คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๑ : จุติใหม่
บทที่ ๑
“จุติใหม่”
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาตุลีเทพบุตรที่ลอยตัวอยู่นอกลานประหาร หลังสิ้นเสียงปืนก็มีดวงจิตรสีขาวเกือบบริสุทธิ์ แสดงถึงคุณงามความดีของผู้เสียชีวิต หากมีบาปมากดวงจิตจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆจนไปถึงดำ มาตุลีเทพบุตรค่อยๆประคองดวงจิตนั้นเหาะกับสวรรค์ชั้นฟ้าไป
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
มาตุลีประคองดวงจิตรมาวางไว้เบื้องหน้าของพระอินทร์ ก่อนจะถอยกลับไปคุกเข่าเพื่อรอรับสั่งต่อ พระอินทร์พิจารณาดวงจิตเล็กน้อยก่อนถอนหายใจด้วยความเวทนา
“น่าเวทนานัก ทั้งๆที่มีบุญมากมายขนาดนี้กลับต้องพบเจอแต่สิ่งเลวร้ายเพราะกรรมเก่า ดูดวงจิตนี่สิมาตุลี บริสุทธิ์พอๆกับของเจ้าครั้งที่เพิ่งเสียชีวิตจากการเป็นมนุษย์” พระอินทร์สะบัดมือวูบหนึ่งดวงจิตค่อยเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นเด็กหนุ่มคนเดิมที่กำลังงงกับสถานที่อัยวิจิตรนี้อยู่
วิมานแก้วอันงดงามเหล่านางฟ้านางอัปสรมากหน้าหลายตาทำเอาเด็กหนุ่มงงได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อดวงตาคมหันมาเจอกับบุรุษผู้มีผิวกายสีเขียว มีสี่กร ก็ต้องตกตะลึงยิ่งขึ้นไปอีก
‘รูปร่างแบบนี้ สถานที่แบบนี้ นี่มันที่ประทับของพระอินทร์ชัดๆ ถ้าจำไม่ผิด แสดงว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้คือ...’ ตอนนี้เด็กหนุ่มตาโตอย่างถึงที่สุดก่อนจะก้มหน้าก้มตากราบพระบาทอย่างเอาเป็นเอาตายสามครั้ง เรียกเสียงหัวเราะจากพระอินทร์ได้เป็นอย่างดี
“เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นหละ เราคือพระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้า...” เสียงที่ก้องกังวานแผ่อำนาจบารมีทำเอาขนของเด็กหนุ่มลุกซู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าคงได้ยินเรื่องราวมาจากมาตุลีเทพบุตรแล้วใช่หรือไม่..”
“ครับ เอ้ย! เพคะ ไม่ใช่ๆ พระเจ้าค่ะ” ตอนนี้เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาจนตายไม่เคยพบพระอินทร์ระยะเผาขนขนาดนี้มาก่อน
“ไม่ต้องเกร็ง ข้าเพียงอยากสนทนากับเจ้าก็เท่านั้น เจ้าถือว่าใจเด็ดและมีคุณธรรมสูงที่กล้าตัดสินใจสละชีวิตเพื่อชดใช้กรรมจากชาติปางก่อน นอกเรื่องมามากแล้วเข้าเรื่องกันเถอะ...” พระอินทร์เงียบไปเพื่อให้เด็กหนุ่มค่อยๆคลายจากอาการเกร็งก่อนจะตรัสต่อ
