คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ผู้เข้าสมัคร รอการตัตสิน(ไรต์จะรับทั้งหมด!!!)+รายละเอียดที่ไรต์เก็บไว้อ่าน
ชื่อ : เอร์ลิส คอร์เรย์
ชื่อเล่น : เอล
อายุ : 18 ปี
บทที่ต้องการ : คู่น็อคโตะ
อาชีพ : นักเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย
ความสามารถพิเศษ :
- ร้องเพลงเพราะมาก
- การพูดได้หลากหลายภาษา ปัจจุบันที่พูดได้คือ ญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี
- ความรู้ด้านวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
ประวัติความเป็นมา :
เอลเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลคอร์เรย์ เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของนักการเมืองคอร์เรย์ ครอบครัวตระกูลคอร์เรย์มีสมาชิกประกอบด้วย พ่อ แม่ พี่ชาย และตัวเอลเอง เอลจึงเป็นบุตรสาวรักยิ่งของตระกูล
ตระกูลคอร์เรย์เป็นตระกูลที่มีอำนาจทางการเงินระดับต้นๆของประเทศอังกฤษ ชื่อเสียงตระกูลจะโด่งดังในทางความมั่งคั่งแล้วยังมีความโด่งดังในการทำงานของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของคอร์เรย์อีกด้วย พ่อของเอลเป็นนักการเมืองในทางที่ดีคอยทำงานรับใช้ราชวงศ์และประเทศชาติอย่างซื่อสัตย์สุจริต ส่วนแม่ของเอลเป็นคุณหญิงของตระกูลมีหน้าที่จัดการเรื่องภายในบ้านไม่ได้ทำงานเป็นหลักเหมือนผู้นำตระกูลเท่าไหร่แต่ความฉลาดของหล่อนก็ใช่ว่าจะล้มกันง่ายๆ พี่ชายของเอลเป็นนักศึกษามหาลัยปี 3 กำลังศึกษาต่อในมหาลัยชื่อดังของอังกฤษ ซึ่งมีอนาคตที่ดูรุ่งโรจน์ไม่แพ้ผู้เป็นพ่อ
กล่าวถึงบุตรสาวของตระกูลเอลเป็นหญิงสาวที่เหมือนจะไม่มีความโดดเด่นอะไร แต่ถ้าได้รู้จักตัวจริงๆ เอลนับเป็นหญิงที่มีความโดดเด่นอย่างแท้จริง แต่เนื่องจากเจ้าตัวชอบความสงบ เอลจึงไม่เคยทำตัวโดดเด่นเท่าไหร่นัก เธอยิ่งใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาไปวันๆ เรียน เที่ยว กิน อย่างคนปกติไม่อวดร่ำอวดรวย และไม่ใช้อำนาจทางตระกูลดูถูกเหยียดยามใคร
เอลมาศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อตอนอายุ 16 ปี เข้ามาศึกษาต่อที่มัธยมปลายชื่อดังโดยคุณแม่คนสวยประจำบ้านเป็นคนจัดการให้ ที่เอลมาศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่นคนเดียวนั้นเพราะแม่ของเอลต้องการให้เอลรู้จักใช้ชีวิตคนเดียวมากกว่าจะคอยถูกดูแลอย่างไข่ในหินจากคุณพ่อและพี่ชาย(แน่นอนว่าช่วงนั้นท่านหญิงประจำบ้านต้องคอยเถียงกับคุณพ่อกับลูกชายอย่างเอาเป็นเอาตายที่ฝั่งนั้นคอยแต่ห่วงน้องอย่างเดียว)
เอลอาศัยอยู่ในหอพักระดับกลางมีห้องกว้างขวาง ข้าวของเครื่องใช้อย่างพอดี เงินถูกส่งโอนมาจากตระกูลทุกเดือนซึ่งเป็นเงินจำนวนหนึ่งที่อาจมากกว่าคนปกติเพียงเล็กน้อยด้วยความกลัวลูกสาวลำบาก แต่เอลกลับใช้ประหยัดอดออมจนมีใช้ร่ำรวยในฐานะนักเรียนระดับหนึ่งเลยเชียวล่ะ
นิสัย :
เอลเป็นผู้หญิงที่มีความนิ่งสงบอย่างเป็นธรรมชาติ
เอลเป็นหญิงที่มีบุคลิกราวใบไม้ที่ผลิใบ เธอนิ่งสงบอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่สโลว์ไลฟ์หรือเย็นชาจนเกินไป บุคลิกของเอลจัดว่าเป็นบุคลิกที่นับว่าเป็นความสบายตา ไม่มีจริตก้านเกินงาม ถึงจะใช้ชีวิตธรรมดาสามัญชนที่คนธรรมดาทำกัน แต่ความโดดเด่นที่มีแต่กำเนิดก็ไม่สามารถกลบได้ ในสายตาคนทั่วไปเอลนับเป็นหญิงสาวที่มีความโดดเด่นเกินคนธรรมดาสามัญชนเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ลักษณะบุคลิกและน้ำเสียงเอลเต็มด้วยความนิ่งสงบที่เรียบนิ่งดุจสายน้ำ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักให้รู้จักรับ ทุกสิ่งถูกรวมเป็นตัวของตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าเสแสร้งที่จะทำ
เอลเป็นคนที่ฉลาดในระดับหนึ่ง
เอลไมใช้ผู้หญิงที่จะฉลาดจนเข้าขั้นอัจฉริยะอะไร เธอฉลาดแบบเอาตัวรอดได้ มีความรู้รอบตัวในแบบใครถามมาก็ตอบได้ แค่อย่ายากจนเป็นคำถามของไอสไตน์จนเกินไปก็พอ ความฉลาดของเอลใน ณ ที่นี่นอกจากระดับการศึกษาแล้ว ยังหมายถึงความฉลาดด้านการตามเล่ห์กลของคนอื่นทันด้วย เอลเป็นหญิงสาวธรรมดาที่มีความถูกผิดในการใช้ชีวิต เธอสามารถหลงเชื่อในกรณีที่พลาดฉลาดไม่ทันอีกฝ่ายได้เช่นกัน แต่กรณีนั้นมีน้อยมากเพราะเอลมักจะฉลาดตามเกมอีกฝ่ายทันเสมอเพราะเธอเกิดในตระกูลที่มีอำนาจย่อมรู้จักหลบหลีกในหลายๆอย่าง
เอลเป็นคนที่มีความพยายามสูง
ถึงแม้เอลจะมีความเพียบพร้อมในหลายๆอย่าง แต่เธอกลับคิดใช้ความสามารถของตนเองจริงๆมากกว่าที่คอยเดินตามทางที่ถูกปูไว้ การเรียนเธอก็มีความมุ่งมานะด้วยความพยายามของตัวเอง เอลถือคติว่า ‘ ที่บอกทำไม่ได้ แล้วลองพยายามแล้วหรือยัง? ’ ถึงแม้ชีวิตตัวเองจะไม่มีความลำบากอะไร เอลกลับยึดหลักสามัญยิ่งกว่าใคร ถึงแม้จะรวยก็ใช้เงินอย่างประหยัด แม้จะฉลาดก็ต้องรู้จักใช้ในทางที่ดี และมีความรักก็ควรจะดูรักษามากกว่าที่จะทำร้ายมันด้วยความหลงระเริง
