คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๓ : วลาหกะ (๑๑๐%)
บทที่ ๓
วลาหกะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูเหมือนว่าภายในผมจะบอบช้ำพอสมควรเล่นเอาไม่มีแรงลุกเลย ก็เล่นดีดขาหลังมาเต็มแรงซะขนาดนั้น นี่ผมยังหกขวบ(?) อยู่นะ
IT’S SHOW TIME!....ได้เวลาเอาจริงแล้วสิ
ผมดึงพลังจากลูกแก้วหนึ่งในของวิเศษทั้งสามสิ่งที่พระอินทร์มอบให้ผมมารักษาอาการบาดเจ็บภายในพร้อมกับฟื้นฟูร่างกายและเรี่ยวแรงให้กลับมาดังเดิม โดยอาจารย์ปู่ช่วยทำพิธีหลอมรวมร่างกายผมกับลูกแก้วให้จึงทำให้ผมสามารถดึงพลังออกมาใช้ได้ตลอด เท่ากับผมมีโอกาสจะพลาดท่าเพราะบาดเจ็บเพียง 20% เท่านั้น
รัศมีสีทองเปล่งออกมาจากร่างกายผมดึงความสนใจจากม้าแก้วที่ตอนนี้กำลังจะเหาะขึ้นฟ้าเพราะคิดว่าจัดการผมได้แล้ว เมื่อแสงจางลงร่างกายผมก็กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมทุกอย่าง
“อุ๊บ! ฮ่าๆๆๆๆ” ผมหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจฟ้าดิน คุณลองคิดสภาพม้าทำตาเหลือกแล้วยิงฟันจนเห็นเหงือกสิ ฮ่าๆๆๆ อย่างฮา
“ฮฮฮฮี้..” กุบกับ กุบกับ เมื่อเห็นผมอยู่ในสภาพปราศจากบาดแผลเจ้าม้าแก้วก็ควบตะบึงเข้ามาหมายจะชนผมให้ตายตกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่พลาดท่าง่ายๆแน่!
ผมพนมมือปากก็ร่ายคาถาเรียกศาสตรา หลังจบคาถามือที่ผมพนมก็ปรากฎเป็นตรีศูลด้ามจับสีงาช้างแกะสลักรวดลายสีทองดูทรงพลังอย่างน่าประหลาด ใบมีดสีเงินสะท้อนแสงเข้าตาม้าแก้วจนทำให้มันเสียหลักเบี่ยงไปจากร่างผมมากโข ผมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดไป จับด้ามจับของตรีศูลโดยให้ใบมีดอยู่ในทิศของแขน ฉีกตัวกระโดดขึ้นพร้อมกับกับซัดด้ามจับไปหลังคอของม้าแก้วเต็มแรง
ฮฮฮฮฮี้....ขลุกๆ ตูมมม!
ม้าแก้วกระเด็นกลิ้งไปไกลกว่าสิบเมตรชนกับต้นไม้ต้นหนึ่งหักโค่นลงอย่างน่าสงสาร แต่ดุเหมือนแรงเฉื่อยจะยังไม่หมด หมัดของผมยังคงพุ่งลงไปยังพื้นดินหลังจากซัดม้าแก้วกระเด็นราวกับว่าวขาดป่าน
ตูมมม!
ฝุ่นควันฟุ้งไปทั่วตำแหน่งที่ผมซัดหมัดลงไปลอยแตกขยายออกไปประมาณเกือบเมตรโดยมีหมัดของผมที่ถือตรีศูลอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง ผมกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่พร้อมกับมองไปยังตรีศูลอย่างเหลือเชื่อ เพราะเพียงหมัดผมลุ่นๆไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้อย่างมากก็ทำให้ม้าแก้วกระเด็นไปได้สักสองสามเมตร แต่นี่มันอะไร!
พลังศาสตราของพระอิศวรจะทรงพลานุภาพมากไปแล้ว!!
จริงอยูว่าอาจารย์ปู่ฝึกผมใช้ของวิเศษพวกนี้ แต่ผมยังไม่เคยเอาออกมาใช้แบบจริงๆจังๆซักทีก็เลยไม่รู้ว่ามันจะมีอำนาจมากขนาดไหน แต่หลังจากเห็นผลงานของตรีศูลแล้วผมคิดว่าชิ้นอื่นก็น่าจะมีอำนาจเทียบเท่ากัน
ดูเหมือนว่าต้องไปถามอาจารย์ปู่อย่างจริงจังซะแล้วสิ....
