ตอนที่ 20 : เหตุผล
นี่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว ที่เหม่นเหมยเอ่ยขออนุญาตไปดูแลโรงเตี้ยมของสกุลจาง ที่ไม่ว่าจางฮุ่ยเจียงหรือตงจื่อหยา ก็ให้เธอไปขอเอากับสามีแทน
เหม่ยเหมยทั้งหงุดหงิดทั้งโมโห เพราะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง จากคนที่ตัดสินใจได้เองทุกเรื่อง กลับต้องมาขออนุญาตคนโน้นทีคนนี้ที เหมือนเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพียงแค่จะออกจากจวน คนบ้านนี้ก็กระไร ห่วงอะไรเธอหนักหนา
แต่เหม่ยเหมยก็ไม่ใช่คนไม่รู้ความ เธอเลยไม่ได้เซ้าซี้ต่อ มีเพียงคุยกับจางฮุ่ยจื่อและเฉินมู่อิงบ้างเท่านั้น ว่าจะทำอย่างไรให้คุณสามียอมให้เธอออกไปนอกจวนได้
จางฮุ่ยจื่อบอกกับเธอว่า สาเหตุที่ทุกคนไม่อยากให้เธอออกไปนอกจวนนัก นอกจากเรื่องคุณชายเจิ้งแล้ว ยังมีเรื่องที่เธอถูกวางยาพิษตอนเดินทางไปวัดหลัวซาน เพื่อทำบุญให้กับบิดามารดาที่ล่วงลับ แล้วไหนจะพวกโจรที่ดักปล้นขบวนของบิดามารดาระหว่างทางจนทั้งคู่เสียชีวิตอีก พวกเขาจึงยังไม่วางใจอะไรนัก
พวกเขาคิดว่าโจรพวกนั้นไม่น่าจะใช่โจรป่าธรรมดา แต่ก็ยังสืบความอะไรได้ไม่มาก เพราะพวกมันแทบไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ให้ตามกลิ่นได้เลย ทางการก็สรุปเพียงว่าเป็นโจรป่าธรรมดา
'ตำรวจก็คือตำรวจสินะ ไม่ว่ายุคไหน มิติไหน"
ส่วนเรื่องที่เธอถูกวางยานั้น พวกเขาตามสืบจนได้เบาะแสมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจ เลยยังไม่สามารถบอกเธอได้ในตอนนี้ แต่ขอให้วางใจ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้เธอตกอยู่ในอันตรายอีก
เพราะฉะนั้นจางฮุ่ยจื่อจึงบอกให้เธออย่าโกรธเคืองที่พวกเขาทำเหมือนกักขังเธอไว้ในจวน ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอทั้งสิ้น แต่ตัวเขาจะหาทางช่วยเธอเอง ขออย่าได้เป็นกังวล
'เธอเข้าใจ'
นอกเหนือจากเรื่องความปลอดภัยแล้ว จริงๆผู้หญิงสมัยก่อนถ้าไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป ที่ต้องออกมาทำงานกันเป็นปรกติแล้ว ก็คงไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกจากจวนกันมากนัก ดีเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นลูกขุนนางชั้นสูง หรือพวกองค์หญิง พระชายา พระสนม อะไรแบบนั้น เธอคงขอตายอีกรอบ
