คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ : ของวิเศษกับการปราบม้าพยศ(๑๑๐%)
บทที่ ๒
ของวิเศษกับการปราบม้าพยศ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ปรวาณหลานเข้ามาหาปู่หน่อย” เสียงแหบแห้งของฤาษีโกสีห์เรียกปรวาณที่ตอนนี้นอนเล่นอยู่ในอ้อมกอดของนางสิงห์สรอยู่หน้าอาศรม
“ขอรับอาจารย์ปู่” ร่างเล็กขานรับเสียงเรียกของเฒ่าโกสีห์ด้วยน้ำเสียงสดใสกังวานดังระฆังแก้วก่อนที่เจ้าตัวจะหอมแก้มนางสิงห์สรแล้ววิ่งริ่วเข้าไปในอาศรม
“อาจารย์ปู่เรียกหาหลานมีอะไรหรือขอรับ” ปรวาณนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่หน้าเฒ่าโกสีห์ เรียกลอยยิ้มเอ็นดูจากเฒ่าโกสีห์ได้เป็นอย่างดี ปรวาณยิ่งเติบโตยิ่งรูปงามนัก
“ตอนนี้เจ้ากี่ขวบแล้ว”
“6 ขอรับ” ชายชราพยักหน้ารับรู้คำตอบก่อนจะพิจารณาปรวาณตรงหน้าดีๆ ใบหน้ากลมตามวัย ดวงตากลมโตดำขลับ ขนตายาวเป็นแพร จมูกเล็กลั้นเชิดขึ้นแสดงถึงความดื้อซนของเจ้าตัว เส้นผมสีราวกับราตรีกาลเกล้าเป็นจุกอยู่กลางศีรษะมีเครื่องประดับทองคำครอบไว้ ร่างกายห่มด้วยอาภรณ์สีแดงแขนกุด กางเกงขาสามส่วนลายวิจิตร ผูกผ้าไหมสีทองที่เอว
“6 ปีแล้วรึเวลาช่างผ่านไปไวแท้ ปู่มีเรื่องจะบอกหลานถึงภูมิหลัง หลานอยากฟังไหม” ปรวาณพยักหน้าเพราะตั้งแต่จำความได้ตนก็ได้นางสิงห์สรเลี้ยงดูมาตลอด จึงสงสัยอยู่บ้างว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร
“หลานฟังให้ดี หลานไม่ใช่คนธรรมดาสามัญปู่พบหลานหน้าอาศรมนี้โดยมีมาตุลีเทพบุตรอุ้มหลานมาส่งจากฟากฟ้า” ปรวาณได้ฟังก็มีสีหน้าตกใจ เพราะนางสิงห์สรเคยเล่าตำนานเทพต่างๆให้ตนฟังอยู่บ่อยๆ ปรวาณจึงเคยได้ยินชื่อของมาตุลีเทพบุตรผู้เป็นสารถีประจำตัวพระอินทร์อยู่บ้าง
“ใช่สารถีประจำตัวพระอินทร์หรือเปล่าขอรับ”
“ใช่แล้วล่ะหลาน ตอนที่ปู่พบหลานมีของวิเศษสามสิ่งติดตามหลานมาด้วย” เฒ่าโกสีห์หยิบหีบขนาดไม่ใหญ่มากที่วางอยู่ข้างกายมามอบให้ปรวาณ ซึ่งปรวาณก็รับไปอย่างงงๆ
“นี่นะหรือขอรับอาจารย์ปู่” หีบที่มือเล็กประคองไว้เป็นหีบไม้เก่าๆที่จะพังแหล่ไม่พังแหล่มิน่าจะเป็นของวิเศษได้
“ลองเปิดดูสิ” มือเล็กสมวัยเปิดหีบผุๆออกตามที่เฒ่าโกสีห์บอกแสงสว่างเจิดจ้าสีทองปะทุออกมาจากหีบไม้ราวกับเขื่อนแตก นางสิงห์สรที่นอนเล่นอยู่นอกอาศรมถึงกับสะดุ้งตกใจไม่น้อยจนต้องรีบเข้ามาในอาศรมเนื่องด้วยกลัวลูกของตนเป็นอะไรไป
