คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter II : เริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ โลกแห่งใหม่ (Loading...Success)
บทที่ 2 เริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ โลกใหม่
เด็กสาวผู้มีผมสีฟ้าสดใส นอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงที่ใหญ่กว่าตัวเพียงเล็กน้อย เมื่อแสงรุ่งอรุณส่องผ่านหน้าต่างเข้ากระทบร่างบาง ด้วยความอบอุ่นของไอแดดทำให้ร่างบางเริ่มได้สติดวงตาเริ่มเปิดออกก่อนจะเอามือเล็กขึ้นมาบังแดดเล็กน้อยเพื่อให้ดวงตาได้ปรับสภาพ เนื่องจากเพิ่งตื่น เด็กสาวเรียบเรียงเหตุการณ์ที่ประสบมาเล็กน้อยก่อนจะสะดุ้งสุดตัวแล้วเผลอตะโกนออกมาเสียงดัง
“พ่อ! แม่!” สิ้งเสียงตะโกนร่างบางก็รีบลุกจากเตียงแต่ด้วยร่างกายที่ยังไม่ฟื้นสภาพดีทำให้ทรุดลงนั่งกับพื้น ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะสบตาเข้ากับเด็กชายคนหนึ่งอายุน่าจะประมาณ 6 ปีได้เกาะขอบประตูมองมาที่เธออยุ่
“พ่อฮับ พี่สาวเค้าฟื้นแล้วฮับ” เด็กชายตัวเล็กมีผมหยักศกเป็นรอนสีน้ำตาลอ่อนเหมือนชาวกรีกตะโกนบอกพ่อของตนเมื่อเห็นเด็กสาวฟื้น
“หืม? ฟื้นแล้วหรอ” สิ้นเสียงตอบรับตรงบานประตูก็มีร่างของชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาพอสมควร ผมหยักศกเป็นรอนสีน้ำตาลอ่อนเช่นเดียวกับเด็กชายตัวน้อย เดินมาพร้อมน้ำหนึ่งแก้ว
“เป็นไงสาวน้อยลุกไหวไหม สลบไปนานเลยนะ” ชายวัยกลางคนกล่าวล้อๆ ก่อนจะเดินไปวางแก้วน้ำไว้กับโต๊ะข้างๆเตียงแล้วเดินไปพยุงเด็กสาวให้นอนลงบนเตียงดีดี
“พอไหวค่ะ แล้วคุณลุงเห็นพ่อกับแม่หนูหรือเปล่าค่ะ” เด็กสาวถามถึงสิ่งที่ตนอยากรู้ที่สุดในตอนนี้ โดยในใจหวังลึกๆว่าจะมีคำตอบที่เธอต้องการ แต่เหมือนคราวนี้พระเจ้าจะเข้าข้างเธออยู่บ้างเมื่อคุณลุงแปลกหน้าที่ช่วยเธอไว้ตอบออกมา
“เห็นสิ ตอนนี้ทั้งสองคนนั้นยังไม่ฟื้นเลย….” ชายกลางคนพูดไม่ทันจบเด็กสาวก็กล่าวแทรกทันที
“พ่อแม่หนูเป็นอย่างไรบ้างค่ะ พาหนูไปหาพวกท่านหน่อย” เด็กสาวพูดออกมาอย่างร้อนรน
“เดี๋ยวก่อนสิหนู พวกท่านไม่เป็นอะไรแล้วแค่สลบไปเฉยๆ ส่วนหนูกินน้ำนี่ก่อนเดี๋ยวฉันจะพาไปเมื่อร่างกายหนูได้ปรับสภาพแล้ว เพราะหนูสลบไปเป็นอาทิตย์” ชายกลางคนกล่าวอย่างใจดีก่อนจะหยิบแก้วน้ำที่ตนถือมาให้เด็กสาวดื่ม
