[Fic] Baramos ตอน ของขวัญ จาก ซานตาคลอส - [Fic] Baramos ตอน ของขวัญ จาก ซานตาคลอส นิยาย [Fic] Baramos ตอน ของขวัญ จาก ซานตาคลอส : Dek-D.com - Writer

    [Fic] Baramos ตอน ของขวัญ จาก ซานตาคลอส

    คุณเชื่อเรื่องซานตาคลอสหรือเปล่า? เชื่อไม่เชื่อยังไงก็ลองอ่าน Fic เรื่องนี้ดูแล้วกันค่ะ

    ผู้เข้าชมรวม

    697

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    697

    ความคิดเห็น


    15

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  29 มี.ค. 49 / 12:45 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2024
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      ซานตาคลอส ชายแก่อ้วนใจดี อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นพาหนะ มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนบนโลกนี้ ในโอกาสวันคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้าน เพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กๆเหล่านั้น

      แล้วซานตาคลอสจะมีอยู่จริงแน่หรือ แล้วคุณล่ะเชื่อในซานตาคลอสไหม ?

       

       

      ณ โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยหิมะและเสียงพูดคุยจากเหล่านักเรียนที่ช่วยกันประดับตกแต่งป้อมของตนไม่ให้น้อยหน้าป้อมอื่นๆ ทำไมน่ะหรือ? ก็เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันคริสต์มาสแล้วน่ะสิ ทางโรงเรียนจึงได้จัดให้มีการเตรียมการต้อนรับวันงานที่จะมาถึงเพื่อการสังสรรค์ค์ของเหล่านักเรียนโดยเฉพาะ


       

      "เฮ้ ! ไอ้คิล ถ้าว่างมากก็มาช่วยกันหน่อยสิวะ" เสียงหวานดังขึ้นด้วยความหงุดหงิดที่เห็นเพื่อนสนิทเดินฮัมเพลงหงุงหงิง ในขณะที่ตัวเองยุ่งจนมือเป็นระวิง


       

      "เรื่องสิ ! เมื่อวานใครอยากแอบไปอู้จนต้องโดนทำงานเพิ่มกันล่ะ" คนโดนเรียกเหน็บใส่พร้อมหัวเราะอย่างชอบใจ


       

      คนโดนเหน็บแยกเขี้ยวใส่อย่างจนด้วยคำพูด เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่เขาแอบไปอู้จนต้องทำงานเพิ่มเป็นสองเท่า


       

      "แว้ก !" เสียงร้องดังขึ้นเรียกความสนใจจากคิลได้ชะงัด แต่เมื่อหันมามองก็ต้องลงไปขำกลิ้งกับพื้น เพราะสภาพเจ้าคนซุ่มซ่ามที่ดันสะดุดขาตัวเองล้มจนมีสภาพเหมือนต้นคริสต์มาสที่มีสายไฟ

       

       

      และสายรุ้งหลากสีสันพันรอบตัวอย่างไม่เป็นระเบียบจนดูยุ่งเหยิง แถมสายรุ้งพวกนั้นยังพันเข้ากับเส้นผมจนกระเซอะกระเซิงเหมือนโดนไฟฟ้าช๊อตอีกด้วย ซึ่งภาพนี้มันน่าขำน้อยเสียที่ไหน


       

      "จะหัวเราะอีกนานไหม มาช่วยกันหน่อยสิ หรือว่าอยากตายก่อนแล้วค่อยมาช่วย ฮึ?" เจ้าคนซุ่มซ่ามขู่ขึ้นโดยหวังให้ไอ้เพื่อนไม่รักดีรีบมาช่วยกันไวๆ แต่ผลกลับไม่ตรงกับที่หวังไว้ซะนี่


       

      "สภาพแบบนั้นจะทำอะไรฉันได้ ทางที่ดีนายไปเป็นต้นคริสต์มาสประดับป้อมจะดีกว่านะ" คนถูกขู่ว่าเสร็จก็ลงไปกลิ้งอีกรอบอย่างเมามันส์ โดยไม่สนใจสายตาอาฆาตที่ถูกส่งมาจากว่าที่ต้นคริสต์มาสประดับป้อมเลย


       

      หลังจากลงไปกลิ้งกับพื้นอยู่นาน เจ้าคนเส้นตื้นก็ควบคุมอารมณ์ได้สำเร็จ และลุกขึ้นมาปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าของตนเอง แต่พอหันไปมองหน้าว่าที่ต้นคริสต์มาสประดับป้อมก็แทบจะลงไปกลิ้งอีกรอบ เพราะหน้ามันช่างเหมือนกับหน้านักบวชหน้าบูดประจำป้อมไม่มีผิด ผิดกันก็แต่สีแดงและสีดำที่บอกถึงอารมณ์ที่เดือดสุดๆของเจ้าของแล้วเท่านั้น


       