เอลเป็นคนที่เชื่อในหลักความเป็นจริงมากกว่า
เรื่องวิทยาศาสตร์หรือสิ่งลี้ลับอะไร เอลเป็นคนที่อยู่ระหว่างกลางสองสิ่ง ไม่เชื่ออะไรก่อนทั้งนั้นจนกว่าจะถูกพิสูจน์โดยการรับรู้ของตัวเธอเอง ต่อให้เป็นตามหลักความเป็นจริงของโลก เอลก็ต้องการพิสูจน์มันก่อนที่จะเชื่อมันทันที ลักษณะนิสัยแบบนี้ของเอลนับข้อดีอย่างหนึ่งในการเชื่อมั่นกับใครสักคน แม้ในหลายคนจะมองอีกฝ่ายว่าผิด เว้นกับเอลที่เลือกจะเชื่อมั่นก่อนที่กล่าวหาอะไร เอลเลยเป็นผู้หญิงที่น่าเชื่อถือคนหนึ่งในสายตาของหลายๆคน เธอมีเหตุผลเสมอไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ตาม
เอลมีนิสัยบางส่วนที่ขัดกับบุคลิก
เห็นเอลเงียบราวน้ำนิ่งหรือใบไม้ผลิใบ แต่เธอก็มีความบ้าบิ่นในลักษณะของตัวเองอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นความพยายามของเอล ถึงทางจะตันแค่ไหนเอลก็คงยังพยายามต่อไปโดยไม่สนอุปสรรคใดๆ ไม่ว่าบทสรุปนั้นจะเป็นแบบไหนก็ตาม นั่นคือบ้าบิ่นในตัวของเอล ความบ้าของเอลไม่ใช่พวกใช้อารมณ์ที่หวังแต่คำตอบอย่างใด เธอมีความนิ่งสงบที่ยังคงเดิมอยู่ทุกวัน เว้นแค่ดวงตาที่ฉายแววกล้าแกร่งไม่ยอมแพ้ ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในการแก้ปัญหา และรู้จักคุณค่าของตัวเองในระดับหนึ่งที่ว่าถ้าตัวเองไม่ไหวก็ควรพึ่งคนอื่นบ้าง ไม่ใช่แบกรับไปเสียทุกอย่าง จนพาตัวเองล่มในภายหลัง
เอลรักคนที่สำคัญของตัวเองมาก
ครอบครัวคือสถานที่สำคัญยิ่งของเอล เพราะเอลรู้สึกผูกพันตั้งแต่เด็กยันโต ถึงแม้ปัจจุบันจะไกลกันความสัมพันธ์ก็ไม่มีวันตัดขาด ความสัมพันธ์นอกจากครอบครัวก็คือเพื่อน เพื่อนของเอลนับว่าเป็นครอบครัวเหมือนกัน แต่ในกรณีเพื่อนสำหรับเอลนั้นที่สนิทจริงๆอาจมีไม่กี่คนเพราะเอลนับเป็นผู้หญิงที่ฉลาดจะคบหาใครสักคนที่เข้ามาหาตัวเองเพราะอะไร และเมื่อไหร่ที่เอลมีความรักให้กับผู้ชายที่ไหนสักคน เอลนับเป็นผู้หญิงที่รักใครรักจริง มีความพยายามทุกอย่างให้แก่คนที่ตัวเองรัก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่สถานภาพแบบใดก็ตาม
ประวัติส่วนตัว : เป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูล ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อมัธยมปลายปีสุดท้าย เอลเป็นหญิงสาวที่มีสีผมสีขาวบริสุทธิ์ยาวเหยียดตรงถึงช่วงสะโพกเล็กสวย ดวงตาสีฟ้าดังนภาตอนเช้าที่มีความอบอุ่นใจและดูสดชื่นยามได้จ้องมอง ใบหน้าสวยหวานที่มักฉายแววนิ่งสงบอย่างอบอุ่นไม่ต่างจากดวงตา รูปร่างเพรียวบางดูสมส่วนอย่างลงตัว ผิวสีขาวอมชมพูสุขภาพดี ส่วนสูง 160 เซนติเมตร น้ำหนัก 49 กิโลกรัม
อื่นๆ :
งานอดิเรก : - อ่านหนังสือแนววรรณกรรมและประวัติศาสตร์
- จัดดอกไม้หรือไม่ก็ตัดแต่งกิ่งดอกไม้ที่ปลูกไว้
ของที่ชอบ : - พวกขนมหวานจำพวกของเย็นๆ อย่างเช่น ไอศกรีม
- ชารสต่างๆทั้งของในและของนอก(เอลนับเป็นนักชิมชาตัวยง)
- สัตว์ตัวเล็กน่ารักๆ เลี้ยงง่าย อย่างเช่น สุนัข(ตอนเป็นลูกเอลจะชอบมากเป็นพิเศษ แต่ถ้าให้เลี้ยงแบบโตล่ะก็ เอลชอบสายพันธ์ที่มีขนาดเล็กที่ถึงแม้จะโตเต็มวัยก็ตาม) แมว กระต่าย นก
ของที่ไม่ชอบ : - อาหารที่มีรสเผ็ดจัดจนเกินไป(เอลทานเผ็ดได้ แต่ต้องมีความพอดี)
- พวกที่ชอบก้าวก่ายความเป็นสิทธิส่วนบุคคล
- การถูกดูหมิ่นในเรื่องที่เธอชอบใช้อำนาจทางตระกูลทั้งที่ไม่ใช่
เพิ่มเติม : - ชื่อของเอล เอร์ลิส แปลว่า เกล็ดหิมะ ส่วน คอร์เรย์ แปลว่า บริสุทธิ์
- เอลเกิดในวันแรกที่หิมะตกของปี
- ความฝันของเอลคือการเป็นนักการทูต ในอนาคตข้างหน้าถ้าเอลเข้ามหาลัยเธอหวังเรียนด้านภาษา
เมลคาร์ต คอร์เรย์
คุณพี่บราค่อน
ส่งเป็นตัวประกอบของเรื่องให้ไรท์ค่ะ--------------
แถมประโยคพูดเล็กๆน้อยๆ : “ เวทย์มนตร์? ฉันจะเชื่อไหม นายก็ต้องแสดงให้ฉันดูก่อนเท่านั้นแหละ ”
“ ประหลาดงั้นเหรอ... ฉันไม่เคยคิดว่านายประหลาดเท่าไหร่หรอกนะ มุมมองของคนเราไม่มีทางเหมือนกันหรอก ”
“ น็อคโตะ... ฉันควรเรียกนายอย่างนี้ใช่ไหม? ”
“ ฉันว่ากลุ่มนายนี่น่ารักไปอีกแบบนะ ”
“ แค่นี้นายก็ท้อแล้วงั้นเหรอน็อคโตะ? ”
บุคคลที่จะมาสร้างสีสัน(ลวนลามน็อคโตะไง//ยิ้มอ่อน)
ชื่อ : ยูคิโระ โคโตรุ (โคโตะ)
อายุ : 24 ปี
บทที่ต้องการ : บทไม่สำคัญ สำคัญว่าจะได้ลวนลามน็อคทีสไหมต่างหากครับ
อาชีพ : นักมายากล
ความสามารถพิเศษ : เล่นมายากลได้เกือบทุกแขนงและเริ่มเรียนรู้อะไรที่มันอันตรายแล้ว
ประวัติความเป็นมา : ครอบครัวเป็นคณะมายากลจึงได้เรียนมายากลมาตั้งแต่ยังเด็ก และจะต้องได้รับตำแหน่งหัวหน้าคณะต่อไปทำให้หลังจากเรียนจบมหาลัยนั้นต้องกลับมารับงานที่บ้านเพื่อรับช่วงตาจากปู่ที่ชราลงมากแล้ว
มารดาของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการแสดงทำให้โคโตรุนั้นค่อนข้างหวาดกลัวมายากลไปในตอนเด็กๆ และเขาก็ปฏิเสธการเล่นมายากลมาตั้งแต่นั้น แต่เพราะว่าดันไปรู้จักและเป็นเพื่อนสมัยเด็กของทาเครุจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนทั้งชีวิตของเขาไป หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเขาก็สามารถกลับมาเล่นมายากลได้อีกครั้งหนึ่ง