“ขอบคุณค่ะ ว่าแต่พ่อแม่หนูไม่เป็นอะไรใช่ไหมค่ะ” เมื่อเด็กสาวตั้งสติได้ก็ยังถามคำถามเดิมเพื่อให้ตนแน่ใจ มือเรียวยกแก้วน้ำขึ้นจิบเบาๆด้วยความล้าเนื่องจากไม่ได้เคลื่อนไหวมานาน เมื่อของเหลวสีใสไร้กลิ่นเข้าปากปุ๊บดวงตาของเด็กสาวก็เบิกกว้างด้วยความแปลกใจ เพราะรสชาติมันเหมือนน้ำแอปเปิ้ลมากๆเลย แต่น่าแปลกที่มันมีสีใสแถมไร้กลิ่นอีก
“เอ่อ คุณลุงค่ะนี่มันน้ำอะไรหรอค่ะ รสชาติเหมือนน้ำแอปเปิ้ลเลย”
“น้ำของผลคราฟเฟิล*นะ ว่าแต่แอปเปิ้ลคืออะไรหรอแม่หนู” ชายชราตอบคำถามก่อนจะถามกลับเช่นเดียวกัน เมื่อตนได้ยินชื่อบางอย่างที่ตนไม่รู้จัก
“ก็แอปเปิ้ลไงค่ะ ที่เป็นลูกเกือบกลมสีแดงๆเนื้อในสากๆขาวๆ นี่ลุงไม่รู้จักหรือค่ะ” หญิงสาวก็บอกลักษณะของแอปเปิ้ลให้ชายกลางคนฟังถึงแม้จะนึกแปลกใจก็ตามว่าไอ้ผลคราฟเฟิลนี่มันคืออะไร
“ลุงไม่เคยเห็นรู้จักเลยแต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้หนูคงมีแรงขึ้นมาหน่อยนึงแล้วมั้ง” เด็กสาวอดตกใจไม่ได้เพราะตอนนี้เธอรู้สึกมีแรงอย่างที่ลุงแกว่าจริง
“ไม่ต้องตกใจหรอก นั่นเป็นสรรพคุณของผลคราฟเฟิลนะ ช่วยลดอาการเหนื่อยล้าได้นิดหน่อย” คุณลุงพูดเหมือนเดาใจเด็กสาวได้ว่าต้องการจะถามอะไร
“แล้วผลคราฟเฟิลนี่มันรูปร่างยังไงค่ะ บนโลกมีผลไม้ชื่อแบบนั้นด้วยหนูเพิ่งรู้นะเนี่ย” เมื่อเด็กสาวเห็นว่าเป็นผลไม้แปลกจึงอยากรู้ว่ารูปร่างมันเป็นอย่างไรเธอจะได้เอาไปอวดเพื่อนที่โรงเรียนได้ว่าอย่างน้อยเธอก็เคยกินผลไม้ชื่อแปลกนี่
“ผลเป็นสีม่วงอมชมพูนะรูปร่างกลมๆ เอ๊ะ! เดี๋ยวนะแล้วโลกเป็นผลไม้ชนิดไหนหรือแม่หนู” คำพูดประโยคหลังของชายกลางคนเล่นเอาเด็กสาวงงเป็นไก่ตาแตกเลยทีเดียว ก่อนที่สมองของเด็กสาวจะแล่นปู๊ดเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวตั้งแต่ที่ตนเริ่มสนทนากับชายคนนี้ ‘หรือว่า...’ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอกเด็กสาวพาร่างกายของตนไปเกาะขอบหน้าต่างเพื่อดูทิวทัศน์ข้างนอก เมื่อเห็นเธอก็ต้องถึงกับตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ ‘ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย!’