'เอาเถอะ ไว้พูดกับคุณสามีดีๆ อาจจะยอมก็ได้'
ระหว่างที่รอสามีกลับมา เหม่ยเหมยเลยใช้เวลาว่างจากงานบัญชีที่ตงจื่อหยาให้ดูแล มาปรับปรุงสูตรข้าวแช่บุปผาของเธอ
จะเรียกว่าเป็นข้าวแช่ก็เรียกได้ไม่เต็มปากนัก เพราะเอามาแค่หลักการมาเท่านั้น ส่วนประกอบ เครื่องปรุง เครื่องเคียงต่างๆ ล้วนถูกดัดแปลงตามวัตถุดิบที่มีและรสปากของคนที่นี่ เป็นข้าวแช่ลูกผสมโดนแท้
และแล้ววันที่เหม่ยเหมยรอคอยก็มาถึง คุณสามีกลับมาถึงจวนในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น เฉินมู่อิงนั้นมายืนรอรับคุณสามีอยู่ก่อนแล้ว ตามหน้าที่ของศรีภรรยาที่ดี นางเห็นเธอมายืนคอยด้วยก็ไม่ได้ว่าอะไร คงเพราะรู้จุดประสงค์ของเธออยู่แล้ว
ส่วนจางฮุ่ยจินที่เดินเข้าจวนมาแล้วเห็นเหม่ยเหมยยืนคอยอยู่กับเฉินมู่อิง ก็ให้ประหลาดใจนัก เพราะเหม่ยเหมยนั้นไม่เคยออกมารอรับเขาเลย
แต่จางฮุยจินก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป หลังจากพักดื่มชาและกล่าวทักทายกันเล็กน้อยแล้ว ก็เข้าไปคุยกับบิดาและจาน้องชายที่ห้องหนังสือ ตามที่พ่อบ้านฉูมาตาม
ดูท่าว่าที่ท่านพ่อและน้องชายของเขายังรั้งรออยู่ที่จวน ไม่ออกเดินทางตามกำหนด คงเป็นเพราะเรื่องที่เขาเพิ่งส่งข่าวมาเป็นแน่
"อย่าใจร้อนนัก เดียวข้าช่วยพูดกับท่านพี่ให้ แต่ข้าไม่ไปกับเจ้าด้วยหรอกนะ อย่าได้คิดจะให้ข้าไปด้วย" เฉินมู่อิงเอ่ยขัดเธอขึ้นมาระหว่างเดินกลับไปยังเรือนปีกขวาด้วยกัน เหมือนกับว่ารู้ใจเธอ
"ทำไมเล่าเจ้าคะ ไปกันหลายคนน่าสนุกดีออก" ขณะที่เดินคุยกับเฉินมู่อิงอยู่นั้น เธอก็คิดถึงยัยดาขึ้นมา ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ยัยดาเข้ามาควงแขนเธอ ก็เป็นเธอที่โอบไหล่ยัยดาแล้วเดินคุยกันไป ยัยดาจะโทษตัวเองขนาดไหนนะ หวังว่าพี่นนจะดูแลยัยดาได้ดี
"ไม่หละ เดินทางไปกลับตั้งหลายชั่วยาม แถมโรงเตี้ยมนั้นก็มีแต่นักเดินทาง ไม่มีอะไรรื่นรมย์น่าดูสักนิด" เฉินมู่อิงทำหน้ายู่ใส่ ด้วยเพราะเคยไปพักมาแล้วหนหนึ่ง แม้ไม่อาจเรียกได้ว่าซอมซ่อ แต่ก็ไม่ได้หรูหราเหมือนโรงเตี้ยมในเมือง แถมมีแต่นักเดินทางที่เนื้อตัวค่อนข้างมอมแมม นางจึงไม่ค่อยอยากไปเยือนอีกสักเท่าไร
"นอกจากข้าจะเอาข้าวแช่บุปผาไปขายแล้ว ข้าจะไปดูว่ามีอะไรต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นด้วยนะเจ้าคะ ถ้าได้พี่มู่อิงช่วยออกความคิดเห็นคงดีไม่น้อย" เหม่ยเหมยคิดว่าถ้าเฉินมู่อิงไปด้วย คุณสามีอาจจะอนุญาตง่ายกว่าที่เธอจะไปคนเดียว
