ตอนที่ 56 : บัวคำ(ปรับปรุง)
ในยามที่ทัพเชียงใหม่เข้ายึดเมืองเชลียง กองทัพอโยธยาก็ได้เคลื่อนพ้นหัวเมืองฝ่ายเหนือแล้ว ครั้นเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงทราบว่าเชียงใหม่ส่งทัพย้อนมาล้อมเมืองเชลียง พระองค์ก็พิโรธยิ่งนักที่ต้องกลข้าศึก จึงทรงมีพระบัญชาให้ออกญามหาเสนาคุมทัพส่วนหนึ่งนำไพร่พลที่บาดเจ็บแลป่วยไข้กลับไปพระนครพร้อมกับเชลยศึกที่กวาดต้อนมา จากนั้นพระองค์จึงเสด็จนำไพร่พลสามหมื่นเร่งย้อนกลับไปยังนครเชลียงเพื่อขับไล่ข้าศึก ทว่าเมื่อเสด็จมาถึงเมืองพระบางที่ปลายลำน้ำยม ข่าวร้ายระลอกสองก็มาถึง
“พญารามยอมจำนนต่อพวกเชียงใหม่กระนั้นฤา”พ่ออยู่หัวอโยธยาตรัสอย่างคาดไม่ถึง “เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน”
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า”ออกญาสีหราชเดโชกราบทูล“การนี้เป็นด้วยพญาเถียนติดต่อไส้ศึกเปิดประตูเมืองแลกุมคนในครอบครัวพญารามเป็นเชลย พญารามจำต้องยอมแพ้ เพื่อรักษาชีวิตคนในครอบครัวไว้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระพักตร์จอมคนเข้มขึ้น“ยุทธิษเฐียร นี่เจ้าจักจองล้างจองผลาญข้าไปถึงเมื่อใด”
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า”พระบรมราชา พระราชโอรสองค์ใหญ่กราบทูล “หม่อมฉันขออาสานำทัพไปชิงเมืองเชลียงกลับคืนมาถวายสมเด็จพ่อพระพุทธเจ้าข้า”
“หม่อมฉันขอติดตามสมเด็จพี่ไปชิงเมืองเชลียงด้วย พระพุทธเจ้าข้า”พระอินทราชา ราชโอรสองค์กราบทูลขึ้นบ้าง
“พ่อดีใจที่เจ้าทั้งสองมีใจห้าวหาญ”สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงมีรับสั่งกับพระโอรสทั้งสอง “แต่เมื่อการณ์แปรไปเช่นนี้แล้ว พ่อคิดว่าคงมิใช่เพลาอันควรทำศึกต่อไป ด้วยว่าเมืองเชลียงมีปราการเข้มแข็ง ยากจักหักเอาในเร็ววัน ทัพเรามีเสบียงมาน้อย ทั้งยามนี้ก็ใกล้วสันตฤดู หากต้องล้อมเมืองทำศึกยืดเยื้อ คงมิเป็นผลดี”
“เช่นนั้นเราจักทิ้งเมืองให้พวกเชียงใหม่หรือ พระพุทธเจ้าข้า”พระอินทราชากราบทูลถาม
พ่ออยู่หัวอโยธยาทรงนิ่งไปครู่ใหญ่ พระพักตร์เครียดขรึม ก่อนจะรับสั่งช้าๆว่า “ศึกนี้ถือเสียว่าเราพ่ายกลด้วยเล่ห์คนทุรยศ รอแล้งหน้าเมื่อใด พ่อจักยกทัพกลับมาอีกคราเพื่อชำระแค้นพวกยวนแลไอ้พญาทุรยศนั่นให้สาสม”
*********************
ในห้องโถงใหญ่ของเรือนเจ้าเมืองเชลียง พญาติโลกราชประทับเหนือตั่งไม้ที่ตั้งบนยกพื้น โดยมีท้าวศรีบุญเรือง หมื่นด้งนคร พญายุทธิษเฐียรพร้อมเหล่านายทัพนายกองทั้งยวน ลัวะ ไทใหญ่ จีนฮ่อและสองแควเข้าเฝ้าพร้อมหน้า
