูเหล็ก

    รูฟัสพยายามฝืนความเจ็บปวดเมื่อลากตัวเองไปที่ประตูและตรวจสอบมันจากจุดที่เขาพังพาบอยู่บนพื้น เขาเห็นลูกบิดหรือด้ามจับอะไรสักอย่าง ทว่ามีแผงเล็กๆ ซึ่งคงจะมีไว้สำหรับควบคุมประตู บางทีอาจต้องใช้รหัส แต่เขาไม่รู้เลยว่ามันจะเป็นอะไรได้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีรหัสทั้งหมดกี่ตัว และตอนนี้เขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะหาคำตอบ เขาจึงเลิกสนใจประตูและไปยังตู้เสื้อผ้าฝั่งตรงกันข้ามแทน เขาผลักตัวเองข้ามห้องไปด้วยขา โดยใช้แผ่นหลังยันตัวเองไว้ เขาดีใจที่ไม่มีใครอยู่รอบๆ และมองเห็นมัน

    อย่างน้อยตู้เสื้อผ้าก็เปิดได้ง่าย มันเต็มไปด้วยกล่องประทับโลโก้ชินระที่ถูกห่อหุ้ม เขาหยิบมากล่องหนึ่งจากลิ้นชักล่างสุด เมื่อเขาไม่สามารถเอื้อมไปได้สูงกว่านี้ และพบว่ามันถูกประทับ แด่: แอล

    รูฟัสพ่นลมหายใจ เป็นอีกครั้งที่เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจควบคุม แต่ความเจ็บปวดที่เสียดแทงจากซี่โครงได้หยุดมันไว้ทันทีที่มาถึง

    เขาเปิดกล่องออก ข้างในมีโพชั่น ขวดหลากหลายชนิดและบรรจุภัณฑ์ที่เต็มไปด้วยยาสามัญ โพชั่นมหัศจรรย์จะเสื่อมและเปลี่ยนเป็นยาพิษได้เมื่อทิ้งไว้นานๆ เขาจึงวางมันไว้ด้านข้าง กินยาแก้ปวดสังเคราะห์และรอคอยให้มันออกฤทธิ์ เมื่อเขาทิ้งตัวอยู่ที่นั่น เขาก็มองดูเพดาน มันครอบคลุมด้วยตัวอักษรแอลขนาดใหญ่ยักษ์

    “เลิกทำให้ฉันขำได้แล้วน่า ตาแก่”

     

    เขาซัดยาแก้ปวดไปมากกว่าที่ควร ชั่วโมงต่อมาเขาก็จมอยู่ในความพร่าเลือน พลังของยาสมัยใหม่ทำให้การอยู่ในหลุมหลบภัยนั้นสะดวกสบาย แต่มันไม่ได้กำจัดความคับข้องใจของการไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินไป ในเวลาแบบนี้ เขาควรต้องออกไปอยู่ข้างนอกนั่น จัดการเรื่องการตอบโต้ ใช้ความเป็นผู้นำ

    ในที่สุด เขาก็หยัดยืนขึ้น พิงผนังข้างแผงควบคุม และพยายามลองรหัสหลายๆ อย่าง ไม่ดีเลย สมาธิของเขาเลือนราง เขาไม่มีกำลังพอที่จะจดจ่อกับปัญหา เขารู้ว่ามันเป็นความผิดของยา แต่เขาก็ยังตะกละตะกลามอยู่ดี

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×