"ข้าไม่ถนัดงานพวกนี้" พูดจบเฉินมู่อิงก็เดินเข้าเรือนไป ไม่ให้เหม่ยเหมยได้พูดเซ้าซี้ต่อ
"คุณหนูไม่ไปไม่ได้หรือเจ้าคะ อย่างที่คุณชายรองบอก บ่าวก็เป็นห่วงคุณหนูยิ่งนัก" เสี่ยวเปาที่ฟังอยู่นานก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง
"คุณชายรองก็รับรองแล้วนี่ว่าข้าจะปลอดภัย อย่าวิตกนักเลย ข้าจะระวังตัวให้มาก เจ้าก็ช่วยระวังให้ข้าด้วย ดีหรือไม่" เหม่ยเหมยพูดไปแบบนั้นทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ไปหรือเปล่า
พอถึงเวลามื้อเย็น ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมตา วันนี้เหม่ยเหมยก็ไม่ลืมทำข้าวแช่บุปผามาให้จางฮุ่ยจินชิม
"อืม หน้าตาแปลก แต่รสดีอย่างที่ท่านพ่อและน้องรองว่า แล้วก็คงขายได้อย่างที่อาเหมยว่า" จางฮุ่ยจินพูดไปกินไปโดยไม่ได้หันมามองเหม่ยเหมย
เหม่ยเหมยนั้นรู้ว่าคุณสามีคงรู้เรื่องของเธอทั้งหมดแล้ว จากฝีมือของจางฮุ่ยจื่อ เลยเอ่ยสมทบไปอีกหนึ่งยก
"ใช่มั้ยเจ้าคะ ถ้าอย่างนั้นท่านพี่ให้ข้าไปดูแลโรงเตี้ยมนะเจ้าคะ ข้าจะทำให้โรงเตี้ยมของเราเป็นโรงเตี้ยมนักเดินทางที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ใครจะเดินทางเข้าเมืองหลวงต้องแวะพักที่โรงเตี้ยมของเราเท่านั้น"
กำปั้นทั้งสองของเหม่ยเหมยที่กำไว้แล้วชูขึ้นตรงหน้าด้วยท่าทางมาดมั่น เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนได้ไม่ยาก แต่ยกเว้นสามีของเธอ เหม่ยเหมยเห็นเขาไม่แสดงอาการอะไร ก็ให้ใจหายวาบ คุณสามีจะไม่ทำหน้าแบบอื่นบ้างรึไงนะ
"เอาไว้ค่อยคุยกัน" จางฮุ่ยจินเอ่ยเรียบๆ แล้วก็หันไปคุยเรื่องค้าขายต่อ โดยไม่สนใจเหม่ยเหมยอีก เป็นการตัดจบบทสนทนาโดยสมบูรณ์แบบ เหม่ยเหมยเลยได้แต่นั่งทำหน้าเซง
เฉินมู่อิงเห็นเข้าจึงหันมาตบมือลงบนหน้าขาเหม่ยเหมยเบาๆ บอกให้รู้ว่าไม่ต้องกังวล เหม่ยเหมยจึงกินข้าวต่อไปเงียบๆ ฟังคนบ้านสกุลจางคุยกันไปเรื่อยๆ จนเรื่องที่คุยกันเป็นเรื่องของคุณชายหมิง
"ตกลงนายท่านหมิงเคยค้าขายกับที่บ้านเจ้ามาก่อนรึ อาเหมย" จางฮุ่ยเจียงเอ่ยถามเหม่ยเหมย
"เจ้าค่ะ คุณชายหมิงเองก็เคยตามไปค้าขายที่แคว้นเว่ยด้วยเช่นกัน เราได้เจอกันตอนเด็กๆ แต่ข้าจำไม่ค่อยได้เจ้าค่ะ คงเพราะยังเด็กนัก" เหม่ยเหมยขี้เกียจเล่ารายละเอียดเลยบอกแบบนั้นไปแทน คิดว่าคงไม่ได้ต่างกันเท่าไร