      นักฆ่าเส้นตื้นพยายามควบคุมต่อมฮาของตนเอง แต่มันช่างยากเย็นเหลือเกินในความคิดของเขา และเดินไปช่วยหัวขโมยหน้าบูดเอาสายไฟและสายรุ้งที่พันกันยุ่งเหยิงออกจากตัว เพราะยังไม่อยากโดนผ่าปฐพีเฉาะหัวตอนมันหลุดออกมาได้สำเร็จ


       

      "นายนี่ซุ่มซ่ามอย่างนี้เป็นขโมยได้ไงเนี่ย ตอนไปยกเค้าบ้านคนอื่นไม่สะดุดหกล้มจนติดคุกหัวโตรึไง"นักฆ่าเส้นตื้นยังไม่วายเหน็บเข้าอีกรอบ ขณะช่วยแกะสายรุ้งที่พันเข้ากับเส้นผมออกให้


       

      "ทีนายล่ะ เส้นตื้นอย่างนี้ถ้ามีคนจ้างนายไปฆ่าตัวตลก นายไม่หัวเราะจนขาดใจตายไปก่อนรึไง" คนถูกหาว่าซุ่มซ่ามหันมาย้อนกลับเข้าให้


       

      "เอาเถอะๆ นายรีบทำงานให้เสร็จก่อนดีกว่า เดี๋ยวอดกินข้าวเย็นไม่รู้ด้วยนะ" เมื่อเห็นว่าเถียงไม่ขึ้นนักฆ่าเส้นตื้นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที แต่หารู้ไม่ว่าไอ้คำว่า ข้าวเย็น ที่ตัวเองพูดออกไปส่งๆนั้นไปสะดุดหูคนข้างๆเข้าอย่างจัง



      "
      โถ่ ! นายก็ไม่รีบบอกดูสิเสียเวลามามากขนาดนี้แล้วมีหวังทำไม่เสร็จอดกินข้าวพอดี ไอ้คิลแกเป็นคนทำให้ฉันเสียเวลา เพราะฉะนั้นแกมาช่วยฉันซะดีๆ" คนพูดไม่ว่าเปล่ายังฉุดกระชากลากถูอีกฝ่ายให้ตามมาช่วยงานอีกต่างหาก โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านจากผู้ถูก ฉุด เลย



      เวลาผ่านไปจนได้เวลาพักกินข้าวเย็นที่ทุกคนรอคอย เสียงเซ็งแซ่เริ่มดังขึ้นภายในโรงอาหารดราก้อนอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด



      ทางด้านนักฆ่าถูกฉุดและหัวขโมยจอมฉุดก็ได้ฤกษ์กินข้าวเย็นเช่นกัน หลังจากที่ต้องตรากตรำทำงานกันอย่างหนัก(
      ?) ก็ได้เดินเข้ามาหาข้าวเย็นในโรงอาหารดราก้อน ซึ่งวันนี้เขาต้องกินกับเฟรินสองคนเนื่องจากคาโลไม่จัดอยู่ในพวกใช้แรงงานจึงกินข้าวก่อนพวกเขาแล้วไปทำงานเรียบร้อยแล้ว


       

      คิลที่วันนี้กินมากกว่าวันปกติถึงสองเท่าเนื่องจากเป็นวันใช้แรงงาน คิดอย่างหงุดหงิดอยู่ในใจ ทั้งๆที่วันนี้เขาควรจะได้เลิกงานก่อนหน้านี้ถึงสองชั่วโมงแล้วไปเดินเล่นอย่างสบายใจเฉิบ กลับดวงซวยเดินมาเจอหัวขโมยจอมซุ่มซ่ามมาอ้างเรื่องที่เขาทำให้เสียเวลาฉุดกระชากไปช่วยงาน


       

      เมื่อคิลกินอิ่มจนพอใจก็มองจานที่มากกว่าปกติของตนเอง แต่แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้าสู่สมอง ถ้าเขากินข้าวมากกว่าเดิมสองเท่าแล้วคนข้างๆเขาที่กินมากกว่าเดิมสองเท่าจะ...


       

      เร็วเท่าความคิด คิลหันไปหาคนข้างตัวหวังพิสูจน์ความคิดของตัวเอง แล้วเขาก็ต้องค้างไปสามวิเต็มๆ เพราะถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าเฟรินที่กินข้าวมากอยู่แล้วจะกินได้มากกว่าเดิมมากนัก แต่ผลกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะจานที่ตั้งกั้นระหว่างเขากับเฟรินนั้นมากกว่าเดิมอยู่ สอง เท่า !! และถ้าเขานับไม่ผิดจานที่เฟรินกินนั้นรู้สึกจะเป็นจานที่เจ็ด แถมไม่มีทีท่าว่าจะอิ่มง่ายๆเสียด้วยสิ จนเขาเกิดสงสัยขึ้นมาว่ากระเพาะของเฟรินนั้นทำด้วยอะไร ทำไมถึงสามารถจุได้มากขนาดนั้น