“ข้าดีใจที่ได้สูมาอยู่ด้วย”จอมคนตรัสกับพญารามที่คุกเข่าบนพื้น ก้มหน้า มือทั้งสองประสานกัน “เพียงสูให้สัตย์สาบานว่าจักภักดีด้วยข้าแลนครพิงค์ ข้าจักชุบเลี้ยงสูให้มียศใหญ่มิแพ้คราที่อยู่ด้วยพญาใต้”
เมื่อเห็นเจ้าเมืองเชลียงยังนิ่งอยู่ พญายุทธิษเฐียรจึงเตือนฝ่ายนั้นว่า “พญาราม เป็นใดท่านยังมิถวายบังคมรับพระมหากรุณาธิคุณขององค์เหนือหัว”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่เกล้ากระหม่อมนัก” พญารามกล่าวพร้อมพนมมือขึ้นถวายบังคมด้วยท่าทางฝืนใจเล็กน้อย
แม้ทรงสังเกตเห็น แต่จอมคนก็มิได้ใส่พระทัยด้วยยังทรงยินดีกับชัยชำนะในครานี้
“ข้าแต่เจ้าพ่อ” ท้าวศรีบุญเรืองทูล “เราได้เชลียงเป็นที่มั่นแล้วฉะนี้ การศึกด้วยชาวใต้คงง่ายกว่ากาลก่อนแน่แท้”
“เจ้าปากถูกแล้ว แต่นี้ไปเราจักใช้เวียงนี้เป็นที่มั่นแลด่านหน้าในการศึกกับชาวใต้สืบไป” ตรัสแล้ว พญาติโลกราชก็ทรงหันไปยังหมื่นด้งนครที่นั่งอยู่ด้านขวา “เจ้าอา สูจงคุมชาวเงี้ยวแลจีนฮ่อหนึ่งหมื่น อยู่ช่วยพญารามแลแต่งเวียงให้แข็งแกร่งเพื่อใช้สำหรับทำศึกกับชาวใต้ในกาลหน้า”
“รับบัญชามหาราช”
“พวกสูทั้งปวงจงฟัง”องค์เหนือหัวแห่งล้านนาทรงรับสั่งกับเหล่านายทัพและขุนนางทั้งหลายด้วยสุรเสียงก้องกังวานทั่วโถงห้องแห่งนั้น “จงนำคำแห่งข้าไปป่าวให้ทั่วแผ่นดินว่า แต่นี้ไปเชลียงได้ร่วมผืนดินเดียวกันกับล้านนาแล้ว แลข้าขอตั้งชื่อเวียงแห่งนี้ใหม่ว่า เชียงชื่น”
************************
ยามเช้าที่หน้าประตูวัง กรุงศรีอโยธยา สินเมืองเดินออกมาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย หลังกองทัพหลวงกลับถึงพระนครเมื่อเย็นวาน บรรดาไพร่พลต่างก็แยกย้ายกลับคืนบ้านเรือน จะเว้นก็เพียงเหล่าราชองครักษ์และพระตำรวจหลวงที่ต้องอยู่เวรถวายอารักขาในเขตพระราชฐานเท่านั้น ที่ยังไม่อาจกลับคืนเรือนได้ จนกว่าจะถึงเวลาเปลี่ยนเวร
“ท่านหมื่น”เสียงสตรีนางหนึ่งร้องเรียก ทำให้เขาหันไปมอง
“บัวคำ” สินเมืองอุทานเมื่อพบว่านางผู้นั้นคือหญิงที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อครั้งทำศึกยังเมืองแพร่ “นี่เจ้ามาทำอันใดที่นี่”
“ข้ามารอท่าน” หญิงสาวตอบพลางสบตา
“เจ้าพบลุงแล้วหรือ”
“ข้าได้พบกับลุงแต่วันที่ทัพหลวงกลับคืนยังพระนครแล้ว”บัวคำบอก “เมื่อวาน พอทราบว่าทัพหลวงมาถึง ข้าก็ไปรอที่หน้าประตูเมือง แต่ก็มิพบ ครั้นเมื่อสอบถามพวกทหาร เขาจึงบอกว่าเหล่าราชองครักษ์ยังต้องเข้าเวรในวังอีกหนึ่งคืนถึงได้พัก ข้าจึงมารอที่นี่”
“แล้วเจ้ามารอพบข้าด้วยเหตุอันใด” สินเมืองแปลกใจ
“ข้าเพียงอยากทราบว่าท่านกลับมาโดยปลอดภัยดีหรือไม่”