ภายนอกที่เด็กสาวเห็นจะเรียกว่าป่าก็ไม่ผิดนักเพราะมีต้นไม้ขึ้นอยู่เยอะปลูกอย่างเป็นระเบียบราวกับเป็นไร่อะไรซักอย่าง แต่ที่ตนแปลกใจคือไอ้ผลไม่บนต้นไม้นั่นมันคืออะไรรูปทรงก็แปลกพิกล เมื่อมีนกน้อยบินผ่านเด็กสาวจึงสังเกตุดีดีก็พบว่านั่นมันไม่ใช่นกแล้ว แต่เป็นครึ่งนกครึ่งปลาชัดๆ รูปร่างของมันเหมือนนกฮัมมิ่งเบิร์ดทุกประการแต่ร่างกายที่เต็มไปด้วยขนกลับเต็มไปด้วยเกล็ดทอประกายสีรุ้ง หางที่ใช้เป็นหางเสือที่ใช้ควบคุมทิศทางตอนบินกลับกลายเป็นหางปลา แต่ที่พอจะบ่งบอกว่าเป็นนกนั่นก็คือปีกที่ออกไปทางแนวครีบมากกว่า เมื่อเด็กสาวตั้งสติได้จึงหันไปถามชายวัยกลางคนด้วยคำถามยอดฮิตของนิยายประเภทนี้
“ลุงค่ะที่นี่มันคือที่ไหน” หญิงสาวยิงคำถามสุดฮิตใส่ลุงแกทันที ชายกลางคนก็ตอบอย่างใจดีแต่คนที่ได้ฟังคำตอบถึงกลับสั่นสะท้าน
“อ๋อ ที่นี่คือออสเทน และที่แม่หนูกับลุงอยู่เค้าเรียกว่า เมือง พลันเต้ แห่งอาณาจักร มินส์”
‘เกิดเรื่องบ้าอะไรกับชั้นค่ะเนี่ย’ แน่นอนว่าเป็นเสียงในความคิดชายตรงหน้าเธอยังไม่สนิมถึงกับเผยนิสัยที่แท้จริงได้
“ตาลุงถามบ้างแม่หนูชื่ออะไร และครอบครัวกับแม่หนูมาจากไหน และทำไปถึงไปลอยคออยู่กลางทะเลสาบอย่างนั้นละ” ชายกลางคนถามเด็กสาวที่ตอนนี้ติดสตั๊นไปกลับความจริงที่ได้รับ เมื่อเด็กสาวตั้งสติได้จึงตอบคำถามไปตามความจริงทุกอย่าง
“หนูชื่อธาราค่ะหรือเรียกว่าธารก็ได้ ส่วนที่ที่หนูจากมานั้นเค้าเรียกว่าโลกค่ะ หนูว่าคุณลุงไม่น่าจะรู้จักหรอกเอาง่ายๆคือหนูมาจากอีกมิติหนึ่งค่ะ ส่วนเรื่องที่หนูมาได้อย่างไรกับเรื่องที่ไปลอยคออยู่กลางทะเลสาบอันนี้หนูไม่ทราบจริงๆ” เมื่อธาราเล่าจบลุงแกก็ถึงกับตกใจ เพราะเรื่องที่ธาราเล่ามานั้นออกจะดูเหลือเชื่อเกินไปสำหรับคนในมิติออสเทน
“เรื่องที่หนูเล่ามาเป็นความจริงหรือ” ก่อนที่ชายกลางคนจะได้ซักไซ้อะไรไปมากกว่านี้ก็มีเสียงเล็กๆเด็กชายพูดขึ้นก่อน
“พ่อฮับคุณน้าผู้ชายฟื้นแล้วฮับ” เมื่อธาราได้ยินดังนั้นจึงวิ่งผลุบไปหาเด็กชายคนนั้นทันทีก่อนจะบอกให้เด็กชายนำทางไปหาพ่อแม่ของตน
เมื่อธารามาถึงในห้องแห่งหนึ่งของบ้านหลังนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปหาบิดาและมารดาของตน โดยสายธารนอนที่เตียงริมหน้าต่าง นทีนอนที่เตียงถัดออกมาโดยมีโต๊ะวางโคมไฟที่ไม่มีสายไฟขั้นกลางโดยลืมนึกไปอย่างว่าพ่อแม่ของเธอรอดมาได้อย่างไร ทั้งๆที่ก่อนเธอหมดสติลมหายใจก็รวยรินเต็มที
“พ่อ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมค่ะ รู้ไหมหนูเป็นห่วงแทบแย่”ธาราพูดอย่างยากลำบากเพราะเธอต้องพยายามกลั้นก้อนสะอื้น
“พ่อไม่เป็นไรแล้วแค่อ่อนเพลียนิดๆหน่อยๆ ไปดูแม่แกนู่น” ธาราจึงรีบผละหันมาทางแม่ตนที่ตอนนี้ยังไม่ตื่นจากการสลบ