ถามว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?...ก่อนอื่นเลย ต้องถามว่าไม่สงสัยบ้างเลยหรือว่าทำไมเขาจึงได้ไปสนิทกับทาเครุทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นคนแปลกขนาดนั้น ยิ่งไปกว่านั้นคือเขารู้ว่าพี่น้องสึคิยะเป็นคนทรง เพราะอะไรน่ะหรือ?... “เพราะเห็นผีน่ะสิ” เขาเป็นคนที่มองเห็นวิญญาณของผู้ล่วงลับหรือว่าพวกปีศาจพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
และในตอนที่แม่ของเขาเสียชีวิตนั้นเขาก็มองเห็นวิญญาณแม่ของตนเองอยู่ตลอด เธอส่งเสียงร้องเหมือนกับเคียดแค้นต่อมายากลที่พรากชีวิตของเธอไปทำให้เขาหวาดกลัวการเล่นมายากลไปด้วย แต่ก็ได้ทาเครุเข้ามาช่วยและชำระล้างวิญญาณของมารดา ทำให้ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วที่เธอนั้นอยู่ข้างกายเขามาตลอดนั้นเป็นเพราะอยากให้เขากลับไปเล่นมายากลต่างหาก
เขายึดมั่นมาตลอดหลังจากนั้นว่ามายากลของเขาจะทำให้ทุกคนสนุกสนานไม่แพ้มารดาของตนเองจึงกลับไปเล่นมันอีกครั้งโดยมีบิดาเป็นที่ปรึกษาให้ …กลที่เขาถนัดมากที่สุดคือกลไพ่ และเพราะอย่างนั้นทำให้เขาเป็นคนมือไวตามไปด้วยเพราะทักษะการเล่นมายากลคือประสาทสัมผัสอันรวดเร็ว
ซึ่งแน่นอนว่าเพราะตัวเขาเห็นวิญญาณและค่อนข้างไปทางมีคนตามติดตลอดเวลาเลยต้องคอยอยู่ข้างทาเครุเพื่อให้ชำระล้างและขับไล่ให้ จึงได้ตามไปเรียนที่มหาลัยเดียวกันแถมยังคณะเดียวกันด้วยแต่เขาค่อนข้างไปทางคนปกติมากกว่าจะไปปีนป่ายถ่ายรูปเหมือนกับทาเครุเพราะถ้าให้พูดกันตรงๆ เขาก็แค่มาเรียนเอาวุฒิเท่านั้นเอง
นิสัย : ถ้าหากเป็นในยามปกติเขาจะถือได้ว่าเป็นเทพบุตรลงมาจากสวรรค์ที่แสนจะใจดีต่อสุภาพสตรีและยังให้เกียรติสุภาพบุรุษอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา แต่ก็มีบ้างที่จะยิ้มอ่อนด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจ ใครว่าอย่างไรเขาว่าอย่างนั้น จนโดนว่าอยู่หลายครั้งว่าเป็นคนหัวอ่อนไม่ทันโลก และยังดูจะใจอ่อนมากเสียด้วย
แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด เขาไม่เคยมีหรอกนะความตามโลกไม่ทันน่ะ… การต้องคอยเป็นเพื่อนกับคนที่เป็นถึงร่างทรงของโอนิที่มีพี่สาวเป็นร่างทรงของเทพจิ้งจอกเนี่ยคิดว่ามันง่ายนักเหรอถ้าเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ปานผ้าขาวขนาดนั้น จริงๆ แล้วสิ่งอารมณ์ที่แสดงออกมานั้นเป็นโป๊กเกอร์เฟสแบบสมบูรณ์แบบ จะมีเฉพาะคนที่สนิทเท่านั้นที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนสันดาน(...)แบบไหน
ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่เรียกได้ว่าทะเล้น เล่นทีจริงจังทีอะไรแบบนั้น นอกจากนั้นแล้วยังเป็นพวกหัวรุนแรงในระดับนึงอีกด้วย ประมาณว่าถ้าไม่ฆ่าก็ถูกฆ่าเพราะอย่างนั้นตอนมัธยมเลยมีเรื่องชกต่อยอยู่บ่อยครั้ง แต่คนส่วนมากจะนึกว่าเขาเป็นฝ่ายโดนทำร้ายเสียมากกว่า เพราะด้วยท่าทางอ่อนต่อโลกที่แสดงออกมาให้เห็นนั่นแหละ
เป็นคนโกรธยากมากแต่เป็นคนโกรธแล้วเงียบ… คือถ้าโกรธมากก็จะไม่พูดกับใครเลย และทำเพียงจิกตามองเท่านั้น แต่มันก็ไม่บ่อยนักเพราะมันน่ากลัวเกินกว่าที่จะมีใครกล้าทำแบบนั้น เพราะเมื่อใดที่เขาโกรธเขาจะยิ้มร่าเริงยิ่งกว่าปกติจิกสายตาไปรอบด้านแล้วจากนั้นก็ลุกขึ้นไปแบบไม่คิดจะพูดกับใครเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานั้นมันเกิดเหตุการณ์นี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น และทาเครุก็ได้ยืนยันว่า “ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว”
เวลาเล่นมายากลก็จะเปลี่ยนไปอีกคนเช่นกัน เมื่อใดที่เขาก้าวขึ้นสู่เวทีแล้วท่าทางที่เหมือนกับอ่อนต่อโลกหรือว่าความทะเล้นจะหายไปกลับกลายเป็นความสง่าที่ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็ต้องชื่นชม เพราะว่ามันเป็นงานและการทำแบบนั้้นจะทำให้เขาดูน่าเชื่อถือในทางสายอาชีพก็เท่านั้นเอง
นอกจากนั้นแล้วเพราะว่าเขารับจ้างแสดงมายากลในงานใหญ่ๆ ของพวกเศรษฐีหรืออะไรพวกนั้นก็เลยพลอยได้ผลประโยชน์ด้านเส้นสายอยู่บ้างเพราะท่าทางแอ๊บใสซื่อนั่นแหละ แต่ความจริงแล้วปีศาจที่อยู่ใต้หน้ากากของเขานั้นกำลังคิดว่ามันไม่เลวเลยทีเดียวอยู่กระมัง
ลักษณะ : ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินรับกับดวงตาสีเดียวกัน ท่าทางอ่อนต่อโลกที่ทำให้ดูไม่เหมือนกับคนที่ใส่หน้ากากทับอารมณ์ที่แท้จริงของตนเองชั้นแล้วชั้นเล่านั้นทำให้รู้สึกน่าเอ็นดูและอยากปกป้องในแบบแปลกๆ ถ้าไม่นับรวมส่วนสูงร้อยแปดสิบของเขาแล้วละก็นะ ยิ่งไปกว่านั้นคือน้ำหนักของเขาน่าจะตกอยู่ประมาณเจ็ดสิบได้ แต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าเขาแสดงกลลอยบนอากาศได้อย่างไรกันแน่?