       

      หลังจากช่วงเวลาข้าวเย็นอันแสนสุขของชาวป้อมอัศวินผ่านไป ซึ่งผลสรุปออกมาว่าเย็นนั้นเฟรินฟาดเรียบไปถึง แปด จาน !! เป็นที่พออกพอใจของเหล่าแม่ค้า พ่อค้าเป็นอันมาก จนโรงอาหารดราก้อนต้องมีบันทึกสถิติไว้เป็นประวัติการณ์


       

      ชาวป้อมอัศวินทุกคนต่างพากันลากสังขารตนเองกลับห้องหวังพักผ่อนให้เต็มที่ด้วยความผาสุข เนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเตรียมงาน และพรุ่งนี้คือวันงานคริสต์มาสที่แท้จริง !!


       

      รุ่งเช้าทุกคนต่างตื่นขึ้นมารับอากาศยามเช้าวันคริสต์มาสด้วยความตื่นเต้น เพราะงานนี้เป็นงานที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้ง และทางโรงเรียนได้ทำการยกเลิกข้อห้ามทุกข้อเป็นกรณีพิเศษเฉพาะวันคริสต์มาส



      "
      นี่คิล คาโล นายเชื่อเรื่องซานตาคลอสรึเปล่าอ่ะ" เสียงหวานถามขึ้นขณะลงมือกินข้าวเช้าอย่างเมามันส์


       

      "สำหรับฉัน เพราะไม่เคยเห็นตัวจริงเลยไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ แต่ถ้ามีจริงคงสนุกพิลึก" คิลพูดขึ้นพร้อมกับประกายแวววาวในดวงตา

       

       

      "ฉันก็เหมือนกัน" คาโลนั้นตอบแบบขอไปที เพราะตัวเขานั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก


       

      "แต่ฉันว่าเรื่องนี้น่าสนใจนะ มีแต่เรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันไม่เคยลอง"


       

      "ถ้านายอยากรู้ก็แค่ลองดู" คาโลตอบเรียบๆแต่หยุดหัวข้อซานตาคลอสได้ชะงัด


       

      ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไรต่อ เสียงระฆังบอกเริ่มงานก็ดังขึ้นเรียกความสนใจจากบุคคลทั้งสาม


       

      "เฮ้ย ! เริ่มงานแล้วหรอวะ ทำไมพวกแกไม่เตือนเลยวะเนี่ย" เฟรินพูดขึ้นพร้อมจูงมือเพื่อนอีกสองคนออกจากโรงอาหารเพื่อไปร่วมงาน โดยไม่ลืมที่จะเก็บถาดให้เรียบร้อย ! แต่หารู้ไม่ว่ามีสายตาสองคู่มองมาจากข้างหลังเป็นเชิงว่า 'เพราะแกนั่นแหละชวนคุยจนลืมเวลา'


       

      งานช่วงเช้านั้นเป็นการเล่นตามซุ้มต่างๆที่แต่ละหอจัดขึ้นโดยมีรุ่นพี่ปีหกและปีเจ็ดเป็นแม่งาน จึงถือเป็นโชคดีของเหล่ารุ่นน้องทั้งหลายที่สามารถเดินเล่นในงานได้อย่างสบายใจ


       

      พอตกเย็นจะเป็นการประกวดความสวยงามในการตกแต่งของแต่ละป้อม และเป็นที่แน่นอนว่าที่หนึ่งนั้นไม่คลาดแคล้วจากปราสาทขุนนาง ต่อจากนั้นจะเป็นโชว์การแต่งคอสเพล์วันคริสต์มาสและการร้องเพลงประสานเสียงของเหล่ารุ่นพี่ปีเจ็ด ! ซึ่งคาดว่าคงอยากให้รุ่นน้องได้ฟังเสียงเพลงอันแสนไพเราะ(น่าอนาจ)ก่อนจะจบไปเป็นแน่แท้(ความจริงโดนบังคับ)


       

      และงานที่หลายๆคนรอคอย(หรือเหล่าทโมนป้อมอัศวินเป็นส่วนใหญ่)นั่นก็คือ งานเลี้ยงฉลองส่งท้ายวันคริสต์มาส ซึ่งไม่มีกฎข้อห้ามของโรงเรียนมาเป็นก้างขวางคอ งานนี้จึงดูมีสีสันมากขึ้นเป็นกอง แต่ไม่ใช่สำหรับเฟริน เพราะเมื่อเช้าเจ้าตัวดันไปเล่นซุกซนแถวซุ้มของเหล่าปราสาทขุนนางจนทำพังไปหลายซุ้ม เดือดร้อนถึงคลังป้อมอัศวินที่ตอนนี้ติดตัวแดงไปแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวจึงโดนกักบริเวณได้แต่นั่งดื่มกาแฟฟังเทศน์จากเหล่านางฟ้าประจำป้อมอัศวินจนหูชา