เมื่อผมได้สติผมจึงรีบวิ่งไปยังทางที่ม้าแก้วถูกซัดกระเด็นมา ผมไม่ได้ต้องการฆ่ามันเสียหน่อยก็แค่อยากจะซัดเอาคืนที่มันถีบผมเบาๆแค่นั้น แล้วค่อยคุยเจรจากันดีๆ เพราะจากที่อาจารย์ปู่เล่ามาม้าแก้วน่าจะมีสติปัญญาพอสมควร แต่นี่โดนไปเสียขนาดนั้นหวังว่าคงไม่เป็นอะไรนะ...
“จะรอดไหมนั่น...” ผมมองต้นไม้พลางกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ม้าแก้วนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงต้นไม้ที่โดนตัวมันกระแทกจนหักโค่นลงอย่างน่ากลัว ห้าคนโอบเลยนะนั่น...
“พี่ม้า...เป็นไรป่าวฮะ” ผมรีบวิ่งเข้าไปดูสภาพม้าแก้วพลางถามอย่างเป็นห่วง ผมทำตาปริ่มๆเหมือนจะร้องไห้เพราะรู้สึกผิดที่ทำอะไรรุนแรงเกิน มือเล็กๆของผมจับที่แก้มม้าแก้วแล้วค่อยๆปล่อยน้ำตาไหลรินออกมา
“ผะ..ผม ขะ...ขอโทษ นะฮะ ฮึก ไม่ คะ..คิด ว่า ตะ..ตรีศูลผม จะระ..รุน แรง ขะ..หนาดนั้น” ผมพูดพลางสะอื้นไห้เหมือนจะขาดใจ
ทั้งๆที่ความจริงแล้วก็ไม่ได้รู้สึกผิดถึงขั้นร้องไห้ แต่ ณ เวลานี้ขอแอ๊บใสก่อนละกันครับจะอย่างไรตอนนี้ผมก็อยู่ในร่างเด็กหกขวบต้องทำตัวให้ดูน่ารักเหมือนเด็กไร้เดียงสาเพื่อซื้อใจผู้ที่อวุโสกว่า ก็อาจารย์ปู่บอกผมว่าม้าแก้วน่ะสิครับมีตบะแก่กล้าสุดๆ อายุราวๆ 500 ปีได้มั้ง แก่กว่าผมตั้งหลายรอบแน่ะ!
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ความประทับใจแรกพบ’ไงล่ะครับ
‘เจ้าร้องไห้ทำไมเด็กน้อย...’ เสียงที่ดูโรยแรงดังขึ้นในหัวผม ผมตาโตอย่างจกใจพลางหันซ้ายหันขวา เมื่อเห็นไม่มีใครผมจึงมองมายังม้าแก้วที่หายใจรวยรินอยู่
“พี่ม้าพูดกับผมเหรอฮะ...ซู้ดดด” ผมพูดอย่างตระหนกพร้อมกับสูดน้ำมูกเสียงดัง ทำให้ผมดูเป็นเด็กน้อยเข้าไปอีก
‘ใช่แล้วล่ะเด็กเอ๋ย...’ น้ำเสียงเบาโหวงตอบกับมาอย่างพยายามจะคุยด้วยก่อนจะเงียบหายไป เล่นเอาผมใจไม่ดี ถึงจะบอกว่ารู้สึกผิดไม่มากเพราะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แต่ถ้าเกิดชีวิตหนึ่งต้องสูญสิ้นนี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“พี่ม้า ทำใจดีๆก่อนฮะ เดี๋ยวผมรักษาให้” ผมรีบพูดจนลิ้นแทบจะพันกันก่อนจะหลับตาลงรวบรวมสมาธิกำหนดจิตถึงลูกแก้วที่อยู่ในร่างกายผม กลางฝ่ามือเล็กๆมีดวงแสงสีทองค่อยๆก่อตัวขึ้นเปล่งรัศมีออกมาจนแสบตา ผมเอาลูกแก้ววางไว้บนตัวของม้าแก้วก่อนจะใช้ให้มันรักษาม้าแก้วจากอาการบาดเจ็บทั้งหมด ลูกแก้วลอยสูงจากร่างม้าแก้วประมาณสิบเซนติเมตรก่อนที่รัศมีสีทองจะเคลือบทั้งตัวม้าแก้ว ม้าแก้วพลันรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บค่อยๆหายไป เมื่อแสงสีทองจางลงบาดแผลทั้งหมดก็หายไปเป็นปริดทิ้งก่อนที่ลูกแก้วจะกลายเป็นดวงแสงสีทองลอยเข้าร่างของผมไป