“แม่ค่ะอย่าเป็นอะไรนะค่ะ” ธาราพูดออกมาเบาๆพลางกอบกุมมือของผู้เป็นมารดาเอาไว้แนบแก้มความเปียกชื้นจากน้ำตาก็ทำให้สายธารเริ่มรู้สึกตัว
“อ้าวธารลูกร้องไห้ทำไมฮึ” เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งของผู้เป็นแม่ ธาราก็ปล่อยโฮอีกรอบ เล่นเอาสายธารและนทีผลัดกันปลอบลูกของตนกันจ้าระหวั่นเลยทีเดียว ชายกลางคนที่ช่วยคนทั้งสามไว้เดินเข้ามาพร้อมกับยื่นแก้วน้ำจากผลคราฟเฟิลให้สายธารและนที เมื่อทั้งสองได้ชิมก็ต้องทำหน้าประหลาดใจเหมือนธาราในตอนแรก ธาราจึงต้องอธิบายให้บุพการีฟังยกใหญ่รวมทั้งเรื่องที่หลุดเข้ามาในมิติแห่งนี้ โดยลืมเรื่องที่ว่าพ่อกับแม่เธอรอดมาจากกระสุนปืนได้อย่างไรแถมยังดูแข็งแรงขึ้นด้วย
“สรุปนี่พวกเราหลุดเข้ามาในโลกที่พวกเราไม่รู้จักจริงๆหรืเนี่ย พ่อนึกว่าเรื่องพวกนี้มีแต่นิยายกับหนังเสียอีก” นทีเปรยออกมาเมื่อฟังเรื่องที่ลูกสาวตนเล่าจนจบ
“ถึงจะน่าเหลือเชื่อไปหน่อยแต่ที่เรารอดตายจากโจรทั้งสองคนนั้นมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้วละค่ะ เอ๊ะ! รอดมาได้ แล้วพวกเรารอดมาได้ไงอ่ะพ่อ แม่นึกว่าเราจะถูกยิงตายแล้วเสียอีก” เมื่อสายธารจุดประเด็น ธาราและนทีต่างเครียคไปในทันที นั่นสิรอดมาได้อย่างไร?
“ช่างเถอะพ่อ จะรอดมาได้ไงก็ช่างตอนนี้เราอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วแค่นั้นก็พอแล้วละ ไม่ใช่โลกนี้มีเวทมนต์ด้วยหรอกนะ คิคิ” ธาราพูดตัดประเด็นเพราะคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก พร้อมกลับกล่าวเล่นๆไปในตอนท้าย ชายกลางคนที่เข้ามาเพื่อจะเก็บแก้วได้ยินประโยคท้ายพอดีจึงพูดออกมาว่า
“เวทมนต์นะมีสิ” เสียงนี้เรียกให้คนทั้งสามหันไปทางชายกลางคนได้อย่างพร้อมเพรียงเสมือนนัดกันมา
“ว่าไงนะค่ะคุณลุง” ธาราเป็นคนแรกที่กล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อหู
“เรียกฉันว่าจีซัสก็ได้ ส่วนเรื่องเวทมนต์นั้นที่มิติแห่งนี้มีจริงๆ แล้วโลกของพวกเจ้าไม่มีเวทมนต์หรืออย่างไร” จีซัสถามออกมาอย่างไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่ มิติที่ไม่มีเวทย์มนต์มันจะมีหรือ ยิ่งเขาพูดทั้งสามคนก็ยิ่งทำหน้าไม่เชื่อเข้าไปใหญ่
“ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่องั้นฉันจะแสดงให้ดู” ว่าจบจีซัสก็ปาเมล็ดบางอย่างที่หยิบมาจากกระเป๋าลงพื้น ก่อนที่ปากจะขมุบขมิบร่ายมนต์เป็นภาษาโบราณที่สายธารและนทีฟังไม่ออก เว้นแต่ธาราที่ฟังออกได้อย่างชัดเจนราวกับภาษาที่ใช้เป็นภาษาถนัดของตน