      ครั้นได้ฤกษ์จึงเดินกลับห้องเพราะงานเลี้ยงนั้นเลิกไปแล้ว ก็กลับมาเจอเจ้าเพื่อนสองตัวที่นอนหลับหมดสภาพอยู่บนเตียง ซึ่งสร้างความหงุดหงิดใจให้ไม่น้อย เพราะดูจากสภาพแล้วงานเลี้ยงนี้คงมันส์น่าดู แต่ก็หยุดคิดเพียงแค่นั้น เนื่องจากยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์เสีย จึงล้มตัวลงนอนบนเตียงโดยไม่ลืมแขวนถุงเท้าไว้บนหัวเตียงด้วย(กรุณานึกถึงถุงเท้าวันคริสต์มาสนะคะ
      = __ = )


       

      หลังจากที่ดิ้นไปมาบนเตียงอยู่พักใหญ่ เจ้าตัวก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าทำไมถึงนอนไม่หลับทั้งๆที่ปกติเขาเป็นคนหัวถึงหมอนปุ๊บก็หลับปั๊บแท้ๆ ทันใดนั้นก็นึกไปถึงตอนที่โดนกักบริเวณเพื่อฟังเทศน์ ซึ่งเจ้าตัวไม่มีอะไรทำจึงได้แต่นั่งดื่มกาแฟ ซึ่งพอมาคิดดูแล้วกาแฟที่เขาดื่มไปเป็นเวลาสองชั่วโมงนั่นมันน้อยเสียที่ไหน


       

      เฟรินจึงตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอก และในระหว่างที่กำลังนับหิมะที่หล่นลงมาจากฟ้าแทนแกะกระโดดอยู่นั้น


       

      "ตุ๊บ !"


       

      "นั่นใคร !"


       

      เมื่อไม่มีเสียงตอบรับเฟรินจึงเดินไปดูยังแหล่งกำเนิดเสียงอย่างระแวดระวัง และเมื่อแหวกพุ่มไม้ที่บังอยู่ออก เจ้าตัวก็ต้องตกใจ เพราะสิ่งที่เห็นนั้นคือ ชายแก่อ้วน หนวดยาว ใส่ชุดสีแดง ซึ่งไม่คุ้นหน้าเอาซะเลย เจ้าตัวจึงทึกทักเอาเองว่าเป็นขโมย ครั้นจะส่งให้รุ่นพี่โรเวนก็ใช่ที่เพราะไหนๆก็ทำอาชีพเดียวกัน จึงลากให้เข้ามานอนสลบในห้องนั่งเล่นของป้อมอัศวินแทน


       

      เมื่อเวลาผ่านไปได้ซักพักชายแก่คนนั้นก็ตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงร้องโอดโอยจากความเจ็บปวด เฟรินจึงเข้ามาดูอาการให้


       

      "ลุงก็น้า~ แก่ปูนนี้แล้วยังริอ่านจะเป็นขโมยแถมอุ้ยอ้ายอย่างนี้เป็นไม่รอดหรอกลุง"



      คนถูกหาว่าเป็นขโมยถึงกับมองตาค้าง เฟรินเห็นดังนั้นจึงนึกว่ากลัวจะถูกส่งเข้าตารางจึงพูดเสริมให้


       

      "ไม่ต้องห่วงหรอกลุง ยังไงก็พวกเดียวกันผมไม่ส่งลุงเข้าตารางหรอก"


       

      จบประโยคคนเกือบเข้าตารางก็ถึงกับงงเป็นลุงตาแตก ก็คำพูดที่เฟรินใช้กับรูปร่างหน้าตา มันเข้ากันเสียที่ไหน


       

      "อะไรกัน ลุงสงสัยหรอว่าทำไมผมพูดแบบผู้ชาย ก็แบบว่า..เรื่องมันยาวน่ะ ไว้ทีหลังละกัน" เฟรินพูดกลั้วหัวเราะ


       

      "ว่าแต่ลุงชื่ออะไร มาจากไหนล่ะ ผมชื่อ เฟริน เดอร์เบอโร เดอะทีฟ ออฟบารามอส"


       

      "ลุงชื่อ ซานตาคลอส เดอะซานตาคลอส ออฟนอร์ทโพว


       

      "อ้อ ! ซานตาคลอส อยู่ขั้วโลกเหนือด้วยหรอลุง ฮ่าๆๆ" ซักพักเฟรินเหมือนฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด


       

      "หา ! ลุงจะบอกว่าลุงเป็นซานตาคลอสหรอ !"


       

      "หนูนี่ความรู้สึกช้าจังนะ" คนบอกว่าตนเป็นซานตาคลอสหัวเราะอย่างร่าเริง


       

      "นี่ลุง ไอ้เรื่องแบบนี้มันเชื่อกันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ มันต้องพิสูจน์"


       

      คนเป็นลุงเงียบลงเหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงพูดออกมาว่า


       

      "เอางี้ ลุงจะพาหนูไปเที่ยวที่บ้านของลุงก็แล้วกัน"

       

       

      "ที่ขั้วโลกเหนือเนี่ยนะ !"