อื่นๆ :
- เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถมของสึคิยะ ทาเครุซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังเรียกทาเคะว่าคิเซย์นะ(คิเซย์)อยู่ หลายครั้งที่ถูกเตือนแต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกแต่อย่างใด
- เขาเรียนจบก่อนทาเครุหนึ่งปีทั้งๆ ที่อายุน้อยกว่าเนื่องจากตอนนั้นลงหน่วยกิจมากกว่าแล้วยังทำงานได้คะแนนดีกว่าทำให้ถูกกัดฟันจิกตามองจนถึงทุกวันนี้
- มักจะโดนจิกกัดจากทาเครุอยู่เสมอว่า “ไม่อยากคุยกับเสาไฟฟ้าเคลื่อนที่เลยโวร้ย” อะไรแบบนั้นอยู่เป็นประจำเพราะว่าในกลุ่มที่เรียนด้วยกันทาเครุเตี้ยที่สุดทั้งๆ ที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม
- ในสมัยเรียนที่มหาลัยความจริงแล้วพวกเขามีกันสามคนที่เป็นเพื่อนสนิทกัน ซึ่งคนที่เหลืออีกหนึ่งคนนั้น มีชื่อว่า ไซโต มาโคโตะ (มาโค)
ซึ่งตอนนี้มันได้ไปเรียนต่อด้านศิลปการแสดงแล้วเลยมีรูปถ่ายแบบออกมาให้หมั่นเล่นกันอยู่เป็นประจำ แต่ทาเครุก็กระปอดกระแปดให้เขาฟังอยู่บ่อยๆ ว่าถ้ามีเงินไปจ้างคนอื่นถ่ายให้ก็จ้างเขาถ่ายให้สิฟะ อะไรแบบนั้นอยู่เสมอเลย นอกจากนั้นแล้วหมอนี่แหละตัวลืมเรียกรวมเพื่อนไปร่วมรุ่นเลย โทรตามครบทุกคนดันลืมทาเครุกับโคโตรุซะงั้น
- เวลาทาเครุนัดเขาไปไหน เขามักจะถูกโดนลืมนัดอยู่เสมอเลย หากเขาออกมาตามเวลานัดทาเครุมาหลังจากเวลาอยู่หลายชั่วโมงเลย แต่ถ้าเกิดว่าเขาเป็นคนนัด ทาเครุจะลืมวันนัดไม่ก็จำผิดไปอีกสามวัน…
- เป็นโรคกลัวโอนิกับคิซึเนะขึ้นสมอง เวลาที่ทั้งสองพี่น้องนั้นเข้าทรงทีไรจะต้องหาที่มุดหัวทุกทีไป แน่นอนว่าอาจจะใช้ช่วงเวลาแบบนั้นเนียนแอบลวนลามใครสักคนก็เป็นได้ แต่มันเนียนไง มันเนียนน่ะ
- มีความสามารถในการฟันดาบเนื่องจากว่าทาเครุได้สอนเขาไว้ แต่แน่นอนว่า… ถ้าสู้กับทาเครุเขาแพ้แน่นอนไม่ต้องพูดอะไรกันทั้งสิ้น ให้ตาย!
ตัวอย่างคำพูด - "มายากลต่างจากเวทย์มนต์นะครับ เวทย์มนต์คือพลังที่สร้างสรรค์สิ่งเหนือมหัศจรรย์ที่แท้จริง แต่มายากลนั้นคือเทคนิกที่สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นนั่นหมายถึงเมื่อถูกจับได้ก็จบกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ามีสิ่งใดที่เป็นของปลอมหรอกนะครับ เพราะความพยายามที่จะใช้ทั้งสองสิ่งนั้นถือเป็นความจริงทั้งคู่"
- "คิเซย์ต้องลืมนัดอีกแล้วแน่ๆ เลยเชื่อสิ..."
- "เห็นวิญญาณไม่ใช่เรื่องดีครับ ใครก็ตามที่อยากรู้อยากเห็นขอแนะนำว่าอย่าเลยดีกว่าครับ"
- "กลัวแล้วครับท่านโอนิ ท่านคิซึเนะ ปล่อยผมไปเถอะ" //ก้มกราบ
- "เงินไม่ใช่ทุกอย่าง อำนาจไม่ใช่ทุกสิ่งแต่ถ้ามีไว้บ้างก็ถือว่าทำประโยชน์ได้ไม่น้อยนะ?"
- "Ladies & Gentleman , Boy & Girl Are you ready? ...It's Show Time!!"
---------------------------------------------------------------------------------
โซนคนขอคู่อาร์ดิน
ชื่อ : สึคิยะ ทาเครุ (ทาเคะ)
อายุ : 25 ปี (ย่างยี่สิบหกแล้วด้วย)
บทบาทที่ต้องการ : บทไหนก็ได้ครับ แค่เน้นลวนลามพรอมพ์โต--- //กระอักไอ
อาชีพ : เพิ่งจบมหาลัยคณะศิลปะและการออกแบบ สาขาศิลปภาพถ่าย ตอนนี้ยังหางานทำอยู่ แต่ก็คิดๆ ไว้ว่าถ้าภายในปีนี้ยังหาบริษัทเข้าไม่ได้จะไปเป็นช่างภาพอิสระ
ความสามารถพิเศษ : วาดรูป , วิชาตัวเบา สี่เท้าแมวยังพ่ายแพ้ (ได้รับมาตอนเรียนเพราะไปโหนต้นไม้ถ่ายรูปรังนกบนกิ่งสูงเพื่อส่งเป็นไฟนอลโปรเจ็คตอนปีสาม)
ประวัติความเป็นมา : ดูเหมือนกับจะเป็นคนธรรมดาไม่มีอะไรจากการที่ทำได้แม้แต่เกาะกำแพงตึกคณะเพื่อถ่ายรูปกระรอกกำลังขนอาหารไปให้ลูกในรังเพื่อส่งเป็นโปรเจ็คตามหัวข้อ “สัตว์โลกน่ารัก” แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่
… เขาน่ะเป็นหนึ่งในตระกูล “คนทรง” ที่เหลืออยู่แค่สองคนหรือก็คือเขากับพี่สาวนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีคนรู้เพราะว่าพวกเขาไม่ได้ใช้นามสกุล “สึคิโยมิ” ของตระกูลเพื่อหลบซ่อนตัวในโลกที่เวทย์มนต์หรือเทพเจ้าเป็นเพียงเรื่องหลอกเด็ก เป็นร่างทรงของยักษ์โอนิผู้ถือกระบองเหล็กเฝ้าสะพานปรภพ เพราะอย่างนั้นหากมีใครมาบอกว่าตนนั้นมีเวทย์มนต์เขาก็เชื่อไปกว่าครึ่งก่อนที่จะซักถามรายละเอียดเหมือนกับจริงๆ ไม่เชื่อแล้ว
บ้านของพวกเขาเคยเป็นศาลเจ้ามาก่อนแต่ทุบทิ้งไปแล้วและทำเป็นโรงฝึกดาบแทน แน่นอนว่าสามารถแปรรูปไว้ใช้ซุกซ่อนคนได้สบายๆ เลย เพราะว่าด้วยอาคมของตระกูลนั้นจะคอยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนมากพวกเขาจะใช้โรงฝึกนั้นในการฝึกดาบทั้งดาบไม้และดาบจริงในการป้องกันตัวกันสองคนซึ่งก็ไม่บ่อยนักเพราะมักจะหมกตัวอยู่ในบ้าน เพื่อทำงานหรือว่าไปปีนป่ายหารูปสวยๆ ส่งโปรเจ็คหรือยื่นใบสมัครงานอยู่ที่ไหนสักแห่งนั่นแหละ
