[WFcontest]ความสุขเเห่งช่วงเวลา - [WFcontest]ความสุขเเห่งช่วงเวลา นิยาย [WFcontest]ความสุขเเห่งช่วงเวลา : Dek-D.com - Writer

    [WFcontest]ความสุขเเห่งช่วงเวลา

    ผมมีความสุขเมื่อคุณมีความสุข

    ผู้เข้าชมรวม

    52

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    52

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ม.ค. 58 / 01:13 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ผมมีความสุขเมื่อคุณมีความสุข
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      “สรุปว่าเธอจะไปจริงๆสินะ” เสียงคุณนายวิคแหวกผ่านความเงียบงันในห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กขึ้นมา มันทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเราทั้งสองต่างนั่งจิบชาโดยไม่ได้สนทนาใดๆเลยมานานแค่ไหนแล้วและยังรู้สึกได้ว่าลมหายใจของตัวเองขาดห้วงไปชั่ววินาทีหนึ่งแต่ก็กลับมาเป็นปกติในวินาทีต่อมา ผมค่อยๆเงยหน้ามองไปที่เธอ สิ่งที่ผมเห็นชัดอยู่ตรงหน้าก็คือสายตาของหญิงชราที่มองสวนทางมา แววตาราวกับผู้เป็นแม่ที่กำลังจะต้องบอกลากับลูกตัวน้อยด้วยความอาลัยอาวรณ์ยิ่งพอรวมกับรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเธอแล้ว ผมแทบจะรู้สึกอยากจะเข้าไปกอดเธอขึ้นมาในทันทีแม้ว่าเธอจะไม่ใช่มารดาบังเกิดเกล้าของผมก็ตาม  

      “ครับผม” ผมตอบกลับไปแล้วส่งยิ้มให้เธอแต่ไม่มีรอยยิ้มส่งกลับมา ผมรู้ดีว่าเธอคิดอะไรอยู่แต่เธอก็ไม่มีสิทธิ์จะห้ามผมเช่นกัน เธอถอนหายใจแบบที่เราไม่อยากจะเห็นคนแก่ทำแล้วคุณนายวิคลุกขึ้นจากโซฟาสีเขียวอ่อนตัวนั้นแล้วเดินเข้าไปในครัวที่มีเสียงกาน้ำกำลังเดือด ไม่นานเกินรอเธอก็กลับมาพร้อมกับชุดน้ำชาชุดหนึ่งอันประกอบไปด้วยแก้วสองใบและกาน้ำชาทรงอวบที่ถูกตบแต่งสีสันต์ลวดลายอย่างประณีตพวกมันถูกจัดวางอยู่บนถาดเงินที่มีรอยหมองเล็กน้อย ก่อนจะถูกนำมาวางไว้ตรงหน้าของผม

      “ฉันนี่มันเป็นคนแก่ที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ” เธอจั่วหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นประโยคที่ผมอยากจะปฏิเสธมันในทันทีแต่ผมก็ไม่ทำ เพื่อที่จะฟังสิ่งที่เธอกำลังจะพูดต่อจากนั้น “ทั้งๆที่ฉันเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเธอเองแท้ๆ แต่มาตอนนี้ฉันกลับคิดว่าฉันไม่น่าบอกเธอเลย” เธอรินของเหลวสีน้ำตาลลงในแก้วใบที่ใกล้ตัวผมพร้อมกับใช้มืออีกข้างหนึ่งประคองฝาปิดไว้ ผมมองดูของเหลวที่ถูกรินออกมาจากกาที่สั่นระริก มันสะท้อนเงาของผมอยู่บนผิวของมัน เผยให้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความลังเลและสับสนจนผมต้องรีบสลัดมันออกไป

      “ไม่หรอกครับคุณนายวิค ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่บอกผม ไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร” ผมพูดกับหญิงชราที่กำลังจิบชาเอิร์ลเกรย์ในแก้วเซรามิกของเธอ “ทีนี้ผมก็จะช่วยเธอได้เสียที” ว่าแล้วผมก็จิบชาในแก้วของตัวเอง มันช่างหอมเหลือเกิน หอมกว่าชาถ้วยใดที่ผมเคยจิบมา เธอชงมันได้ดีจริงๆหรือเพราะผมคิดไปเองก็ไม่ทราบ

      “เธอคิดอย่างนั้นจริงๆน่ะเหรอ ทิมมี่” คุณนายพูดขัดจังหวะขึ้นมา ผมรีบลดแก้วลงเมื่อได้ยินชื่อเล่นที่เธอตั้งให้กับผมแล้วตั้งใจฟัง “ฉันก็ไม่ได้คิดจะขัดขวางเธอหรอกนะแต่ว่าเธอคิดจริงๆเหรอ ว่าทำอย่างนี้แล้วหล่อนจะมีความสุข” เธอเน้นเสียงตรงคำว่า อย่างนี้ทำเอาผมอึ้งไปดังเช่นทุกครั้งที่เธอมักจะพูดสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง แม้แต่ครั้งนี้ก็ไม่เว้น

      “เธอไม่คิดบ้างเหรอว่าหล่อนน่ะ มีความสุขเมื่อได้อยู่กับเธอ ได้เคียงข้างเธอ ไม่คิดบ้างเหรอว่าเธอคือ ผู้ชายที่ทำให้หล่อนมีความสุขมากที่สุดในชีวิต” ทุกถ้อยคำบาดลึกไปถึงก้นบึ้งของหัวใจจนผมอยากจะเอามือขึ้นมากุมที่หน้าอก คุณนายมักจะพูดตรงไปตรงมาเสมอแม้ว่าบางครั้งมันจะทำร้ายจิตใจไปบ้างก็ตาม

      “ถ้าเอาตามที่ฉันคิดนะ ก็คือเธอน่ะโทษตัวเองมากเกินไปเกี่ยวกับการตายของหล่อน เชื่อฉันสิทิมมี่มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ ไม่มีใครช่วยมาธ่าได้ อนาคตของเธอถูกกำหนดไว้แล้ว ไว้ตั้งแต่ตอนที่เธอเกิด ไว้ตั้งแต่ที่โลกนี้ยังเป็นแค่ธุลีในจักรวาลที่กว้างใหญ่ มันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแหละ เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำอะไรได้หรอกทิมมี่ ต่อให้เธอจะกลับไปแก้ไขอดีตแต่มันก็จะเป็นเช่นเดิม แล้วถ้ามันเป็นอย่างนั้นเธอจะรับความจริงได้เหรอทิมมี่ ถ้ารู้ว่าสิ่งที่ทำไปมันสูญเปล่า สิ่งที่ต้องเสียสละไปมันกลับไร้ค่า เธอจะทนแบกรับมันไหวงั้นเหรอ” คุณนายร่ายยาวจนหอบเหนื่อย อาจจะเพราะฤทธิ์ของความชราภาพทำให้แค่พูดประโยคยาวๆก็ทำให้เธอเสียพลังงานไปมากโข ส่วนผมแค่มองเธอก็เหนื่อยแทนแล้ว

      “คุณนายครับ ผมได้คิดมาดีแล้ว ชั่วชีวิตของผม ผมเห็นเธอมาตลอด ตั้งแต่ที่เราเป็นเด็ก วิ่งไล่จับกันบนสนามหญ้า ตั้งแต่วันที่เราเรียนจบจนเธอแต่งงานกับอลัน จนเธอจากไปผมรู้ดีว่าตอนไหนเธอมีความสุข ตอนนั้นเธอแค่แกล้งยิ้มเพื่อให้คนอื่นคิดว่าเธอมีความสุขและนั่นก็คือตอนที่เธอมาอยู่กับผมผมไม่สามารถทำให้ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุด รักมาตลอด ผมไม่สามารถทำให้เธอมีความสุขได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว จนวันที่เธอตายจากไป มันช่างกะทันหันเหลือเกินและยังทำให้ผมย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องราวต่างๆในอดีต ทำให้ผมคิดได้ในตอนนั้นเองว่าความสุขของเธอก็คือความสุขของผมเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นครับคุณนาย ผมจะไม่มีวันเสียใจเพราะสิ่งที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้มันหนักหนายิ่งกว่าความเสียใจมาก” ผมจบประโยคด้วยความมั่นใจ หวังว่ามันจะสื่อไปถึงเธอและก็เป็นไปตามที่คิดไว้

      “...ถ้าเธอว่าอย่างนั้น ฉันก็คงไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว” เธอรินชาลงในถ้วยของผมตามด้วยถ้วยของเธอและจิบมันอีกครั้ง “ถ้าไม่รังเกียจจะช่วยมานั่งคุยกับคนแก่ขี้เหงาอย่างฉันเป็นครั้งสุดท้ายหน่อยได้ไหม” เธอยิ้มแล้ว ช่างเป็นยิ้มที่อ่อนโยนเสียเหลือเกิน

       

      “ได้สิครับ”

       

      …………………………………………

       

                           “โชคดีนะทิมมี่” เรากอดกันที่หน้าคอนโด ผมรู้สึกลำบากใจนิดหน่อยที่ต้องให้คนแก่ต้องเดินลงมาส่งผมถึงชั้นล่างอย่างนี้แต่ไม่ว่าจะบอกอย่างไรเธอก็ดื้อดึงที่จะมาส่งผมให้ได้ มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่าถ้าเธอมีแรงเหมือนเมื่อก่อนล่ะก็เธอจะไปส่งผมถึงสถานีเลยทีเดียว “แล้วก็อย่าลืมเขียนสิ่งที่จะใช้จ่ายค่าโดยสารล่ะ โทมัสจะไม่เตือนเธอหรอกนะ” เธอย้ำในสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ ประโยคนั้นมันแฝงความโศกเศร้ามาด้วยเล็กน้อย

                      “ครับคุณนาย” ผมโอบกอดร่างอันบอบบางที่ราวกับจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่ออย่างระมัดระวัง ทั้งที่จริงๆผมอยากจะกอดเธอให้แน่นกว่านี้เสียหน่อยแต่ก็กลัวว่าจะไปทำให้เธอซี่โครงหักเสียนี่  

                      “แล้วถ้าเรามีโอกาสได้เจอกันอีกอย่าลืมทักฉันนะ” เธอพูดปนสะอื้นทำเอาต่อมน้ำตาของผมจะแตกไปด้วย ผมพยักหน้าก่อนจะเดินจากมาไกลจากคอนโดที่ผมอาศัยมาสิบปีและมีหญิงชรายืนโบกมือส่งอยู่ตรงหน้าคอนโดนั้น

                      ผมเดินไปบนถนนยามค่ำคืนของเดือนธันวาคม มีแสงไฟจากเสาคอยนำทางผมให้เคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่ไร้วี่แววของผู้คน แม้จะไม่พบวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆมาตลอดทางแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด ก็ดูอากาศสิมันช่างหนาวเหลือเกิน หนาวเสียจนลมที่พ่นออกมาจากปากกลายเป็นหมอกควันและเกล็ดหิมะค่อยๆทิ้งตัวลงมาอย่างสะเปะสะปะเหมือนใบไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ค่ำคืนนี้ผมรู้สึกราวกับว่ามีมีดนับร้อยเล่มมาแตะบนผิวหนังอยู่ตลอดเวลาทั้งๆที่ผมกำลังห่อหุ้มร่างกายของตัวเองด้วยเสื้อโค้ทตัวที่หนาที่สุดที่จะหาได้ในตลาดในเมืองอยู่แท้ๆ  