       

      คนเสนอเที่ยวบ้านพยักหน้าอย่างต้องการยืนยันคำตอบ ทำให้เฟรินรู้สึกระอากับความดื้อด้านจะเป็นซานตาคลอสให้ได้ของลุงคนนี้ขึ้นมาทันที


       

      "ก็ได้ แล้วลุงจะพาไปยังไงล่ะ ต้องกลับมาก่อนรุ่งเช้าด้วยนะ"


       

      "งั้นตามมานี่สิ" คนเสนอเที่ยวบ้านพูดขึ้นพร้อมเดินออกไปนอกป้อมแล้วผิวปาก


       

      ซักพักก็มีเสียงกระดิ่งดังแว่วมา เฟรินจึงรีบหันไปทางต้นเสียงทันที แล้วก็ต้องช็อคกับภาพที่เห็น


       

      รถเลื่อนคนใหญ่ที่มีถุงขนาดใหญ่วางอยู่ด้านหลัง และมีกวางเรนเดียร์ลาก ซึ่งแน่นอนว่ามัน ลอยได้ !! ลงมาหยุดอยู่หน้าพวกเขาทั้งสอง


       

      "เอ้า ! ขึ้นมาสิ มัวยืนเหม่ออะไรอยู่ได้" ในระหว่างที่เฟรินกำลังช็อคค้างกับภาพที่เห็นอยู่นั้น ชายแก่ก็ขึ้นไปนั่งบนรถเลื่อนเรียบร้อยแล้ว


       

      เฟรินจึงเดินตามขึ้นไปโดยยังช็อคกับภาพที่เห็นไม่หาย ซักพักรถเลื่อนคันใหญ่ก็เคลื่อนออกจากที่และค่อยๆลอยขึ้น จนมาหยุดอยู่ ณ จุดหนึ่งบนท้องฟ้ายามราตรี ต่อจากนั้นไม่นานรถเลื่อนก็เคลื่อนที่ต่อด้วยความเร็ว เฟรินที่ตอนนี้หายช็อคแล้วจากแรงกระตุกของรถเลื่อนเมื่อครู่นี้มองออกไปนอกรถแล้วก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องล่าง


       

      แสงจากหลอดไฟคริสต์มาสที่ประดับตามต้นไม้และบ้านเรือนต่างๆส่องกระทบกับสายรุ้งหลากสีสันที่ประดับคู่กัน ทำให้ดูส่องประกายแวววาวราวดวงดาวที่เปล่งประกายยามค่ำคืน และแสงที่เปรียบดังพระจันทร์ดวงที่สองที่อยู่บนต้นคริสต์มาสยักษ์ใจกลางเมืองเอดินเบิกร์กำลังส่องสว่างสุกใสเหมือนเป็นแสงแห่งความหวังของทุกชีวิต


       

      "สวยใช่ไหมล่ะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกให้เฟรินหลุดจากมนต์เสน่ห์ของภาพเบื้องล่าง



      "
      อ..อืม"



      ความเงียบเริ่มโรยตัวลงมาอีกครั้งก่อนที่เสียงของเฟรินจะทำให้มันหายไป


       

      "เอ่อ..นี่ลุงเป็นคนแก่จริงรึเปล่า?"


       

      "ทำไมล่ะ?"คนถูกถามชะงักไปนิดก่อนถามกลับ


       

      "ก็เสียงของลุงมันเหมือนดัดเสียงเอาอ่ะ"เฟรินตอบอย่างลังเลในสิ่งที่ตนพูดไป


       

      "ฮ่าๆๆ เธอนี่ถูกใจฉันจังเลย รู้ได้ยังไงล่ะ" ชายแก่พูดขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้เฟรินยิ้มกว้างคือ เสียงที่เปลี่ยนไป มันไม่ใช่เสียงของชายแก่คนเดิมที่เขารู้จัก แต่มันเป็นเสียงของ...เด็ก !!


       

      "โถ่ ! พ่อฉันเป็นนักต้มนะ เรื่องแค่นี้ทำไมฉันจะไม่รู้" เฟรินพูดอย่างวางภูมิ ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังไม่มั่นใจเลยแท้ๆ


       

      "ใช่ !ฉันดัดเสียงเอา แล้วนี่ก็ไม่ใช่ตัวตนจริงๆของฉัน" ชายแก่พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมดึงหนวดปลอม วิกผม และหมวกที่ปิดใบหน้าออก เผยให้เห็นเส้นผมสีน้ำเงินและนัยน์ตาสีน้ำทะเลที่กำลังแวววาวบอกถึงความสนุกของผู้เป็นเจ้าของ


       

      "แล้วนั่น" เฟรินชี้ไปที่พุงโตๆของอีกฝ่ายราวต้องการถามว่า 'นั่นเป็นของจริงรึเปล่า?'