“ข้าแต่เทพแห่งดินและเทพแห่งน้ำ จงบันดาลให้เมล็ดงอกเงย ผลิบานอย่างสง่า เวจเททท์...” เมล็ดที่โยนลงบนพื้นค่อยงอกเงยเจริญเติบโตขึ้นเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ทั้งสามคนไม่เคยเห็น สายธาร ธารา และนที ต่างตกใจจนทำตัวไม่ถูกแต่ตกใจคนละความหมาย สายธารและนทีตกใจที่ต้นไม้เติบโตเร็วมาก แต่ธารากลับตกใจอีกอย่าง สิ่งที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่เห็น ละอองแสงสีเหลืองนวลต่างลอยเข้าหาเมล็ดที่จีซัสร่ายเวทย์ใส่ ก่อนจะเปลี่ยนสีจากสีเหลืองนวลเป็นสีน้ำตาลและฟ้าเข้าซึมสู่เมล็ดพืช จากนั้นเมล็ดพืชก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
“เป็นไงละนี่แหละเวทมนต์ ต้นที่พวกเจ้าเห็นเค้าเรียกดอกเบลเวียน** ใช้ทำยาเสน่ห์ได้นะ กลีบของมันทำให้คนลุ่มหลงเหมือนโดนสะกด แต่มีผลแค่แปปเดียวเอาไว้สำหรับเสพสุขช่วงสั้นๆ ฮ่าๆ” จีซัสหัวเราะก่อนจะเดินออกจากห้องไป
‘ใช้สำหรับมอมคนชัดๆ’ ทั้งสามคิดได้แต่เพียงเท่านี้จริงๆ
**********64 per.**********
“สรุปมีเวทย์มนต์จริงๆใช่ไหมแม่” นทีกระพริบตาปริบๆสะกิดสายธารที่ยังคงตะลึงอยู่
“แม่ก็ไม่รู้สิสงสัยตาฝาดว่างั้นไหมธารา” สายธารหันไปหาธาราที่ตอนนี้อยู่ในอาการตะลึงเช่นกัน แต่สายธารกลับต้องตะลึงอีกรอบเพราะอะไรนะหรอ
“พ่อ! สะ...สีผมลูกทำไมเป็นสีฟ้า” ธาราที่ได้ยินถึงกับตาโตจับผมตนขึ้นมาดู เป็นสีฟ้าจริงๆ
“แม่เพิ่งสังเกตไง พ่อเห็นตั้งนานละ แต่พ่อลืมถามแหะๆ” นทีตอบภรรยาไปด้วยร้อยยิ้มแหยๆ ซึ่งไม่เข้ากับอายุเลยแม้แต่น้อย
“ว่าไงธาร ลูกไปทำสีมาตอนไหนเนี่ยแม่ไม่เห็นรู้เรื่อง” สายธารถามธาราด้วยความสงสัย
“หนูไม่รู้สิค่ะ หนูก็เพิ่งรู้ตอนแม่บอกหนูนี่แหละ” ธาราก็ได้แต่ยิ้มแหยๆตอบสายธารเหมือนกับนที พ่อลูกคู่นี้นิสัยเหมือนกันอย่างกับแกะ!
“ช่างเถอะแม่ เราไปหาคุณจีซัสดีกว่า จะได้ปรึกษาด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เจ้าตัวเป็นคนที่นี่น่าจะให้ทางออกกับเราได้” นทีว่าก่อนจะเดินออกไปหาจีซัส ซึ่งสายธารกับธาราเองก็ตามออกมาด้วย
“ทำอะไรอยู่ครับคุณจีซัส” นทีถามจีซัสที่ตอนนี้กำลังทำอะไรซักอย่างอยู่หน้าหม้อทองคำ มีควันสีเขียวลอยออกมาให้เห็นเป็นพักๆ รอบๆห้องมีหลอดน้ำยาสีต่างๆเต็มไปหมด มีมุมหนึ่งอย่างกับสวนหย่อมเพราะรกครึ้มไปด้วยไม้พุ่มชนิดต่างๆ ตรงกลางห้องมีชุดโต๊ะโซฟารับแขกอยู่นทีจึงบอกให้สายธารกับธาราไปนั่งรอ
“กำลังปรุงยา ‘งงงวย’*** อยู่พอดีมีนักล่าสัตว์เวทมนต์ออร์เดอร์มาน่ะ”
“อ่อครับเสร็จเมื่อไหร่บอกนะครับพวกผมมีอะไรจะปรึกษาเล้กน้อย” นทีว่าจบก็เดินไปนั่งโซฟากับครอบครัวตนเพื่อรอเวลาจีซัสว่าง
ผ่านไป 15 นาที
“พวกเจ้ามีอะไรจะปรึกษาข้างั้นหรือ” เสียงของจีซัสดึงสติของทุกคนที่กำลังสำรวจสภาพรอบๆอยู่ให้กลับมาสนใจจีซัสที่ตอนนี้นั่งลงบนโซฟาข้างๆธาราแล้ว
“คือพวกผมจะมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี” นทีเปิดประเด็น