ถามว่าพ่อแม่ของพวกเขาไปไหน? ตายไปตั้งแต่เขายังเรียนประถมส่วนพี่สาวเรียนมัธยมนั่นแหละ มารดาของเขาที่เป็นร่างทรงของยูกิอนนะ(สาวหิมะ)นั้นป่วยหนักและทรุดลงเรื่อยๆ จนตายไป ส่วนพ่อของพวกเขานั้นไม่ได้ตายอยู่ในบ้านแต่แบบธรรมชาติด้วย … ร่างกายค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอสูรที่ไม่เคยรู้จักโดยพี่สาวของเขาได้เรียกมันว่า ‘โรคที่ผู้ที่กำลังจะมาเยือนนำพามาด้วย’ และนั่นทำให้พวกเขาต้องสังหารบิดาของตนเองแต่เพราะร่างกายนั้นสลายหายไปพวกเขาจึงต้องแจ้งแค่ว่าหายสาบสูญทั้งที่รู้แก่ใจ … ถามว่าโกรธคนที่นำพาสิ่งนี้มาไหม มันก็ใช่แหละแน่ละก็ครอบครัวนี่นา
แน่นอนว่าเพราะตอนนี้เหลือกันอยู่แค่พี่น้องแล้วเลยค่อนข้างพึ่งพากันเองสูงมาก กระนั้นแล้วภายใต้วาจาที่เหมือนจะทะเลาะกันนั้นจึงมีความรักกันจนจะกลืนกินกันไปข้างอยู่ด้วย เอาง่ายๆ คืออยู่ในเกณฑ์ทำข้าข้าไม่ว่า ทำพี่ข้าเอ็งจะไม่เหลือดี
พวกเขาคล้ายๆ จะเป็นนักปราบมารจากการพยากรณ์สิ่งผิดปกติแล้วออกไปกำราบ ชำระล้างบ้าง ผนึกบ้าง ทำลายบ้างแล้วแต่สถานการณ์ ถ้าดวงวิญญาณที่แปดเปื้อนนั้นไม่แข็งแกร่งเกินไปก็จะอยู่ในรูปแบบชำระล้างเป็นส่วนใหญ่ ถ้าภาษาชาวบ้านหน่อยก็เป็นพวกนักปราบผีอะไรแบบนั้น
นิสัย : เป็นคนเฮฮาปาร์ตี้ปนสติแตกนิดๆ ติสท์หน่อยๆ(ดูได้จากการลงทุนปีนป่ายถ่ายรูป มุมไหนสวยปีนมุมนั้น) โดยรวมแล้วก็เป็นที่นิสัยธรรมดาคนหนึ่งที่เสียสติเป็นจังหวะๆ (แน่นอนว่าเวลาเดดไลน์เผาก้นใครมันจะไปมีสติกันเล่า)
เขาจะออกแนวแฟชั่นไปทางพังค์ๆ ปนๆ ร็อคหน่อยๆ ว่าง่ายๆ คือพล็อบในตัวเยอะมาก เช่นเดียวกับตัวพี่สาว(แต่เวลาเข้าทรงจะใส่เป็นกิโมโนแทน)แต่ก็เป็นคนที่แต่งตัวเก่งและชอบจับชาวบ้านชาวช่องเขาแต่งตัวถ้าหากได้รับรีเควสมา
เป็นคนง่ายๆ สบายๆ ลุยไหนลุยกันขอให้ได้เที่ยว(แล้วไม่ต้องจ่ายเงินเอง)เขาก็ไปได้ทุกที่แหละ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนเห็นแก่เงินขนาดหนัก เพราะจริงๆ เขาก็มีด้านสุขุมและมีเหตุผลอยู่ เพราะเขาอายุก็ปาไปยี่สิบห้าแล้วจะให้สติแตกอย่างเดียวก็กระไรอยู่ เพราะงั้นโหมดจริงจังของเขาจะเคาะออกมาได้ถ้าต้องการซีเรียส
แต่กระนั้นแล้ว เพราะเป็นร่างทรงของโอนิเวลาที่โดนครองร่างก็จะออกไปทางเลือดร้อน มุทะลุ ดุดัน เวลาท้าทายจะชอบตะโกนเสียงดังแบบหยาบคาย โหดร้ายแบบสัตว์ป่า เรียกได้ว่าความซันชายด์แบบเด็กๆ จะกลายเป็นความดาร์กๆ ของผู้ใหญ่ แต่ยังอยู่บนเส้นของเหตุผลอยู่เพราะจิตยังอยู่ครึ่งๆ ระหว่างตัวเขากับโอนิ เพราะงั้นก็ถือได้ว่าเขาเป็นคนลึกลับในแบบแปลกๆ พอสมควรเลยทีเดียว
นอกจากนั้นก็คงเป็นพวกขี้แกล้งตัวพ่อกระมัง แถมยังชอบทำตัวเหมือนเป็นไบเซ็กชวล(ชายก็ได้หญิงก็ดี)อีกต่างหาก แต่จริงๆ ไม่ได้เป็นหรอกถ้าไม่ได้ถูกใจใครมากๆ น่ะนะ
ลักษณะภายนอก : ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งประมาณร้อยเจ็ดสิบแปดเซนติเมตร และน่าจะหนักประมาณหกสิบห้า แต่พอดูเวลาเขาโหนตัวอยู่บนต้นไม้แล้วเหมือนไอ้น้ำหนักที่มีอยู่มันหายไปราวกับไม่มีกฏของนิวตันอยู่บนโลกใบนี้เลย เรือนผมของเขาเป็นสีทองสั้นปะบ่าที่ดูเหมือนย้อมแต่จริงๆ ไม่ ปกติจะรวบขึ้นเป็นหางหมาแบบลวกๆ เพราะขี้เกียจจะมัดแต่ก็ขี้เกียจจะตัดเช่นเดียวกัน ดวงตาของเขาดูเหมือนจะเป็นสีฟ้าใสคล้ายพ่อหนุ่มถือปืน แต่จริงๆ แล้วนั่นเป็นคอนแท็คเลนส์ต่างหาก เพราะว่าลูกหลานตระกูลคนทรงสึคิโยมินั้นมีดวงตาสีแดงเลือดที่แปลกแยกอยู่ยังไงละ
อื่นๆ :
- อย่างที่บอกไปว่ามีพี่สาวอยู่หนึ่งคน พี่สาวคนนี้มีใบหน้าที่คล้ายกับเขามากจนใครเห็นก็บอกว่าฝาแฝด แต่จริงๆ แล้วคือพวกมันห่างกันสามปี เธอมีชื่อว่า สึคิยะ คิโยรุ หรือจริงๆ แล้วคือ สึคิโยมิ คิโยรุ ร่างทรงของเทพจิ้งจอกนั่นเอง
คิโยรุจะทำงานในด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การสร้างเกม การเขียนโปรแกรมและการแฮกค์โหลดการ์ตูนมาดู(...) มากกว่าเขาที่ไปทางหัวศิลป์มากกว่า นอกจากนั้นเธอจะออกไปทางสาวมั่นเท่ห์ๆ ที่เคยมีรุ่นน้องผู้หญิงมาสารภาพรักแทนที่จะเป็นคนน้องเสียอย่างนั้น วาจาของเธอจะดูเย็นชา แต่จริงๆ แล้วคือเธอแอ๊บ เพราะว่าการเหลือกันอยู่สองคนพี่น้องทำให้เธอต้องเข้มแข็งและเป็นผู้นำที่ดีเท่านั้น แน่นอนว่าน้องชายอย่างเขารู้ดีที่สุด … คิโยรุเป็นร่างทรงของเทพจิ้งจอกที่พอให้เทพครองร่างแล้วจะดูหยิ่งขึ้นอีกเป็นสองเท่า และเว้นระยะห่างออกไปอีก เทพจิ้งจอกนั้นมีพลังในการพยากรณ์อนาคตแต่ก็เป็นบางครั้งเท่านั้น (และเธอจะบอกน้องชายเป็นคนแรกเพื่อปรึกษากัน) บางครั้งถ้าถูกชะตากับใครจะบอกโชคให้ด้วย (หรือที่คนไทยเราเรียกๆ กันว่า ใบ้หวย นั่นเอง)