เมื่อรัศมีสีทองจางลงก็ปรากฏเป็นสิ่งของที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือสามอย่างลอยอยู่เบื้องหน้าของปรวาณเรียกสีหน้าสงสัยจากปรวาณได้เป็นอย่างดี เปิดตัวมาก็อลังการอยู่หรอกแต่สภาพของข้างในนี่ไม่ค่อยเหมาะกับการเปิดตัวเอาเสียเลย
“เอ่อ อาจารย์ปู่ใช่ของวิเศษแน่หรือขอรับ”
“แน่สิไม่เชื่อหลานลองสัมผัสดูได้” ปรวาณเอื้อมมือเข้าไปใกล้ๆของวิเศษสามสิ่งขนาดย่อส่วนเมื่อแตะถูกชิ้นหนึ่งเข้าความทรงจำมากมายตั้งแต่ครั้งอดีตต่างถ่ายทอดเข้าสู่สมองของปรวาณอย่างรวดเร็วๆพอๆกับการขยายขนาดของของวิเศษทั้งสาม
“อึก” ความทรงจำที่ไหลเข้ามานั้นมากมายนักจนปรวาณถึงกับเอามือกุมหัว เพราะความทรงจำเหล่านี้เป็นความทรงจำตั้งแต่ครั้งอดีตชาติตอนที่เกิดเป็นเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย นั่นเท่ากับว่าปรวาณต้องคอยลองรับความทรงจำทั้ง 18 ปีของเด็กหนุ่มคนนั้น
ปรวาณกัดฟันรับความทรงจำอยู่ชั่วครู่กระแสความทรงจำก็หยุดนิ่ง ปรวาณหายใจหอบเล็กน้อย ตอนนี้เบื้องหน้าของปรวาณมีของวิเศษสามสิ่งลอยอยู่ ตรีศูล จักร แล้วก็ลูกแก้ว
ตรีศูลมีลักษณะคล้ายๆส้อมแต่ขนาดความกว้างความยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือผู้ใหญ่ ตัวใบมีดเป็นสีเงินยวงสะท้อนแสงอาทิตย์เปล่งประกายจนแสบตา ด้ามจับยาวเพียงหนึ่งคืบเท่านั้นแกะสลักรวดลายอันวิจิตรพิสดารสีทองโดยมีพื้นหลังเป็นสีขาวของงาช้าง ตรงปลายประดับไปด้วยไพฑูรย์ซึ่งเป็นหนึ่งในอัญมณีนพรัตน์ สามารถยืดขยายด้ามจับได้ตามต้องการ
จักรหรือกงจักรมีรูปร่างคล้ายดอกบัวใบมีดมีสีทองอร่ามราวกับทองคำแท่งโดยฐานของใบมีดแต่ละซี่นั้นมีลายไทยแกะสลักอย่างประณีตตรงกลางมีรูเพื่อใช้จับได้สะดวก ตัวกงจักรแทบจะหมุนเองตลอดเวลาสามารถย่อขยายได้ตามปรารถนา และยังแยกตัวออกเป็นกงจักรรูปแบบเดียวกันได้มากถึงสามชิ้น
ลูกแก้วมีลักษณะทรงกลมโปร่งใสจนเห็นไอพลังด้านในเป็นแสงสีเหลืองอ่อนๆหมุนวนราวกับกลุ่มเนบิวลาหรือหมอกอวกาศไปมาทั้งลูกแก้ว ฐานลูกแก้วมีรวดลายสลักสีทองวิจิตรงดงาม ในบรรดาของวิเศษทั้งสามชิ้นลูกแก้วนั้นไม่สามารถนำมาใช้ต่อสู้ได้เลยเนื่องด้วยมันมีอำนาจเพียงการรักษาและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายให้อยู่ยงคงกระพันเพียงเท่านั้น แต่ต้องนำมาหลอมรวมในร่างกายเสียก่อน
“โอโห สวยมากเลยฮะอาจารย์ปู่” หลังจากความทรงจำของอดีตชาติได้กลับมา สำเนียงลักษณะการพูดก็เปลี่ยนไปตามความเคยชินของชาติปางก่อน ทำเอาฤาษีโกสีห์กับนางสิงห์สรเลิกคิ้วแปลกใจกับท่าทางที่ปรวาณแสดงออกราวกับคนละคน