ชายหนุ่มยิ้มให้อีกฝ่าย “ขอบน้ำใจที่เป็นห่วง ตัวข้ามิเป็นไรดอก“
บัวคำยิ้มตอบด้วยท่าทางเขินอาย ยามนั้นเอง ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งก็เดินมาที่ประตูวัง
“พี่สินเมือง” เสียงหญิงสาวที่มาใหม่ร้องเรียก
เมื่อหันไป ชายหนุ่มก็เห็นทองและดอกแก้วเดินตรงมา เขาจึงรีบสาวเท้าเข้าไปหาด้วยความดีใจ
“พี่ดีใจนักที่ได้มาเห็นหน้าเจ้าอีกครา” สินเมืองบอก
ดอกแก้วยิ้มสดใส “ข้าเองก็ดีใจที่เห็นพี่ปลอดภัยกลับมา”
“ข้าก็ด้วยหนาพี่” ทองเอ่ยแทรก ด้วยสีหน้าอมยิ้ม “ข้าก็ดีใจที่พี่ปลอดภัยกลับมา”
“เออน่ะ ข้ารู้”นายกองหนุ่มพูดกับสหายรุ่นน้องก่อนหันมาถามสาวคนรักว่า “แล้วเจ้ามานี่ได้เยี่ยงไรหรือ”
“เดิมทีข้าจักไปรอรับพี่แต่เมื่อวาน ยามทัพหลวงคืนเข้าพระนคร หากพี่ทองบอกว่าพวกราชองครักษ์ยังต้องอยู่เวรต่ออีกราตรีหนึ่ง ข้าจึงได้รอจนเช้าแลมาหาพี่ที่นี่” ดอกแก้วบอกก่อนเปลี่ยนสายตาไปที่หญิงสาวซึ่งตามมาหยุดยืนข้างหลังอีกฝ่าย “แล้วนี่ผู้ใดกันรึ”
“นางชื่อ บัวคำ มาแต่เมืองทุ่งยั้ง”ชายหนุ่มรีบบอกก่อนกล่าวแนะนำสหายและคนรักของตน“บัวคำ นี่เจ้าทองแลแม่ดอกแก้ว สหายของข้า”
“ข้าไหว้เจ้าค่ะ”สาวน้อยชาวทุ่งยั้งกระพุ่มมือไหว้
ทองยิ้มรับขณะที่ดอกแก้วนั้นเพียงผงกศีรษะเล็กน้อย สีหน้าของนางที่มองมานั้นคล้ายแฝงความข้องใจบางอย่าง
“พี่สินเมืองรู้จักนางได้เยี่ยงไรรึ”
“เรื่องมันยาวนัก เล่าที่นี่คงมิสะดวก” สินเมืองพูดโดยไม่ทันสังเกตสีหน้าของสาวคนรัก “เราไปสนทนากันที่อื่นดีกว่า แดดเริ่มร้อนแล้ว ประเดี๋ยวจักได้ไข้เอา”
***********************
บัวคำขอตัวลากลับไประหว่างทั้งหมดเดินไปที่ศาลาริมท่าน้ำ ครั้นเมื่อได้ที่นั่งสนทนาแล้ว สินเมืองจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่ตนไปทำศึกรวมทั้งเรื่องที่ช่วยบัวคำจากกลุ่มโจรให้ดอกแก้วและทองฟัง
ดอกแก้วมีสีหน้าเคลือบแคลงแต่มิได้เอ่ยปาก ขณะทองพยักหน้าหงึกๆ จนเมื่อชายหนุ่มเล่าจบแล้ว ทองจึงเอ่ยขึ้นว่า
“ฟังๆดูก็น่าสงสารแม่บัวคำผู้นี้นัก นี่หากมิได้พี่ช่วยนางไว้ ป่านนี้ มิรู้ชะตากรรมนางจักเป็นเยี่ยงไร”
“นั่นสิ”สินเมืองกล่าว
“แต่ข้าดูกิริยานางผู้นี้ คงระลึกบุญคุณของพี่มากโข มิเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยจักมาเฝ้ารอแต่หัวรุ่งเช่นนี้”ดอกแก้วว่า
“นางคงเห็นพี่เป็นผู้มีคุณ จึงใคร่แสดงน้ำใจตอบแทน”สินเมืองพูด
“แล้วพี่เล่า มองเห็นนางเป็นอย่างใด”
“พี่เห็นนางเป็นคนน่าสงสารผู้หนึ่ง ได้ช่วยนางก็เหมือนได้ทำบุญแก่ผู้ตกทุกข์”
“พี่สินเมืองช่างมีน้ำใจงามแท้” น้ำเสียงนั้นเหมือนจะห้วน
