ตอนที่ 47 : อุปนิกขิตอโยธยา(ปรับปรุง)
ชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือสิบคนกรูกันเข้ามายังลานบ้านก่อนแยกย้ายกันค้นหาผู้เป็นเจ้าของเรือน ทว่าไม่พบสิ่งใดนอกจากไก่ชนที่ถูกเลี้ยงไว้ในสุ่ม ส่วนนกพิราบนับสิบที่อยู่ในกรงแขวนบนระเบียงนั้นล้วนถูกปล่อยไปแล้วสิ้น
“เร่งตามให้เจอ มันคงหนีไปมิไกลดอก” พันเงินผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มร้องสั่ง ก่อนที่เหล่าบริวารจะแยกย้ายกันไป
ห่างออกจากเรือนหลังน้อยเกือบยี่สิบเส้น ชายวัยกลางคนเจ้าของบ้านโผล่ออกจากทุ่งข้าวก่อนมองซ้ายขวา ครั้นเมื่อไม่เห็นผู้ใดจึงลุกขึ้นและเร่งฝีเท้ามุ่งไปยังชายป่า
ทว่าที่ชายป่านั้น ปรากฏร่างของชายชุดดำผู้หนึ่งยืนรออยู่ “สูจักไปที่ใด อ้ายพรหม”
“แล้วสูเป็นผู้ใด จึ่งมาขวางข้า”
พันคำยิ้มเยือกเย็น“ข้ามีการใคร่ถามสู จงตอบมาแต่โดยดี”
“ถามดาบในมือกูก่อนเถิด อ้ายยวน”สำเนียงนั้นผิดแผกจากชาวล้านนาโดยสิ้นเชิง ก่อนที่ผู้พูดจะพุ่งเข้าใส่
ขุนทหารยวนยกดาบรับอาวุธฝ่ายตรงข้าม ก่อนเข้าฟาดฟันกับชายชื่อพรหม อย่างดุเดือด ด้วยฝีมือที่ทัดเทียมทำให้ยังไม่มีผู้ใดแพ้ชนะ
ยามนั้น พันเงินก็นำนักรบสมิงดำหลายสิบคนวิ่งตามมาถึงและเข้ารุมล้อมโจมตีหนานพรหม จากนั้นเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก เหล่าสมิงดำก็กุมตัวพ่อค้าสุราไว้ได้
“เร่งกุมตัวมันไป” พันคำร้องสั่ง
************************
ในคุกหลวง หนานพรหมถูกมัดขึงแขวนในห้องอับทึบ มีเพียงแสงจากคบไฟที่ปักอยู่ ใบหน้าของชายวัยหลางคนฟกช้ำและมีรอยแผลแตกเลือดแห้งเกรอะกรัง
พันเงินที่ยืนดูอยู่นอกห้องคุมขังหันมากล่าวกับพี่ชายว่า “อ้ายผู้นี้ปากแข็งนัก ถูกทรมานถึงสามวันสามคืน ยังยืนกรานแต่เพียงว่า มันเป็นคนค้าสุรา มาแต่แพร่สิ่งเดียว”
“ใจมันแข็งปานเหล็กโดยแท้”พันคำมองนักโทษที่อยู่ข้างใน
“หากมันรู้ว่า แท้จริงแล้วเรา....”