      "
      อ๋อ ! ของปลอมน่ะ" ชายหนุ่มพูดขึ้นพร้อมเปิดเสื้อออก ทันใดนั้นหมอนใบหนึ่งก็ร่วงออกมาจากเสื้อ


       

      "เฮ้อ~ วันนี้มีเรื่องให้ตกใจเยอะดีแท้" เฟรินพูดอย่างเหนื่อยใจ เรียกเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายได้ทันที


       

      "ว่าแต่ซานตาคลอสเป็นชื่อจริงของนายรึเปล่า?" เฟรินถามขึ้นอย่างสนใจ เพราะเขาคงรู้สึกทะแม่งๆถ้าจะให้เรียกอีกฝ่ายว่าซานตาคลอส


       

      "เปล่าหรอก นั่นเป็นแค่ฉายา" พอพูดจบก็เว้นช่วงราวต้องการยั่วอีกฝ่ายให้โมโหเล่น และมันก็ได้ผลดีเสียด้วย



      "
      ที่จริงฉันชื่อ นาลิน วาเลอาร์ เดอะซานตาคลอส ออฟนอร์ทโพว"


       

      "แล้วทำไมนายต้องปลอมตัวด้วยล่ะ" เฟรินถามขึ้นอีกครั้ง ราวเด็กที่ไม่หมดข้อสงสัยง่ายๆ


       

      "ก็มันช่วยไม่ได้นี่ พวกนายรู้จักซานตาคลอสแบบอื่นนอกจากชายแก่อ้วนๆไหมล่ะ" นาลินพูดไปหัวเราะไป


       

      "มันก็จริงของนายแฮะ" เมื่อพูดจบเฟรินก็ร่วมหัวเราะไปด้วย


       

      ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างถูกคอจนกระทั่งรถเลื่อนหยุดลง



      "
      ถึงแล้วหรอ ทำไมฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรเลย" เฟรินถามไปสั่นไป เพราะรอบๆจุดที่พวกเขายืนอยู่มีแต่หิมะและน้ำแข็งเท่านั้น


       

      นาลินไม่พูดอะไร แต่เดินเข้าไปในถ้ำที่อยู่ใกล้ๆแล้วพึมพำอะไรบางอย่าง ซักพักก็มีประตูโผล่ขึ้นมาภายในถ้ำนั้น นาลินจึงส่งสัญญาณให้เฟรินเดินตามมา


       

      ทั้งสองคนเดินผ่านประตูเข้าไปแล้วออกมาโผล่อีกที่หนึ่ง ที่นี่ยังคงมีน้ำแข็งเกาะและหิมะตกอยู่เหมือนเดิม ผิดกันก็ตรงที่หนาวน้อยกว่าเท่านั้น แต่ที่หน้าตกใจก็คือ บ้านหลายหลังที่ดูแล้วคงจะเป็นหมู่บ้านถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟและสายรุ้งหลากสี รอบๆถูกลายล้อมไว้ด้วยต้นคริสต์มาสที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงาม และเหล่าผู้คนที่แต่งตัวในชุด ซานตาคลอส ! และบางคนมี เอล์ฟ คอยเดินตาม !


       

      "เป็นไง? สำหรับเธออาจจะดูแปลกตาไปหน่อยแต่ที่นี่เป็นที่ๆดีมากเลยนะ" นาลินพูดขึ้นเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป


       

      "นี่ๆนาลิน นายพาฉันชมหมู่บ้านนายหน่อยสิ" เฟรินพูดขึ้นเหมือนเด็กอยากรู้อยากเห็น เรียกเสียงหัวเราะจากคนข้างๆได้ทันที


       

      นาลินพาเฟรินเดินชมรอบๆหมู่บ้าน ระหว่างทางมีคนมากหน้าหลายตามาทัก ถึงจะไม่รู้จักบุคคลพวกนั้นแต่เฟรินสามารถรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความเป็นมิตรที่พวกเขาเหล่านั้นมอบให้


       

      "ที่นี่จะประดับตกแต่งเหมือนช่วงเทศกาลคริสต์มาสตลอดปี และมีโรงงานที่จะเปิดหนึ่งปีต่อหนึ่งครั้งและแน่นอนว่าจะต้องเป็นช่วงเทศกาลคริสต์มาส โรงงานนี้มีหน้าที่ผลิตของที่พวกเด็กๆอยากได้โดยมีพวกเอล์ฟคอยทำงาน ส่วนซานตาคลอสก็ไปส่งของขวัญยังไงล่ะ" นาลินยังคงทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวต่อไป


       

      "ถ้าซานตาคลอสมีหน้าที่ไปส่งของขวัญ แล้วทำไมตอนนั้นนายถึงตกลงมาในป้อมอัศวินล่ะไม่ต้องไปส่งของขวัญรึไง?"


