ตอนที่ 24 : ภารกิจ
ล่วงเข้ากลางฤดูร้อนแล้ว แต่อากาศภายในศาลาแปดเหลี่ยมก็ยังคงเย็นสบาย ลมเอื่อยๆที่พัดเอาไอน้ำจากสระบัวขึ้นมา บวกกับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกบัวที่ชูไสวอยู่ในสระ ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง แม้ฮุ่ยจื่อจะอยากอยู่สนทนาต่อ เพราะยากนักที่จะเห็นเหม่ยเหมยมีท่าทางผ่อนคลายแบบนี้ ยามพูดคุยกับสหายใหม่ก็มีรอยยิ้มน้อยๆแต้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา น่าดูยิ่งนัก แต่ปัญหาที่ยังค้างคาอยู่ ก็ต้องได้รับการแก้ไข เขาจึงจำใจขอตัวออกมา
หลังจากฮุ่ยจื่อออกไปแล้ว โดยบอกเอาไว้ว่าจะมากินข้าวเที่ยงด้วย สองสาวก็สนทนาสัพเพเหะระกันต่อ เหม่ยเหมยนั้นยินดียิ่งนักที่มีโอกาสที่หยุนซีจะได้ลงหลักปักฐานที่นี่ เธอมีความคิดที่จะตั้งตัวเป็นแม่สื่อให้กับทั้งสองคน คิดได้อย่างนั้นก็ลงปฏิบัติการตามแผนที่เพิ่งคิดได้เสียเลยดีกว่า
“หยุนซีไปที่ครัวกันเถอะ ทำของอร่อยๆกินกันดีว่า เจ้าเดินทางไปหลายแคว้น คงจะรู้จักอาหารแปลกๆมากมาย สอนให้ข้าบ้างได้หรือไม่” แต่ก่อนจะปฏิบัติการคิวบิดสื่อรัก เธอไม่ลืมเรื่องงานที่โรงเตี้ยม ถ้าได้อาหารจากหลายแคว้นมาขาย น่าจะเรียกลูกค้าจากแคว้นนั้นๆได้บ้าง บางคนเดินทางรอนแรมมาไกล จากบ้านมานาน คงอยากกินอาหารบ้านเกิดไม่มากก็น้อย
“เจ้าค่ะ แต่ข้าก็ไม่เคยลงมือทำนะเจ้าคะ เคยแต่กินตามโรงเตี้ยม แต่ถ้าได้ลองทำดู ก็อาจจะทำได้เจ้าค่ะ” หยุนซีตอบตามจริง เพราะการเดินทางอยู่ตลอดเวลานั้นทำให้ไม่มีโอกาสได้ทำครัวมากนัก อาศัยกินที่โรงเตี้ยมเอา เวลาเดินทางในป่าก็เพียงทำอาหารง่ายๆ หรือกินอาหารแห้งเท่านั้น นางเองก็พอมีฝีมือในการทำอาหาร เพราะเมื่อก่อนตอนอยู่กับท่านแม่ก็เป็นนางที่รับหน้าที่นี้ เพราะท่านแม่นั้นป่วยกระเสาะกระแสะตลอดเวลา นางตั้งใจทำอาหารเพื่อบำรุงท่านแม่โดยเฉพาะ เพราะฉะนั้นการได้ลงครัวแสดงฝีมืออีกครั้งนางจึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เหม่ยเหมยและหยุนซีลงครัวกันได้พักใหญ่ๆ ก็ได้อาหารแปลกตามาสองสามอย่าง หยุนซีทำอาหารของแคว้นอู๋บ้านเกิดของตัวเองหนึ่งอย่าง และของแคว้นโจวที่อยู่ทางใต้อีกหนึ่งอย่าง ส่วนเหม่ยเหมยร่วมมือกับเสี่ยวเปา ทำอาหารของแคว้นเว่ยอีกหนึ่งอย่าง จากนั้นก็เป็นอาหารสามัญที่พบได้ในทุกแคว้นอีกสองอย่าง จากนั้นก็บ่าวให้ตั้งโต๊ะที่โถงกลาง เมื่อเช้าเหม่ยเหมยจะพาหยุนซีไปหาตงจื่อหยาก่อน แต่พ่อบ้านฉูมาบอกว่าฮูหยินใหญ่กำลังยุ่ง ให้พวกนางคุยกันไปก่อนเลย ฮูหยินใหญ่จะมาร่วมสำรับด้วยตอนเที่ยง