“แสนคำ”คนเป็นพี่เรียกเสียงเข้ม “คนฉลาดใช่ผู้พูดทุกสิ่งอันรู้ แต่คือผู้รู้ว่าควรปากสิ่งใด”
“อภัยข้าด้วย”
“ช่างเถิด”
“แล้วกับอ้ายผู้นี้ สูจักให้เพิ่มทัณฑ์ทรมาณขึ้นอีกฤาไม่”
”แต่เพียงนี้ ก็พอแล้ว”
“เช่นนั้น ควรเราทำสิ่งใดต่อ”
“นายแห่งเราสั่งลงมา ให้ขังมันอีกสองคืน แล้วจึ่งโกนหัวแลขับมันเสียให้พ้นเวียง” พันคำกล่าวพลางยิ้มเหี้ยมเกรียม“จากนั้น ก็รออ้ายผู้นี้นำความทั้งสิ้นกลับไปแจ้งนายแห่งมัน”
****************
ยามบ่ายที่ตลาดผ้าใกล้กำแพงวังด้านตะวันออก ดอกแก้วและบ่าวหญิงสองนาง ออกจากวังมาเลือกหาซื้อผ้าเนื้อดีเพื่อนำไปใช้เป็นสไบห่ม เนื่องจากเป็นเพลาบ่าย มีผู้คนไม่มากเท่ายามเช้าและเย็น จึงทำให้หญิงสาวสามารถเดินเลือกดูสินค้าได้โดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้ใด
ที่หน้าแผงขายผ้าซึ่งอยู่ท้ายตลาด ดอกแก้วหยิบผ้าผืนยาวย้อมสีเขียวตองอ่อนขึ้นมามาดู ขณะแม่ค้าผ้าซึ่งเป็นหญิงเชื้อแขกร่างท้วมวัยสี่สิบเศษเจรจาชักชวนให้ซื้อ “ผ้านี่ส่งมาแต่เมืองตะนาวศรี ยามนี้เหลือทั้งร้านเพียงสามผืน เนื้อผ้าละเอียดเนียนนัก แม่หญิงมิสนใจรับสักผืนหรือ”
“ราคาเท่าใดเล่า”
“ผืนละสามตำลึงเท่านั้น”
“แพงใช่น้อย ลดสักหน่อยจักได้ไหม”หญิงสาวต่อรอง
“มิได้ดอก”นางแม่ค้าสั่นหัวหากใบหน้ายังเกลี่ยด้วยยิ้ม“ผ้าเหล่านี้ทอในเมืองแขกอินเดีย ล่องสำเภาข้ามน้ำข้ามทะเลไกลนัก ราคานี้ ข้าเองก็มิได้กำไรสักเท่าใดดอก”
“แต่..”
“แม่หญิงผิวพรรณงามผุดผ่องเยี่ยงนี้ หากได้ใช้ผ้านี้ห่มเป็นสไบ ย่อมขับความงามให้โดดเด่นเหนือผู้ใด”
แม้คำกล่าวของแม่ค้าและเนื้อผ้าจักต้องใจ หากแต่ราคานั้นก็ยังทำให้สาวน้อยชาววังยังลังเลอยู่
ยามนั้นเอง เสียงห้าว ค่อนข้างวางอำนาจก็ดังขึ้นทางเบื้องหลัง
“เช่นนั้น ข้าจักซื้อไว้เอง”
ดอกแก้ววางผ้าลงและหันไปดู ก็เห็นบุรุษหนุ่มผิวขาว ร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อดี เดินเข้ามาพร้อมชายฉกรรจ์สี่คน
“ผ้าเนื้อดีเยี่ยงนี้ คู่ควรแต่กับหญิงงามเช่นแม่หญิงผู้นี้เท่านั้น”ชายผู้นั้นกล่าวก่อนพยักหน้าให้เหล่าบริวารที่ติดตาม หนึ่งในนั้นจึงหยิบถุงผ้าบรรจุเงินส่งให้แม่ค้า
“ในนี้มีอยู่หนึ่งชั่ง เจ้าจงนับดู แล้วห่อผ้าสามผืนนั้นให้แม่หญิงโฉมงามผู้นี้”เขาสั่งแม่ค้าผ้าซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบทำตามทันที
“ข้ามิเอา”ดอกแก้วพูดขึ้น