“ทำไมอาจารย์ปู่กับแม่สิงห์สรมองหนูอย่างนั้นละ มีอะไรติดหน้าหนูอยู่หรอ” ไม่พูดเปล่ามือก็ปัดป่ายทำการสำรวจทั่วใบหน้าของตนเผื่อมีสิ่งผิดปกติ คำที่ใช้เรียกแทนตัวเองเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากผู้อวุโสทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีแต่ในกรณีของนางสิงห์สรเหมือนแสยะยิ้มมากกว่า(รีดเดอร์ลองคิดดูตอนสิงโตยิ้ม :ไรท์) เพราะตั้งแต่ชาติปางก่อนแล้วปรวาณมักเรียกแทนตัวเองว่าหนูเสมอเวลาที่มีแต่ครอบครัว
“ไม่มีอันใดดอก แค่ปู่สงสัยในท่าทางของหลานที่ราวกับคนละคนเท่านั้น” นางสิงห์สรก็พยักหน้ายืนยันคำพูดของสหายตน
“อ๋อ เรื่องนี้นี่เองฮะ เดี่ยวหนูเล่าให้ฟัง” จากนั้นก็เป็นมหกรรมเล่าเรื่องความทรงจำตั้งแต่ชาติปางก่อนให้ผู้ที่เลี้ยงดูตนฟังอย่างละเอียดยิบ ตั้งแต่ถุกประหาร พบพระอินทร์ จนมาอยู่ในภพภูมินี้
“น่าเวทนานัก หลานได้โอกาสแก้ไขแล้วก็ทำให้มันเต็มที่ อย่าให้ผิดพลาดเหมือนชาติก่อนๆเข้าใจไหม” ได้ทีเฒ่าโกสีห์ก็สั่งสอนปรวาณอย่างอดไม่ได้
“แม่ไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกต้องพานพบชะตาชีวิตเช่นนี้ โถ ลูกน้อยของแม่” นางสิงห์สรเมื่อได้ฟังสิ่งที่ปรวาณพบเจอในชาติปางก่อนก็อดไม่ได้ที่จะเอาหัวใหญ่ๆดุนไหล่ปรวาณเป็นเชิงปลอบใจ
“เรื่องมันแล้วไปแล้วฮะ ตอนนี้หนูก็มีแม่สิงห์สรกับอาจารย์ปู่ไง คิกคิก” เจ้าตัวเล็กจับปากของนางสิงห์สรแล้วลงไปจุ๊บอย่างที่ชอบทำบ่อยๆตอนอ้อนนางสิงห์สรเวลาขออะไร
“ทำอย่างนี้ต้องการอะไรอีกล่ะเจ้าตัวแสบ” นางสิงห์สรอดกล่าวแซวไม่ได้ เพราะตอนนี้ตนมีความสุขสุดๆตั้งแต่ได้พบเจอปรวาณและเฝ้าดูการเจริญเติบโตของทารกน้อยอย่างช้าๆ จนตอนนี้กลายเป็นกุมารน้อยไปเสียแล้ว เวลาช่างผ่านไปไวเสียจริง
“ไม่มีอะไรหรอกฮะคิกๆ” เด็กน้อยหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี ผู้อวุโสทั้งสองเองก็อดรู้สึกนับถือหัวใจของเด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้ แม้จะเจอเรื่องหนักหนาแค่ไหนแต่ก็ยังคงรักษาหัวใจที่เข้มแข็งนี้ไว้ได้
“เอาล่ะๆ นับจากวันนี้ไปปู่จะฝึกหลานใช้ของวิเศษทั้งสามอย่างให้ชำนาญหลานจะได้ออกเดินทางไปทำความดีชดใช้เวรกรรมให้สมความตั้งใจของหลาน”
“มันไม่เร็วไปหรือท่าน” นางสิงห์สรอดใจหายไม่ได้ จะอย่างไรตนก็เลี้ยงดูปรวาณมาตั้งแต่แบะเบาะเป็นเวลาถึงหกปีอย่างไรเสียย่อมมีความผูกพันธุ์มากเป็นธรรมดา