เหม่ยเหมยกับหยุนซีมาถึงโถงกลางก่อนอีกสองคน ประมาณครึ่งเค่อตงจื่อหยาและจางฮุ่ยจื่อก็เดินมาด้วยกัน ตงจื่อหยานั่งลงหัวโต๊ะเพราะอาวุโสที่สุดในนี้ ส่วนจางฮุ่ยจื่อนั่งตรงข้ามกับเหม่ยเหมย เธอว่าจะจัดให้หยุนซีนั่งตรงข้ามพี่ฮุ่ยจื่อสักหน่อย ถ้าคุณสามีอยู่ด้วย หยุนซีอาจได้นั่งตรงข้ามหรือนั่งข้างๆ พี่ฮุ่ยจื่อเลยก็ได้ เสียดายจริงๆ แล้วพี่มู่อิงหละ นี่เธอได้เพื่อนใหม่จนลืมพี่มู่อิงไปได้อย่างไร
“พี่มู่อิงเหล่าเจ้าคะท่านแม่ ไม่มาทานด้วยกันที่นี่เหรอ”
“แม่ให้พ่อบ้านฉูไปบอกแล้ว แต่เห็นว่านางกำลังยุ่ง เลยขอกินที่เรือน” ตงจื่อหย่าเหลือบมองจางฮุ่ยจื่ออย่างสื่อความหมาย จางฮุ่ยจื่อแม้สีหน้าจะเรียบเฉยแต่ก็พอดูออกว่ามีเรื่องกังวลใจ เหม่ยเหมยไม่ทันได้สังเกตุใครทั้งนั้น เพราะมั่วแต่หันไปสั่งให้บ่าวเอาอาหารที่เพิ่งทำใหม่ไปให้เฉินมู่อิงที่เรือน
“ข้ากัวหยุนซี คารวะจางฮูหยินเจ้าค่ะ” เมื่อทุกอย่างดูเข้าที่เข้าทางแล้ว หยุนซีที่คอยดูคนสกุลจางคุยกันอยู่นานก็เอ่ยทักทายแม่สามีของเพื่อนใหม่ของนาง
ตงจื่อหยาลอบพินิจพิจารณาเด็กสาวตรงหน้า นางที่ได้ยินเรื่องของหยุนซีตั้งแต่เมื่อคืนจากลูกสะใภ้ และจากคำบอกเล่าเมื่อเช้าของบุตรชายคนรอง ดูท่าคนสกุลจางคงจะถูกชะตากับสาวน้อยนางนี้ไม่เบา หน้าตานางก็หน้ารักจิ้มลิ้ม ปากนิดจมูกหน่อย ไม่อาจเรียกได้ว่างามล้มเมือง แต่ก็น่าดูน่าพิสมัย ผิวพรรณแม้จะไม่ได้ขาวนวลตาเพราะต้องเดินทางอยู่ตลอด แต่ก็เนียนสวยสะอาดสะอ้าน โดยรวมแล้วก็นับว่างามอยู่
“อย่ามากพิธีเลย เรียกข้าว่าท่านป้าก็ได้ อาจื่อเสนอให้เจ้ากับพ่อทำงานที่ร้านยาและสมุนไพรกระนั้นหรือ” บุตรชายบอกนางเรื่องนี้แล้วเช่นกัน ถ้าได้ทั้งคู่มาช่วยงานคงดีไม่น้อย การจะหาหลงจู๊ที่ทำงานดีและมีความรู้ไม่ใช่เรื่องงานเลย
“เจ้าค่ะ แต่ข้าต้องไปคุยกับท่านพ่อก่อน” แม้อยากจะรับปากมากเพียงใด หยุนซีก็ไม่สามารถตัดสินใจเองได้อยู่ดี
“ท่านแม่ พี่ฮุ่ยจื่อ วันนี้ข้ากับหยุนซีลองทำอาหารจากแคว้นต่างๆกันเจ้าค่ะ มาลองชิมเถิด” หลังจากนั้นทั้งหมดก็คุยกันเรื่องอาหารเสียเป็นส่วนใหญ่ ตงจื่อหยาและจางฮุ่ยจื่อแปลกใจไม่น้อย ที่เหม่ยเหมยดูจะจริงจังกับการทำโรงเตี้ยมมาก ตงจื่อหยานั้นกังวลว่าเหม่ยเหมยยังคงมีความคิดเรื่องพึงพาตัวเองอะไรนั่นอยู่ ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เหม่ยเหมยออกเรือนแล้วจะต้องพึ่งพาตัวเองไปใย ตงจื่อหยาหวังเพียงว่าที่เหม่ยเหมยทำอยู่จะเป็นการทำเพื่อสกุลจางเท่านั้น หากนางได้ยินในสิ่งที่เหม่ยเหมยคุยกับจางฮุ่ยจินในคืนก่อนวันไปโรงเตี้ยม คงได้เป็นลมล้มพับไปเป็นแน่