บุรุษหนุ่มขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ ก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติและกล่าวกับหญิงสาวว่า“ขอแม่หญิงรับผ้าเหล่านี้ไว้เถิด ถือเสียว่าเป็นของกำนัลจากข้า”
“ข้ากับท่านมิรู้จักกัน ข้าคงมิอาจรับของกำนัลจากท่านได้”
“เช่นนั้น หากเราสองรู้จักกัน เจ้าคงรับผ้านี้ได้ใช่หรือไม่”อีกฝ่ายว่าพลางส่งสายตาเจ้าชู้“ข้าคือ หมื่นหาญเรืองฤทธิ์ หลานชายท่านออกญาเดโช แล้วชะแม่เล่า มีนามว่าอันใดจึงงามดุจเทพธิดาแต่แดนสวรรค์”
ท่าทีและสายตา ทำให้ดอกแก้วรู้ทันว่า บุรุษผู้นั้นกำลังจะเกี้ยวพาราสี
“ข้ามีธุระ ต้องขอตัว”นางตัดบทด้วยไม่อยากข้องเกี่ยวกับพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ ก่อนผละออก พร้อมบ่าวหญิงทั้งสอง
“ประเดี๋ยวก่อนสิ อยู่สนทนากับข้าก่อนมิได้หรือ”หาญว่าพลางเข้ามายืนขวาง ขณะบริวารทั้งสองก็เข้าขนาบข้าง
“โปรดหลีกทางให้ข้าด้วย”
“ถ้าเจ้ายอมบอกชื่อ บางทีข้าอาจหลีกทางให้”
“ข้าชื่อดอกแก้ว” หญิงสาวตัดสินใจบอกเพื่อตัดรำคาญ “ครานี้ ท่านก็หลีกไปได้แล้ว”
“รูปก็งาม นามรึก็เพราะนัก”หาญพูดพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม “หากได้แม่หญิงอยู่เป็นเพื่อนสนทนา ข้าคงมีความสุขมิใช่น้อย”
“แต่ท่านบอกว่า หากข้าบอกชื่อแล้ว ท่านจักหลีกทางให้ มิใช่หรือ”
“ข้าพูดว่าบางที ต่างหาก”หาญพูดก่อนเข้ามายืนจนชิด “อยู่กับข้าเถิด ข้ารับรองว่า เจ้าจักพึงใจในท้ายที่สุดแน่”
ดอกแก้วถอยหลังด้วยความหวาดหวั่น แต่ก็ถูกบริวารของชายหนุ่มเข้าล้อมไว้ บ่าวหญิงทั้งสองพยายามเข้าช่วยเจ้านาย แต่ก็ถูกพวกชายฉกรรจ์ผลักกระเด็นออกไป
แม้จะเริ่มเสียขวัญ แต่หญิงสาวยังทำเสียงแข็ง “เจ้าจักทำอันใด”
“ก็ทำให้เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าน่ะสิ”หาญทำท่าคว้าข้อมืออีกฝ่าย
สาวน้อยดิ้นรน “ปล่อยข้า!”นางร้อง
“อยู่เป็นเพื่อนข้าเถิด แล้วข้าจักทำให้เจ้ามีความสุข” อีกฝ่ายว่า
ทันใดนั้น มีเสียงตวาดดังขึ้น “ปล่อยนางบัดเดี๋ยวนี้”
เสียงนั้น ทำให้ชายหนุ่มชะงักมือ ขณะที่ดอกแก้วร้องขึ้นอย่างดีใจ “พี่ทอง ช่วยข้าด้วย”
“ชะ อ้ายเด็กนี่ มึงอยากตายหรือไร จึงมายุ่งเรื่องกู” หาญตวาดใส่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงหนุ่มรุ่นที่มาตัวคนเดียว
สีหน้าทองขมึงทึงดุดัน“ปล่อยน้องข้าเดี๋ยวนี้”เขาสั่งเสียงกร้าว
หลานชายขุนนางใหญ่แสยะยิ้ม ก่อนสั่งบริวาร“เฮ้ย พวกมึงลากมันไปสั่งสอนอย่าให้รำคาญนัยน์ตากู”