       

      "ก็แบบว่า..ฉันเป็นแค่ซานตาคลอสฝึกหัดทำให้ควบคุมรถเลื่อนได้ไม่ดีพอ เจ้าเรนเดียร์นำขบวนมันก็เลยพยศสะบัดฉันตกแอ๊ก!ลงมาในป้อมอัศวินนั่นแหละ ส่วนเรื่องของขวัญซานตาคลอสคนอื่นเอาไปส่งให้แทนแล้วล่ะ"


       

      คำพูดนั้นทำให้เฟรินหน้าซีดทันที เพราะมันทำให้เขาได้รู้ว่าเขาเพิ่งจะหวิดตายจากโชเฟอร์มือสมัครเล่นมาหมาดๆ


       

      "จะว่าไปเธอยังไม่ได้ไปที่บ้านฉันเลยนี่ เธออยากไปไหมล่ะ?" นาลินเอากำปั้นทุบมือตัวเองอย่างคนพึ่งนึกออก


       

      "ก็นายบอกจะพามาเที่ยวบ้านนายไม่ใช่รึไง แล้วต้องรออะไรอีกล่ะไปกันเลย !"


       

      นาลินพาเฟรินเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง ภายในบ้านประดับประดาเหมือนบ้านทั่วๆไปที่จัดงานวันคริสต์มาส แต่ในบ้านนั้นไม่มีใครอื่นเลย


       

      "นี่นายอยู่คนเดียวหรอ?" เฟรินถามอย่างเห็นใจ เพราะมันคงไม่สนุกนักที่จะต้องอยู่ในบ้านตัวคนเดียว



      นาลินมองเฟรินที่ทำหน้าเศร้าๆอย่างขำๆ ก่อนเฉลยคำตอบให้


       

      "เปล่าหรอก ตอนนี้พ่อกับแม่ฉันคงออกไปส่งของขวัญเหมือนทุกๆปี ส่วนน้องก็คงออกไปเล่นกับเด็กแถวๆนี้แหละ"


       

      "โธ่ ! แล้วก็มาหลอกให้ฉันหลุด นายนี่มัน..จริงๆเลย" เฟรินพูดอย่างหมั่นไส้ เพราะตอนนี้เขารู้สึกคันเท้ายิบๆแล้ว


       

      "ฉันยังไม่ได้หลอกอะไรเลยนะ เธอนั่นแหละที่ทึกทักเอาเอง"


       

      ทันใดนั้นก็เกิดสงครามย่อยๆขึ้นภายในบ้านหลังนั้นผสมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาเป็นระยะๆ เรียกรอยยิ้มจากทุกคนที่ได้ยิน


       

      "ตึง! ตึง! ตึง!" เสียงนาฬิกาโบราณเรือนใหญ่ดังขึ้น เสมือนเป็นสัญญาณพักรบระหว่างบุคคลทั้งสอง



      "
      เฮ้ย ! เฟรินเธอต้องรีบกลับแล้ว เดี๋ยวฉันไปส่งเธอแล้วกลับมาไม่ทันก่อนรุ่งเช้าพอดี" นาลินพูดขึ้นพร้อมลากเฟรินออกจากหมู่บ้านตรงไปยังรถเลื่อนที่จอดอยู่ข้างนอก


       

      เมื่อเฟรินขึ้นมานั่งก็ต้องหน้าซีดเมื่อคิดถึงฝีมือในการขับรถเลื่อนของโชเฟอร์มือสมัครเล่นคนนี้ โดยได้แต่หวังว่าคราวนี้เขาคงจะกลับถึงป้อมอย่างปลอดภัย



      รถเลื่อนค่อยๆลอยขึ้นช้าๆและออกตัวอย่างรวดเร็วจนเฟรินแทบผงะตกจากรถ แล้วเขาก็นึกอะไรขึ้นได้บางอย่าง



      "
      นี่นาลิน ขามาเราใช้เวลาเท่าไหร่?"


       

      "หือ? ก็ประมาณครึ่งชั่วโมงอ่ะ " นาลินตอบอย่างสบายๆแต่หารู้ไม่ว่าไอ้คนถามเมื่อกี้มันช็อคไปเรียบร้อยแล้ว


       

      "เฮ้ย ! มีอย่างที่ไหนมาถึงขั้วโลกเหนือภายในเวลาครึ่งชั่วโมง นายนับมั่วรึเปล่า?" เฟรินพูดขึ้นเมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้อีกครั้ง


       

      "ไม่มั่วหรอก ก็รถเลื่อนของซานตาคลอสจะเปิดช่องว่างมิติโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่เสียเวลาในการเดินทางมาก แล้วก็ยังสามารถพลางตัวเองโดยคนอื่นไม่สามารถจับได้ได้ด้วยนะ" นาลินพูดไปหัวเราะไปกับท่าทางหลุดๆของเฟริน