- ความจริงแล้วอยากเป็นนักร้อง แต่เพราะเสียงตัวเองเน่ามากเลยไปเอาดีด้านศิลปะการวาดรูปและการถ่ายภาพแทน (ในห้องหนังสือที่ขั้นห้องนอนของเขาและพี่สาวเอาไว้จะเต็มไปด้วยรูปวาดและรูปถ่าย)
- ตอนนี้ไม่มีงานประจำแต่มีเว็บเพจไว้รับจ๊อบเป็นเคสๆ ที่ติดต่อเข้ามาอยู่ ถึงวิธีการถ่ายจะดูเพี้ยนๆ แต่ผลงานที่ออกมาระดับมืออาชีพทั้งนั้นเลยนะเออ (เขาเคยทำถึงขั้นลงไปยืนบนบันไดในท่อระบายน้ำเพื่อถ่ายวิวมุมเงยให้สวยเลยด้วยซ้ำ)
- จะพกยันต์อาคมเอาไว้อย่างน้อยสองชุดอยู่เสมอ ยันต์ทั้งสองชุดนั้นจะมีทั้งกางอาคมป้องกัน โจมตีด้วยลูกไฟ และอัญเชิญกระบองเหล็กของโอนิ ต่างจากพี่สาวที่ใช้แค่พัดเท่านั้น แต่ทางพี่สาวของเขาจะเน้นไปที่ธาตุน้ำเป็นส่วนใหญ่
- เวลาเรียกพี่สาวตัวเองจะเรียกว่า “อิเจ้” หรือ “เจ้” และจะถูกเรียกกลับมาว่า “จิบิ” หรือก็คือเจ้าตัวเล็กมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว แน่นอนว่าพี่สาวเรียกได้คนเดียว
- โอนิมีพลังในการ “ชำระล้าง” เช่นเดียวกับคิซึเนะแต่จะแตกต่างตรงมีพลัง “ทำลาย” และ “ขับไล่” รวมไปถึงการ “ผนึกชั่วคราว” โดยใช้พิษจากดอกฮิกังบานะที่ขึ้นอยู่ริมสะพานปรภพเป็นสื่อกลางการผนึก ต่างจากคิซึเนะตรงที่ทางนั้นสามารถ “ผนึกได้อย่างถาวร” และมีพลังชำระล้างมากกว่า เรียกว่าเป็นต่อแค่ด้านพลังกำลัง
- เป็นคนมีเพื่อนเยอะ แต่มักถูกลืมเวลาเรียกรวมพล เพราะงั้นถ้าถึงงานเลี้ยงรุ่นแล้วยังเห็นมันยังตะลอนถ่ายรูปไปทั่วอยู่นั้น ให้รู้ไว้เลยว่าทุกคนลืมโทรหามัน
- เป็นพวกติดการ์ตูนขั้นหนักแบบที่หากกู๊ดของอนิเมที่ชอบออกจะเทใจเปย์ให้แบบไม่คิดจะหักห้ามใจตัวเองเลยแม้แต่สักนิดเดียว แต่เขาไม่ได้เป็นพวกชอบการ์ตูนฮาเร็มนมแตงโมหรอกนะ ของคนที่เขาเก็บส่วนมากถ้าไม่ใช่สาวเท่ห์ก็หนุ่มๆ ในท่าต่อสู้อะไรแบบนั้น
- ติดโซเชียลพอๆ กับการ์ตูนและไม่ชอบถ่ายรูปตัวเองกับพี่สาว เพราะไม่งั้นในภาพจะติดทั้งโอนิและคิซึเนะไปด้วย เพราะงั้นจึงไม่มีใครถ่ายรูปเขาเลยเพราะเคยตกใจกับภาพติดวิญญาณมาแล้ว
(โอนิกับคิซึเนะ)
- นักกินและเป็นคนทำอาหารประจำบ้าน ทำงานบ้านด้วยเพราะปกติพี่สาวจะอยู่แต่หน้าคอมทำงานส่งเจ้านายอยู่ในห้องตัวเองเป็นประจำ
- แปรวิชาตัวเบาตอนถ่ายรูปมาใช้ต่อสู้ได้ด้วยนะ ส่วนมากจะใช้กับดาบมากกว่าใช้กระบองของโอนิ ถ้าใครอยากเรียนต่อจากเขาก็มาถามได้เลยยินดีสอน แต่เข้าถึงไหมนี่อีกเรื่องนึง
- เวลาเทพสถิตตาของทั้งคู่จะเป็นสีแดงเลือดเพราะคอนแท็คเอาไม่อยู่ และจะแทนตัวเองว่าข้า แทนคนอื่นว่าเจ้า และภาษาจะโบราณกว่าปกติ
- เขาเปลี่ยนชื่อสองครั้ง ครั้งแรกเปลี่ยนจากนามสกุล สึคิโยมิ เป็น สึคิยะ (ทั้งคู่แปลว่าคืนเดือนหงายทั้งคู่) ครั้งที่สองเปลี่ยนชื่อเป็นทาเครุ …. ชื่อเดิมของเขาคือ สึคิโยมิ คิเซย์นะ ที่แปลว่า คำอธิษฐานในคืนเดือนหงาย
ตัวอย่างคำพูดเล็กน้อย - “อืม เข้าใจละ เวทย์มนต์ที่ว่าคือแบบนั้นเอง...เชื่อด้วยเหรอสินะ? จริงๆ ก็เชื่อมาตั้งแต่ประโยคแรกที่พูดแล้วแหละก็ไม่เห็นท่าทางว่าจะโกหกเลยนี่นา แล้วก็นะ ฉันเองก็มีอะไรคล้ายๆ แบบนั้นเหมือนกันแหละ”
“นิทานกับตำนานมากมายบนโลกนี้น่ะกล่าวถึงเวทย์มนต์และเทพเจ้าอยู่เยอะเลยละ แต่สิ่งพวกนั้นกลับถูกลืมเลือนและกลายเป็นเพียงเรื่องโกหกไว้หลอกเด็ก… มันน่าเศร้านะที่คนสำคัญอย่างพวกเราในอดีตกลับถูกทิ้งไว้เบื่องหลังแบบนี้”
“พลังของสึคิโยมิไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่าเป็นเวทย์มนต์ … มันคือการยืมพลังของผู้ล่วงลับหรือผู้อยู่ในดินแดนปรภพเท่านั้น อย่างเช่นลูกไฟของฉันจะอยู่ในรูปแบบลูกไฟวิญญาณไงละ”
“ดูไปแล้วนายนี่ก็น่ารักดีนะ? นายรังเกียจไหมถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชาย? ถ้าไม่ ฉันจีบนายได้ป่าวอะ?”
“ฉันเป็นเกย์? เปล่าเลย ฉันไม่ได้ชอบผู้ชายหรอก… แค่นายที่ฉันชอบดันเป็นผู้ชายก็แค่นั้นเองแหละ”
“การเป็นคนทรงมันง่ายกว่าการทำตัวให้เป็นคนธรรมดาที่ไม่แปลกแยกเสียอีก แต่ฉันโอเค ทุกอย่างมันก็เป็นไปตามกฏเกณฑ์ของมันนั่นแหละ”
“อิเจ้ วันนี้จะกินอะไร? … มีแขกเยอะแบบนี้ทำเสต็กดีไหม หรือเอาสุกี้ยากี้?
คิดไปคิดมาอุด้งคนละชามแล้วกันนะ”
“จะออกไปไหนก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ขอร้องละช่วยโทรบอกกันสักนิด อย่าทำให้ตกใจจนหัวใจแทบวายตายไปที”
“ข้าคือโอนิผู้เฝ้าทวารบานแห่งปรภพ ณ สะพานสีแดงที่ประดับประดาด้วยฮิกังบานะแปดขาแมงมุม หากผู้ใดคิดขวางทาง...ข้าจะขยี้มันให้แหลกเหลวด้วยกระบอกเหล็กกล้าของข้า เจ้าพวกอสูรชั้นต่ำที่เป็นได้เพียงเศษสวะ!!”
“เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่โง่เขลาเสียจริง… ชีวิตที่ได้รับมานั้นของเจ้ามีไว้เพื่อต่อสู้ ไม่ได้ให้เจ้ามีมันไว้เพื่อยอมแพ้ไม่ใช่หรืออย่างไร”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คู่กลาดิโอลัส
ขอเปลี่ยนรูปนะ
ชื่อ: โซโสะคุจิน อาจิไซ
อายุ: 18 ปี
บทที่ต้องการ: ภรร--แค่กๆ คู่กลาดิโอลัส
อาชีพ: นักเรียน,ถ้างานดีเงินงามก็ทำ
ความสามารถพิเศษ: ไม่มีอะไรพิเศษ
ประวัติความเป็นมา: อาจิไซจังเป็นเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางความเลวร้ายของสังคม แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็มีตัวละครที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอต่อสู้กับความเลวร้าย ก็คือกลาดิโอลัสนั้นเอง(สรุปคือนางปลื้มกลาดิ้ตั้งแต่ตอนเป็นตัวละครในเกม) แม้จะถูกคนอื่นมองว่าเพี้ยน แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเธอมักจะทำตัวปิดกั้น ใครจะว่าอะไรก็ว่าไป แต่เล็กๆเธอก็ต้องการคนคุยต้องการเพื่อน
นิสัย: ร่าเริง สบายๆ ชอบรับฟังปัญหาของคนอื่น และมักจะให้คำตอบที่คิดว่าดีที่สุดให้กับผู้ที่มาปรึกษา แต่บางครั้งก็ชอบเก็บเอามาคิดไว้คนเดียว ทำตัวเย็นชาเมื่ออยู่ต่อหน้าอื่น แต่ยกเว้นตอนทำอาหารและงานบ้านงานเรือน เธอจะเเสดงถึงความเป็นกุลสตรีอย่างสูง และไม่ว่าจะเป็นตอนไหน เธอก็จะแสดงความเข้มแข็งที่เธอมี เพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นเธอเป็นภาระ
ประวัติส่วนตัว: สูง167ซม.(เตี้ยกว่ามาตรฐานเด็กม.6) หนัก40 กก. ผมยาวถึงกลางหลังสีม่วง ตาสีม่วง สัดส่วน 31 24 33
อื่นๆ:
-คำพูดติดปาก: ฉันน่ะนะ จะให้ทำอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นงานที่ขาวสะอาด และได้เงินดี ว่าแล้วก็มาช่วยฉันหน่อย!!
-ชอบ: กลาดิโอลัส(?),การนั่งฟังคนอื่น(ยกเว้นแอบฟังใครนินทา),ทำอาหาร,งานบ้านงานเรือนทุกอย่าง
-ไม่ชอบ: ผักทุกชนิด
-งานอดิเรก: เย็บปักถักร้อย, นั่งอ่านหนังสือ(วายด้วยคือประเด็น(?)),แอบมองกลาดิโอลัส(เผลอๆมีรูปด้วย)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คู่อิกกี้
ชื่อ : เคลเซย์ เคิร์ท เจอราร์ด
ชื่อเล่น : เซย์
อายุ : 23 ปี
บทที่ต้องการ : ตัวร้ายของเรื่อง(จะร้ายอย่างไงตามใจเลยค่ะ แย่งนางเอกก็ฟินดีนะ เอ้ย! ตามใจไรท์ค่าาาาาาา!!! แต่ใจจริงอยากให้ตีกับเจ้าชายมาก)
อาชีพ : ปัจจุบันตีหน้าซื่อเป็นคุณครูสอนตามบ้าน
ความสามารถพิเศษ : -ทักษะการใช้ดาบคาตานะ l ที่จริงขอให้เป็นดาบเซย์ใช้ได้หมดแหละ แต่ดาบคาตานะพี่ท่านถนัดสุดเท่านั้นเอง และเป็นดาบเดียว มีความสามารถใช้สลับมือได้อีกด้วย
- ทำอาหารได้อร่อยมาก lต่อให้มีวัตถุดิบไม่กี่อย่าง เซย์ก็มีความสามารถแปรรูปได้หมด
-เวลายามคับขันเวลาหนี(ที่ซึ่งหาได้ยากยิ่ง) เซยจะวิ่งเร็วกว่าปกติเป็นเท่าตัว
ประวัติความเป็นมา :
ตระกูลเจอราร์ดเป็นตระกูลที่รับใช้ราชวงศ์นิเฟลไฮม์มาอย่างยาวนาน ส่วนใหญ่พวกลูกหลานของตระกูลจะทำหน้าที่สายบุ๋นมากกว่าบู้ น้อยคนนักที่จะเลือกเส้นทางหน่วยกล้าตาย และเซย์ก็เป็นหนึ่งในเหล่าคนจำนวนน้อยนั้น
เซย์เป็นทายาทเพียงคนเดียวและผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ของตระกูลเจอราร์ดในปัจจุบัน เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตอนที่ยังอายุเพียงแค่ 12 ปี ด้วยสาเหตุมาจากขัดแย้งอำนาจหน้าที่กันภายใน ซึ่งคนร้ายนั่นก็เป็นถึงหนึ่งราชการของราชวงศ์เช่นกันที่ ณ ปัจจุบันได้ถูกตามหลักฐานได้และโดนประหารไปเรียบร้อย
เซย์รับหน้าที่ทหารของนิเฟลไฮม์ตอนอายุเพียง 15 ปี ตลอดชีวิตก่อนหน้านี้คือช่วงเก็บเกี่ยวความรู้ของเขา เมื่อเห็นว่าชีวิตบุ๋นตามรอยบรรพบุรุษมันน่าเบื่อ เซย์เลยเลือกเส้นทางที่มีสีสันในชีวิตมากกว่า แต่ใช้ว่า 3 ปีก่อนหน้านี้หลังจากพ่อแม่เสียเซย์จะสุขสบาย ถึงแม้มีเงินทองไว้ใช้ตลอดชีวิต แต่เขาก็ขาดความอบอุ่นมาตลอด3 ปี เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยว คนรับใช้ก็มีแค่คนสนิทจริงๆเท่านั้น ชีวิตเซย์ช่วงนั้นแทบล่อหลอมเป็นบุคลิกใหม่ทีเดียว
เซย์ได้รับเลื่อนขั้นเป็นองครักษ์ระดับแนวหน้าก็เมื่ออายุ 17 ปี ด้วยความฉลาดและฝีมือที่ไม่เป็นรองใครง่ายๆ และเขาได้รับความเคารพนับถือต่อเหล่าทหารชั้นผู้น้อยที่นับถือด้านสามารถก้าวมายังตำแหน่งนี้ทั้งที่อายุเพียงแค่นี้ แต่ก็มีบ้างที่ได้รับการอิจฉาเป็นบางส่วน เซย์ดำรงตำแหน่งเรื่อยมาจนกระทั้งได้มาปะกับอาร์ดินตรงๆ อาร์ดินเสนอทางเลือกที่ดีกว่านี้มากมายให้แก่เขาที่มากกว่าอยู่ดำรงแบบนี้ไปจนแก่ตาย สุดท้ายเซย์ก็เลือกเส้นทางที่อาร์ดินต้องการด้วยความรักสนุกล้วนๆ(เอวัง...)ปัจจุบันหลังข้ามโลกตามพวกเจ้าชายมา เซย์ก็กลายเป็นคนถือคติไม่ทำงานก็ไม่มีข้าวกินทันที...