                      เมื่อก่อนผมเคยชอบหิมะมาก ก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆในเมือง ผมมักจะชอบเล่นสงครามหิมะกับเพื่อนบนถนนอยู่บ่อยๆ หรือไม่ก็ปั้นสโนว์แมนขึ้นมาในสวนสาธารณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวบริสุทธิ์แล้วเอาไปอวดคนอื่น ซึ่งเพื่อนๆก็มักจะชอบสโนว์แมนที่ผมเป็นคนปั้นเพราะผมมักจะทำให้มันยิ่งใหญ่อลังการเสมอ แต่ก็นั่นแหละผมก็แค่ เคย ชอบมัน ตอนนี้ผมไม่ชอบมันแล้วเพราะมันมักจะทำให้ผมนึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่ไม่เก่าถึงขนาดตอนที่ผมเป็นเด็กแต่ก็เป็นเรื่องเมื่อหกปีก่อน จะถือว่าเก่าได้หรือเปล่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

      วันนั้นน่าจะเป็นค่ำคืนที่คล้ายกับในที่เป็นอยู่ตอนนี้ ช่วงนั้นเราได้พบกันค่อนข้างบ่อยเป็นเพราะงานของเธอที่ทำให้เธอต้องย้ายไปทำงานที่ต่างๆอยู่บ่อยครั้ง และครั้งนี้เธอก็ได้ย้ายมาทำงานในเขตเดียวกับคอนโดของผมตั้งอยู่ ผมรู้สึกโชคดีเป็นอย่างมากแต่ก็ยังไม่รู้อีกว่าเธอจะย้ายออกไปเมื่อไหร่ ในคืนนั้นผมชวนมาธ่าออกไปทานมือเย็นข้างนอกซึ่งเธอก็ตอบตกลง ภัตตาคารที่ผมชวนเธอไปเป็นเพียงภัตตาคารระดับกลางที่ไม่ได้หรูหราอะไรมากนัก เรานั่งทานอาหารที่สั่งพร้อมกับนั่งพูดคุยเกี่ยวกับสารทุกข์สุขดิบของกันและกันอย่างออกรสแต่กระนั้นผมก็ยังสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าในอากัปกริยาของเธออยู่เป็นระยะๆ

      เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหกรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาสามทุ่ม ผมมองนาฬิกาในร้านด้วยความรู้สึกเสียดาย คงถึงเวลาที่จะต้องจากกันแล้วซึ่งเธอก็คิดเช่นเดียวกัน ตอนนั้นผมรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผมทำให้เธอหัวเราะได้บ้างพอประมาณและนั่นคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำให้เธอได้ เราเดินมาถึงรถเก๋งสีเงินของเธอแล้วเธอก็บอกลา ผมรู้สึกอึดอัดเมื่อได้ยินประโยคนั้นพลางคิดในใจว่าอยากจะอยู่เคียงข้างเธอให้นานกว่านี้เหลือเกิน ผมมองไปที่รถเก๋งคันนั้น คันที่กำลังจะพาเธอจากไปไกลแสนไกลแล้วบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของผม เธอเปิดประตูแต่ยังไม่ทันก้าวขึ้นไปบนรถผมก็อาสาเป็นคนขับรถให้เธอ มันช่างเป็นความคิดที่ตื้นเขินเสียเหลือเกินแทบจะพูดได้เต็มปากว่าผมไม่ได้ประมวลผลมันเลยแม้แต่น้อย เธอมองผมแล้วทำหน้างงๆก่อนจะพูดอะไรไม่ออกไปพักหนึ่ง ผมเห็นท่าทีลังเลของเธอแล้วอยากจะชกหน้าของตัวเองที่พูดอะไรโง่ๆแบบนั้นออกไป ก็แน่ล่ะที่เธอจะทำอะไรไม่ถูก ถึงเราจะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กก็ตามแต่เราก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว อยู่ดีๆจะให้ผู้ชายที่ไม่ได้สนิทสนมอะไรด้วยมาขับรถไปส่งให้อย่างนี้มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอก มาธ่างุนงงไปประมาณสิบวิธีที่ราวกับเป็นสิบปีของผมมันช่างเป็นช่วงเวลาที่น่ากระอักกระอ่วนใจจนผมอยากจะเอาหัวไปกระแทกรถให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยแต่ในระหว่างที่ผมกำลังจะเปลี่ยนใจนั้นเธอก็ตอบตกลงแบบที่ผมก็เซอร์ไพรส์พอสมควร

       รถเคลื่อนตัวไปตามท้องถนนที่มีการจราจรเบาบาง ทีแรกผมมีปัญหากับการขับเจ้ายานพาหนะนี้พอสมควรเพราะความที่ไม่ได้ขับมาหลายปีแล้ว ใช่ คุณเข้าใจไม่ผิดหรอก ผมไม่มีรถ อาชีพนักเขียนไม่ได้เอื้ออำนวยความสะดวกสบายให้ผมมากขนาดนั้น ครั้งสุดท้ายที่ขับคงเป็นตอนที่พ่อยังอยู่ซึ่งก็ต้องย้อนกลับไปอีกสิบปีแล้วหลังจากที่พ่อเสียพวกเจ้าหนี้ก็มายึดเอาทรัพย์สินไปเพื่อใช้หนี้ของเขา ทั้งบ้านทั้งเฟอร์นิเจอร์ต่างๆและรถ ถ้าว่ากันตามตรงแล้วพ่อของผมก็ไม่ใช่คนดีอะไรนักหรอก ก็คอยเที่ยวสำมะเลเทเมาแล้วติดหนี้ไปทั่วจนมีคนมาตามทวงอยู่หลายครั้ง ช่วงนั้นผมลำบากมากทีเดียวแต่ก็ยังพยายามมองโลกในแง่ดีว่าอย่างน้อยทุกสิ่งที่พวกเขายึดไปมันก็มากพอจะหักลบกลบหนี้นั้นได้หมด

      กลายเป็นว่าพอขึ้นไปนั่งบนรถกันสองคนผมกลับเกร็งหนักกว่าเดิม คงเป็นเพราะความใกล้ชิดของเรา ระยะห่างแค่หนึ่งไม้บรรทัดมันทำให้ใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมรู้สึกประหม่าเลยพยายามจะผมชวนมาธ่าคุยไปเรื่อยๆระหว่างทางทั้งๆที่เราก็แทบจะไม่เหลืออะไรให้คุยกันแล้วก็ตาม บางคำถามนั้นสิ้นคิดเป็นอย่างมากเช่นว่า ช่วงนี้ได้ไปที่สวนสาธารณะบ้างไหม คือผมก็เข้าใจว่าหลุดออกมาจากสมองส่วนไหนของผมแต่เธอก็พยายามตอบทุกคำถามอย่างตั้งใจแม้ว่าเธอจะดูเหมือนไม่เหลือคำตอบแล้ว ท้ายที่สุดจริงๆผมจึงต้องหันไปพึ่งที่พึ่งสุดท้ายที่ผมพอจะหาได้ซึ่งก็คือวิทยุ ผมเปิดวิทยุขึ้นมาเพื่อทำลายกำแพงสุญญากาศในรถคันเล็กนั้น ซึ่งท่าทางเก้ๆกังๆของผมก็ทำให้มาธ่าหัวเราะขึ้นมา

      ฉันยังรักเธออยู่ แม้เธอจะอยู่แสนไกลเสียงนักร้องที่กำลังเป็นที่นิยมขับเนื้อร้องที่ถูกเปล่งออกมาด้วยท่วงทำนองที่เนิบช้า สื่ออารมณ์สื่ออารมณ์ถึงการจากลาของคู่รักคู่หนึ่งดังขึ้นมา ผมขนลุกไปทั้งตัวแล้วรีบปิดวิทยุในทันทีพลางก็เหลือบไปมองเธอด้วยหางตา มาธ่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เธอนั่งสายตามองไปข้างหน้าไปยังถนนหนทางและแสงไฟจากตึกรามบ้านช่อง ผมนึกโล่งใจขึ้นมาครู่หนึ่งที่เธอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ผมก็คิดผิดเพราะในพริบตาต่อมาเธอก็ขยับเขยื้อนและสิ่งแรกที่เธอทำคือการปาดน้ำตาที่ไหลรินมาตามแก้มของเธอ

      “มาธ่า” ผมขานเรียกชื่อของเธอแต่ก็ไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยคำใดๆออกไปได้ ทำได้เพียงฟังเสียงสะอื้นที่ค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยที่ไม่สามารถปลอบประโลมเธอได้เลย มันช่างทรมานเหลือเกิน “ฉันฉันขอโทษนะ ทิม ฉันแค่...” อย่าพูดอะไรอีกเลยผมภาวนาในใจให้กับเธอที่ส่ายหน้าเบาๆ “บางครั้งฉัน...ฉันก็พยายามจะลืม...แต่มันก็...ยากที่จะลืมเขา” เธอพูดราวกับว่าจะปฏิเสธความรู้สึกของผมและเพียงได้ยินคำว่า เขาผมจอดรถที่ริมทาง มาธ่าที่มองตรงไปข้างหน้าตอนนี้ก็มองมาที่ผม ใบหน้าของเธอเปียกปอนไปด้วยน้ำตา จมูกและตาของเธอก็ออกเป็นสีชมพูระเรื่อ มันทำให้ข้างในของผมปั่นป่วนไปหมด รู้สึกกลวงไปทั้งหน้าอกราวกับไม่มีหัวใจอยู่ตรงนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่ได้อยากจะทำให้เธอลืมเขา ไม่เลยสักนิด สิ่งที่ผมต้องการและพยายามจะทำอยู่ในตอนนี้มันก็แค่เพียงความหวังเล็กๆของผม ผมก็แค่ปารถนาอยากให้เธอรู้ว่ายังมีผมอีกคน ผมทอดสายตาออกไปไกลแสนไกลขึ้นไปบนฟ้าที่ถูกแสงสว่างในตัวเมืองกลบจนเห็นเพียงแค่พระจันทร์ส่องสว่างท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ทำไมเธอถึงมองเห็นแต่เขากันนะผมคิดและพลันก็ทำให้ผมนึกอะไรได้

      “ฉันมีสถานที่หนึ่งที่ฉันอยากจะพาเธอไป” ไม่รอให้เธอตอบผมก็ขับรถออกไป ผมเลี้ยวซ้ายทางแยกที่ผมควรจะขับตรงแล้วมุ่งไปตามทาง เธอถามผมตลอดว่าจะพาเธอไปไหนแต่ผมก็บอกกลับไปว่าให้เธอคอยดูอยู่เฉยๆ ผมขับรถออกมาไกลจากตัวเมืองมากและขึ้นไปบนภูเขาที่อยู่แถวนั้น จนเรามาถึงสถานที่นั้นในที่สุด มันเป็นจุดพักรถที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรถที่กำลังมุ่งเข้าไปในตัวเมือง ผมออกมาจากตัวรถก่อนจะชวนเธอออกมาดูท้องฟ้า โชคดีจริงๆที่วันนี้ฟ้าเปิดข้างบนนั้นจึงเผยให้เห็นดวงดาวมากมายที่ห้อมล้อมดวงจันทร์ไว้ “สวยดีจัง” เธอพูดขึ้นเมื่อดวงดาวสะท้อนอยู่ในแววตาของเธอ