แน่นอนว่าเหม่ยเหมยไม่พลาดที่จะปฏิบัติภารกิจสื่อรักไปด้วย มีโอกาสเมื่อไรเธอเป็นต้องโยงให้ทั้งคนคู่คุยกันจนได้ แม้ไม่ได้กระทำอย่างโจ่งแจ้ง แต่ใครเลยจะไม่รู้ว่าเหม่ยเหมยกำลังทำสิ่งใดอยู่ จางฮุ่ยจื่อเพียงรับคำ และคุยไปตามมารยาท ไม่มากเกินจนกลายเป็นให้ความหวัง และไม่น้อยไปจนเป็นการเสียมารยาท ติดจะน้อยใจเหม่ยเหมยไม่น้อย ที่ดูว่าอยากจะผลักไสเขาให้หยุนซีเสียเหลือเกิน
ตงจื่อหยาก็ย่อมจะมองออกด้วยเช่นกัน นางนั้นไม่ได้คิดขัดขวางแต่อย่างใด คุณหนูกัวผู้นี้ก็ดูเข้าท่า สกุลจางไม่ได้ต้องการการแต่งงานเพื่อเพิ่มคู่ค้าหรือเส้นสายอะไรมากนัก เรื่องพื้นเพของครอบครอบจึงไม่จำเป็นต้องพิจารณากันมากมาย ขอเพียงบุตรชายของตนพอใจเท่านั้น เพราะลำพังแค่การแต่งงานของสองตระกูลการค้าใหญ่อย่างสกุลจางและสกุลเฉิน ก็มั่นคงและน่าหวาดหวั่นเพียงพอแล้ว แม้จะดูเหมือนว่าสองสกุลเกี่ยวดองแน่นแฟ้นกันมากขึ้น แต่อย่างไรคู่แข่งก็ยังเป็นคู่แข่งกันอยู่วันยังค่ำ ไม่มีมิตรที่แท้จริงและศัตรูอย่างถาวร ในแวดวงค้าขาย อีกอย่างบุตรชายของนางก็ควรทำใจที่ด้ายแดงของตัวเองไปไม่ถึงคนที่ต้องการได้แล้ว
ในเมื่อคนนอกมองออก ใยเจ้าตัวจะไม่รู้ หยุนซีก็รับรู้ได้เช่นกันว่าเหม่ยเหมยพยายามให้ตนคุยกับคุณชายรองสกุลจางมากเพียงใด แต่นางเป็นหญิง ซ้ำยังเพิ่งเจอเขาได้เพียงวันเดียว จะแสดงออกมากไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรกับนางเป็นพิเศษ หยุนซีจึงทำได้เพียงคุยไปตามที่เหม่ยเหมยชวนโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่า เพื่อนใหม่ของนางคิดจะจับคู่ให้เสียแล้ว หยุนซีไม่อยากหวังไกล มิตรภาพที่มีอยู่ตอนนี้ก็นับว่าดีเกินหวังแล้ว นางไม่นึกไม่ฝันด้วยซ้ำว่าจะได้เจอกับคนดีๆเช่นนี้
ทางเหม่ยเหมยเองก็พอจะรู้ว่าทุกคนรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ก็แล้วอย่างไร ในเมื่อทุกคนทำเป็นไม่รู้ เธอจะจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น ปฏิบัติหน้าที่คิวปิดต่อไป ในเมื่อมีแต่ได้ยังไม่เห็นผลเสีย ถ้าฮุ่ยจื่อลงเอยกับหยุนซี นอกจากเธอจะได้น้องสะใภ้แล้วถูกใจแล้ว ฮุ่ยจื่อจะได้เลิกมีความหวังในตัวเธอสักที แม้เขาจะไม่ได้แสดงออกชัดเจนว่ามีใจให้กับเหม่ยเหมย แต่ฟังจากที่คนอื่นเล่ามา และสายตาของเขาในบางครั้ง ตัดไฟเสียแต่ต้นลมจะดีกว่า เธอเองก็ไม่แน่ใจเท่าใดนักว่าเป็นต้นลมหรือเป็นไฟที่โหมกระพืออยากจะดับไปเสียแล้ว แต่ไม่ว่าจะตีลังกาดูอย่างไร ก็ไม่เห็นทางว่าเธอกับฮุ่ยจื่อจะลงเอยกันได้ และคำครหานิทาต่างๆ จะได้หมดลงไปด้วย เห็นไหม มีแต่วินกับวิน