ถึงจะเคยใช้พลังของลูกแก้วแล้วแต่ผมก็ยังที่จะอดทึ่งไม่ได้อยู่ดี เห็นอาจารย์ปู่บอกว่าในบรรดาของวิเศษทั้งสามสิ่งลูกแก้วมีพลังอำนาจมากสุดเพราะเป็นได้ทั้งสิ่งที่ใช้เยียวยารักษาและสิ่งที่ใช้ในการทำลาย ผมก็เคยถามนะครับว่าใช้พลังอีกด้านยังไงแต่อาจารย์ปู่บอกว่า
‘มันอันตรายเกินไป หลานยังไม่ต้องรู้หรอก...เมื่อถึงวันที่หลานจำเป็นต้องใช้มันจริงๆวันนั้นหลานจะรู้วิธีใช้เอง’
อาจารย์ปู่บอกผมซะเป็นปริศนาอย่างนี้ผมก็เลยล้มเลิกความอยากรู้ไป ถ้าถึงวันจะรู้มันก็รู้เองล่ะ...
“พี่ม้า..” ผมเรียพลางเขย่าตัวม้าแก้วแต่ก็ไร้การตอบรับแต่ด้วยการที่ท้องพองเข้าพองออกอย่างเป็นจังหวะก็บอกได้อย่างดีแล้วว่าม้าแก้วเพียงแค่หลับไป
“แล้วจะแบกกลับอาศรมยังไงดีเนี่ย” ผมเกาหัวอย่างจนปัญญา ตัวของม้าแก้วก็ใช่จะเล็ก แค่ยืนสี่ขาก็ตัวสูงจะเกือบสามเมตร แล้วผมแค่เด็กหกขวบร่างกายสูงไม่ถึงเมตรจะแบกไหวเหรอครับ
“เอาก็เอา ถึงไม่เคยใช้แบบนี้ก็เถอะ” ผมแบมือยื่นไปข้างหน้าหลับตาร่ายคาถาเรียกศาตรา กงจักรขนาดเล็กพลันปรากฏที่ฝ่ามือก่อนจะค่อยๆหมุนวนขยายขนาดจนใหญ่เท่ากับจานข้าว ผมปากงจักรไปใต้ร่างของม้าแก้วพลางสั่งให้มันขยายขนาดขึ้นจนรองรับตัวม้าแก้วได้ทั้งตัว ผมกระโดดขึ้นไปยังกงจักรก่อนจะสั่งให้มันเริ่มหมุนวนแล้วลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าเหาะกลับอาศรม...ด้วยประการฉะนี้แล
“ไม่เสียแรงที่เคยดูโกมินทร์ ฮ่าๆ” ผมหัวเราะออกมาอย่างสุขใจกับความสุขเล็กๆน้อยๆที่ได้รับตอนอยู่บนท้องฟ้า อากาศช่างหน้านอนเสียจริง และยิ่งขำเข้าไปอีกเมื่อนึกถึงละครจักรๆวงศ์ๆ ของช่องหลายสีเรื่องหนึ่ง ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะมีโมเม้นต์ขี่กงจักรเหาะเล่นกับเขาบ้าง
----------------๕๐%-------------
ผมขี่กงจักรชมวิวได้ไม่นานก็มาถึงอาศรมของอาจารย์ปู่ อาจารย์ปู่เองก็ดูเหมือนจะรู้ว่าผมทำภารกิจที่ท่านมอบหมายให้สำเร็จแล้วจึงมานั่งเข้าฌานรอผมอยู่ตรงชานกระท่อม เมื่อผมลงสู่พื้นอย่างปลอดภัยอาจารย์ปู่ก็ลืมตาขึ้นทันที