      “แสงจากดาวเนี่ยถึงมันจะเบากว่าพระจันทร์เยอะแต่มันก็พยายามนะถึงจะรู้ว่าไม่มีทางจะชนะก็เถอะ” ผมเอ่ยประโยคที่แฝงความนัยไว้ “ฉันรู้ดีว่าเธอไม่มีทางลืมเขา แต่ฉันก็...” ประโยคสุดท้ายช่างยากที่จะพูดออกไป มันคือการเดินพันครั้งใหญ่ในชีวิต ผมจะได้หรือหมดตัวก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ ผมกดดันและต้องพยายามรวบรวมความกล้าอยู่นานกว่าจะพูดมันออกไปได้

      “ผมไม่ได้ขอให้เธอลืมเขามาธ่า ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่ผมอยากจะทำให้เธอมีความสุขมากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่” เราหันสบตากัน “ได้โปรดแต่งงานกับผมเถอะนะ” ผมพูดออกไปและเป็นฝ่ายที่รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ และคำตอบที่เธอให้กลับมาในวันนั้นก็ทำให้ผมมีความสุขเหลือเกินท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา

       

      …………………………………………

       

      ผมเดินมาหยุดตรงหน้าสถานีรถไฟเก่าที่ถูกทิ้งร้างภายในเมือง บรรยากาศดูวังเวงสมแล้วที่ไม่มีใครใช้งานมาสิบสองปี ผมเดินเข้าไปอย่างง่ายดายไร้ซึ่งการล็อคหรือป้องกันใดๆน่าเป็นห่วงว่าจะมีเด็กพลัดหลงเข้ามาในนี้บ้างหรือเปล่า ผมเดินผ่านจุดที่น่าจะเป็นที่ขายตั๋วเข้ามาและอย่างแรกที่ค้นพบก็คือข้างในนี้ก็ไม่ได้หนาวน้อยกว่าข้างนอกเท่าไหร่นัก ภายในสถานีรถไฟเก่าแก่มีที่โล่งกว้างที่ถูกห้อมล้อมดัวยกำแพงทั้งสามด้านและมีฝั่งที่เปิดออกให้เห็นข้างนอกอยู่ด้านหนึ่ง ร้านขายของอยู่ตามริมผนังทั้งสามด้าน ส่วนด้านที่เปิดนั้นมีรางรถไฟหลายรางวางตัวเรียงกันทอดยาวออกไปข้างนอกที่ไม่มีผนังกั้น ข้างบนอาคารมีลักษณะคล้ายโดมกระจกเผยให้เห็นท้องฟ้าดูเหมือนคนออกแบบสถานที่แห่งนี้จะมีความโรแมนติกอยู่ไม่น้อย

      ผมหยิบเศษกระดาษที่คุณนายวิคจดให้ขึ้นมาอ่านก่อนที่มันจะบอกให้ผมตรงไปยังทางรถไฟที่เจ็ด ผมจึงมองไปรอบตัวเห็นเลขตั้งแต่หนึ่งเรียงกันเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆตามทางรถไฟ ผมจึงเดินไปตามจำนวนเลขนั้น รู้สึกว่าการเดินท่ามกลางหิมะจะกินแรงของผมไปมิใช่น้อย จนขนาดอากาศเย็นที่ทำให้ปลายเท้าของผมยังชายังไม่สามารถสะกดความเมื่อยตึงๆอยู่ที่ขาและเท้าได้

      ผมลากสังขารของผมมาถึงทางรถไฟที่เจ็ดและนั่งลงตรงนั้น ต่อจากนี้ไปสิ่งที่ผมต้องทำก็คือรออย่างใจเย็น รอขบวนรถไฟสายนั้น ที่จะผ่านชานชะลานี้ในเวลาเที่ยงคืนสิบเจ็ดนาที

       

      “ทิมมี่เธอโอเคไหม ตอบฉันหน่อยสิ ทิมมี่” เสียงคุณนายวิคตะโกนสลับกับเคาะประตูห้องดังระงมไปทั่วห้องในคอนโดขนาดเล็กนี้ ผมไม่ได้ตอบอะไรออกไป และกำลังง่วนอยู่กับการจิบวิสกี้ในแก้วอยู่ “ทิมมี่ เธอช่วยตอบอะไรหน่อยเถอะ อย่าเอาแต่เก็บตัวเงียบสิ ทิมมี่...ไม่งั้นฉันจะตามคนอื่นมาพังประตูห้องเธอล่ะนะ” ผมสำลักแอลกอฮอล์ในทันทีแล้วรีบกระเสือกกระสนไปที่หน้าประตูอย่างทุลักทุเล

      “ในที่สุดก็ยอมเปิดซะทีนะ...เอ๊ะ นี่เธอดื่มเหล้าเหรอเนี่ย เหม็นหึ่งเลย” คุณนายปิดจมูกแล้วโบกมือเพื่อพัดกลิ่นเหม็นจากร่างกายของผม ผมถึงแม้ว่าสติไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวแล้วก็ตามแต่ก็ยังจับใจความได้บ้าง เธอเอาแต่พูดว่าเธอเป็นห่วงผมอย่างงั้นอย่างงี้ แล้วลากร่างกายของผมเข้าไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นๆเพื่อให้ผมสร่างเมาอย่างกับว่าเธอเป็นแม่ของผม จนพอมานึกดูแล้วก็ยังอดขำไม่ได้

      “คุณนายวิค ผมนี่มันไม่ได้เรื่องเลย” ผมที่กำลังตึงๆในหัวนั่งพิงผนังห้องแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงยานคาง เขาว่าเวลาคนเราดื่มเหล้าแล้วเมา เราก็มักจะมีอาการที่แตกต่างกันไป บางคนหัวเราะ บางคนร้องไห้ บางคนจากติ๋มๆเรียบร้อยๆก็กลายเป็นคนบ้าดีเดือดไป บางคนก็ทำให้นึกถึงเรื่องเก่าๆและนั่นคงเป็นผม

      “แค่คนที่ผมรัก ผมยังช่วยเธอไว้ไม่ได้เลย ทำไมผมมันถึงห่วยแตกขนาดนี้นะ” ผมมึนมากอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากความเมา

      “เธอคิดอย่างนั้นเหรอแต่ฉันว่าเธอทำได้ดีที่สุดแล้วนะ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่อยู่เคียงข้างหญิงสาวได้จนวินาทีสุดท้าย” เธอตอบกลับมาแต่มันไม่ได้ช่วยให้ผมพอใจเลยแม้แต่น้อย

      “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นคุณนาย ผมหมายถึงผมมันทุเรศที่แค่ค่ารักษาพยาบาลแค่นั้นผมยังหามาไม่ได้เลย”

      “แค่นั้นของเธอนี่มันตั้งสามหมื่นปอนด์เชียวนะ”

      “ก็นั่นแหละ!!! ชีวิตของเธอน่ะมีค่ามากกว่านั้นเยอะนะ ทำไมกัน ทำไมผมถึงหามาไม่ได้กัน ทำไมผมถึงต้องเสียเธอไป ทุกทีเลย ผมก็แค่อยากจะอยู่กับเธอ อยากจะดูแลเธอ ก็แค่อยากจะอยู่ด้วยกันก็เท่านั้นเอง” ผมทุรนทุรายอยู่บนพื้นที่ทั้งเย็นและหนาวเหน็บ ความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากมันก่อตัวขึ้นในหัวของผม และความหวังก็เริ่มพังทลายลง คุณนายวิคไม่ได้ปลอบอะไรผมหลังจากนั้น เธอแค่ยืนดูสภาพอันน่าสมเพชเวทนาของผมอยู่ห่างๆ

      “ถ้าเธอทุกข์ใจขนาดนั้น ฉันก็พอจะมีทางเลือกให้เธออยู่นะ” ผมชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด คำว่าทางเลือกช่างเพราะเสนาะหูอย่างหน้าประหลาด “คุณหมายความว่ายังไงกัน” ผมถามออกไป

      “ถ้าเธออยากรู้จริงๆล่ะก็ ฉันก็จะบอกเธอ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ทิมมี่ ไม่ใช่ตอนที่เธอสิ้นหวังแบบนี้เพราะถึงจะบอกไปแต่หากเธอขาดศรัทธามันก็จะไม่มีวันเป็นจริง” ยิ่งเธอพูดผมก็ยิ่งอยากรู้ ผมใช้ชักโครกพยุงตัวเองขึ้นพยายามที่จะยืนแต่ทันใดนั้น ความคลื่นไส้ก็ทะลักล้นออกมาทางปาก พร้อมกับกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่คละคลุ้งไปทั่วห้องน้ำ ผมอาเจียนออกมาไม่หยุดจนน้ำตาเอ่อนอง ที่ใจกลางความโสโครกของผมนั้นมือของคุณนายก็ยังคอยลูบหลังให้ด้วยความอ่อนโยน ผมคิดว่าความหวังของผมน่าจะกลับมาในตอนนั้นแหละแม้ว่าเธอจะเอามืออีกข้างหนึ่งบีบจมูกของเธออยู่ก็ตาม

      เธอบอกกับผมว่าให้ผมเตรียมตัวให้พร้อมในอีกสองอาทิตย์ และเมื่อวันนั้นมาถึงเธอก็พาผมออกมาข้างนอก เป็นวันที่หนาวเหน็บของเดือนธันวาคม เราเดินออกมาไกลจนมาถึงสถานีรถไฟเก่าที่ถูกทิ้งร้าง ผมถามเธอว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่และคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมสับสนเป็นอย่างมาก

      “เรามารอรถไฟกัน”

      “...รถไฟ!!! รถไฟอะไร”

      “รถไฟที่จะพาเธอกลับไปในอดีตไงล่ะ”

                      ผมรู้สึกช็อคไปเลยเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ในใจตอนนั้นสบถออกมาเป็นถ้อยคำที่หยาบคาย และรู้สึกเสียดายเวลาและความเชื่อที่เสียไปกับคนแก่ที่มีสติฟั่นเฟืองเช่นนี้ ผมถอนหายใจแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ “ถ้าคุณจะมาสอนปรัชญาชีวิตอะไรผมล่ะก็ เราไม่จำเป็นต้องถ่อมาไกลขนาดนี้หรอกนะคุณนาย ผมกลับล่ะ”

      “เห็นไหมล่ะทิมมี่ ฉันบอกเธอแล้วว่าเธอน่ะขาดศรัทธา” ผมหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองเธอ โดยหวังจะประชดเธอในตอนแรกแต่เมื่อผมมองไปที่เธอ เธอกลับไม่ได้มองมาที่ผมแต่กลับเป็นด้านเปิดของสถานีรถไฟแห่งนี้ และบนใบหน้าของเธอ มันเต็มไปด้วยศรัทธาจนผมขนลุกและในตอนนั้นเอง