“ไม่เร็วไปหรอกสหาย ปรวาณหลานออกไปเล่นรอข้างนอกไป ปู่มีเรื่องคุยกับแม่หลานนิดหน่อย” เฒ่าโกสีห์หันไปคุยกับนางสิงห์สรก่อนจะพูดบอกปรวาณให้ออกไปเล่นข้างนอก ถึงปรวาณจะงงๆอยู่บ้างว่าทำไมบรรยากาศดูเครียดจังแต่ก็เดินออกไปนอกอาศรมตามคำสั่งแต่โดยดี
“สหายท่านรู้หรือไม่ว่ากรรมใดที่ปรวาณได้ก่อไว้จนต้องมาตามชดใช้เช่นนี้” นางสิงห์สรส่ายหน้าประฏิเสธ
“เช่นนั้นแล้วท่านจงฟัง กรรมที่ปรวาณได้ก่อไว้ใหญ่หลวงนัก กว่าจะชดใช้กรรมจนใช้ชีวิตในภพภูมินี้ได้อย่างปกติสุขต้องพบเจอเรื่องอันตรายถึงชีวิตมากมาย เช่นนั้นแล้วไม่เป็นการดีหรอกหรือที่ข้ารีบอบรมสั่งสอนแล้วให้ปรวาณออกเดินทางหาประสบการณ์เพื่อใช้ในภายภาคหน้า ถึงแม้ตอนนี้ปรวาณจะมีอายุเพียง 6 ขวบปีก็เถอะ” ฤาษีโกสีห์เองก็หนักใจในเรื่องนี้ไม่น้อยเพราะตนเองก็อดห่วงอนาคตข้างหน้าของปรวาณมิได้ ก็ทำได้เพียงแค่ช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยเหลือได้ แม้ตนจะมีฤทธิ์เดชมากมายเพียงใดแต่ตนก็ฝืนชะตากรรมไม่ได้เช่นกัน
“กรรมที่ปรวาณก่อไว้หนักหนาขนาดไหนกัน” นางสิงห์สรถอนหายใจเบาๆ เพราะตนก็รู้เท่าที่ลูกตัวเองรู้เพราะปรวาณเล่ามาจนหมดเปลือก
“เรื่องนี้เราก็ไม่รู้หรอกสหาย แต่การที่ชีวิตผู้บริสุทธิ์ต้องตายตกเพราะปรวาณนี่ก็ถือเป็นกรรมที่หนักหนาสาหัสมากมายแล้ว” ฤาษีเฒ่าทอดมองออกไปนอกอาศรมเห็นปรวาณวิ่งไลจับผีเสื้ออย่างสนุกสนาน
“เด็กน้อยที่ร่าเริงเช่นนี้ไม่น่าจะต้องพบเจอชะตากรรมที่เลวร้ายในภายภาคหน้าเอาเสียเลย” นางสิงห์สรก็ต้องได้แต่ยอมรับการตัดสินใจของสหายเห่าตน
“เช่นนั้นแล้วท่านคิดว่าต้องใช้เวลากี่วันในการฝึกปรวาณใช้ของวิเศษกัน”
“สักสี่เดือนก็คงได้”
“น้อยขนาดนั้นเชียวหรือ” นางสิงห์สรอุทานด้วยความตกใจ จะอย่างไรก็ไม่ชินจากการจากลาถึงตนจะตบะแก่กล้าก็เถอะ
“พวกเราคงอยู่ดูแลปรวาณได้แค่นี้จริงๆ เพราะเราได้เคยตรวจดูชะตาของปรวาณแล้ว หนักกว่าที่เราคาดไว้นัก ภายในปีนี้ปรวาณต้องพบเจอกับชะตากรรมแรก หากผ่านชะตากรรมนี้ไปไม่ได้ปรวาณก็ไม่อาจอยู่ในภพภูมินี้ได้อีกต่อไป แต่หากผ่านพ้นไปได้ ปรวาณก็จะพบความสุขอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่ชะตากรรมระรอกใหม่จะเข้ามา” นางสิงห์สรที่ได้ฟังก็เกิดอาการร้อนลนเป็นอันมาก แต่ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะเป็นชะตากรรมที่ปรวาณต้องเผชิญ
“เอาล่ะหมดเรื่องคุยแล้ว สหายเราเจ้าจงไปดูแลปรวาณต่อเถอะรุ่งขึ้นเราจะเริ่มฝึกปรวาณแล้ว” นางสิงห์สรรับคำแล้วเดินออกไปเล่นกับลูกน้อยของตน ตนมีเวลาเพียงแค่สี่เดือนจึงต้องดูแลลูกน้อยของตนให้ถึงที่สุดก่อนที่ลูกน้อยของตนจะออกเดินทาง