“เจ้าเป็นผู้ที่มีบุญวาสนามากมายนัก ก่อนที่เจ้าจะมาเสพย์สุขบนสวรรค์เจ้าจงไปชดใช้กรรมให้หมดในโลกมนุษย์เสียก่อน” พระอินทร์เงียบไปอีกครั้งเพื่อรอให้เด็กหนุ่มถามหากมีข้อสงสัย ซึ่งเด็กหนุ่มก็รู้ตัวเองดีจึงรีบถามคำถามที่ตนสงสัยออกไป
“เอ่อ แต่คือผมตายแล้วนะครับ” สิ้นเสียงเด็กหนุ่มพระอินทร์ก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดีเพราะเด็กหนุ่มพูดในสิ่งที่ตนรู้อยู่แล้ว
“ฮ่าๆ เรื่องนั้นข้ารู้อยู่แล้ว ข้าจึงจะส่งเจ้าไปจุติใหม่ยังอีกภพภูมิหนึ่งพร้อมกับพรสามข้อเพื่อให้เจ้าทำความดีชดใช้กรรมอย่างไรเล่า ฮ่าๆ” พระอินทร์ทรงกำสรวลอย่างหนักพร้อมกับตบเข่าฉาดใหญ่ เรียกสีหน้าสงสัยจากเทพบุตรและเทพธิดาในวิมานแก้วได้เป็นอย่างดี นานทีปีหนถึงจะเห็นนายเหนือหัวหัวร่อขนาดนี้
“อ่อ ครับ แหะๆ” เด็กหนุ่มเกาแก้มเขินๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาต่อไป เพราอย่างไรคนตรงหน้าเป็นถึงเทพที่คนทั้งหลายเคารพบูชา จะให้มองหน้าคงไม่เป็นการสมควร
“เอาล่ะ พรสามข้อที่ข้าจักให้คือ ข้อแรกเจ้าจะปราดเปรื่องเรียนรู้ไว ฉลาดเฉลียวกว่าคนธรรมดา ข้อที่สอง ข้าจะมอบของวิเศษสามอย่างให้แก่เจ้าติดตัวเพื่อเป็นกำลังในภพภูมินั้น ข้อที่สาม ข้าอนุญาติให้เจ้าขอได้หากข้าให้ได้ข้าจักให้” เด็กหนุ่มเลิ่กลักทำท่าคิดหนักในพรข้อสุดท้าย เพราะสองข้อแรกที่พระอินทร์ให้มาก็ถือว่ามีประโยชน์มากแล้ว
“ข้อสุดท้ายผมขอให้ได้อยู่กับพ่อแม่ที่มีบุญหนุนเกื้ออย่างเช่นชาติที่ผมจากมา เพราะพ่อแม่ในชาติที่ผมจากมานั้นผมยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณท่านเลย” เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความเศร้าใจ เพราะตนยังไม่แม้แต่จะเรียนจบจนเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ก็มาตายเสียก่อน คำขอนี้ทำเอามาตุลีกับพระอินทร์อดชมเชยในในไม่ได้
เพราะสามารถขออำนาจเงินทองได้อย่างมากมาย แต่เด็กคนนี้กลับขอให้ได้ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ที่อยู่ยังอีกภพภูมิหนึ่ง
“ย่อมได้หากเจ้าต้องการเช่นนั้น เมืองแรกที่เจ้าไปถึงหลังจากออกเดินทางเมืองนั้นจะมีพ่อแม่เจ้าที่กลับชาติไปเกิดอยู่ ข้าบอกได้แค่นี้” พระอินทร์ตรัสกับเด็กหนุ่มก่อนจะหันไปรับสั่งมาตุลีเทพบุตรที่นั่งคุกเข่าอยู่
“มาตุลีเทพบุตรเจ้าจงนำเด็กคนนี้ไปฝากกลับฤาษีโกสีย์เสีย”
“พระเจ้าค่ะ” มาตุลีเทพบุตรถวายบังคมก่อนที่เด็กหนุ่มจะกลายเป็นเด็กทารกที่มีลักษณะราชันย์ ของผู้มีบุญญาธิการสูง รอบตัวทารกน้อยมีของวิเศษสามสิ่งลอยอยู่รอบๆ มาตุลีเทะบุตรที่เห็นในทีแรกก็มีอาการตกใจไม่น้อยเพราะของทั้งสามอย่างนั้นคือ ตรีศูล จักร และลูกแก้ว เป็นของที่มีลักษณะเหมือนกับอาวุธของนายเหนือหัวตนไม่มีผิด