      ปู๊น ปู๊น

                      เสียงหวูดรถไฟดังขึ้นมาลางๆในสถานีร้างแห่งนี้ ดวงตาของผมเบิกกว้างพลันปากก็กระซิบกับตัวเอง เป็นไปไม่ได้ผมหันไปทางนั้นทางด้านเปิดของสถานีแล้วเห็นแสงอะไรบางอย่างบนท้องฟ้าหลังกลุ่มเมฆ ทีแรกผมนึกว่ามันคือฟ้าผ่าแต่มันก็ไม่ใช่ มันเป็นแสงที่เคลื่อนที่ม้วนไปมาเหมือนแสงไฟที่ส่องทาง คุณนายวิคโบกมือไปมาในอากาศและแสงนั้นก็ก็หยุดส่ายและมุ่งตรงมาทางนี้

       

      “เธอแค่ต้องมีศรัทธา ทิมมี่ อย่าทิ้งความหวัง” ผมมองคุณนายวิค ทั้งร่างกายของเธอถูกปกคลุมไปด้วยเงาเพราะแสงไฟที่ส่องมาจากเบื้องหลัง ผมรู้แค่เพียงเส้นผมสีขาวของเธอที่ปลิวไสวเพราะแรงลมที่พัดผ่านใบหน้า

       

      …………………………………………

       

                      รถไฟเคลื่อนผ่านใบหน้าของผมไปอย่างรวดเร็วและหยุดลงทันทีที่มันกำลังจะชนขอบรางเหมือนในวันนั้น และถ้าผมจำไม่ผิดเขาจะต้องออกมาอย่างแน่นอน

      “สวัสดีครับคุณผู้ชาย มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ” ชายแก่ในชุดพ่อบ้านอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ โผล่มาอยู่ตรงหน้าของผม ใช่เขาจริงๆด้วย “สวัสดี โทมัส” ผมพูดทักทาย และเขาก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจแต่ก็ไม่นานนัก

      “อ๋อ ผมนึกออกแล้วคุณนี่เองที่เมื่อปีที่แล้วมาพร้อมกับคุณผู้หญิงวิค” ความรู้เป็นกันเองนี้คงเป็นอะไรที่เหมาะกับผมมากกว่า “แล้วมีอะไรให้ผมรับใช้ล่ะครับ ไม่สิ ต้องพูดว่าคุณอยากจะไปที่ไหนหรือเปล่าครับ” เขาพูดพร้อมกับโปรยยิ้มอย่างกับบริกรในโรงแรมห้าดาว

      “ผมอยากจะเดินทางโทมัส จะขอทำสัญญาเลยจะได้ไหม” เพียงลิ้นพับเข้าไปในปากแท่นและกระดาษสัญญาแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า พร้อมกับปากกาคอแร้งด้ามหนึ่งในมือ

      “งั้นผมขออนุญาตอธิบายสัญญาอย่างคร่าวๆเลยละกันนะครับ” เขาพูดขึ้นในขณะที่ผมกำลังพยายามตั้งสมาธิกับปากกาที่อยู่ในมือ

      “อย่างแรกเลยคือ คุณจะสามารถเลือกจุดหมายปลายทางของคุณเองได้ ซึ่งที่จริงมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ถัดมาข้อสองคุณจะสามารถกลับมาก่อนเวลาที่กำหนดไว้ได้นะครับแต่คุณต้องกลับมาอย่างมากสุดก็คือภายในเวลาที่กำหนด ไม่ว่าคุณจะอยากอยู่ต่อหรือไม่ก็ตามโดยข้อนี้นั้นค่อนข้างพิเศษตรงที่ถึงคุณจะไม่อยากแต่ผมก็จะมีวิธีพาคุณกลับมาจนได้เพราะฉะนั้นอย่าพยายามมันจึงไม่ใช่เงื่อนไขแต่เป็นเหมือนกรณีบังคับนะครับ ทางผมก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย เอาล่ะเรามาที่ข้อที่สามก็คือ คุณจะสามารถทำอะไรก็ได้ในอดีตตามแต่คุณต้องการโดยมีข้อแม้ว่าทางการรถไฟจะขออนุญาตไม่รับผิดชอบใดๆต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคตนะครับ และสุดท้ายแต่ละคนมีสิทธิ์จะขึ้นรถไฟขบวนนี้ได้แค่ครั้งเดียวในชีวิตก็สรุปคร่าวๆประมาณนี้ครับ”  

      โทมัสเขาจะไม่บอกเธอหรอกนะผมยิ้มเป็นอย่างที่คุณว่าจริงๆด้วยครับคุณนาย ผมมองไปที่โทมัสเขายังคงยิ้มอยู่อย่างนั้นดูราวกับหุ่นขี้ผึ้ง “แล้วผมต้องจ่ายด้วยอะไรล่ะ” ใช่ผมต้องเป็นฝ่ายถามเอง ไม่เช่นนั้นเขาจะมีสิทธิ์เอาอะไรไปก็ได้เหมือนกับคุณนายวิคที่เสียลูกชายของเธอไป

      “...”

      “...”

      “คุณนี่รอบคอบดีจังเลยนะครับ” ดวงตาหรี่ของเขาเผลนัยน์ตาสีทองออกมาพร้อมกับเสียงที่ทุ้มต่ำลง “ถ้าคุณประสงค์จะระบุสิ่งที่จะใช้จ่าย โปรดระบุไว้ที่ใต้ลายเซ็นของคุณเลยครับ” เขาชี้ไปใต้เส้นตรงที่มีไว้เซ็นชื่อ “แต่ถ้ามันไม่พอทางเราก็จะขอเรียกเก็บเพิ่มเองนะครับ” น่าแปลกที่พอเป็นเรื่องเช่นนี้เขากลับเตือน

       

      งั้นผมขอจ่ายเป็น...

       

      ฉึกฉักๆ เสียงรถไฟดังอย่างสม่ำเสมอ ผมมองออกไปยังนอกกระจกแต่ก็ไม่ปรากฏภาพวิวใดๆอยู่ภาย มีเพียงสะเก็ดแสงที่ส่องขึ้นมาเป็นระยะๆเท่านั้น บรรยากาศข้างในรถไฟนี้เหมือนกับโรงแรมไม่มีผิด ทั้งความหรูหราและความกว้างขวางของมันรวมไปถึงบาร์ให้นั่งก็ยังมี เรียกได้ว่าเป็นรถไฟห้าดาวเลยก็ว่าได้  

      “คุณจะไปที่ไหนเหรอ” ผมหันหน้าไปหาเจ้าของเสียง ที่ตรงนั้นมีหญิงสาวยืนอยู่  เธอแต่งกายด้วยชุดแจ็คเก็ตแบบเก่าที่เราแทบจะไม่มีทางได้เห็นอีกแล้วนอกจากในหนังประวัติศาสตร์ เธอเดินมานั่งตรงข้ามกับผมซึ่งเป็นที่นั่งหันหน้าเข้าชนกัน

      “ผมกำลังจะไปปี 2000 ที่เมือง A แล้วคุณล่ะ” ผมถามกลับเป็นมารยาท หญิงสาวผมบลอนด์ตรงหน้ายิ้มแปลกๆแล้วบอกผมว่าเธอมาจากยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สองและกำลังจะกลับไปเตือนครอบครัวของเธอให้ย้ายหนีไปก่อนที่ในเมืองจะถูกทิ้งระเบิด ตอนแรกผมก็งงๆ แต่สุดท้ายแล้วก็ยิ้มแปลกๆเหมือนเธอ เกือบลืมไปเลยนี่เรากำลังอยู่บนรถไฟแห่งการเวลานี่นา หลังจากนั้นทุกอย่างมันก็ดูจะง่ายไปหมด เราคุยกันอย่างสนิทสนมทั้งที่เพิ่งเจอกันได้ไม่นาน เธอถามผมไม่ขาดปากว่าในอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง ส่วนผมก็ตอบไปแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดเพราะกลัวว่าเธอจะไปทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงอนาคตเข้า

      “แล้วคุณเชื่อไหมว่าตอนนี้เนี่ยนะขนาดที่ประเทศไทยแค่มีคนโดนขโมยข้าวเหนียวไก่ทอด ยังเป็นข่าวใหญ่เลย แล้วสรุปว่าไม่ใช่คนหรอกที่ขโมยไปแต่เป็นหมาต่างหาก”

      “ฮ่าๆๆๆๆ”

                      เธอหัวเราะออกมาเสียงดัง นี่สินะที่เขาเรียนกว่ามุขตลกสากล ผมชอบรอยยิ้มที่ดูมีชีวิตชีวาของเธอมาก มันทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาไปด้วย “เออนี่ว่าแต่ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม” เธอพูดขึ้นเมื่อหยุดหัวเราะ

      “ได้สิ เชิญเลย”

      “คุณจะกลับไปปีสองพันทำไมเหรอ”

                      “ผมจะไปช่วยภรรยาของผมน่ะ” ผมตอบไปทันควันและก็เป็นอย่างที่คิดรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอจางหายไปในทันที “ผมก็ไม่รู้ว่าเราคิดเหมือนกันหรือเปล่าแต่ผมก็ยินดีที่ได้นั่งคุยกับคุณนะ” ผมกล่าวเสริม

      “อ้อ อืม ที่จริงฉันก็พอจะเดาได้แหละ คนท่าทางอย่างคุณน่ะคงมีไม่กี่เรื่องหรอกที่ถึงขนาดทำให้อยากกลับมาแก้ไขอดีต” เธอนิ่งไปเช่นเดียวกันกับผมจนผมคิดว่าผมควรจะพูดอะไรออกไปสักอย่างหนึ่ง

      “แต่ก็นะโทมัสบอกว่าเราต้องกลับใช่ไหมล่ะ ยังไงไว้ว่างๆผมจะไปเยี่ยมคุณละกัน”

      “นั่นสิ แล้วพอถึงตอนนั้นฉันก็คงจะเป็นคุณยายไปแล้วสินะ” เราหัวเราะออกมาอีกครั้ง ทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรน่าหัวเราะเลยสักนิดแต่ก็หัวเราะไม่หยุด เป็นสิ่งเดียวที่ผมพอจะทำให้กับผู้ที่บังเอิญผ่านมาแล้วผ่านไปเช่นเธอ ผมยอมรับว่าผมไม่ได้ไม่ชอบเธอหรอกนะแต่ผมก็แค่แน่วแน่ในความรู้สึกของตัวเองก็เท่านั้น

      “งั้นไว้มาเยี่ยมฉันด้วยนะ แล้วก็ขอให้คุณโชคดี” เธอทิ้งท้ายก่อนจะก้าวลงจากรถไป ส่วนผมก็กลับมานั่งที่เก้าอี้อีกครั้งแล้วครู่หนึ่งโทมัสก็เดินเข้ามา

      “คุณผู้ชายครับ เราใกล้จะเดินทางมาถึงที่หมายแล้วนะครับ” เขาเตือนให้ผมตอบรับแล้วทำท่าเหมือนจะเดินจากไปแต่ก็วกกลับมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “คุณผู้ชายครับผมจะขออนุญาตสอบถามอะไรคุณสักเล็กน้อยจะได้ไหมครับ” สิ่งที่เขาพูดมันทำให้ผมแปลกใจ ก็แน่ล่ะอยู่ๆชายผู้แข็งทื่อไม่ไหวติงจะมาเกิดข้อสงสัยในตัวขึ้นมา เป็นใครก็คงต้องแปลกใจ