“หืม? ทำไมเจ้าม้าแก้วเป็นเยี่ยงนั้นเล่าปรวาณ” อาจารย์ปู่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ผมจึงเข้าไปก้มกราบก่อนจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟังตั้งแต่ต้น
“เป็นเช่นนั้นเองรึ อย่างที่ปู่คิดไว้ไม่มีผิด ของวิเศษทั้งสามสิ่งนี้ทรงพลังเกินไป หากไม่จำเป็นหลานอย่าได้ใช้เป็นอันขาด” เสียงสั่งเด็ดขาดของอาจารย์ปู่กำชับผมอย่างหนักแน่น ผมก็ไม่คิดที่จะใช้ตลอดอยู่แล้วลำพังกำลังเปล่าๆของผมก็สามารถล้มชายฉกรรจ์ได้นับสิบ
“ฮะอาจารย์ปู่” ผมพยักหน้าพร้อมยิ้มอย่างไร้เดียงสาก่อนจะเอ่ยถามว่า
“แล้วนี่ท่านแม่สิงห์สรไปไหนหรอฮะ?” ผมถามหาแม่บุญธรรมผมเพราะตั้งแต่ลงจากกงจักรมาผมส่องหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอแม้แต่เงา
“นางกลับไปรอหลานที่ปากทางแม่น้ำ สีหมุข เพราะเห็นเป็นทางผ่านของหลานที่จะออกจากป่านี้”
“อ้อ โอเคฮะ” ผมเผลอพูดภาษาสมัยผมออกไปทำเอาอาจารย์ปู่เลิกคิ้วแปลกใจเลยเชียว
“โอเค? แปลว่าอะไรรึปรวาณ”
“แหะๆ คือเป็นภาษาของอดีตชาติผมฮะ” ผมเกาหัวแก้เก้อไปพลางๆ เพราะถึงอธิบายไปอาจารย์ปู่ก็ไม่ได้เอาไปใช้หรอก
“แล้วนี่หลานจะออกเดินทางตอนไหนหรือ?” ผมนิ่งคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบอาจารย์ปู่ว่า
“อาทิตย์หน้าก็แล้วกันฮะ อาจารย์ปู่ช่วยสอนหลานขี่พี่ม้าหน่อยน้าๆๆๆๆ ” ผมทำตาอ้อนๆใส่อาจารย์ปู่เรียกรอยยิ้มจากฤาษีเท่าได้เป็นอย่างดี
“เช่นนั้นรอเจ้าม้าแก้วตื่นก่อนก็แล้วกัน”
“เย่ๆ ขอบคุณฮะอาจารย์ปู่” ผมกระโดดเหยงๆพร้อมตบมืออย่างชอบใจ อาจารย์ปู่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับท่าทางเป็นเด็กๆของผม (ก็เด็กอยู่ :ไรท์)
ดูเหมือนว่าผลกระทบจากลูกแก้วจะทำให้ม้าแก้วสลบไม่ได้สติถึงสองวันเพื่อปรับสภาพซ่อมแซมรักษาร่างกาย ผมว่าน่าจะเป็นเพราะพลังทำลายของตรีศูลที่ม้าแก้วได้รับไปเต็มๆด้วยแหละครับ ม้าแก้วถึงอยู่ในสภาพนี้ ตอนนี้ม้าแก้วกำลังเดินเล็มหญ้าอยู่ข้างๆอาศรม โดยมีอาจารย์ปู่นั่งเข้าณานตามปกติตรงชานกระท่อม
“หวัดดีฮะ พี่ม้า” ผมเดินดุ๊กๆเข้าไปทักทายม้าแก้วอย่างเป็นกันเอง เมื่อม้าแก้วได้ยินเสียงผมจึงหันมามองพร้อมกับเคี้ยวหญ้าตุ่ยๆไปด้วย บางทีผมก็คิดนะว่า...มันอร่อยเหรอ?
‘เด็กน้อยหรอกรึ ไอ้เราก็นึกว่าเสียงผู้ใดเรียกเรา’
“ทำได้ไงหรอฮะ ไอ้ที่เสียงก้องๆในหัวเนี่ย” ผมถามพร้อมกับเอากำปั้นน้อยๆทุบไปที่ขมับตัวเองเบาๆ
แอ๊บเด็กมากผมคงได้กลายเป็นเฒ่าทารกสักวันนี่ล่ะ.....