"ดีๆ เป็นคนรู้จักกันแบบนี้ก็ดี"
"คุณชายหมิงยังอวยพรให้ข้าวแช่บุปผาของข้าขายดีด้วยนะเจ้าคะ" เหม่ยเหมยอดที่จะคุยโวเรื่องข้าวแช่ของเธออีกรอบไม่ได้ หวังโน้มน้าวใจสามีเต็มที่
"ฮาฮา ดียิ่งๆ"
จางฮุ่ยเจียงส่งสียงหัวเราะชอบใจ ต่างกับจางฮุ่ยจินที่หน้ามืดครึ้มลงทุกที เขาไม่พอใจอะไรอีกละ เอาใจอยากจริงพ่อคุณ นี่จะไปหาเงินเข้าบ้านนะ ไม่ได้ไปทำอะไรเสียหายสักหน่อย บ่นในใจเสร็จเหม่ยเหมยก็เลิกสนใจคุณสามีอีก ไว้ค่อยหาโอกาสดีๆเข้าไปคุยจะดีกว่า
จากนั้นการสนทนาก็เปลี่ยนเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป จนเมื่อจบมื้ออาหาร ทุกคนต่างทยอยกลับเรือนของตน เธอนั้นเดินตามหลังจางฮุ่ยจินและเฉินมู่อิงไปเหมือนเดิม กลายเป็นเรื่องปกติของสามคนผัวเมียไปแล้ว
ทุกครั้งหลังกลับมาจากกินข้าวที่โถงกลาง จางฮุ่ยจินมักจะไปที่เรือนของมู่อิงหรือไม่ก็ไปที่ห้องหนังสือ วันนี้เขาไปที่ห้องหนังสือ คงเพราะยังมีงานให้ต้องสะสาง คงไม่เหมาะจะเข้าไปคุยเรื่องโรงเตี้ยมในคืนนี้ เหม่ยเหมยเลยตรงกลับเรือนตัวเอง อาบน้ำ ผลัดผ้า เตรียมเข้านอน
"คุณชายใหญ่"
เสี่ยวเปาที่กำลังออกจากห้องไปพักผ่อน หลังจากดับไฟในห้องให้เหม่ยเหมยเรียบร้อยแล้ว ตกใจจนแทบผงะร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้น เมื่อเปิดออกไปเจอจางฮุ่ยจินอยู่หน้าประตู
"เจ้าไปพักเถอะ ข้าจะคุยกับนายเจ้าสักครู่" เขาไม่สนใจท่าทางตกอกตกใจเกินจริงของเสี่ยวเปา เพียงเอ่ยเบาๆ แล้วเบี่ยงตัวเข้าห้องไป
"ไม่ต้องเข้ามา หากข้าไม่เรียก" จางฮุ่ยจินหันไปสั่งเสี่ยวเปาอีกครั้ง คล้ายจะรู้ว่าบ่าวไม่มีทางทิ้งนาย ก่อนจะปิดประตูห้องลงด้วยตนเอง
เสี่ยวเปาที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่นั่งเฝ้าอยู่หน้าห้อง โชคดีที่ตอนนี้เป็นฤดูร้อนเลยไม่ต้องนั่งทนลมหนาว มีเพียงแค่ลมอุ่นๆ พัดผ่านผิวหน้าไป พอๆกับที่ใจเริ่มร้อนรุ่มด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย
เหม่ยเหมยที่ล้มตัวลงนอนไปแล้ว พอได้ยินเสียงเสี่ยวเปาก็เด้งผลุงขึ้นจากเตียง ลุกขึ้นไปใส่เสื้อคลุมที่แขวนไว้ข้างเตียงทันที เพราะตอนนี้เธอสวมเพียงชุดนอนบางๆเท่านั้น แม้แต่เอี้ยมก็ไม่ได้ใส่ ถ้าไม่เกรงใจเสี่ยวเปาที่เข้ามาปรนนิบัติในตอนเช้า เธอก็อยากจะถอดเสื้อผ้านอน ก็หน้าร้อนที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศนั้น ช่างทรมานเหลือเกิน