รุ่งเช้าฤาษีโกสีห์ก็เริ่มฝึกปรวาณอย่างที่บอกโดยเดือนแรกฤาษีฝึกการใช้ตรีศูลให้แก่ปรวาณ เดือนต่อมาฝึกกงจักร เดือนที่สามฝึกการดึงพลังจากลูกแก้ว และเดือนสุดท้ายทบทวนวิชาความรู้ทั้งหมดตั้งแต่การต่อสู้มือเปล่า การใช้อาวุธ การใช้ของวิเศษ การปกครอง และการใช้คาถาอาคม ซึ่งผลที่ออกมาสร้างความประหลาดใจให้แห่ฤาษีโกสีห์กับนางสิงห์สรได้อย่างมาก ไม่ใช่แค่แตกฉานแต่ค่อนข้างที่จะใกล้เคียงพวกตนเลยทีเดียว
จนตอนนี้เวลาล่วงเลยไปได้สี่เดือนเศษๆตามที่ฤาษีเฒ่าได้บอกไว้ก็ได้เรียกปรวาณมาคุย....
“หลานปู่ตอนนี้เจ้าก็แตกฉานวิชาที่ปู่สอนทุกแขนง คงได้เวลาแล้วกระมังที่หลานจะออกเดินทางตามความตั้งใจ หลานเห็นนั่นไหม...” ชายชราชี้นิ้วอันเหี่ยวย่นไปยังอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำสายนี้ ปรวาณที่นั่งตาแป๋วก็หันไปมองตาม
“เห็นฮะฝูงม้าฝูงใหญ่เบ้อเร้อเลย” พูดพร้อมกับทำมืออย่างตื่นเต้นเรียกลอยยิ้มเอ็นดูจากฤาษีเฒ่าได้เป็นอย่างดี
“ภารกิจแรกเพื่อเป็นการทดสอบความรู้ที่ตากับแม่หลานสั่งสอนมา หลานจงไปจับม้าแก้วมาเป็นพาหนะให้จงได้โดยหลานต้องใช้ทุกอย่างที่มีในการเอาชนะทำให้มันยอมรับให้ได้ ไม่ใช่ไปบังคับมัน หลานอย่าได้ประมาทเป็นอันขาดเพราะม้าแก้วมีฤทธิ์เดชมากมาย จงจำคำปู่ไว้...ประมาทเท่ากับตาย”
“ฮะอาจารย์ปู่” ปรวาณรับคำก่อนจะเดินออกไปหานางสิงห์สรเพื่อขอคำอวยพร
-------------ต่อ-----------
(หลังจากนี้ผมจะบรรยายในมุมมองของตัวเอกนะครับ)
ตอนนี้ผมอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำอัสสมุขแล้วครับ คงงงกันสินะว่าทำไมผมทำตัวเหมือนเด็กๆทั้งๆที่อายุสมองก็ปาเข้าไปสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว....เพื่อให้สมบทบาทยังไงล่ะ
ก็ตอนนี้ผมอยู่ในร่างของเด็กหกขวบนี่นา....
จะว่าไปแล้วก็สมกับเป็นถิ่นที่อยู่ของเหล่าอาชาจริงๆเลยนะครับมองไปทางไหนก็เห็นแต่ม้าเต็มไปหมด ตอนนี้อากาศถือว่าดีใช้ได้บวกกับทิวทัศน์โดยรอบผมว่ามันน่านอนมากเลยล่ะ ทุ่งหญ้าโล่งกว้างมองเห็นภูเขาอยู่ลิบๆ เมฆก็ลอยเอื่อยๆไปตามกระแสลมที่พัดมาอย่างบางเบา สวรรค์ของคนชอบนอนโดยแท้...
แต่พอดีตอนนี้ผมมีภารกิจที่อาจารย์ปู่มอบหมายให้ผมมาทำดังนั้นจึงมัวแต่คิดจะนอนไม่ได้ ไอ้เราก็ลืมถามว่าลักษณะของม้าแก้วเป็นอย่างไรไม่ใช่เป็นแก้วทั้งตัวหรอกนะผมจะหัวเราะก๊ากให้ ผมกวาดตามองดูโดยรอบ....