‘อืมม...จะว่าอย่างไรดีล่ะคล้ายๆการสื่อสารทางจิตกระมัง’ ม้าแก้วพูดผ่านกระแสจิตเสร็จก็ลงไปเล็มหญ้าต่อ
‘แบบนี้หรือเปล่าฮะ’ ผมเพ่งสมาธิไปยังม้าแก้วก่อนจะลองเอ่ยคำพูดในใจ ดูเหมือนม้าแก้วคงจะได้ยินไม่เช่นนั้นคงไม่หันขวับมามองผมทันทีอย่างนี้หรอก
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง” ผมเอากำปั้นทุบอีกมือที่แบบไว้ระดับท้องประกอบท่าทางการพูด
‘เจ้าเป็นเด็กจริงๆแน่รึ การติดต่อผ่านจิตต้องมีตบะแก่กล้าพอสมควรเด็กอายุราวเจ้าไม่น่าจะทำได้’ คุณเคยเห็นม้าทำสีหน้าประหลาดใจไหมล่ะครับ ตอนนี้ตรงหน้าผมนี่ใช่เลย คิ้ว(?)ที่เลิกขึ้นอย่างแปลกใจกับยิงฟันโชว์เหงือกที่กำลังเคี้ยวหญ้าอย่างไม่รู้ตัว จะว่าตลกหรือน่ารักดีล่ะครับเนี่ย ฮ่าๆ
“อุ๊บ! คิก....” ผมพยายามกลั้นหัวเราะเต็มที่เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับม้าแก้วก่อน
ย้อนกลับไปเมื่อวาน
“อาจารย์ปู่เรียกหลานหรอฮะ?” ผมก้มกราบก่อนจะเอ่ยปากถามตามมารยาท
“ปู่จะคุยเรื่องม้าแก้วกับหลานน่ะ” ผมพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนอาจารย์ปู่จะกล่าวต่อ
“หลานจำตำนานของพระเจ้าจักรพรรดิที่ปู่เคยเล่าให้หลานฟังตอนหลานอายุสามขวบได้อยู่หรือไม่”
“จำได้สิฮะ สนุกจะตาย”
“คือที่ปู่จะบอก เจ้าม้าแก้วตัวที่หลานไปจับมานั่นล่ะมันชื่อ ‘วลาหกะ’ พญาม้าที่เคยเป็นม้าทรงของพระเจ้าจักรพรรดิ” ผมตาโตด้วยความตกใจ ตำนานตัวเป็นๆเลยนะนั่นที่ผมจับมา
“จริงหรือฮะ แสดงว่าพี่ม้าต้องเก่งมากแน่ๆเลย” ถ้าผมได้ขี่ม้าแก้วเหาะชมรอบชมพูทวีปแบบพระเจ้าจักรพรรดิคงดีไม่น้อย ก่อนที่ผมจะเตลิดไปไกลกว่านี้เสียงอาจารย์ปู่ก็เรียกสติผมกลับมาเสียก่อน
“ที่ปู่จะบอกหลานเพียงแค่จะบอกว่า ถึงหลานจะสามารถกำราบม้าแก้วได้ด้วยตัวของหลานเอง แต่ใช่ว่าม้าแก้วจะยอมให้หลานขึ้นขี่ ผู้ที่ขี่ม้าแก้วได้จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญบารมีมากเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วร่างกายจะถูกเผาจนกลายเป็นเศษเถ้าธุลี” ที่ฤาษีโกสีห์ให้ปรวาณไปจับม้าแก้วมาเป็นพาหนะนั้นเพียงแค่การทดสอบ ไม่คิดว่าปรวาณจะทำได้จริงๆ ไม่ใช่ไม่มั่นใจในตัวปรวาณแต่เนื่องด้วยปรวาณยังเด็กจนเกินไปจึงไม่คิดว่าจะสำเร็จ แต่ฤาษีโกสีห์ลืมไปอย่างคือ
ปรวาณไม่ใช่เด็กหกขวบธรรมดา!