“งั้นก็กินไปคุยไปละกัน” แปะๆ เสียงปรบมือสองทีของจีซัสดังขึ้น จากนั้นไม่นานก็มีจานคุกกี้กับแก้วน้ำที่บรรจุน้ำสีฟ้าลอยมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กลับคนต่างมิติทั้งสามได้เป็นอย่างดี
“ข้าขอนำเสนอ คุกกี้ซีเปีย**** กับ น้ำกราววี่*****ของขึ้นชื่อเมืองพลันเต้ อร่อยนะลองชิมดู” นที สายธาร ต่างกล้าๆกลัวๆที่จะหยิบกินเพราะกลัวมันจะมีสรรพคุณแปลกประหลาดเหมือนดอกเบลเวียน ผิดกับธาราที่หยิบคุกกี้กินพร้อมกับสีหน้าที่แสดงถึงความอร่อยชัดเจน อีกมือก็หยิบแก้วขึ้นมาจิบน้ำกราววี่พร้อมกับสีหน้าฟินนาเร่สุดๆ
“พ่อแม่ลองกินดูสิอร่อยนะ คุกกี้ซีเปียรสชาติอย่างกะช็อกโกแลตแต่มันกว่า หอมกว่า ส่วนน้ำกราววี่นี่อร่อยสุดยอดไปเลยเปรี้ยวๆหวานๆลงตั๊วลงตัว” ธาราพูดไปกินไปด้วยน้ำเสียงที่ระริกระรี้เต็มที่ จนนทีกับสายธารต้องยอมกินในที่สุด จากท่าทางที่แสดงออกของทั้งสองเป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าของขึ้นชื่อของเมืองพลันเต้อร่อยจริง
“มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า เดี๋ยวข้ามีงานต้องทำต่อ ถ้าพวกเจ้าไม่มีที่ไปสนใจมาอยู่กับข้าไหมละ” นทีที่ได้ยินถึงกับสำลักน้ำกราววี่ยกมือขึ้นปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ไม่ดีกว่าครับ แค่คุณจีซัสช่วยครอบครัวเราไว้ก็ถือว่ารบกวนมากแล้ว เกรงใจนะครับ”
“อ่า ถ้างั้นแลกกับการที่พวกเจ้าต้องช่วยงานข้าโอเคไหม” จีซัสยื่นข้อเสนออีกที เพราะจีซัสอยู่บ้านกับ อารี่ ลูกชายวัย 6 ขวบแค่สองคน ทำให้แอบเหงาอยู่บ้างเมื่อมาเจอเข้ากับครอบครัวของนทีก็รู้สึกถูกชะตาเป็นพิเศษ
“ว่าไงแม่ ว่าไงธารา ตกลงไหม” นทีนิ่งคิดไปซักพักจึงหันไปถามครอบครัวตน
“แม่ว่าก็ดีนะเพราะเราไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นเป็นยังไงบ้าง เสี่ยงออกไปมีแต่เสียกับเสีย” สายธารครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบออกมาส่วนธารานะเหรอไม่ต้องห่วงรายนั้นยังไงก็ได้
“ตามใจค่ะหนูได้หมด” ธาราไหวไหล่อย่างไม่สนใจเท่าไหร่ก่อนจะไปตั้งหน้าตั้งตากินคุกกี้ซีเปียต่อ
“ก็ได้ครับ ต่อจากนี้ไปรบกวนด้วยนะครับ ว่าแต่คุณจีซัสจะให้พวกผมช่วยงานยังไง พวกผมไม่มีเวทมนต์ซักคนนะครับ”
“เอาเป็นช่วยดูแลสวนสมุนไพรของข้าก็ได้ ส่วนสายธารเดี๋ยวข้าสอนปรุงยาในส่วนที่ไม่ต้องใช้เวทมนต์ให้ ส่วนหนูธาราสนใจอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า” จีซัสแจกแจงงานให้สายธารกับนที ก่อนจะหันมาถามธาราที่กำลังอร่อยกับคุกกี้ซีเปียอยู่
“ปรุงยาค่ะ แล้วก็สรรพคุณของสมุนไพรทุกตัวเลย หนูว่ามันมีสรรพคุณแปลกๆดี” จีซัสได้ยินจึงยิ้มรับด้วยความเอ็นดูเพราะอารี่จะได้มีพี่สาวซักที
“เอ่อคุณจีซัสค่ะ...”