“ม้าแก้ว ม้าแก้ว.....” อืม..อยู่ไหนนะ มองไปทางไหนก็มีแต่ม้าเต็มไปหมดแล้วผมจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่าตัวไหนคือม้าแก้ว เห็นอาจารย์ปู่บอกว่าม้าแก้วเป็นม้าที่มีฤทธิ์เดชมาก อย่างนั้นเราคงต้องหาม้าที่มันดูจะเกินจริงนิดหน่อย ผมกวาดสายตาดูอีกทีให้ทั่ว
ฮี้..... ฮี้.... กุบกับๆๆๆๆๆ
เอ๊ะ! เสียงม้านี่นาเหมือนมาจากข้างหลังเลยซักฝูงนึงได้มั้ง ผมรีบหันไปดูอย่างฉับพลัน เป็นฝูงจริงฝูงใหญ่ซะด้วย อิ๊บอ๋ายแล้ว!
“แว๊กกกก! ทำไมต้องมาทางนี้ด้วยเล่า!” ผมตะโกนออกไปอย่างตกใจขาสั้นๆก็ออกตัววิ่งในทันที จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรเล่าม้าฝูงใหญ่มากกว่าร้อยตัววิ่งไล่บี้ผมมาอย่างกระชั้นชิด ถ้าเผลอหยุดพักมีสิทธิโดนเหยียบตายได้เลยนะนั่น
“ทำไงดีๆ” ผมคิดอย่างร้อนรนสมองรีบคิดหาทางรอด ตอนที่ผมกำลังคิดหาทางรอดอยู่นั้นผมได้ยินเสียงม้าตัวหนึ่งที่ดังก้องกังวานที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา พร้อมกับรับรู้ถึงแรงลมที่เฉี่ยวหัวไปอย่างรวดเร็ว
ฮฮฮฮฮฮี้.... ฟุบ!
ผมหันไปตามเสียงที่ได้ยินเห็นม้าตัวหนึ่งที่มีลักษณะงดงามมาก ขนสีขาวเงางามตลอดทั้งตัวเปล่งประกายระยิบระยับ มีหางเป็นพวงตรงปลายคล้ายดอกบัวตูม ยามที่ออกตัววิ่งหน้าม้าก็สะบัดตามแรงลมทำให้ม้าตัวนี้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้นและที่สำคัญมันวิ่งอยู่บนอากาศ!
“ตัวนี้แน่เลย ชัวร์!” ผมดีใจได้ไม่นานที่หาม้าเจอก็ต้องมาตาลีตาเหลือกวิ่งหนีม้าฝูงใหญ่ต่อไป
“โอยยยย ไอ้ฝูงม้าพวกนี้จะอะไรกันนักกันหนา แฮกๆ” ตอนนี้ผมเริ่มหอบแล้วครับไม่รู้ว่าวิ่งออกมาไกลขนาดไหนด้วย ส่วนม้าแก้วก็วิ่งนำฝูงอยู่บนอากาศอย่างไม่มีทีท่าจะสนใจผม
“เอาวะ!” สิ้นเสียงผมก็ลองกระโดดให้แรงที่สุด ด้วยความที่ผมดื่มนมของพญาราชสีห์มาตั้งแต่ยังเด็กทำให้ผมมีพละกำลังมากล้น ตอนนี้ผมลอยเหนือพื้นประมาณสิบเมตรอยู่ในระดับเดียวกับม้าแก้ว ผมเริ่มหลับตาทำสมาธิท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศที่อาจารย์ปู่สอนมา ร่างกายผมพลันหยุดนิ่งไม่ตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง
“โว้วว รู้สึกดีกว่าที่คิดแฮะ....บินได้เนี่ย” ผมพูดพลางลองใช้สมาธิบังคับร่างกายให้บินไปตามที่ใจคิด มันบังคับยากกว่าบนพื้นดินเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา ผมเหาะเล่นอยู่ซักพักแต่ไม่ห่างจากม้าแก้วมากเมื่อร่างกายเริ่มชินแล้วก็ได้เวลาเอาจริงเสียที