“เอ๋? ตอนหลานขึ้นไปควบพี่ม้ากลางอากาศหลานไม่เห็นโดนเผาเลยนี่ฮะ” ผมทำสีหน้าสงสัย นี่แสดงว่าผมเป็นคนที่มีบุญมากแน่ๆเลยถึงขี่ม้าแก้วได้ ไม่คิดแฮะว่าบุญเราจะเยอะขนาดนี้
“ปู่ก็ลืมไปว่าหลานไม่ใช่เด็กธรรมดา เฮ้อ....” อาจารย์ปู่นวดขมับพลางถอนหายใจ
“นี่สงสัยปู่คงจะวิตกมากไป ตอนแรกแค่คิดจะทดสอบความสามารถหลานเพียงเท่านั้น ไม่คิดว่าหลานจะทำได้จริงๆ” อาจารย์ปู่ยิ้มออกมาอย่างเอ็นดูพร้อมกับลูบหัวผม....
‘อบอุ่นจังแฮะ ถ้าพ่อแม่ยังอยู่ก็ดีสิ...’ ผมรีบกลืนก้อนสะอื้นลงคอ เพราะตอนนี้ผมไม่สามารถหวังพึ่งท่านทั้งสองได้แล้ว...
เราต้องเข้มแข็ง!
“ถึงหลานจะไม่ใช่เด็กธรรมดาสามัญทั่วไป จะอย่างไรเด็กก็คือเด็กล่ะนะ” อาจารย์ปู่คงจะสังเกตุเห็นความผิดปกติของผมถึงได้ปลอบผมแบบนี้ ความเข้มแข็งที่ผมพยายามสร้างขึ้นกลับพังทลายลงเพียงเพราะคำพูดเพียงประโยคเดียว ผมร้องไห้โฮปลดปล่อยความอัดอั้นตันใจที่เฝ้าเก็บมันไว้มาตลอดหกปี ถึงผมจะได้ชีวิตใหม่ แต่อดีตอันแสนเลวร้ายก็ยากจะลืมเลือน
“เด็กน้อย อดีตมันผ่านไปแล้วก็แล้วไปเถอะ อย่ายึดติดใจจะเป็นทุกข์เสียเปล่า” อาจารย์ปู่ลูบหลังปลอบโยนผมอยู่พักใหญ่สติสตังผมถึงจะกลับคืนมา
“เอาล่ะปรวาณ ถึงหลานจะขี่ม้าแก้วได้แต่ต้องทำให้ม้าแก้วยอมรับหลานให้ใช้มันเป็นพาหนะเสียก่อน มิเช่นนั้นแล้วม้าแก้วก็สามารถกลับถิ่นที่อยู่เดิมของมันได้ตลอดเวลาหากมันไม่ยอมรับใช้คนผู้นั้นเป็นนาย....” ผมเช็ดน้ำตาพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบ
“สิ่งแรกที่หลานต้องทำคือ...เอาชนะใจม้าแก้ว หลังจากนั้นปู่ถึงจะสอนวิธีขี่ม้าให้หลาน ไปพักผ่อนเถอะตอนนี้ก็ยามสองแล้ว” ผมก้มกราบอาจารย์ปู่ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อน
กลับมาปัจจุบัน
เพราะอย่างที่เล่าไปข้างต้นนั่นแหละครับผมถึงต้องมาคอยพูดคุยกับม้าแก้วอย่างตอนนี้ไง อันดับแรกผมต้องซื้อใจม้าแก้วก่อนโดยการชวนคุยให้สนิทกันในระดับหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจึงค่อยๆตะล่อมๆถามว่าจะยอมรับผมไหม ถ้าไม่ก็คงต้องเอาเรื่องบุญคุณมาใช้ประโยชน์นั่นล่ะครับ
ผมนี่ชั่วร้ายดีว่าไหมครับ...ไม่สิอย่างผมเค้าเรียกเจ้าเล่ห์มากกว่า
อุย! ลืมตัว ว่าผมเป็นเด็กหกขวบอยู่.....
๑๑๐%
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษรีดเดอร์ทุกคน
ที่ไรท์หายไปนานนะครับพอดีว่าไรท์
อยู่ในช่วงสอบไฟนอล นี่ก็เหลืออีกตั้ง
สองตัวเลยมาอัพไม่ได้ นี่โดดอ่านหนัง
สือมาอัพนิยายเลยนะครับเนี่ย ฮ่าๆ
หวังว่าจะสมการรอคอยนะครับ
1 เม้น=1 กำลังใจ
HiDdEn_BlAdE
ความคิดเห็น