“หยุนซีมาจากแคว้นอู๋ แล้วเจ้ารู้จักกับคุณชายหมิง หมิงเหอคังหรือไม่” คราวนี้เป็นฮุ่ยจื่อเองที่เอ่ยปากถามหยุนซีก่อน ได้ปราศจากการชักนำของเหม่ยเหมย
“รู้จักเจ้าค่ะ ตระกูลหมิงค่อนข้างมีชื่อเสียงไม่น้อย เพราะค้าขายอาหารและพืชพรรณต่างๆมานาน เป็นที่รู้กันว่าถ้าซื้อของที่ร้านของสกุลหมิง ก็จะได้แต่ของดีไปเจ้าค่ะ และยังราคาไม่แพง เวลาหน้าหนาว ก็จะตั้งโรงทานแจกข้าวแจกอาหารทุกปี เป็นที่รู้กันทั่วแคว้นเจ้าค่ะ”
“แล้วรู้จักเป็นการส่วนตัวหรือไม่” เหม่ยเหมยที่เกือบจะลืมคุณชายหมิงผู้นี้ก็ถาขึ้นมาบ้าง
“รู้จักเจ้าค่ะ เมื่อก่อนตอนข้ายังอยู่ที่แคว้นอู๋กับท่านแม่ ข้าซื้อของที่ร้านสกุหมิง ได้เจอกับคุณชายเป็นประจำ คุณชายรู้ว่าท่านแม่ข้าป่วยก็แนะนำอาหารบำรุงให้ด้วยเจ้าค่ะ ท่านแม่ข้าจึงได้กินแต่ของดีๆ แต่ท่านก็อยู่ได้ไม่นานนัก”
“ข้าเสียใจเรื่องแม่ของเจ้าด้วยนะ” เหม่ยเหมยที่คิดว่าไม่น่าถามให้หยุนซีรู้สึกเศร้าใจเลยจึงมีสีหน้าสลดลง แต่ในสายตาของคนอื่นกับคิดว่า เหม่ยเหมยคงคิดถึงพ่อแม่ของตัวเองเป็นแน่ ก็ให้นึกสงสารนัก จะมีกี่คนที่มีโชคชะตาน่าเวทนาเช่นนี้ ดีที่นายท่านหลินมองการไกล แอบให้ออกเดินทางมาก่อน ถ้าเดินทางมาพร้อมกัน ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะไปอยู่ที่หอคณิกาที่ไหน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่พี่เหม่ยเหมยกับพี่ฮุ่ยจื่อรู้จักคุณชายหมิงด้วยหรือเจ้าคะ”
“อืม พี่ฮุ่ยจื่อติดต่อการค้ากับเขา ส่วนข้าดูเหมือนว่าจะเคยเจอกันตอนเด็กๆ ตอนคุณชายไปค้าขายที่แคว้นเว่ย” เหม่ยเหมยเป็นคนตอบคำถามเสียเอง เพราะรอให้ฮุยจื่อตอบแล้ว แต่เขาไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามนี้แต่อย่างใด
“อย่างนี้นี่เอง กลายเป็นคนรู้จักกันไปหมดเลย” เมื่อก่อนนางก็ชอบคุณชายหมิงผู้นี้ไม่น้อย หน้าตาเกลี้ยงเกลาหมดจด สุภาพและใจดีกับนางอย่างยิ่ง แต่นานไปจึงรู้ว่าเขาก็ใจดีกับทุกคน ไม่ใช่กับนางคนเดียว และสถานะที่ค่อนข้างแตกต่าง จึงได้แต่เพียงชื่นชมเท่านั้น หลังจากออกเดินทางนานวันเข้า นางเองก็เกือบลืมเลือนคุณชายใจดีผู้นี้ไปเสียแล้ว
หลังจากมื้อกลางวัน ตอนบ่ายเหม่ยเหมยชวนหยุนซีมาเรือนของนาง เพราะกัวหยุนลุ่ยจะมารับตอนเย็นๆ หลังจากไปหามู่อิงแล้ว และอยู่พูดคุยได้สองสามคำ มู่อิงที่หน้าตาเคร่งเครียดกว่าปกติก็ขอตัวไปทำงานต่อ เหม่ยเหมยรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเอาเปรียบทุกคนอยู่ เพราะทุกคนดูยุ่งกันหมด ยกเว้นแต่เธอคนเดียว ก็เธอทำงานในส่วนที่รับผิดชอบหมดแล้ว และไม่มีใครให้ช่วยทำอะไรอีก เธอจะไปทำอะไรได้ จะให้เสนอหน้าไปซักไซร้ให้วุ่นวายก็ไม่ใช่เรื่อง เหม่ยเหมยเรียนรู้แล้วอย่างหนึ่งว่า ในโลกแห่งนี้เธอควรรู้เท่าที่ควรจะรู้หรือที่อยากให้รู้ก็พอ เพราะดันทุรังไปก็เท่านั้น รอดูอีกสักพัก ถ้าดูว่ายังจัดการกันไม่ได้ ค่อยไปถามแสดงความห่วงใยก็คงยังไม่สาย