“ไม่ต้องสงสัยหรอกมาตุลี ชะตาของเด็กคนนี้ยังต้องพบเจอเรื่องร้ายแรงอีกเยอะถึงจะชดใช้เวรกรรมหมด เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของวิเศษที่เราให้ไปจะช่วยได้มากน้อยเพียงใด หากเด็กน้อยไม่จบกงกรรมกงเกวียนในชาตินี้ คงไม่มีโอกาสจะชดใช้กรรมจนหมดแล้วล่ะ” พระอินทร์ตรัสพูดกับมาตุลีเทพบุตรเพื่อให้หายจากอาการตกใจ มาตุลีเทพบุตรได้เพียงแค่กล่าวรับทราบก่อนจะเหาะจากสวรรค์ชั้นฟ้าสู่เบื้องล่างเพื่อนำทารกคนนี้ไปฝากไว้กับฤาษีโกสีย์
ณ ริมฝั่งปากแม่น้ำ อัสสมุข
ปากแม่น้ำอัสสมุขเป็นทางระบายน้ำจากสระอโนดาตในหิมพานต์ เป็นถิ่นที่มีม้าลักษณะดีหลายสายพันธุ์อยู่จำนวนมาก ทั้งมาที่มีอิธิฤทธิ์ หรือม้าสายพันธุ์ธรรมดาแต่ลักษณะดีกว่าม้าที่พบได้ทั่วไป ด้านหนึ่งเป็นป่าไม้ผลัดใบ อีกด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่มีประชากรม้าอยู่มากมาย
ริมฝั่งที่มีแต่ป่าไม้มีกระท่อมมุงจากหลังหนึ่งตั้งอยู่ ตรงชานกระท่อมมีชายชรานั่งขัดสมาธิร่างกายห่มด้วยหนังสัตว์ หนวดเคราและเส้นผมยาวรุงรังแต่ไม่ดูสกปรกกลับดูมีมนต์ขลังอย่างหน้าประหลาดดูโดยรวมแล้วก็มีลักษณะเหมือนฤาษีดีดีนี่เอง
ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่พลันเบิกขึ้นอย่างฉับพลันแต่ชายชรากลับไม่ลุกไปไหนนั่งเฉยๆอยู่ตรงชานอาศรมราวกับรอใครบางคน รอไม่นานนักเบื้อหน้าของฤๅษีเฒ่าก็ปรากฏเป็นเทพบุตรที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างงดงามลอยอุ้มเด็กทารกอยู่ รอบๆตัวมีตรีศูล จักร ลูกแก้วลอยอยู่ไม่ห่าง
“ท่านมาตุลีเทพบุตรมีอันใดถึงมาหาฤาษีเฒ่าผู้นี้” เสียงแหบแห้งแต่ทรงอำนาจเอ่ยถามผู้มาเยือน
“ท่านโกสีย์นายเหนือหัวข้าทรงมีรับสั่งให้นำทารกผู้นี้มาฝากท่านเลี้ยงดู จะได้หรือไม่” มาตุลีเทพบุตรไม่พูดพล่ำทำเพลงพูดเข้าเรื่องทันที
“หากองค์อมรินทร์รับสั่งเราจะปฏิเสธได้รึ แล้วท่านตั้งชื่อให้เด็กน้อยผู้นี้หรือยังล่ะ” มาตุลีเทพบุตรไม่ตอบแต่ลอยมายังชานอาศรมแล้วบรรจงวางร่างของเด็กทารกไว้ตรงหน้าฤาษีโกสีย์
“ยังเลยท่านโกสีย์ ท่านให้เกียรติตั้งให้ได้หรือไม่” มาตุลีเทพบุตรที่ตอนนี้ลอยมานั่งพับเพียบตรงบันได้ขึ้นอาศรมเอ่ยถาม
“ย่อมได้ ลักษณะดีมีความเป็นราชันย์ ภายภาคหน้าอาจได้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดิน เช่นนั้นเอาเป็นชื่อ ปรวาณ เป็นเช่นใดบ้าง ในเมื่อเป็นบุตรที่มาจากฟากฟ้าชื่อนี้คงเหมาะสมที่สุด” มาตุลีเทพบุตรพยักหน้าพึงพอใจก่อนจะกล่าวลา
“เป็นชื่อที่ดี หมดธุระของเราแล้ว...ขอตัว” ในขณะที่มาตุลีเทพบุตรกำลังจะลอยกลับสวรรค์ฤาษีเฒ่าก็เรียกให้หยุดก่อน