      “คุณแน่ใจแล้วเหรอครับว่าคุณจะจ่ายด้วยสิ่งนั้น”

      “ทำไมเหรอมันไม่พองั้นเหรอ”

                      “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เรื่องค่าใช้จ่ายเนี่ยก็คงจะพอแบบฉิวเฉียดมาเลยล่ะครับ แต่ที่ผมถามเนี่ยก็เผื่อว่าคุณจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดีพอ เพราะถ้าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้วหักค่าใช้จ่ายส่วนนั้นไป คุณอาจจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เลยนะครับ” เขาร่ายยาว

      “งั้นเหรอ แล้วถ้าผมอยากจะแก้สัญญาตอนนี้มันก็ไม่ทันอยู่ดีใช่ไหมล่ะ หรือนายจะเอามาให้ผมแก้ได้ล่ะ”

      “ด้วยอำนาจที่ผมมี ผมสามารถทำอย่างนั้นได้ครับ”

      “...” ผมนึกว่าเขาจะเป็นคนที่ซื่อตรงในหน้าที่มากกว่านี้เสียอีก

                      “นี่คุณกำลังเป็นห่วงผมอยู่เหรอเนี่ย ฮ่าๆๆๆ ไม่ต้องหรอกโทมัส ผมไม่แก้หรอก” ผมพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองและก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไรผมก็ขัดจังหวะขึ้นมาก่อน “คุณเคยรักใครขนาดที่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้เขามีความสุขไหมล่ะ นั่นแหละคือผม โทมัส ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก” โทมัสกลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูดลงไปในลำคอแล้วโค้งให้ผม “ถ้าคุณตัดสินใจอย่างนั้นผมก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรอีกแล้วล่ะครับ” เขาเดินจากไปแต่ก็ยังอุตส่าห์หันหลังกลับมาขู่อีกว่า

       

      “จากประสบการณ์ที่ผมทำงานมามีไม่กี่คนหรอกครับที่กลับออกจากรถไฟคันนี้ไปแล้วจะมีความสุข”

       

      …………………………………………

       

                      “คุณมีเวลาหกชั่วโมงนะครับ ขอให้ใช้มันอย่างคุ้มค่าด้วย” โทมัสบอกผมก่อนที่รถไฟทั้งคันจะเคลื่อนขึ้นไปบนฟ้าทิ้งผมไว้ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง น่าแปลกใจจริงๆทั้งที่มีคนอยู่ในสวนนี้ก็เยอะแยะแต่กลับไม่มีใครสังเกตเห็นสักคน หรือจะเกี่ยวกับ ศรัทธาผมลองคิดเล่นๆ

                      เริ่มจากร้านหนังสือพิมพ์ผมหยิบขึ้นมาดูวันเดือนปีที่ปรากฏอยู่บนมุมบนของหน้าแรกสุด วันอังคารที่ 15 เดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2000’ ทุกอย่างถูกต้องตามที่ผมกำหนดไว้ในสัญญา และสิ่งต่อไปที่ผมต้องทำก็คือไปหาเธอ ไปหามาธ่า ผมเดินตรงไปยังร้านกาแฟแห่งหนึ่งในตัวเมือง เพื่อหวังจะได้พบหญิงสาวอันเป็นที่รักของผม

                      วันนี้อากาศดีมาก ดีเป็นพิเศษ สายลมพัดพาเอาความเย็นมาปะทะกับใบหน้าและดวงอาทิตย์ก็ไม่แผดแสงให้ร้อนแรงจนเกินไป ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น ผมนั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านกาแฟแห่งนั้นและมองตรงไปยังคู่รักชายหญิงคู่หนึ่งตรงหน้าต่างของร้านไสตล์วินเทจแล้วก็เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่ผมได้เห็นเธออีกครั้ง เธอนั่งอยู่กับชายอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือ อลันคนที่เป็นสามีเก่าของมาธ่าและเป็นคนที่เธอรักมากที่สุด

                      การเฝ้ามองดูทั้งคู่นั่งคุยกันอย่างสนิทสนมเป็นเรื่องที่ลำบากใจของผมมาก รอยยิ้มนั้นของเธอผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนและคงไม่มีวันจะได้เห็นแน่ถ้าหากไม่กลับมาในอดีตเช่นนี้ เธอมักจะยิ้มให้เขาอย่างนี้ตลอดเวลาเหมือนวันที่เธอแต่งงานกับเขานั่นคงเป็นวันที่เธอยิ้มมากที่สุดในชีวิต ผมที่ไปในฐานะเพื่อนเจ้าสาวในวันที่ทั้งคู่แต่งงานกันรู้ดี

      “นั่นใช่ทิมหรือเปล่า”

      “เอ๊ะ เขาอยู่ที่นี่เหรอ” อลันเหลือบมาเห็นผมเข้าตอนที่ผมกำลังเผลอแล้วพูดกับมาธ่า ก่อนที่ทั้งสองจะเดินตรงมาทางนี้ซึ่งคงไม่มีประโยชน์ที่จะซ่อนตัวอีกต่อไป

      “สวัสดีทิม ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ฉันนึกว่านายบอกว่าจะไปสำนักพิมพ์เสียอีก” มาธ่าทักผมในทันทีที่เธอมาถึงโต๊ะทำเอาผมลนลานต้องมานั่งนึกหาข้ออ้างที่จะใช้บอกเธอ

      “อ้อ ก็ฉันไปแล้วแล้วก็กลับมาแล้วน่ะ” ผมแต่งรอยยิ้มปลอมๆไปให้เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

      “เอ๊ะ แต่ว่านายบอกว่าจะไปตอนบ่ายไม่ใช่เหรอแล้วนี่มันก็... เที่ยงครึ่งเองนะ” เธอมองนาฬิกาข้อมือแล้วบอกเวลา

      “...อา ก็ฉันเลื่อนนัดน่ะ ใช่ๆ เลื่อนไปเป็นตอนเช้าเลย จะได้เสร็จๆงานไปไง”

      “...งั้นเหรอ”

      “เออ ว่าแต่จะไปไหนกันเนี่ย” ผมถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

      “เรากำลังจะไปดูหนังกันน่ะ” เสียงอลันตอบคถามของผมขึ้นมา

                      ถ้าพูดถึงอลันล่ะก็คงจะต้องนิยามเขาว่าหนุ่มหล่อบ้านรวยแถมยังมีน้ำใจอีกต่างหากดูได้จากการที่แม้ว่าครอบครัวของเขาจะเป็นเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับการเสื้อผ้าแต่เจ้าตัวกลับเลือกเรียนสายแพทย์แล้วเข้าสังกัดกับหน่วยกู้ภัยประจำเขตแทน ผมก็แทบไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าจะมีผู้ชายแบบนี้อยู่บนโลกใบนี้ดัวย ยิ่งตอนที่มาธ่าพาเขามาพบผมครั้งแรกผมนี่ถึงกับยอมศิโรราบในความเพอร์เฟ็คของเขาและเกลียดเขาตั้งแต่นั้นมา

      “แล้วนายล่ะหลังจากนี้จะไปไหนต่อ” เขาถามผมกลับ

      “ก็คงกลับคอนโดล่ะมั้ง” ผมตอบส่งๆไป

                      “ว่าแต่ทิม” มาธ่าพูดขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังจะเขม่นเขาอยู่นั้น “ทำไมเธอถึงได้ดูโทรมจังล่ะ” มาธ่าเดินเข้ามาดูผมใกล้ ก็แน่ล่ะผมมาจากอีกสิบกว่าปีข้างหน้ารอยเหี่ยวย่นมันก็ต้องมีกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ผมก็ตอบไปว่าสงสัยว่าจะพักผ่อนไม่เพียงพอหรืออะไรจำพวกนั้น ซึ่งก็กลายเป็นว่าทำให้เธอเป็นห่วงผมขึ้นมา

      “ถ้ายังไงวันนี้นายไม่มีแผนอะไร จะไปดูหนังกับเราไหมล่ะ” อลันเชิญชวนผม

      “จริงสิ ไปดูกับเราไหมทิมแล้วหลังจากนั้น...” ถัดจากอลันก็เป็นมาธ่าที่เชิญชวนผม ถ้าเป็นเธอตอนนี้คงยังไม่รู้สินะว่าผมแอบหลงรักเธออยู่แล้วนี่จะให้ผมไปดูพวกเธอกระหนุงกระหนิงกันงั้นเหรอ ไม่มีวันเสียหรอกและผมยังมีอย่างอื่นที่ต้องทำเพื่อเธออีก

      “ไม่ล่ะ วันนี้ฉันตื่นเช้ามากน่ะ เลยค่อนข้างเหนื่อย ขอกลับไปพักดีกว่า” ผมบอกปัดแล้วขอแยกตัวออกมาทิ้งเธอไว้เบื้องหลังจนเมื่อผมกำลังจะโบกรถแท็กซี่นั้น

      “เดี๋ยวก่อนสิทิม” ผมนิ่งไปเมื่อถูกเรียกชื่อและก็เป็นอลันที่วิ่งตามผมมา “ทำไมนายถึงทำอย่างนั้นล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะพูดอะไรที่มันนุ่มนวลกว่านี้หน่อยนะ” อลันพูดขึ้นและมันทำให้ผมโมโหเป็นอย่างมาก ผมจึงหันกลับไปตวาดใส่เขา “ขอโทษทีนะ ฉันมันไม่ใช่สุภาพบุรุษแบบนาย และถ้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้วล่ะก็ ฉันก็ขอตัว”

      “ไม่ทิมนายเป็นสุภาพบุรษมากเพราะฉันรู้ว่านายก็ชอบเธอ” เสียงของอลันแทงเข้าที่กลางหัวใจของผม พร้อมกับความคิดที่ว่าเขารู้ได้อย่างไรกัน “ฉันรู้มาตลอดทิมตั้งแต่แรกเลยและการที่นายยอมปลีกตัวออกห่างจากเธอทุกครั้งก็ทำให้ฉันยิ่งมั่นใจ”

      “แต่นายไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ทิม เพราะไม่ว่ายังไง...”