นายกองหนุ่มยิ้มให้สาวน้อย “แล้วงามพอที่เจ้าจักเห็นใจพี่บ้างรึยังเล่า”เขากล่าวพลางมองตาอีกฝ่าย
“มิรู้”ดอกแก้วพูดเสียงตวัด หากดวงหน้ามีรอยยิ้มเขินอายปรากฏอยู่
“ลองแม่ดอกแก้วเขินหน้าแดงฉะนี้ ข้าว่าพี่สินเมืองคงพอเดาคำตอบได้กระมัง” ทองที่ฟังอยู่แกล้งกระเซ้ายิ้มๆ
“พี่ทองมิต้องมาสู่รู้เลย” สาวน้อยทำเสียงดุเพื่อแก้เขิน ขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองหัวเราะเบาๆพร้อมกัน
************************
หลังแยกจากดอกแก้ว โดยหญิงสาวกลับเข้าวังแล้ว สินเมืองกับทองได้แวะไปเดินเล่นที่ตลาดเช้าใกล้สะพานป่าถ่าน ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้าตั้งเพิงเรียงรายพร้อมนำสินค้ามากมายมาวางขายทั้งของกินของใช้ ผู้คนชาวพระนครทั้งหญิงชายต่างมาจับจ่ายใช้สอย เสียงร้องเรียกลูกค้า เสียงเจรจาต่อรองราคาดังเซ็งแซ่
“พี่สังเกตท่าทางดอกแก้วบ้างฤาไม่ ยามที่มองดูบัวคำ” ทองเอ่ยขึ้น
สินเมืองมองคนพูด “สังเกตอันใด”
“แม่ดอกแก้วดูข้องใจในเรื่องพี่แลนางเมืองเหนือผู้นั้น” หนุ่มรุ่นน้องหยุดเล็กน้อยก่อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถามจริงเถิด พี่สินเมืองกับแม่สาวทุ่งยั้งผู้นั้นมีความนัยอันใดต่อกันหรือไม่”
“เฮ้ย ถามอันใดเยี่ยงนี้วะ”
“ก็แม่บัวคำผู้นี้ หน้าตาผิวพรรณหมดจด กิริยามารยาทน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งท่าทีก็คล้ายมีใจต่อพี่มิใช่น้อย ข้าเห็นแล้วก็ให้สงสัยสิว่า พี่คิดอันใดกับนางบ้างหรือไม่”
“เพิ่งปะกันคราแรก นี่เจ้าสังเกตถึงเพียงนี้เจียว ดูท่าคงสนใจนางอยู่ละสิ”
“อย่าเพิ่งเสเปลี่ยนเรื่อง”ทองส่ายหน้า “พี่บอกข้ามาก่อนดีกว่า ว่าแท้จริง คิดอันใดกับนางหรือไม่”
“นี่เจ้าเห็นพี่เป็นคนมากรักหลายใจรึ”สินเมืองหน้าตาขึงขัง “ในใจพี่มีแต่ดอกแก้วเท่านั้น ไหนเลยจักมีหญิงอื่นใดอีก”
“หากไม่มีอันใดก็ดีแล้ว”อีกฝ่ายพูด “ข้านั้นใคร่เห็นพี่กับดอกแก้วได้ครองเรือนร่วมกันในวันหน้า จึงมิอยากให้เกิดเหตุอันใดขึ้นก่อน”
“ครานี้เจรจาเป็นการเป็นงานเชียวนะออเจ้า”ราชองครักษ์หนุ่มพูดยิ้มๆ “มิต้องห่วง รอพี่ได้บวชแทนคุณพ่อแม่เมื่อใด สึกแล้วจักรีบหาฤกษ์ยามไปสู่ขอแม่ดอกแก้วในทันที”
“ดีแล้ว” ทองยิ้มบางๆพลางกล่าวต่อ “ทั้งพี่แลแม่ดอกแก้วล้วนเป็นสหายที่ข้ารัก หากได้เห็นพวกพี่มีความสุข ข้าก็ดีใจ”
************************
ที่หอนั่งบนเรือนหลังใหญ่ นางสายพิณมองหลานชายที่ก้มลงกราบด้วยสายตาพอใจ มือของหญิงชราลูบหลังผู้เป็นหลานพร้อมกับกล่าวว่า
“บุญรักษาโดยแท้ ที่เจ้ารอดกลับมาในครานี้ หลานย่า”