“ท่านแม่คิดว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ขอรับ” ในห้องทำงานใหญ่ ที่เป็นห้องทำงานของจางฮุ่ยเจียงและตงจื่อหยา จางฮุ่ยจื่อที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองบัญชีมากมาย เอ่ยถามตงจื่อหยาหลังจากให้ดูสิ่งที่เขาพบ ปัญหาเมื่อวานนั้นพี่ใหญ่จัดการเรียบร้อยแล้ว แต่พวกเขาสงสัยว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุที่เกิดเฉพาะหน้า อาจมีความผิดพลาดมานานแล้ว จึงรื้อบัญชีขึ้นมาตรวจสอบใหม่อีกครั้ง
“แม่ก็ยังไม่แน่ใจนัก ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต บัญชีที่ทั้งสองทำ แม่ก็ตรวจสอบเองอีกครั้งทุกครั้ง ถ้าวันนี้เจ้าไม่มาช่วยดู แม่ก็อาจจะยังไม่เห็น” แม้ว่านางจะให้สะใภ้ทั้งสองช่วยทำบัญชี แต่ก็เป็นของร้านเล็กๆ หรือร้านสาขาปลีกย่อยที่ไม่ได้มีความสำคัญนัก และนางก็ตรวจสอบเองด้วยทุกครั้ง อาจจะเพราะเหนื่อยเกินไป หรือไว้ใจเกินไป นางที่อยู่กับงานบัญชีมานานกว่ายี่สิบปี จึงไม่เห็นจุดผิดปกติที่น่าสงสัยนี้
“พี่ใหญ่รู้เรื่องนี้หรือไม่ขอรับท่านแม่”
&&&
สวัสดีปีใหม่ค่า ขุดตัวเองออกจากความขี้เกียจมาส่งความสุขให้รีดเดอร์ต้อนรับปีหมูกันนะ ขอให้มีความสุข เฮงๆ รวยๆ ขอให้อุดมสมบูรณ์ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งทรัพยสมบัติ แตไร้โรคไร้ภัยนะคะ
คนที่เดินทางกลับ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ ถึงบ้านอย่างปลอดภัย พร้อมรับปีใหม่นะคะ
แอบสารภาพว่า มีเครียดเหมือนกันตอนที่จะลงมือเขียน เพราะไม่คิดว่าจะมีคนอ่านเยอะขนาดนี้ เลยรู้สึกกดดันไม่น้อยเลยค่ะ กลัวจะไม่สนุก บางครั้งก็นอยจนไม่อยากเขียนทั้งๆที่ว่างก็มี แต่ปีใหม่แล้ว ก็จะปรับปรุงตัวใหม่ จะเขียนอย่างที่อยากเขียน เขียนไปด้วยความสุข มามีความสุขรับปีใหม่ไปด้วยกันนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เอาตามไรท์ปูเรื่องไว้เลยค่ะ อ่านได้หมด
ถ้าเมียเอกร้ายจริงๆก็เสียดาย(เหงื่อ)รักแทนอาจิน ที่จิ้มไป
เชียร์คนใหม่จะใครก็ใด้ ที่ไม่ใช่อาจิน
ไม่อยากให้เมยคู่กับชายใหญ่เพราะเมียเขาร้ายเลย
เมียเอก ทำพิษ เเสดงว่าเมียเอกเป็นนางร้ายในคราบคนดี เเล้วยาพิษที่นางเอกได้รับอีก
อ่า เมียเอกพี่ใหญ่ปลอมแปลงบัญชี งุบงิบเงินหรอ
รอนะคะ
สวัสดีปีใหม่นะคะไรท์
ขอให้มีความสุขมากๆนะคะ