      “เธอก็จะเลือกนาย” ผมพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจมานาน

      “...ไม่ คือฉันจะบอกว่า”

                      “หยุดพูด!!!หยุดพูดซะที ฉันไม่ได้เป็นคนอย่างที่นายคิด ฉันมันเห็นแก่ตัว ได้ยินไหม ฉันแค่ปลีกออกมาเพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องรู้สึกแย่เมื่อเห็นแกอยู่กับเธอ ที่นี้ชัดหรือยังล่ะ ฉันไม่ได้ทำเพื่อแกไอ้สมองกลวง ฉันทำเพื่อตัวเอง เข้าใจหรือยัง!!!” ผมกระชากคอเสื้อของเขาเข้ามาแล้วตะโกนออกไปอย่างใส่อารมณ์จนผู้คนต่างหันมามอง ซึ่งพอรู้ตัวอีกทีผมจึงรีบปล่อยแล้วนั่งรถแท็กซี่ออกมา ก็ดีเหมือนกัน เท่านี้ผมก็ตัดมันขาดเสียที

                      ผมนั่งแท็กซี่ตรงมายังถนนเส้นที่เก้าแล้วบอกให้รถจอดลงตรงหน้าห้องแถวเก่าซอมซ่อแห่งหนึ่งที่อีกห้าชั่วโมงกับอีกสิบเจ็ดนาทีจะลุกเป็นไฟ ผมมองมันอย่างพินิจพิเคราะห์ถ้าผมป้องกันไม่ให้เกิดเหตุระเบิดนี้ได้มาธ่าก็จะไม่ตายสินะ ตามข่าวที่อ่านมารู้สึกเหมือนว่าจะมีการรั่วของแก๊สที่ห้องใดห้องหนึ่งในห้องแถวนี้แล้วทำให้เกิดการระเบิดขึ้นและเมื่อห้องแถวที่เป็นไม้ติดไฟก็คงไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่ตามมา

      ถามว่ามันเกี่ยวกับการช่วยชีวิตของมาธ่าอย่างไรผมก็ตอบได้แค่ว่ามันจะทำให้ อลัน ไม่ตายในวันนี้ ใช่ สิ่งที่ผมต้องการจะทำจริงๆก็คือการช่วยชีวิตอลัน เพราะถ้าเป็นไปตามอดีตทันทีที่หน่วยกู้ภัยรู้เรื่องนี้ เขาจะมุ่งตรงมาที่นี่และช่วยเหลือคนที่อยู่ในห้องแถวที่ติดไฟแล้วตายเพราะการถล่มของมัน ซึ่งผมจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้นอย่างแน่นอน เขาจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป คนอย่างเขาจะต้องอยู่ดูแลมาธ่าต่อไปชั่วชีวิต เธอจะไม่ต้องเสียใจ เธอจะไม่ต้องมาเจอกับผมและเธอก็จะไม่ต้องตายเพราะป่วย นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจเอาไว้ ผมไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด แต่มันคือความรักที่ทำให้ผมทำเรื่องบ้าๆอย่างนี้ ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดแต่ก็เพื่อคนที่ผมรัก ใช่แล้ว รักขนาดที่ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เธอมีความสุขยังไงล่ะแม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยความสุขของผมก็ตาม

      พอใกล้ถึงเวลาที่ห้องแถวนี้จะระเบิดผมก็แกล้งปลอมตัวเข้าไปเป็นผู้ตรวจสุขอนามัยของชุมชนที่เลือกสุ่มตรวจที่บ้านหลังนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ในบ้านผมก็หวั่นใจไม่น้อยว่ามันจะเกิดระเบิดขึ้นมาแต่ผมก็ใจเย็นและค่อยๆตรวจไปเรื่อยๆเพื่อความสมจริง โดยคิดว่าถ้าถูกไล่ออกจากบ้านไปในตอนนี้ล่ะก็ทุกอย่างทำมาจะสูญเปล่า จนในที่สุดผมก็เดินไปถึงห้องครัวและปิดวาล์วแก๊สที่เปิดไว้จนสุดลงและกล่าวตักเตือนในความสะเพร่าของครอบครัวที่อาศัยอยู่ในห้องแถวนั้น จนเมื่อเลยเวลาที่ตอนนี้ควรจะเกิดการระเบิดไปก็ดูเหมือนว่าภารกิจของผมจะเสร็จสิ้นลงแล้ว ผมเดินออกมานั่งอยู่หน้าตึกแถวนั้นแล้วรอเวลา ผมไม่คิดว่าจะขอกลับก่อนแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรต้องทำอีกแล้วแต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกอยากจะดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้ให้มาที่สุดเท่าที่จะมากได้ ช่วงเวลานี้ที่ยังมีเธออยู่

      ตูม

                      พื้นดินสั่นกระเพื่อมพร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังขึ้น ร่างกายของผมสั่นสะท้านก่อนที่จะลุกขึ้นมามองไปรอบๆ เป็นไปไม่ได้ในวันนั้น วันนี้มันไม่น่าจะมีที่ไหนที่ระเบิดอีกสิผมรีบวิ่งตรงเข้าไปในห้องแถวที่ผมเพิ่งเดินออกมาแล้วขอเปิดดูทีวีที่ตอนนี้มีรูปอาคารหลังหนึ่งกำลังลุกเป็นไฟและมีผู้ประกาศข่าวกำลังรายงานด้วยสีหน้าตื่นตระหนก แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ผมสนใจนั้นก็คือตัวอาคารที่ฉายอยู่บนหน้าจอ ถ้าผมจำไม่ผิดมันหน้าตาเหมือนโรงภาพยนตร์ที่มาธ่าและอลันบอกว่าจะไปไม่มีผิดเพี้ยน สติเตลิดเปิดเปิงเหมือนคนบ้าผมรีบวิ่งไปยังถนนใหญ่แล้วโบกรถแท็กซี่ในทันที ณ วินาทีนั้น คำพูดบางอย่างของคุณนายวิคแล่นผ่านเข้ามาในหัวของผมและถ้าผมยอมรับ มันจะไขข้อสงสัยทุกอย่าง

       

      ชะตาของเธอมันถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

       

                      การจราจรติดขัดจนรถไม่สามารถวิ่งเข้าไปได้ ผมจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปต่อ ฝ่าฝูงชนที่กำลังแตกตื่นเข้าไปยังใจกลางของความโกลาหลที่เต็มไปด้วยรถพยาบาลและหน่วยดับเพลิงกำลังวิ่งขนผู้บาดเจ็บรวมถึงศพกันให้ควัก ผมลอดมุดเส้นกั้นเขตเข้าไปข้างในพร้อมกับสะบัดตัวหนีจากหน่วยกู้ภัยเข้ามาข้างในเพื่อมองหาชายหญิงคู่หนึ่งที่ไม่ว่าจะมองหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ในอกของผมบีบจนจะขาดใจ เป็นไปไม่ได้ ผมไม่มีวันเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้มันจะเกิดขึ้นได้ โอ้ พระเจ้านี่คุณกำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่เนี่ยผมทรุดลงกับพื้นแล้วกลั้นใจ

      เธอต้องศรัทธาสิ ทิมมี่เสียงคุณนายวิคแว่วเข้ามาในหูอีกครั้ง พลันจุดประกายอะไรบางอย่างขึ้นในใจของผม เธอพูดถูกมาตลอดและครั้งนี้มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นสิ ผมหลับตาแล้วนึก นึกถึงความศรัทธาที่ผมมีให้รถไฟที่สามารถข้ามเวลาได้ ตามด้วยการภาวนา เมื่อผมลืมตาพวกเขาจะต้องอยู่ตรงนั้น อยู่ตรงหน้าผมผมค่อยๆลืมตาแล้วก็ได้พบกับสิ่งที่ผมปารถนา นี่คงเป็นครั้งแรกที่ท่านรับฟังคำขอของผม ตรงนั้นที่ฝ่ากองไฟออกมาด้วยสภาพทุลักทุเลคือร่างที่ผมคุ้นเคยของชายหนุ่มที่แบกร่างหญิงสาวอีกคนหนึ่งออกมา ผมรีบวิ่งตรงเข้าไปหาพวกเขาราวกับเด็กน้อยที่ได้รับของขวัญ

      “อลันมาฉันช่วยเอง”

      “ทิม ฉันนึกว่านาย...” ผมวิ่งเข้าไปช่วยอลันแบกร่างของมาธ่าที่กำลังหมดสติ เสื้อผ้าของเธอขาดแหว่งไปบางส่วนและตามตัวตัวก็มีแผลถลอกเต็มไปหมดแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอะไรมาก ต่างกับอลันที่หัวแตกจนเลือดไหลอาบใบหน้า ผมแบกมาธ่าพร้อมกับพยุงอลันไปที่รถปฐมพยาบาลและช่วยพวกเขาทำแผล

      “ฉันนึกว่านายจะกลับไปแล้ว” อลันพูดขึ้นเมื่อเขาทำแผลเสร็จ

      “...ฉันก็แค่แกร่วอยู่แถวๆนี้แหละแล้วก็ได้ยินเสียงระเบิด ก็เลยวิ่งมาดู” ผมมองไปที่มาธ่าที่มีเครื่องให้ออกซิเจนครอบใบหน้าไว้

      “...”

      “...”

      “งั้นฉันไปล่ะ” อลันพูดและยืนขึ้นแต่ผมก็รีบห้ามไว้

      “นายจะไปไหน”

                      “ไปช่วยคนที่ติดอยู่ข้างใน น่าจะมีเหลืออยู่อีกเยอะ” เขาพูดแล้วมองเข้าไปในเปลวเพลิงสีแดงฉาน เวลาอย่างนี้จะมาทำเป็นเท่อีก มันทำผมยิ่งเกลียดเขามากขึ้น “เดี๋ยวนายทำแบบนั้นไม่ได้นะ”

      “ได้สิ ฉันเป็นหน่วยกู้ภัยนะ”

      “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นไอ้โง่”

      “งั้นนายหมายถึงอะไรล่ะ” ผมจุกอกจนพูดไม่ออก ตอนนี้ในใจผมคิดถึงแต่แผนที่ผมคิดไว้ ตอนนี้มันแม้จะเกิดเรื่องที่อยู่นอกเหนือการคำนวณขึ้นแต่โดยรวมแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นไปอย่างที่ผมต้องการ จะไม่ยอมให้มันมาพังเพราะไอ้โง่ที่อยากจะไปตายหรอก แม้ว่าชะตากรรมของเธอจะถูกกำหนดไว้แล้วแต่เราต้องแก้ไขมันได้สิ แต่อะไรล่ะ อะไรที่จะรั้งไอ้คนแบบนี้ไว้ได้ ผมคิดจนหัวแทบจะแตกจนท้ายที่สุดมันก็ไปจบตรงสิ่งที่ผมไม่อยากจะพูดมากที่สุด

      “แกต้องอยู่ดูแลเธอ ดูแลมาธ่าไปชั่วชีวิต”

                      ผมเค้นน้ำเสียงออกไปจนสุด เพื่อพูดประโยคที่ผมขยาดปากมากที่สุด ใช่แล้ว ไม่ใช่ผมที่จะดูแลเธอได้แต่เป็นแกต่างหาก แกต้องดูแลเธอ ปกป้องเธออย่าให้อะไรมาทำร้ายเธอได้ ได้โปรดเถอะถึงแกจะโง่แต่แกต้องเข้าใจสิ่งที่ฉันพูดบ้างสิ ผมคิดแต่อย่างว่าคนที่มันกู่ไม่กลับแล้วจะพูดอะไรไปมันก็เท่านั้น อลันเดินเข้ามาใกล้ผมก่อนจะจับบ่าข้างหนึ่งของผม

      “ถ้านั่นคือเหตุผลงั้นฉันก็ขอปฏิเสธ”