“ไอ้ม้าแก้วมาให้ฉันจับเสียดีๆ” ผมเหาะไปหาม้าแก้วที่ตอนนี้เดินบนอากาศอย่างสบายใจ คงคิดว่าไม่มีใครตามมันมาบนนี้ได้มั้ง แต่มันคิดผิด ผมเหาะเข้าไปใกล้ๆโดยมันไม่รู้ตัวรวบคอมันแล้วนั่งลงทีหลังอย่างรวดเร็ว เล่นเอาม้าแก้วตกใจยกขาหน้าขึ้นจนผมแทบล่วง
ฮฮฮฮี้... พอมันรู้ว่ามีมนุษย์ตัวเล็กๆสามารถเกาะคอมันที่เหาะอยู่ได้ก็เกิดอาการพยศดีดขึ้นดีดลง เล่นเอาผมรู้สึกเหมือนจะล่วงได้ทุกนาที แต่ผมก็กัดฟันยึดคอมันไว้
“หนอย!...พยศนักนะเดี๋ยวได้รู้กัน” ตอนนี้มันไม่แค่ดีดแล้วครับมันยังวิ่งวนไปทั่วท้องฟ้าดีดขึ้นดีดลงบางที่มีหมุนควงสว่านทำท่าจะลงพื้นแล้วกลับตัวเหาะตีลังกากลับหลังจนมือผมแทบเกาะไม่อยู่ แต่ด้วยความที่มือผมเล็กมากเพราะตอนนี้อยู่ในร่างเด็กอยู่เรายื้อยุดฉุดกระชากกันซักพักมือผมก็หลุดออกจากการเกาะกุม...
ผมล่วงลงสู่พื้นจากความสูงประมาณเกือบยี่สิบเมตรผมรีบท่องคาถาเหาะเหินเดินอากาศอย่างรวดเร็วจึงทำให้ผมลงสู่พื้นโดนสวัสดิภาพ ตอนนี้ผมเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดถึงกำลังผมจะพอๆกับพญาราชสีห์แต่อย่างไรร่างกายผมก็เป็นเด็กจึงเหนื่อยง่ายเป็นธรรมดา เพราะที่ผมใช้เวลาบนหลังม้าค่อนข้างนานจนมือล้าแล้วตกลงมาอย่างที่เห็นนี่หละ
“ใครจะไปรู้ว่ามันจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้เล่า” ผมใช้หลังมือเล็กๆปาดเหงื่อที่ไหลเข้าตา ผมใช้แรงไปมากจริงๆ
ตุบ! เสียงเหมือนของหนักลงสู่พื้นดังมาจากด้านหลังผม ผมหันไปมองอย่างช้าๆก็เห็นบั้นท้ายของม้าแก้วที่กำลังจะง้างขาหลังดีดใส่ตัวผม แต่ด้วยความที่ยังเหนื่อยอยู่จึงทำให้ปฏิกิริยาการตอบสนองของผมไม่ไวเท่าที่ควรจึงทำให้ผมหลบไม่ทันโดนลูกถีบของม้าแก้วเข้าจังๆจนตัวผมปลิวไปกระแทกต้นไม้จนหักครึ่งกระอักเลือดออกมาคำโตอย่างน่ากลัว
“นี่กะเอาถึงตายเลยรึไง...” ผมปัดคาบเลือดที่ปากด้วยหลังมือก่อนจะส่งสายตาคมกริบไปให้ม้าแก้ว (แต่ไรท์ว่าน่ารักมากกว่า รีดลองคิดถึงเด็กอายุหกขวบทำตาเขียวใส่ดูสิ :ไรท์)
อย่างที่อาจารย์ปู่บอกประมาทเท่ากับตาย สงสัยผมคงต้องเอาจริงแล้วสินะ......
๑๑๐%
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ลงครบเเล้วครับขอโทษที่ให้รีดรอนนาน
พอดีตอนนี้ไรท์อยู่ในช่อวงสอบไฟนอล
เลยต้องเเบ่งเวลามาอ่านหนังสือบ้าง
ไรบ้างเดี๋ยวหมาจะถามหาเอา
หวังว่าจะถูกใจนะครับ
1 เม้น=1 กำลังใจ
HiDdEn_BlAdE
ความคิดเห็น