เมื่อสวมเสื้อคลุมเรียบร้อย จึงตะโกนออกไปบอกเสี่ยวเบาเพื่อคลายกังวลของอีกฝ่าย
"ข้าไม่เป็นไรหรอกเสี่ยวเปา เจ้าไปนอนเถิด"
จากนั้นเหม่ยเหมยก็เดินไปจุดเทียนเพื่อให้มีแสงสว่างพอที่จะเห็นหน้าคู่สนทนาได้ บรรยากาศดูเหมือนจะโรแมนติก แต่เธอไม่ได้มีความรู้สึกเฉียดใกล้คำนั้นเลยแม้แต่นิด ตอนนี้เธอตื่นเต้นและกังวลมากกว่า เธอรู้สึกเหมือนกำลังขอแม่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น
จางฮุ่ยจินหลังปิดประตูเรียบร้อย ก็เดินมานั่งมองเหม่ยเหมยที่โต๊ะน้ำชากลางห้อง รอให้เธอจุดเทียนจนเสร็จแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกับเขา
เหม่ยเหมยที่เห็นสามีมองมายังตัวเองตาไม่กระพริบ ก็ให้รู้สึกประหม่า เหมือนขาจะพันกันให้วุ่น
'ให้ตายเถอะ เธอรู้สึกประหม่าแบบนี้ครั้งสุดท้ายก็ตอนพรีเซนต์สอบจบปริญญาตรี อีตาคุณสามีจ้องเธอเหมือนโปรเฟสเซอร์ไม่มีผิด'
ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะตื่นเต้นกับแค่การขอสามีออกไปข้างนอกเท่านั้น ไม่สมกับเป็นสาวแกร่งของบริษัทเอาซะเลย เหม่ยเหมยทำใจดีสู้เสือ ลอบปลอบใจตัว
"ท่านพี่มาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ" เธอแกล้งถามไปอย่างนั้นทั้งๆที่รู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอะไร
"..."
"ท่านพี่เจ้าคะ" จางฮุ่ยจินยังคงนั่งมองเหม่ยเหมยเงียบไม่พูดออกมาสักครึ่งคำ แววตาคมปลาบจ้องมองเหมือนจะให้ทะลุถึงก้นบึ้งของจิตใจ
"เหตุใดจึงอยากไปดูแลโรงเตี้ยมนัก" ในที่สุดจางฮุ่ยจินก็เอ่ยคำออกมาทำลายบรรยากาศที่เริ่มจะอึดอัดมากขึ้นทุกที แต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็ใช่ว่าจะช่วยได้มากนัก
เหม่ยเหมยถอนหายใจออกมาหนึ่งที เธอจะหาเหตุผลอะไรที่ดีพอ จะให้คุณสามีอนุญาตให้ออกไปทำได้ เพราะถ้ามองในมุมกลับกัน เธอก็อาจจะเป็นคนที่ห้ามเสียเองด้วยซ้ำ คิดมาหลายวันก็ยังคิดไม่ออก
"ข้าแค่อยากลองทำดูเจ้าคะ ว่าข้าจะทำได้หรือไม่" ลองบอกไปตรงๆดูก็แล้วกัน
"แล้วจะลองทำไปทำไม" เหตุใดจึงต้องลอง ถ้าจะทำแล้วก็ทำเลย จางฮุ่ยจินไม่เข้าใจ