“ท่านมาตุลี เราขอเสียมารยาทถามท่านได้หรือไม่” มาตุลีพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
“ท่านช่างมีเมตตา เราเห็นของวิเศษสามสิ่งช่างเหมือนกับของวิเศษคู่กายขององค์อมรินทร์เหลือเกิน ท่านพอบอกเหตุผลได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นใดกันองค์อมรินทร์ถึงกับประทานของวิเศษส่วนพระองค์ให้กับเด็กน้อยผู้นี้”
“เราเองก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน แต่นายเหนือหัวเราตรัสว่าในภายภาคหน้าเด็กน้อยผู้นี้จะพบกับอันตรายร้ายแรงหลายอย่าง ซึ่งเราคาดว่าคงจะหลายแรงมากมายนักไม่เช่นนั้นนายเหนือหัวคงไม่ประทานของวิเศษคู่กายมาให้เด็กน้อยผู้นี้ดอก” มาตุลีเทพบุตรส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวเล่าตามที่ตนเข้าใจ
“เป็นเช่นนั้นเองหรือ” ฤาษีเฒ่ามองไปยังเด็กทารกที่ร้องอย่างน่ารักน่าชังตรงหน้าด้วยสายตาเวทนา ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว
“กรรมใดหนอที่นำพาให้เจ้ามาพบเจอโชคชะตาเช่นนี้”
“หากหมดธุระแล้ว เราขอตัว” ว่าจบมาตุลีเทพบุตรก็เหาะกับสวรรค์ไป เหลือเพียงฤาษีเฒ่ากับเด็กทารกที่มีของวิเศษลอยวนอยู่รอบๆ
นับจากวันที่มาตุลีเทพบุตรเอาเด็กทารกมาฝากฝังกับฤาษีเฒ่าก็เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว แน่นอนว่าฤาษีเฒ่าไม่มีน้ำนมให้เด็กทารกกินจึงได้ไปขอร้องให้นางพญาราชสีห์ที่เป็นสหายสนิทกับตนช่วยแบ่งปันน้ำนมให้ทารกมนุษย์กินบ้าง ในตอนแรกนางพญาราชสีห์เองก็ไม่ยอมแต่พอได้เห็นหน้าตาทารกน้อยที่ฉายแววรูปงามตั้งแต่ยังแบเบาะก็ตอบตกลงทันทีพร้อมช่วยฤาษีเฒ่าเลี้ยงดูเรื่อยมา ด้วยความที่นางพญาราชสีห์บำเพ็ญตบะมาเป็นเวลาหลายร้อยปีจึงทำให้มีญาณแก่กล้าอิทธิฤทธิ์มากมาย เด็กน้อยนามปรวาณจึงเติบโตมาด้วยความแข็งแรง ทั้งๆที่อายุเพียงแค่ขวบปีก็มีกำลังดุจพญาราชสีห์ หากให้ผู้ใหญ่มาประลองกำลังคงต้องใช้กำลังนับสิบคนถึงจะเอาอยู่
คำแรกที่ปรวาณพูดได้คือคำว่าแม่ที่ใช้เรียกตนจึงทำให้นางพญาราชสีห์ถึงกับหลั่งน้ำตาไม่หยุด เดือดร้อนต้องให้สหายเก่าอย่างเฒ่าโกสีย์ปลอบอยู่นาน
นานวันเข้าปรวาณก็ฉายแววลาดกว่าเด็กทั่วไปอย่างที่เฒ่าโกสีย์กับนางพญาราชสีห์อดตะลึงไม่ได้ อย่างเช่นตอนที่ปรวาณอายุได้ขวบปีกว่าๆ ตอนนั้นนางพญาราชสีห์กับเฒ่าโกสีย์ออกไปธุระทิ้งให้ปรวาณอยู่อาศรมคนเดียว แต่เมื่อกลับมาก็มีผลหมากรากไม้ปลอกเปลือกเรียบร้อยจัดใส่ภาชนะรอต้อนรับ น้ำในตุ่มในโอ่งก็เต็มหมด กับเด็กเพียงอายุขวบปีกว่าไม่น่าจะสามารถทำได้จึงทำให้ทั้งสองอึ้งไปอีกนาน