      ตึก

                      มือของผมขยับไปโดยอัตโนมัติ ผมตะบันหน้าของเขาจนหงายหลังไปก้นกระแทกกับพื้น ผมไม่ได้ย้อนกลับมาที่เวลานี้เพื่อจะมาคว้าน้ำเหลว ถ้าหากมันจะไม่เข้าใจจนท้ายที่สุดขนาดนี้ผมก็จะซัดเขาเอาให้สลบแล้วทุกอย่างจะได้ผ่านไป “เป็นหมัดที่หนักดีนะ ฉันไม่ได้โดนต่อยหน้ามานานแค่ไหนแล้วเนี่ย” ไม่รู้ว่าเพราะโดนหมัดนั้นเข้าไปจนสมองของเขากระทบกระเทือนหรือเปล่าแต่เขาก็ยิ้มออกมา ได้ถ้าแกชอบนะฉันก็จะจัดให้แกเต็มที่แน่ผมง้างแขนเตรียมจะสาดหมัดที่สองเข้าใส่เขา

      “แต่ก่อนที่นายจะต่อยฉันอีกครั้งหนึ่ง ฉันขอบอกอะไรไว้อย่างนะ” ความจริงแล้วผมไม่คิดจะฟังเขาเลยด้วยซ้ำแต่น่าแปลกที่คำพูดของเขากลับหยุดมือของผมเอาไว้ได้ “ฉันไม่รู้ว่านายโกรธอะไรฉันนักหนาแต่ถ้าเป็นเรื่องมาธ่าล่ะก็ ฉันยิ่งต้องเข้าไปในกองไฟนั้นเข้าไปอีก”

      “...ทำไม”

      “พูดแล้วนายอาจจะขำแต่ เธอเป็นคนบอกเองว่าที่เธอชอบฉันเป็นเพราะความกล้าหาญของฉัน เพราะว่าฉันมักจะวิ่งเข้าไปช่วยเหลือคนอื่นเสมอ” เป็นคำตอบที่ทำเอาผมถึงกับอึ้งไป “ฉันรักมาธ่าและถ้านั่นมันทำให้เธอรักฉันล่ะก็ ฉันก็จะทำ เอาจริงๆนะฉันมันก็เห็นแก่ตัวไม่ต่างจากนายนักหรอก ความจริงน่ะฉันกะจะเลิกงานนี้มาตั้งนานแล้วล่ะเพราะฉันก็ยังเป็นคน ฉันก็กลัวตายเหมือนกัน แต่ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดฉันเพียงประโยคนั้นประโยค ฉันก็ล้มความคิดที่จะเลิกไปในทันที และฉันก็จะทำต่อไปตราบเท่าที่มันยังทำให้เธอรักฉัน นั่นล่ะคือเหตุผลทิม ถึงนายจะมีอคติแค่ไหนแต่นายก็ต้องเข้าใจฉันบ้างสิ” อลันลุกขึ้นจากพื้นและตอนนี้เขามองผมลงมาจากมุมสูง ตัวผมที่จนปลักอยู่กับความพ่ายแพ้

      “และถ้าเกิดว่าฉัน ดันตายไปจริงๆนะทิม ฉันก็อยากจะบอกว่า ฉันไว้ใจนายฝากเธอไว้ด้วย ฉันไปล่ะ” เขาวิ่งออกไป ตรงไปยังรถหน่วยกู้ภัย ผมสะอึกกับทุกคำที่เขาพูด ไว้ใจฉันงั้นเหรอ ไม่นะ ไม่ ฉันดูแลเธอไม่ได้ แกได้ยินฉันไหม ฉันดูแลเธอไม่ได้ เธอจะต้องตาย ในอ้อมกอดของฉัน ในโรงพยาบาลที่เต็มไปด้วยกลิ่นยาและพลาสติก เธอจะตายต่อหน้าต่อตาฉัน โดยที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ไม่ได้เลยสักอย่างเดียวผมเดินกลับขึ้นไปบนรถมองดูมาธ่าที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะต้องตาย ในใจอยากจะกรีดร้องออกมาแต่ก็กล้ำกลืนมันไว้ข้างใน เวลาล่วงเลยไปผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิมแล้วพยายามมองโลกในแง่ดีบางทีอลันอาจจะรอดก็ได้เพราะขนาดอดีตยังเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เขาก็ต้องมีโอกาสที่จะรอดเช่นกัน ผมรอและรอเพราะมันคือสิ่งเดียวที่ผมคนนี้จะทำได้

      ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

                      เสียงนาฬิกาข้อมือของผมดังขึ้นมันเป็นสัญญาณเตือนที่ผมตั้งไว้เพื่อที่จะบอกว่าเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงโทมัสจะกลับมารับผม ท้องฟ้าเริ่มมืดแต่เปลวเพลิงจากโรงภาพยนตร์ก็ยังไม่ทีท่าว่าจะดับลง ผมมองเห็นร่างกายของผู้คนถูกหาม ได้กลิ่นเนื้อที่ไม่เกรียมโชยมาเตะจมูกและยิ่งเวลาผ่านไปมันก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆราวกับว่าโลกทั้งใบถูกยัดเข้าไปในโรงภาพยนตร์นั้นแต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของอลันและทันทีที่ผมเผลอวางใจนั้นเอง โรงภาพยนตร์ทั้งโรงก็ถล่มลงมาราวกับตัวต่อที่ไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกต่อไปได้

      ชะตาของเธอได้ถูกกำหนดไว้แล้วผมทำได้แต่จ้องมองไปยังเศษซากที่ส่องแสงสีส้มนั้นอย่างสิ้นหวัง ไม่มีอีกแล้วศรัทธา ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องเสียเธอไปจริงๆสินะ ผมพึมพำกับใบหน้าที่ยังคงหลับสนิทของเธอ ผมไม่อยากจะเชื่อเลยแม้กระทั่งได้รับโอกาสให้ย้อนกลับมาแก้ไขอดีต ผมยังพลาดไม่เป็นท่า ผมนี่มันเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ผมอยากจะทำให้เธอมีความสุขเสียเหลือเกินทำไมนะ ทำไมมันถึงไม่เป็นผมที่เธอรัก ทั้งที่ผมก็กล้าถึงขนาดย้อนเวลากลับมาเพื่อช่วยเธอ แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ผมกัดฟันแน่น

      “บ้าเอ้ย!!!” ผมรีบกระโจนออกจากรถแล้ววิ่งออกไป ตรงเข้าไปยังกองไฟที่ลุกโชนนั้นโดยมีพวกหน่วยกู้ภัยพยายามจะวิ่งเข้ามาห้ามผมแต่คงเพราะความเหนื่อยล้าทำให้ผมสามารถฝ่าพวกเขาเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ผมทะยานเข้าไปในเปลวเพลิงสภาพข้างในไม่ต่างอะไรจากนรก ผมมองไม่เห็นเส้นทางไหนเลยที่จะสามารถวิ่งเข้าไปได้ จึงได้ตัดสินใจปีซากปรักหักพังตรงหน้าเข้าไปข้างในที่มีสภาพไม่ต่างกัน

      “อลัน!!! แกอยู่ไหนวะ” ผมตะโกนเรียกชื่อเขาท่ามกลางกลุ่มควันที่ลอยอยู่เหนือหัว แม้จะยังไม่เจอเสียทีแต่ผมก็ยังคงตะโกนหาต่อไป หาต่อไปเรื่อยๆจนเริ่มจะสำลักควันแม้จะก้มตัวลงต่ำ ประกอบกับอากาศที่ร้อนระอุเพราะไฟที่เจออยู่ทุกหนทุกแห่งทำให้ตอนนี้กลายเป็นผมที่สภาพร่อแร่แทน

      “อลัน!!! ถ้าได้ยินก็ช่วยตอบทีเถอะ แค่กๆ” เสียงของผมแหบลงหลังจากที่ตะโกนอยู่นาน และร่างกายก็เริ่มโซเซเพราะขาดอากาศหายใจ ผมเดินไปจนร่างทรุดลงกับพื้น ผมคงจะมาได้แค่นี้สินะ ผมคิดทั้งที่เรี่ยวแรงก็ยังพอจะเหลืออยู่บ้างแต่พอมันไม่มีเป้าหมายแล้วจะมีแรงมากแค่ไหนก็คงไม่มีประโยชน์ ผมนั่งลงพลางก็คิดว่าคงจะดีเหมือนกันถ้าตัวของผมจะได้ตายอยู่ตรงนี้ก็คงดีไม่น้อย ถึงจะกลับไปก็ไม่มีเธออยู่ดีแล้วจะกลับไปทำไมกันล่ะแต่ผมที่กำลังจะปล่อยให้สติล่องลอยออกไปก็เกิดไปได้ยินเสียงของอลันเข้า

      “ฉันอยู่นี่ ได้ยินไหม” ผมรีบกระเด้งตัวขึ้นมา เสียงนั้นดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ผมจึงยิ่งตะเบ็งสียงร้องเรียกและค่อยเดินตามเสียงของเขาเข้าไปเรื่อยๆ จนได้ยินอย่างชัดเจน เสียงนั้นมันดังมาจากใต้ซากคอนกรีตที่ถล่มลง

      “แกอยู่ในนั้นเหรอ!!!

      “ทิม!!!นั่นนายเหรอ!!!ใช่!!! ฉันอยู่ในนี้!!!

                      พอมั่นใจผมก็เริ่มมองหาหน่วยกู้ภัยที่อยู่แถวนั้นอย่างร้อนรนแต่ก็ไม่มีวี่แววของพวกเขาเลย บางทีอาจจะมาไม่จุดนี้ เมื่อรู้ว่าไม่สามารถหวังพึ่งคนอื่นได้ผมจึงมองหาเศษเหล็กที่ตกอยู่แถวนั้นแล้วใช้มันงัดแผ่นคอนกรีตอย่างสุดแรง ร่างกายของผมเกร็งไปทั้ง ไม่คิดว่าแผ่นคอนกรีตจะหนักได้ถึงเพียงนี้

      “ไม่เป็นไรหรอกทิม” ผมพยายามงัดต่อไปอย่างสุดความสามารถโดยพยายามจะไม่สนใจสิ่งที่เขาพูด “ช่างฉันเถอะทิม นายรีบหนีไปเถอะ ที่นี่กำลังจะถล่มแล้ว” ผมล่ะเกลียดไอ้บ้านี่จริงๆ เวลาแบบนี้ยังจะมาทำอวดดีอีก ความโกรธพุ่งทะลุปรอท คอนกรีตก้อนที่เคยหนักก็เผยอขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มากไปกว่านั้น ผมเห็นว่าไม่มีทางเลือกจึงเอาตัวเข้ายันกับพื้นผิวที่ขรุขระนั้นแล้วยันไว้สุดแรง “คลานออกสิ!!!” ผมตะคอกใส่จนอีกฝ่ายรีบตะกายออกมาจากช่องเล็กๆนั้น ผมรอจนเขาออกมาทั้งตัวแล้วรีบปล่อยคอนกรีตลง บนไหล่ของผมตอนนี้อาบเลือด

      “นายเป็นอะไรมากไหม” อลันรีบไถลเข้ามาดูอาการของผมแต่เพียงผมเห็นข้อเท้าเขาผมก็เก็บคำว่าเจ็บเข้าไปในสมอง มันทั้งบิดเบี้ยวผิดรูปไปหมดสงสัยเป็นเพราะโดนทับอย่างแน่นอน ผมรีบพยุงเขาขึ้นแล้วเดินออกไป ระหว่างทางเขาคอยให้กำลังใจแถมยังชื่นชมผมอยู่ตลอดเวลาบอกว่าผมสุดยอดบ้าง ขอบคุณผมบ้าง ทำเอาผมรำคาญไปหมด อยากจะบอกเหลือเกินว่าไว้เราออกไปจากที่นี่ได้ก่อนแล้วค่อยพูดแต่ผมก็จำเป็นจะต้องสงวนแรงเอาไว้

      “ทำไมนายถึงขนาดนี้ เพื่ออะไรกัน”

      “...”