“เรียกว่าลุงจีซัสสิ”
“ก็ได้ค่ะ ลุงจีซัสคือหนูสงสัยอย่าง ละอองแสงสีเหลืองนวลตอนคุณลุงเสกให้เมล็ดโตนะค่ะมันคืออะไร หนูเห็นมันกลายเป็นสีฟ้ากับน้ำตาลพุ่งเข้าไปในเมล็ดก่อนมันจะโตนะค่ะ” ธาราถามสิ่งที่เธอติดใจทันที คำถามนี้เล่นเอาจีซัสตาโตเท่าไข่ห่านเลยทีเดียว
“เดี๋ยวนะหนูว่าไง แสงสีเหลืองนวลงั้นหรือ รอฉันซักครู่” จีซัสรีบรนรานออกไปจากห้องปรุงยา ทั้งสามรอไม่นานเท่าไหร่จีซัสก็กลับมาพร้อมกับห่ออะไรบางอย่าง
“ห่ออะไรค่ะ คุณจีซัส”เป็นสายธารที่ถามเพราะทนเห็นท่าทีแปลกๆของจีซัสไม่ได้
“ขอฉันตรวจสอบอะไรบางอย่างก่อนเดี๋ยวฉันอธิบายให้ฟัง” จีซัสแกะห่อหนังที่ตนเอามา ในนั้นมีเพียงเมล็ดพืชเมล็ดเดียวเท่านั้นสร้างความสงสัยให้แก่ทั้งสามเป็นอย่างมาก
“หนูธาร ลองถือเมล็ดนี่ดูหน่อย” ธาราทำหน้างงแต่ก็ยอมรับมาอย่างว่าง่าย เมื่อเมล็ดนั้นต้องมือของธาราก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมล็ดสีน้ำตาลแห้งไร้ความชื้นกลับเปล่งประกายสีเหลืองออกมาก่อนที่เมล็ดจะค่อยๆงอกชูช่อใบอ่อนสีฟ้าสง่าออกมา ก่อนที่ใบอ่อนนั้นจะค่อยๆเติบโตขึ้นจนกลายเป็นดอกไม้รูปร่างคล้ายดอกกุหลาบแต่มีสีฟ้าสดใสบานเต็มที่ ทั้งที่ไม่ได้ลดน้ำหรือร่ายเวทย์อะไรใส่ ทั้งสี่ต่างตกตะลึงในความสวยงามของดอกไม้จนเกิดความเงียบขึ้น เป็นจีซัสเองที่เอ่ยทำลายบรรยากาศเงียบสงัดนี่
“จริงอย่างที่ลุงคิดเลยหนูธาร เฮ้อ...” จีซัสถอนหายใจออกมาเพื่อผ่อนคลาย
“มีอะไรหรือค่ะลุงจีซัส” ธาราถามออกไปด้วยความสงสัย นที กับสายธารสีหน้าก็บ่งบอกถึงความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง
“หนูมีออริกที่เข้มข้นมาก แถมยังเป็นธาตุน้ำบริสุทธิ์ซะด้วย เอาง่ายๆหนูก็ใช้เวทมนต์ได้นั่นแหละแต่ธาตุที่ตอบรับหนูมากที่สุดก็คือธาตุน้ำ” ดูเหมือนคำพูดของจีซัสจะไม่เคลียร์ จีซัสจึงอธิบายให้ละเอียดกว่าเดิม
“เมล็ดที่ลุงให้หนูถือนะมีชื่อว่า เมล็ดเทสตี้****** ตัวเมล็ดจะดูดซึมออกริกแล้วเจริญเติบโตขึ้น หากมีออกริกที่เข้มข้นไปทางธาตุใดใบอ่อนจะงอกออกมาเป็นสีประจำธาตุนั้นแต่ส่วนใหญ่ต้นกล้าที่งอกออกมาจากเมล็ดจะมีหลายสีปะปนกันเพราะธาตุประจำตัวของเเต่ละคนไม่ได้มีธาตุเดียวถ้ามีสีเดียวทั้งต้นอย่างของหนูธารเค้าเรียกว่าพวกธาตุบริสุทธิ์ เมล็ดเทสตี้จะใช้ทดสอบว่าบุคคลนั้นมีเวทมนต์หรือเปล่าและถนัดใช้ในธาตุใด ที่ลุงบอกว่าออริกของหนูธารเข้มข้นมากเนื่องจากยิ่งคนที่ถือมีออกริกเข้มข้นมากเท่าไหร่เมล็ดเทสตี้จะยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น เท่าที่ลุงเคยเห็นโตได้มากสุดแค่เริ่มเกิดดอกเท่านั้นถือว่าสูงที่สุดแล้ว แต่ของหนูนี่เล่นดอกบานเลย เอาซะลุงอึ้ง ฮ่าๆๆๆ” จีซัสอธิบายรวดเดียวอย่างยาว ธาราที่ได้ฟังเมื่อเรียบเรียงข้อความที่ได้เสร็จก็เผลอตะโกนออกมา
“สรุปนี่ชั้นใช้เวทมนต์ได้หรอค่ะเนี่ย! บร๊ะเจ้า!!”