เมื่อปรวาณอายุได้สองขวบปีก็เริ่มหัดอ่านหนังสือจากตำรับตำราที่อยู่ในอาศรมของฤาษีเฒ่า จนเฒ่าโกสีย์อดไม่ได้ที่จะสอนหนังสือ เมื่อเริ่มอ่านเขียนคล่องตอนอายุสองขวบกว่าๆ เฒ่าโกสีย์กับนางพญาราชสีห์จึงนึกสนุกสอนความรู้ที่ตนมีให้ปรวาณทั้งๆที่ยังไม่อายุสามขวบปีดี
นานวันเข้าทั้งสามต่างผูกพันธุ์กันมากขึ้นหากต้องจากกันไม่รู้จะทำใจได้ไหม ทางเฒ่าโกสีย์นั้นไม่น่าเป็นห่วงเท่าไหร่เรื่องความรู้สึกทางโลกตัดขาดอย่างง่ายดายอยู่แล้ว จะมีก็แต่นางพญาราชสีห์เท่านั้นที่น่าเป็นห่วงเพราะดูเหมือนนางจะติดลูกบุญธรรมคนนี้เสียแล้ว
ปรวาณเป็นเด็กใฝ่เรียน ขี้สงสัย ช่างสังเกต จดจำอะไรง่ายดายอีกทั้งยังฉลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ จนบางครั้งความขี้สงสัยก็ทำให้ผู้สูงอายุสองคนเดือดร้อนไปตามๆกัน อย่างเมื่อตอนที่ปรวาณอายุได้เกือบสี่ขวบปีตอนที่เริ่มศึกษาอาคมต่างๆจากทางฤาษีใหม่ๆ เจ้าตัวเล็กดูเหมือนจะตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เรียน จึงลองผิดลองถูกอาคมที่เรียนมามั่วๆ เล่นเอาสองผู้เฒ่าหัวปั่นเลยทีเดียว
“ท่านแม่สิงห์สรถ้าลูกใช้คาถาล่องหนท่านแม่กับอาจารย์ปู่จะหาลูกเจอไหม” ปรวาณพูดพร้อมกับซุกขนสีขาวบริสุทธิ์ของผู้เป็นแม่ น่าแปลกที่เป็นเดียรัจฉานถึงจะมีอิทธิฤทธิ์มากก็เถอะกลับไม่มีกลิ่นคาวใดๆเลย ขนทั้งตัวของนางพญาราชสีห์สิงก์สรเป็นสีขาวบริสุทธิ์ กลื่นที่กำจายออกมาเป็นกลิ่นดอกแก้วที่หอมสดชื่นชวนผ่อนคลาย ปรวาณจึงมักมานอนซุกขนนางพญาราชสีห์บ่อยๆ
“มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะลูกเอ๋ย อาจารย์ปู่กับแม่นั้นมีฤทธิ์เยอะนักแค่ลูกน้อยของแม่หาเจอไม่ยากอยู่แล้ว” ว่าจบนางสิงห์สรก็ยิ้มโชว์ฟันเขี้ยวที่เป็นเพชรแลบลิ้นเลียหน้า(?)ปรวาณอย่างอ่อนโยน เรียกเสียงหัวเราของไอ้ตัวเล็กได้เป็นอย่างดี ปรวาณเองก็ชอบให้แม่บุญธรรมเลียหน้าไม่น้อย น้ำลายของแม่บุญธรรมมีกลิ่นหอมของดอกแก้วอ่อนๆไม่พอยังมีสรรพคุณรักษาบาดแผลภายนอกอีก
“จะจริงร้อ คิกคิก” ปรวาณหัวเราะอย่างจักกะจี้เพราะสิงห์สรเลียตนไม่หยุด(หิวหรือเปล่า :ไรท์)
“จริงสิ ลูกคนนี้นิ”
หากย้อนเวลาได้นางสิงห์สรไม่น่าพูดว่าจะหาเจอเลย เพราะอะไรน่ะหรือ เจ้าตัวเล็กนั้นขี้สงสัยจะตายไป ด้วยความสงสัยว่าท่านแม่กับอาจารย์ปู่จะหาตนเจอไหมจึงได้ร่ายอาคมทำให้ตัวเองล่องหน แล้วไปหลบซ่อนเพื่อรอดูว่าทั้งคู่จะหาเจอไหม หากเป็นเวลาปกติทั้งคู่ย่อมหาเจอเพราะจับสัมผัสพลังชีวิตเอา แต่เจ้าตัวเล็กดันหลับไปได้ทั้งๆที่อาคมยังคงอยู่จึงทำให้ทั้งคู่หาไม่เจอ ตอนนอนสภาพร่างกายจะเป็นกึ่งเสียชีวิต(หายใจแต่ไม่ได้สติ)ไม่แปลกทั้งคู่จะหาไม่เจอ....