"หากข้าทำได้ดี กิจการรุ่งเรือง ข้าจะได้ไปทำโรงเตี้ยมของตัวเองบ้างเจ้าคะ" คุณสามีคงไม่ว่าเธอที่จะเอาโรงเตี้ยมของเขาเป็นที่ฝึกงานหรอกนะ
"เหตุใดต้องทำโรงเตี้ยมของตัวเอง" ก็ทำของสกุลจางต่อไปไม่ได้หรือ ก็ถือว่าเป็นของนางเหมือนกัน จางฮุ่ยจินยิ่งไม่เข้าใจ
"ข้า.. เอ่อ.. ข้าอยากมีอะไรที่เป็นของตัวเองบ้างเจ้าคะ" เหม่ยเหมยไม่รู้จะอธิบายให้เขาเข้าใจได้อย่างไร
"เจ้าสามารถเป็นเจ้าของโรงเตี้ยมนั้นได้ ข้ายกให้" เดิมโรงเตี้ยมนั่นก็ไม่ได้เป็นธุรกิจหลักอยู่แล้ว ทำเพื่อความสะดวกของครอบครัวเสียมากกว่า จะยกให้นางไปก็ไม่เสียหายอะไร
"แต่ข้าอยากทำด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ที่ไม่เกี่ยวกับท่านพี่หรือสกุลจางเจ้าคะ" เหม่ยเหมยบอกไม่ได้ว่าเธออยากไปทำที่อื่น ไม่ใช่ที่ที่เป็นของสกุลจาง
"เจ้าแต่งเป็นสะใภ้ของสกุลจาง ก็ถือว่าเป็นคนของสกุลจางแล้ว จะให้ไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร"
เฮ้อ คุณสามีเธอเข้าใจอะไรยากเหลือเกิน
"สักวันข้าต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ ข้าพึ่งพาสกุลจางมามากแล้วเจ้าค่ะ"
"พึ่งพาตัวเองของเจ้า หมายความว่าอย่างไร" ตอนนี้จางฮุ่ยจินเริ่มรู้สึกตะหงิดๆในคำพูดของเหม่ยเหมย
'ถ้าเรื่องทุกอย่างคลีคลายแล้ว และข้าได้ชดใช้บุญคุณให้สกุลจางแล้ว ข้าจะขอหย่า และลาจากไปเจ้าค่ะ ข้าจึงต้องพึ่งพาตัวเองได้'
แน่นอนว่าเหม่ยเหมยไม่อาจเอ่ยประโยคข้างต้นออกไปได้
"ท่านพี่เจ้าคะ ตอนนี้ข้าแต่งเป็นสะใภ้สกุลจางแล้วก็จริง แต่ตัวข้านั้นแท้จริงนั้นมีเพียงสินเดิมที่ท่านพ่อท่านแม่ทิ้งไว้ให้เท่านั้น บ้านเดิมก็ไม่มีให้กลับ ญาติพี่น้องก็ไม่มีให้บากหน้าไปหาที่ไหนอีกแล้ว หากวันใดไม่มีสกุลจางคุ้มหัว เงินทองเพียงเท่านี้ พอให้ท้องอิ่มได้ไม่กี่มื้อเท่านั้น ข้าแค่ต้องการมีหลักประกันในชีวิตบ้างเจ้าค่ะ ชีวิตข้าพลิกผันมามาก ท่านพี่ก็รู้ ข้าเลยเรียนรู้ที่จะไม่ประมาท หวังว่าท่านพี่จะเข้าใจ และข้าเองก็เข้าใจที่พวกท่านไม่ต้องการให้ข้าออกนอกจวนตอนนี้เช่นกัน แต่จะให้ข้ารออีกนานแค่ไหนเจ้าคะ ชีวิตข้าก็ต้องเดินต่อไปไม่ใช่หรือเจ้าคะ"
พูดจบเหม่ยเหมยก็มีอาการหอบเล็กน้อย หลังจากหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ แล้วก็ยกจอกน้ำชาขึ้นดื่ม บรรเทาอาการกระหายน้ำ