สินเมืองลุกขึ้นนั่งพร้อมยิ้ม “ข้าหมายใจแต่วันออกไปแล้ว ว่าจักกลับมากราบย่าที่พระนครให้จงได้”
“รักษาเนื้อรักษาตัวไว้เยี่ยงนี้แลประเสริฐแล้ว วันหน้าจักได้สร้างชื่อสร้างยศให้เป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลสืบไป”
“ขอรับ”ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนกล่าวว่า “ศึกครานี้หนักหนามิใช่น้อย ซ้ำฝ่ายเรายังต้องอุบายพวกเชียงใหม่ จนเสียเมืองเชลียงให้แก่มันไป”น้ำเสียงนั้นแฝงความเจ็บใจ
“การใช้เล่ห์เพทุบายเป็นของคู่กับการทำศึก ครานี้เราเสียกล ก็ใช่ว่าต่อไป จักมิอาจแก้มือได้”ออกพระคำแหงรณฤทธิ์ที่นั่งอยู่ข้างนางสายพิณเอ่ยกับบุตรชาย
“พ่อเจ้ากล่าวถูกแล้ว”ผู้เป็นย่าเอ่ยเรียบๆ “แต่โบราณมาก็ใช่ว่าอโยธยามิเคยใช้เล่ห์เพื่อให้ชำนะศึก หากจักเสียรู้แก่เขาบ้าง ก็ควรคิดเสียว่าเป็นทีใครทีมัน”
“แต่หากมิใช่คนอสัตย์เช่นพญาเถียนที่ทุรยศต่ออโยธยา ไหนเลยเชียงใหม่จักชิงเอาเมืองเชลียงไปได้โดยมิเสียรี้พลเลยเยี่ยงนี้”สินเมืองยังพูดต่อด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
สีหน้านางสายพิณเข้มขึ้นเล็กน้อยก่อนกลับเป็นปกติและเอ่ยตัดบทการสนทนาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ย่าว่า เราอย่าสนทนาเรื่องเคร่งเครียดเช่นนี้เลย เจ้าจงไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ประเดี๋ยวย่าจักให้คนตั้งสำรับให้”
ชายหนุ่มแปลกใจที่ผู้เป็นย่าตัดบทการสนทนาเสียเช่นนั้น ทว่ายังไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดต่อ บิดาของเขาก็เอ่ยสำทับขึ้นว่า
“ย่าเจ้าพูดถูกแล้ว พ่อว่ายามนี้ เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียเถิด จักได้กินข้าวกินปลาแลพักผ่อนให้หายเหนื่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม้จะยังมีสิ่งที่อยากพูดอยู่ แต่สินเมืองก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก นอกจากยกมือไหว้พ่อและย่า ก่อนลุกออกไปจากบริเวณหอนั่ง
*************************************
ยามเย็น ที่ตลาดจีนคลองสวนพลู ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อหาข้าวของกันหนาตา ผิดกับช่วงที่กองทัพหลวงยังไม่กลับ ที่ยามนั้น พระนครค่อนข้างจะเงียบเหงากว่าในยามนี้
ที่ร้านสุราใหญ่ริมคลอง หมื่นหาญนั่งกินเหล้ากับเหลียงกว๋อหรือจีนเหลียง โดยมีจันและอิน ลูกน้องคู่ใจร่วมโต๊ะด้วย ส่วนโต๊ะข้างๆมีชายฉกรรจ์ห้าคนซึ่งเป็นบริวารของหมื่นหาญนั่งกินเหล้าอยู่ ทั้งสองโต๊ะพูดคุยเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใคร ขณะที่ลูกค้าโต๊ะอื่นต่างไม่กล้าแม้แต่จะมองมา ด้วยกลัวจะถูกพวกนี้ปะเตะปะต่อยให้เจ็บตัวเปล่า