คืนนั้นทั้งคืนสองผู้อวุโสแทบพลิกป่าหา นางสิงห์สรเองด้วยความที่เป็นห่วงลูกน้อยมากจึงได้ไปเกณฑ์พรรคพวกตนในฝั่งปากแม่น้ำ สีหมุข อันเป็นถิ่นของราชสีห์มาเป็นจำนวนมากหาทุกซอกทุกมุมของป่า จนจะเข้าไปหาในป่าหิมพานต์อยู่แล้วถ้าไม่เช้าเสียก่อน
ทั้งๆที่ปรวาณนั้นซ่อนอยู่ตรงชานอาศรมแท้ๆ.....
เมื่อรุ่งเช้าฤาษีไกสีย์กับนางสิงห์สรกลับมายังอาศรมก็พบกับปรวาณที่ตื่นนอนตาแป๋วเตรียมสำรับเช้าให้คนทั้งคู่อยู่ก็เล่นเอาเลือดขึ้นหน้าพอสมควร จับปรวาณมาอบรมพร้อมกับเทศน์ให้ฟังนานนับชั่วโมงเรียกน้ำตาจากตัวเล็กได้เป็นอย่างดี แต่พอปรวาณพูแค่คำเดียวสั้นๆสองพยางค์พร้อมทำตาน่าสงสารอารมณ์ที่กำลังพรุ่งพร่านของทั้งคู่ก็ยอมสงบลงแต่โดยดี
“ขะ ขอโทษครับ...”
อย่างที่ว่าปรวาณเป็นเด็กฉลาดเมื่อรู้ว่าอาจารย์ปู่กับแม่ของตนแพ้ทางลูกอ้อนแบบนี้ เมื่อทำผิดอะไรก็จะงัดไม้นี้ออกมาใช้ก็พ้นผิดไปเสียแทบทุกรอบ เล่นเอาผ็อวุโสทั้งคู่แทบกุมขมับกับความแสบแสนของปรวาณ
จนตอนนี้ปรวาณอายุได้หกขวบปีพอดีสำเร็จทั้งวิชาอาคม อาวุธ การต่อสู้มือเปล่า การปกครอง ทั้งหมดอย่างแตกฉาน ในขั้นตอนการฝึกอาวุธนั้นฤาษีโกสีย์สอนเพียงสามอย่างคือ การใช้ตรีศูล การใช้ดาบ และการใช้หอก แน่นอนว่าอาวุธทั้งสามปรวาณชำนาญถึงขีดสุด จนตอนนี้ปรวาณเองก็ไม่ทราบว่าตนมีของวิเศษติดตัวมาสามชิ้นตั้งแต่เกิด เพราะฤาษีโกสีย์คิดจะบอกเมื่อถึงเวลา ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
๑๐๐%
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อ่ะๆมาต่อเเล้วครับ
ขอให้สนุกนะอิอิ
1 เม้น=1 กำลังใจ
HaMs_TeR
ความคิดเห็น