      “นาย...”

      “เพื่อเธอ ฉันทำเพื่อเธอ ทีนี้หุบปากแล้วเดินไปซะ” ผมตอบออกไปและไม่ลืมที่จะบอกให้เขาหยุดพูดพร้อมกับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

                      ทางออกอยู่ใกล้มากแต่ถึงจะเป็นทางออกแต่ก็เป็นทางออกที่ต้องปีนซากตึกที่ถล่มออกผมดันท้ายของอลันขึ้นไปเพราะข้อเท้าของเขาใช้การไม่ได้จนเมื่อเขาใกล้จะออกไปได้แล้วจึงเอื้อมมาช่วยดึงผมออกไป แต่เรื่องราวมันก็ดูจะไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเมื่อเพดานที่ผมคิดว่าจะไม่มีวันถล่มลงมาได้อีกเกิดยุบตัวลงอีกครั้ง ด้วยความตกใจผมจึงผลักเขาตกลงไปอีกฝั่งหนึ่งแต่ตัวเองกลับติดอยู่ในซากกองไฟเสียเอง

      “ทิม!!!

      “นายไปเลยไม่ต้องสนใจฉัน” ผมตะโกนและก็แน่นอนว่าคนเช่นอลันจะต้องไม่ฟัง

      “ฉันจะไปช่วยนายเอง อึ้ก” เขาพยายามจะลุกและยืนขึ้นด้วยข้อเท้าที่บิดเบี้ยวนั้น ที่หากเป็นคนอื่นคงได้แต่ยอมแพ้

      “ไม่ต้องเป็นห่วงฉันเดี๋ยวรีบไปซะ”

      “ไม่ได้ ฉันไม่ยอมทิ้งนายไว้แน่”

      “บ้าเอ้ย!!!แกนี่มันโง่จริงๆ เดี๋ยวฉันจะไปออกอีกทางนึง ได้ยินไหม แกรีบออกไปเลย” ซึ่งก็แน่นอนว่ามันไม่มีทางออกอีกทางหนึ่งหรอกแต่ผมก็โกหกไป ฝ่ายอลันเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยังลังเลแต่ก็ยอมถอยหลังออกไป เขาก็คงรู้ตัวอยู่บ้างว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้มากนัก ให้ตายสิต้องเสียแรงพูดกับคนแบบนี้เหรอเนี่ย “แล้วเจอกันข้างนอก ฝากดูแลมาธ่าด้วยนะ” ผมทิ้งท้ายไว้เพื่อไม่ให้เขาลืม ได้โปรดดูแลเธอด้วย เขาพยักหน้าแล้วค่อยๆเขย่งลากขาของตัวเองออกไป ผมมองไล่หลังจนเขาออกไปยังข้างนอกพร้อมกับเสียงเพดานที่กำลังจะยุบตัวอีกครั้ง ถ้ามันยุบมาคราวนี้ล่ะก็ผมคงต้องโดนทับตายอย่างแน่นอน แต่ภารกิจของผมมันก็สำเร็จแล้วที่นี้เธอก็จะได้มีความสุขเสียที เพดานเหนือตัวแตกกระจุยเป็นเศษเล็กเศษน้อยแล้วหล่นลงมาทางนี้

      “อา พาผมกลับทีโทมัส”

      ปู๊นๆ

                     

      …………………………………………

       

                      เฮือก ผมสะดุ้งขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกเหมือนฝันแล้วตกเหวยังไงอย่างงั้น เมื่อมองไปรอบตัวด้วยความฉงนก็ได้พบว่าตอนนี้ผมอยู่ในรถไฟที่หรูหรานั้นซะแล้ว

      “คุณหลับไปนานทีเดียว แต่ไม่ต้องห่วงนะครับผมทำแผลให้คุณเรียบร้อยแล้ว” เสียงโทมัสดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกเช่นเคยและคราวนี้เขามาอยู่ข้างหลังของผม

      “อา คุณช่วยผมไว้ ขอบคุณโทมัส”

      “ไม่เลยครับคุณทิม ถ้าคุณไม่เรียกผมก็คงโผล่ไปในอีกสองนาทีข้างหน้าซึ่งป่านนั้นคุณคงกลายเป็นน้ำแตงโมไปแล้วล่ะครับ” ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังพยายามปล่อยมุขแต่ขอโทษทีนะผมยังไม่มีอารมณ์จะหัวเราะสักเท่าไหร่เลย

      “งั้นเหรอ” ผมถอนหายจอย่างโล่งอกเมื่อเข้าใจสถานการณ์บ้างแล้ว

      “แล้วก็ขออนุญาตแจ้งว่าคุณมาถึงที่หมายแล้วล่ะครับ” ทันทีที่เขาพูดวิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างก็กลายเป็นสถานีรถไฟเก่าไปในทันทีจากที่เมื่อสักครู่ยังมืดอยู่เลย รถไฟคันนี้ไม่หยุดทำให้ผมประหลาดใจเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผมเดินไปที่ประตูรถไฟแล้วหันมามองมันเป็นครั้งสุดท้าย

      “คุณลืมอะไรหรือเปล่าครับ”

      “อ๋อ เปล่าหรอกแค่จะเก็บภาพบรรยากาศเป็นครั้งสุดท้ายน่ะ”

      “ตราบใดที่ไม่ได้บันทึกภาพเราก็ยินดีให้เก็บครับ”

      “หึๆ คุณนี่เล่นมุขไม่ได้เรื่องเลยจริงๆนะ” แต่มุขนี้ผมให้ผ่าน ก็นับว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ขันทีเดียว “นี่ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหม” ผมพึมพำกับตัวเองแต่โทมัสก็ช่วยตอบคำถามนั้นให้

      “อันนี้คุณก็ต้องไปดูเองนะครับ แต่ผมบอกได้อย่างหนึ่งว่าคุณทำได้ดีที่สุดแล้วครับ” นี่เขากำลังพยายามปลอบผมอยู่งั้นเหรอแล้วผมควรจะดีใจหรือเสียใจดีล่ะเนี่ย

      “...นั่นสินะ ผมไปล่ะ ลาก่อนโทมัส แล้วอย่าลืมเก็บค่าเดินทางด้วยล่ะ อย่าให้เหลือเลยนะ”

      “...ครับผมคุณทิม”

       

      เพียงเท้าของผมสัมผัสกับพื้นหินของสถานีรถไฟครบทั้งสองข้าง รถไฟทั้งขบวนก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว...

                       

      …………………………………………

       

      “ตอนแรกฉันนึกว่านายตายไปแล้วซะอีก แต่พอได้ยินนายพูดว่าไม่รู้เรื่องแถมยังไปโผล่ที่บ้านอีกฉันนี่ยิ่งทึ่งเข้าไปใหญ่ เรื่องนี้นี่เล่ากี่ทีก็ยังตกใจไม่หาย แล้วสรุปว่านายทำได้ยังไงเหรอ” อลันสาธยายความรู้สึกให้ผมฟังมาร่วมชั่วโมง หลังจากที่โทรเรียกให้ผมมาทานมื้อกลางวันกับครอบครัวของเขา

      “ไม่รู้สิ ฉันเก่งมั้ง” ผมตอบแบบส่งพลันก็เหลือไปมองมาธ่าที่กำลังเล่นอยู่กับลูกน้อยของเธอ ให้ตายสิเธอช่างสวยจริงๆแม้จะแต่งงานไปแล้วก็ตามที อลันหันไปตามผมแล้วก็เหลือบมาทางผมเล็กน้อย

      “บางทีฉันก็รู้สึกว่าผิดต่อนายอยู่เหมือนกันนะ” เขาเปิดประเด็นที่แม้จะไม่ต้องฟังจนจบก็รู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร “ที่จริงนะ ทิม นายควรจะได้มีชีวิตที่ดีกว่านี้” ก็อยากจะอธิบายนะแต่พอคิดว่าใครเป็นคนฟังแล้วก็เลยเกิดขี้เกียจขึ้นมาในทันที

      “ไม่หรอกตอนนี้ฉันก็มีความสุขดีอยู่แล้วล่ะ ได้เขียนหนังสือแต่งบทกลอนอะไรไปเรื่อย”

      “ฉันหมายถึงชีวิตคู่ของนายต่างหาก”

      “...ฮ่าๆๆๆๆ แกจะมาเป็นห่วงอะไรตอนนี้วะ ไม่มีเมียก็ไม่เห็นจะตายซะหน่อย”

      “นายคิดอย่างงั้นจริงเหรอ”

      “แน่นอนสิ”

      “...” อลันทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่มาธ่าก็เดินเข้ามา “อลัน ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า นาทิช่า เริ่มจะงอแงแล้วล่ะ” เธอหมายถึงลูกสาวของเธอ “งั้นเหรอ เอ่อ งั้นพวกฉันขอกลับก่อนนะทิม ดีใจที่ได้เจอนาย ไว้ว่างๆจะนัดมาทานมื้อกลางวันด้วยกันอีก” เขายื่นมือมาให้ผมจับเป็นการบอกลา

      “ไว้คราวหน้าจะชวนไปเล่นกับหลานสาวที่บ้านนะทิม” มาธ่าโปรยยิ้มมา

      “ได้สิ ไว้เจอกัน”

                      ครอบครัวของเขาค่อยๆเดินห่างออกไปคงเหลือไว้แต่ผมตัวคนเดียว พวกเขากอดเอวกันและเอาหัวซุกกันแบบที่ถ้าเป็นผมเมื่อก่อนคงอิจฉาตาร้อน แต่ตอนนี้ผมไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ผมไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดและมันไม่ใช่เพราะผมปล่อยวางแล้วแต่เป็นเพราะผมไม่เหลือความรักอีกแล้ว ผมเอาทั้งหมดไปใช้จ่ายหมดเพื่อแลกกับชีวิตของเขา แลกกับความสุขของเธอ ตอนนี้ผมเลยกลายเป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักคำว่ารัก ไม่สิ รู้จักแต่ไม่รู้สึกต่างหาก แม้จะรู้สึกเศร้าใจนิดๆแต่มันก็คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่ผมจะเอาไปแลกเพื่อให้ได้เห็นเธอไปอยู่กับใครคนอื่นแล้วมีความสุข จะเรียกได้ว่าไม่มีใครเสียประโยชน์ก็คงจะได้ ผมหันหลังให้พวกเขาแล้วก้าวไปข้างหน้า ไปในทิศทางตรงกันข้าม ไปในที่ๆไม่มีเธอ แถมยังต้องไปตามหาคนแก่อีกตั้งสองคนที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนอีก ให้ตายสิ ทั้งที่มีแต่เรื่องแย่ๆทั้งนั้นแต่ไม่รู้ทำไม

       

      ผมถึงมีความสุขเหลือเกิน’ 

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×