       

      "โถ่ ! แล้วก็ไม่รีบบอก ปล่อยให้ฉันหลุดอยู่เรื่อย" เฟรินพูดไปพลางคิดในใจ 'ไอ้เรื่องเป็นโชเฟอร์มันล่ะไม่เอาไหน ทีเรื่องทำให้คนหลุดมันล่ะเซียนดีแท้ !' แต่แล้วก็ต้องหน้าซีดอีกครั้งเมื่อนึกถึงฝีมือการเป็นโชเฟอร์ของคนข้างๆ



      "
      ก็นายไม่ได้ถาม" นาลินพูดอย่างกวนพระบาทสุดๆ แล้วก็หัวเราะตบท้าย


       

      เฟรินได้แต่แยกเขี้ยวใส่ เพราะไม่กล้าวางมวยขณะลอยอยู่บนฟ้าเหนือก้อนเมฆแบบนี้


       

      การเดินทางกลับจึงมีแต่การทะเลาะกันด้วยฝีปาก แต่ทุกครั้งก็มักจะจบลงด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเสมอ จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นจบลง


       

      "ขอบคุณมากนาลิน วันนี้ฉันมีความสุขจริงๆ" เฟรินลงจากรถเลื่อนด้วยรอยยิ้มจริงใจเมื่อรถเลื่อนหยุดลง


       

      ใช่ ตอนนี้รถเลื่อนหยุดลงแล้ว หยุดลงตรงที่ที่พบกับนาลินครั้งแรก และตอนนี้มันกำลังจะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของการพบกัน และการ...ลาจาก



      "
      ฉันก็เหมือนกัน" นาลินรับรอยยิ้มนั้นไว้ด้วยความจริงใจ ขณะเตรียมออกรถเลื่อนอีกครั้ง


       

      "เดี๋ยวก่อน ! แล้วเราจะได้พบกันอีกไหม" เฟรินพูดอย่างอาลัยอาวรณ์ เพราะเขาพึ่งจะรู้จักกับนาลินได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องลาจากกันเสียแล้ว มันช่างกระทบกระเทือนจิตใจจริงๆ


       

      "ตราบใดที่เธอยังไม่เลิกเชื่อในซานตาคลอส ซักวันเราคงได้พบกันอีก" นาลินยิ้มให้เฟรินเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกรถแล้วหายวับไป ทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเฟรินเท่านั้น


       

      ไม่มีวันหรอกนาลิน คงไม่มีวันไหนที่ฉันจะเลิกเชื่อในซานตาคลอส ไม่มีวัน..นับแต่นี้...และ.......ตลอดไป !


       

      หลังจากที่นาลินจากไปแล้ว เฟรินก็เดินเข้าไปนอนในห้องหัวหน้าป้อมอัศวินอย่างเป็นสุข จนกระทั่งรุ่งเช้า


       

      "เฮ้ ! เฟรินตื่นๆ เช้าแล้วนะโว้ยยย !!" เสียงของคิลดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทพร้อมกับแรงเขย่าเรียกให้เฟรินลุกขึ้นมาจากที่นอนด้วยอาการงัวเงีย


       

      "อารายว้า~ อ้ายคิลลล~ คนจาหลับจานอนนนน~" เฟรินพูดอย่างคนพึ่งตื่นนอนพร้อมเอาม่านขี้ตาออก



      "
      เปล่าหรอก ชั้นแค่มาปลุกแกเพราะมันเช้าแล้วววว !" คิลตะโกนช่วงท้ายใส่หูหวังให้คนพึ่งตื่นนอนหายจากอาการงัวเงีย



      "
      เออๆ รู้แล้วไม่ต้องตะโกนก็ได้ ดูสิหูชาหมด" เฟรินพูดพลางเอามือแคะหูตนเองหลังจากโดนมลภาวะเสียงเข้าเล่นงาน


      "
      เฟรินแกลองดูถุงเท้าแกหน่อยดิ จะได้รู้กันซีกทีว่าซานตาคลอสมาให้ของขวัญแกรึเปล่า" คิลทำสีหน้าตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบังในขณะที่เฟรินเอื้อมมือไปเอาถุงเท้าแล้วเปิดออก ซึ่งแม้แต่อีกคนในห้องยังละจากหนังสือมามอง



      ไม่มี
      ! ข้างในถุงเท้านั้นว่างเปล่า


       

      "อะไรกัน ! ไม่มีอะไรเลยนี่ ผิดหวังชะมัด" คิลบ่นอุบเมื่อผลที่ปรากฏไม่ตรงกับที่หวังเอาไว้


       

      เฟรินนั่งมองถุงเท้าพลางคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน พลันรอยยิ้มก็ระบายขึ้นบนใบหน้า


       

      "ฉันคิดว่า..ฉันได้ของขวัญแล้วล่ะ"


       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×