**********************************************************************************************
ผลคราฟเฟิล* ผลไม้ทรงกลมมีสีม่วงอมชมพู น้ำที่คั้นออกมาจากผลไม้ชนิดนี้จะมีรสชาติคล้ายน้ำแอปเปิ้ล แต่ตัวน้ำคั้นจะไร้สีไร้กลิ่น สรรพคุณช่วยลดอาการเหนื่อยล้า ฟื้นฟูเรี่นวแรง
ดอกเบลเวียน** รูปร่างคล้ายดอกลีลาวดีแต่กลีบจะบางและอมน้ำมากกว่า เป็นวัตถุดิบสำหรับปรุงยาหลายประเภท กลีบ=ผู้ที่สูดดมกลิ่นจากกลีบจะเกิดอาการลุ่มหลงและมีความต้องการมาก(มักทำยาเสน่ห์) เกสร=ละอองเกสรจะทำให้ผู้ที่สูดดมเข้าสู่ห้วงนิทรา(มักทำยานอนหลับ)
น้ำยางงงวย***ไอระเหยจะทำให้ผู้ได้กลิ่นมึนงงได้ชั่วขณะ ใช้สำหรับสร้างความสับสน
คุกกี้ซีเปีย****เป็นคุกกี้ที่ทำมาจากแป้งซีเปีย มีวิธีการทำที่ยากและนานพอสมควรเพราะแป้งซี้เปียกว่าจะจับตัวก็ใช้เวลานวดอยุ่นานโข แต่ที่เมืองพลันเต้จะมีกรรมวิธีเฉพาะในการทำจึงทำให้คุกกี้ซีเปียของเมืองพลันเต้มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ จึงเป็นของขึ้นชื่อของเมืองนี้
น้ำกราววี่*****น้ำกราววี่ก็คือน้ำผลไม่ธรรมดาที่คั้นมาจากผลกราววี่ แต่ที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองพลันเต้เพราะต้นกราววี่จะเติบโตในน้ำที่มีความบริสุทธิ์ของธาตุน้ำสูงเกิน 98 เปอร์เซนซึ่งก็คือทะเลสาปมาลอฟที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองพลันเต้ซึ่งเป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวในมิติออสเทนเท่าที่ค้นพบและมีธาตุน้ำสูงเกิน 98 เปอร์เซ็น
เมล็ดเทสตี้******เมล็ดพืชชนิดหนึ่งที่เติบโตโดยการดูดกินออริกถือว่าเป็นวัชพืชก็ได้เพราหากมีสถานที่ใดมีต้นเทสตี้เยอะออริกบริเวณนั้นจะเบาบางมากเพราะต้นเทสตี้จะดูดกินออริก ทนทานทุกสภวะอสกาศแต่มีวงจรชีวิตเพียง 1 ปีถึงแม้เป็นเวลาแค่เพียง 1 ปีออริกก็โดนสูบไปเป็นอาหารแก่พวกมันไปเป็นจำนวนมาก ผู้คนในมิติออสเทนจึงนิยมน้ำเมล็ดมันมาทดสอบคุณสมบัติออริก และโยนทิ้งลงถังขยะเมื่อต้นเทสตี้ไม่มีออริกให้ดูดกินนานเกิน 4 ชม. จะเหี่ยวตายไปเอง
*************************************************************************************************
ลงครบเเล้วครับปรับขนาดตัวอักษรด้วยคำผิดก็แก้เเล้วเดี๋ยวตอนใหม่จะมาตอนไรท์มีอารมเเต่งนะฮิฮิ
ปล. 1 เม้น= 1 กำลังใจ
HiDdEn_BlAdE
Loading...110 per.
ความคิดเห็น