นิสัย :
เซย์มีร่างจำแลงเป็นปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ก็ไม่ปาน
นิยามบุคลิกของเซย์สมควรถูกเปรียบเทียบเป็นปีศาจจอมเจ้าเล่ห์นั้นคือจริงแท้แน่ที่สุด นิสัยต่างๆของเขารวมๆแล้วร้ายกาจเข้าขั้นเลวร้าย ไม่ว่าใครที่ได้ประสบพบเจอเซย์นั้น อย่าถามหาความดีมีน้ำใจของเขาเด็ดขาด เพราะถามหาไปก็ถามหาไม่เจอ แถมเจ้าตัวยังตีหน้าซื่อหน้าตาเฉยอีกต่างหาก รอยยิ้มแต่ละครั้งของเซย์ถึงแม้จะขึ้นแต่สภาพอารมณ์ก็จริง แต่ถ้าเป็นรอยยิ้มประจำตัวล่ะก็ ...ค่อนข้างจะมีลางร้ายเกิดขึ้น
เซย์เป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบมาก
ความฉลาดของเซย์เปรียบเทียบระดับไอคิวล่ะก็ 300 ขึ้น เขามีความรู้รอบตัวในหลายๆอย่างมากมายอันพึงที่มนุษย์คนหนึ่งควรรู้ไว้เป็นศรีแก่ตัว(ที่แค่มากเกินปุถุชนเท่านั้น) เซย์ไม่ใช่บุคคลประเภทมีความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด ดูได้จากไหวพริบของเขา เขามีเล่ห์กลอุบายต่างๆเพื่อใช้ในยามคับขันได้หมด เรื่องเอาตัวรอดนี่แทบจะเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งของเซย์เชียวล่ะ นอกจากเอาตัวรอดเซย์ก็สามารถใช้ไหวพริบเหล่านั้นใช้ในการเจรจาหรืออ่านแผนการได้เช่นกัน
เซย์เป็นพวกถือศักดิ์ศรีเป็นใหญ่
เซย์เกลียดทุกเรื่องที่ทำให้เขาเสียศักดิ์ศรี เป็นจุดแข็งอย่างหนึ่งของเซย์ที่มีนิสัยไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆ สู้จนสุดตัวแม้ว่าร่างกายแทบไม่ไหวก็ตาม ไม่มีคำว่ายอมแพ้ในสมองหรือระบบความคิดของเขา จะว่าดีก็ดีจะว่าร้ายก็ร้ายไปอีกแบบเสียด้วยซ้ำ สำหรับบทคนดีนี่เซย์อาจเป็นฮีโร่ในสายตาชาวบ้าน แต่เป็นบทตัวร้ายเซย์แทบเป็นคนน่ารำคาญระดับหนึ่งซะมากกว่า เพราะเซย์เป็นพวกมีความแค้นต้องชำระ ยิ่งแพ้กลับมาโดยยังมีชีวิตอยู่เขาต้องย่อมหาเวลาเอาคืนแน่นอน
เซย์มีมุมอ่อนโยนที่แฝงอยู่
คนที่เจอโหมดนี้ของเซย์เขาไปอาจมีการเงิบจุดล้านตัวเกิดขึ้น เซย์มีมุมอ่อนโยน? ทุกคนที่ฟังแทบส่ายหัวดิกๆว่าเป็นไปไม่ได้! ...แต่เซย์เองเปรียบเทียบหลักความเป็นมนุษย์ล่ะก็เขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถมีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆได้ แต่แค่แสดงมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น ในกรณีมีความรักเขาก็รักเป็น(แค่อาจดูน่าขนลุกในสายตาคนที่เห็นด้านมืดของเซย์สักเล็กน้อย) รสนิยมความชอบเซย์ก็มีช่วงเวลาสนุกผ่อนคลายคลายเครียด ถ้าเขาได้ทำในสิ่งที่ชอบเซย์ก็เหมือนผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นแหละ
ประวัติส่วนตัว : อดีตหนึ่งในองครักษ์ระดับแนวหน้าของนิเฟลไฮม์ ซึ่งแปรผันเขามาเป็นพวกอาร์ดินโดยแท้ ปัจจุบันเลยรับสถานะเนียนเป็นอาชีพคุณครูสอนนักเรียนตามบ้าน เซย์เป็นผู้ชายที่มีบุคลิกราวปีศาจจอมเจ้าเล่ห์ เขามีเส้นสีดำยาวระคนต้นคอดูนุ่มนวลยามลอยตามกระแสลม ดวงตาสีทองสวยมักเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์อย่างร้ายกาจถึงแม้จะถูกบดบังใบด้วยกรอบแว่นสีดำบางส่วนก็ไม่อาจกลบแววตาได้ ใบหน้าหล่อเหลาพาสยบสาวๆให้ตกหลุมเพียงไม่ยากซึ่งสีหน้ามักฉายชัดไม่ต่างจากแววตาเท่าไหร่ ผิวขาวสมเป็นคนออกกำลังประจำ มีรูปร่างสมส่วนมีความหนักแน่นสมความเป็นผู้ชาย ส่วนสูง 178 เซนติเมตร น้ำหนัก 65 กิโลกรัม
อื่นๆ :
งานอดิเรก : - ฟังเพลง l เซย์เป็นพวกสายร็อค เขาจะชอบเพลงแนวนี้เป็นพิเศษ
- เล่นเกมส์ l เซย์เป็นนักเล่นเกมส์คนหนึ่งเชียวล่ะ เขาสามารถเล่นเกมส์ยากระดับฮาร์ดคอร์ได้หมด
- เข้ายิม l เซย์เป็นพวกอยู่เฉยไม่ได้ ต้องออกกำลังกายให้เสียเหงื่อบ้าง
ของที่ชอบ : - ชัยชนะ l ยิ่งกับพวกที่แพ้ยาก เซย์มีความรู้สึกสะใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ยืนค้ำหัวผู้พ่ายแพ้
- เหล่าอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งหลาย l ไม่มีอะไรมาก เพราะมันอร่อยกว่าอาหารอื่นๆ
- ลูกสุนัขหรือลูกแมว l อยากรู้อ่านได้ที่เพิ่มเติมค่ะ สปอยคือทำไมเซย์เป็นคนที่น่ารักเงียบขนาดนี้ 5555
ของที่ไม่ชอบ : - การพ่ายแพ้ l เซย์เกลียดเรื่องแพ้เหนือสิ่งอื่นใด ต่อให้เป็นเรื่องเล็กน้อยเขาก็ยอมไม่ได้
- การถูกบังคับ l ถ้าไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากจริงๆหรือสิ่งที่ควรจะทำ เซย์จะไม่ยอมก้มหัวให้ใครเด็ดขาด
- พวกมองโลกในแง่ดี l เพราะเขาผ่านประสบการณ์มาเยอะ เลยค่อนข้างเอียนคนนิสัยแบบนี้
เพิ่มเติม : - ชื่อของเซย์ เคลเซย์ แปลว่า เรือแห่งชัยชนะ เคิร์ท แปลว่า มีมารยาท ส่วน เจอราร์ด แปลว่า คนฉลาด
- จุดอ่อนของเซย์นั้นคือลูกสุนัขหรือไม่ก็ลูกแมวตัวเล็กๆ ซึ่งผิดคาดกับบุคลิกเขาสิ้นเชิง! นี่แหละคือมุมอ่อนโยนที่หาได้ยากของเขา ...ในกรณีเซย์ต่อสู้อยู่แล้วเจอบรรดาลูกสุนัขหรือแมวตัวใดที่กำลังลำบาก เขายอมทิ้งหน้าที่ตรงหน้าได้ทันที!
- เวลาคิดหนักๆ เซย์ติดนิสัยชอบใช้นิ้วดันแว่นวางท่าเป็นผู้ดี
- เซย์ไม่ชอบออกไปในตอนกลางคืนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ยิ่งตะลุยป่าตอนกลางคืนเซย์เกลียดมาก ...เซย์กลัวผีค่ะ เขากลัวเป็นสิ่งลี้ลับที่ฆ่าไม่ได้ อารมณ์เซย์ตอนนั้นคือวิ่งได้คือวิ่ง!
- ในกรณีแว่นแตก เขาจะรีบหาอันใหม่มาเปลี่ยนทันที เซย์มีนิสัยติดแว่นมาก
- สายตาของเซย์อยู่ในระดับกลาง ถึงถอดแว่นก็มีความเห็นแบบลางๆว่าพอรู้ว่าใครอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ก็ไม่อาจชัดเท่าไหร่ ในกรณีไม่ได้ยินบ่งบอกว่าใครเป็นใคร เซย์อาจทายผิดคน
แถมประโยคพูดเล็กๆน้อยๆ : “ นายคิดว่าฉันคนนี้จะแพ้? ”
“ เลิกมองโลกนี้มันสวยงามเสียที เห็นแล้วอยากอ้วก! ”
“ ฉันจำเป็นต้องเข้าใจความรู้สึกใครหรือไง? ”
“ ชิบ! นั่นลูกแมวนี่หว่า!!!! ” แล้วก็รีบผละออกไปทันใดอย่างกับวาบได้
“ ใครกลัว! ก็อิแค่เดินทางตอนกลางคืนทำไมฉันจะทำไม่ได้! ”
ความคิดเห็น