“ศึกที่เพิ่งผ่านไปนี้ ข้าเสียดายนัก หากทัพเราตีเมืองแพร่ได้ คงหาสินค้ามาได้มากกว่านี้เป็นแน่” หมื่นหาญกล่าว
จีนเหลียงยิ้มเอาใจอีกฝ่าย “แต่ที่ท่านหมื่นนำมานี้ ก็ทำให้สำนักเราครึกครื้นขึ้นอีกมิใช่น้อย”
“เช่นนั้น ส่วนแบ่งของงวดหน้าก็ควรเพิ่มขึ้นด้วย ถูกไหม”นายทหารหนุ่มหรี่ตามอง
“เรื่องนั้นขอท่านมิต้องเป็นห่วง หากสำนักเรามีกำไรเพิ่ม ส่วนแบ่งของท่านย่อมเพิ่มขึ้นแน่นอน”
หมื่นหาญหัวเราะอย่างพอใจก่อนรับถ้วยสุราจากลูกน้องมาดื่ม ทว่ามือที่ถือถ้วยนั้นก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเห็นบางสิ่งเข้า
“จีนเหลียง เจ้าเห็นสตรีผู้นั้นหรือไม่”
พ่อค้าชาวจีนมองตามและเห็นหญิงสาววัยไม่เกินสิบเจ็ดปี ผิวขาว ใบหน้ารูปไข่สวยคม ดวงตาค่อนข้างยาวรี ผมยาวเกล้าเป็นมวยแบบชาวเมืองเหนือ นุ่งผ้าซิ่น ห่มสไบสีเขียวอ่อน เดินไปลงเรือที่ท่าน้ำก่อนให้คนเรือพายออกไป
“นางผู้นั้นงามต้องใจข้านัก หากได้นางมาเคียงข้างในค่ำคืนนี้ ข้าคงมีความสุขมิใช่น้อย” หมื่นหาญเปรย
เหลียงกว๋อมองจนสตรีผู้นั้นลับตา จึงหันมากล่าวกับคู่สนทนาว่า “ข้าว่าท่านอย่าสนใจนางผู้นั้นเลย ด้วยว่าสตรีรูปร่างหน้าตาเยี่ยงนี้ ในสำนักเรามีมากมายนัก หากท่านหมื่นปรารถนา คืนนี้ขอจงไปเลือกเอาสักสองสามนาง”
“มันมิเหมือนกัน นางผู้นี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง จักเอาไปเทียบกับนังพวกที่อยู่โรงรับชำเราได้เยี่ยงไร”นายกองหนุ่มว่าก่อนหันไปสั่งลูกน้องคู่ใจ “เฮ้ย ไอ้จัน เอ็งรีบตามหญิงผู้นั้นไปแลสืบมาให้ได้ว่า นางชื่ออันใด พำนักพักอยู่ย่านไหน”
“ขอรับ”อีกฝ่ายรับคำและรีบออกไป
เพียงชั่วหม้อข้าวเดือด จันก็กลับมาพร้อมสิ่งที่ผู้เป็นนายอยากรู้
“สตรีผู้นั้นชื่อบัวคำขอรับ เห็นว่าเพิ่งมาแต่หัวเมืองเหนือได้มิถึงเดือน แลทุกเช้า นางจักมานั่งขายของกับลุงอยู่ในตลาดย่านสะพานช้างใกล้วัดพลับพลาไชย” ลูกน้องคนสนิทบอก
คนฟังยิ้มพอใจ “เห็นที ข้าต้องไปเยี่ยมกรายย่านนั้นเสียบ้างแล้ว”
“นี่ท่านหมื่นสนใจนางผู้นั้นจริงๆกระนั้นหรือ” จีนเหลียงถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่บ่งบอกความรู้สึก
หมื่นหาญรับถ้วยสุราจากลูกน้องมาดื่มรวดเดียวก่อนวางลงและตอบด้วยเสียงกระหยิ่มใจว่า
“หญิงงามเพียงนี้ หากปล่อยให้หลุดมือไป ข้าคงเสียดายนักที่เกิดมาเป็นชาย”
**************************
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