ไม่รู้ว่าอีตาคุณสามีที่นั่งฟังเธอด้วยท่าทางนิ่งเฉยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย จะจับประเด็นที่เธอพูดได้บ้างมั้ย ก็เธอยังไม่แน่ใจเลยว่าที่ตัวเองพูดไปมีอะไรบ้าง แต่มันเหมือนปลดล็อค เลยพูดเป็นน้ำไหลแบบนั้น
"ได้ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปเอง"
อ่าว บทจะง่ายก็ง่าย แบบนี้ก็ได้เหรอเจ้าคะคุณสามี
&&&
มาดึกหน่อย อยากเขียนแล้ว แต่อาจจะมึนๆเมาๆไปบ้าง ก็อ่านกันไปก่อนเด้อ เดียวค่อยมาแก้ทีหลัง
ส่วนเรื่องชื่อ สรรพนามแทนตัว เดียวอาจจะแก้ใหม่อีกรอบ มือใหม่ก็จะงงๆแบบนีัแล
เหตุผลที่ไม่ยอมให้ออกไปข้างนอก บอกไว้ตอนต้นๆแล้ว แต่มาย้ำอีกรอบ เผื่อลืม หนุ่มๆสกุลจางเค้าไม่ค่อยอยู่จวนด้วยละมั้ง เลยห่วงกันมากหน่อย
ยัยเหมยก็เข้าใจเหตุผล แต่ว่าหัวใจมันเรียกร้อง 55 และใจก็ไม่กล้าพอจะหนี เพราะไม่ได้ติดสกิลเตพตู เลยขอเซฟตัวเองก่อน
สุดท้ายยัยเหมยก็ได้ไปทำโรงเตี้ยมสักที แต่ไปกับสามีนะฮะ 555
ขอบคุณทุกเม้น ทุกวิว ทุกหัวใจ ทุกติดตามฮะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทำไมลอยมาใกล้อีกหล่ะ
...ได้แต่หวังว่าไท่ใช่ เฮ้ออ
ลงเรือตุณชายหมิง เพราะรู้จักกันแต่เด็กตุณชายดูท่าทางมีใจให้เหมือนกัน คุณสามีปัจจุบันก็พี่ชายที่แสนดีตามเดิมภรรยาเอกคือคนที่เค้ารักที่สุด ที่แต่งกับนางเอกเพราะเป็นไม้กันหมาให้เฉยๆ 555+ (ออ นานๆไปอย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้างละ เราไม่ปลื้มนะ หากน้องยืนด้วยตัวเองได็ก็ปล่อยนางไปใช้ชีวิตที่นางเลือกเองนะ ไม่อยากให้มีมาม่า อิอิ)
คุณสามี ยังไม่ได้เสียเป็นเมียผัว กับ เหมยๆ ใช่หรือไม่
ฮึๆๆๆๆๆ
เมื่อก่อนรี๊ด ก็ไม่ค่อยอ่าน นิยายจีน เพราะ ติดปัญหาเรื่องชื่อ เรื่องยศ เรื่องศักดิ์ ซึ่งแต่ละคน มี ชื่อเรียกหลายแบบ ยิ่งตำแหน่ง พระนางยิ่งสูง ยิ่งปวดหัว ขี้เกียจจำชื่อ แต่ตอนนี้หันมาอ่านมากขึ้น เพราะว่าเบื่อความฉาบฉวย ความโรแม้นซ์ อ่านจนไม่มีเรื่องไหนที่มีพล็อตแปลกใหม่จนอยากจะอ่าน หลังจากหยุดอ่านไปราวๆ 3 ปี เพาะอิ่มตัว และรอเรื่องใหม่ๆคลอดออกมา บ้างอะไรบ้างค่ะ 555+ สรุป ตะกูลคุณสามี คือ ตะกูล "จาง" เนอะ อิอิ
ไม่รู้มีใครคิดเหมือนเรารึเปล่า?
อ่านไปก็ งงๆ กลัวเรียกชื่อ สามี ผิด ไม่ใชาอารายยยยยยยยยย 555+
ก็ดีที่ยอมให้ดูแลโรงเตี้ยม...แต่ไม่อยากได้อาจินเป็นพระเอกนะ มีความรู้สึกว่าดูแลเหมยได้ไม่ดีพอที่จะผูกพันกันเหมือนคู่ครองอื่น