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่เข้ารุมล้อมชายหนุ่มวัยรุ่นทันที จากนั้นการต่อสู้ชนิดไม่สมน้ำสมเนื้อระหว่างสี่ต่อหนึ่งก็เริ่มขึ้น พวกชาวบ้านหลายคนที่อยู่แถวนั้นต่างแตกฮือจากบริเวณที่เกิดการวิวาท เว้นแต่สองสามคนที่สนใจใคร่รู้ก็มาดูอยู่ห่างๆ
ไม่นาน ทองก็ลงไปคลุกฝุ่นบนพื้น แต่ก่อนที่เท้าสี่ข้างจะรุมเหยียบลงมา ร่างปราดเปรียวก็พุ่งเข้าใส่ พร้อมปลายเท้าที่ฟาดลงไปยังก้านคอหนึ่งในชายฉกรรจ์จนล้มคว่ำ ก่อนหมุนตัวเตะเสยปลายคางอีกหนึ่งจนสลบคาเท้า ขณะที่อีกสองคนที่หลือต่างถอยกรูดออกมา ก่อนจะมีสภาพเช่นดังพรรคพวก
ผู้มาใหม่ยืนอยู่เหนือร่างชายสองคนที่นอนสลบบนพื้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “รุมรังแกผู้อื่นกลางตลาดเยี่ยงนี้ สมแล้วหรือที่เป็นลูกผู้ชาย”
“อ้ายสินเมือง”หมื่นหาญจำอีกฝ่ายได้แทบจะในทันที
“เรียกให้ถูกหน่อย ท่านหมื่นหาญ” สินเมืองเองก็จำหน้าฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน “ยามนี้ ข้าคือ หมื่นเดชนารายณ์ แม่กองทะลวงฟันราชองครักษ์”
“ข้าเพียงใคร่สนทนากับแม่หญิงผู้นี้ หาใช่การอันเจ้าควรยุ่งเกี่ยว”
“ท่านคุกคามทั้งยังทำร้ายสหายข้าเยี่ยงนี้ เห็นทีข้ามิยุ่งคงมิได้”สินเมืองหรือหมื่นเดชนารายณ์กล่าวด้วยน้ำเสียงปกติหากแต่ท่าทางนั้นเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู้
หาญจ้องอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ทว่าสายตาที่จ้องตอบมานั้นก็ดุดันแข็งกร้าวจนน่าหวาดหวั่น
“เห็นแก่ที่เราต่างก็เป็นข้าทหาร วันนี้ข้าจักยกให้” หมื่นหาญกล่าวอย่างไว้ท่า “วันพระมิได้มีหนเดียว สักวัน ข้ากับเจ้าคงได้พบกันอีกแน่”
สินเมืองยิ้มหยัน“ข้าหวังว่า คงไม่ใช่ในเร็ววันนี้”
หมื่นหาญส่งสายตาประสงค์ร้ายมายังชายหนุ่มก่อนหันกลับก้าวออกไปจากบริเวณนั้น โดยมีบริวารทั้งสองประคองพวกที่เพิ่งจะฟื้นจากสลบ กลับไปด้วยอย่างทุลักทุเล
“เกือบไปแล้วนะ”สินเมืองหันมาทางสาวคนรักและสหายผู้น้อง “เป็นเยี่ยงไรบ้างดอกแก้ว”ประโยคต่อมา เขาเอ่ยถามหญิงสาวด้วยน้ำเสียงห่วงใย
สีหน้าสาวน้อยยังไม่หายตระหนกดี“ข้า.เอ่อ..ข้า.มิเป็นไร”
“พี่ขอโทษด้วย ที่มาช่วยเจ้าช้าไป”
“ข้าดีใจเหลือเกิน ที่เจอพี่”ดอกแก้วค่อยยิ้มออก หลังหายตระหนกแล้ว “นี่หากว่าพี่สินเมืองไม่มา ก็มิรู้ว่าจักเป็นเยี่ยงไร”
“คราหน้าคราหลัง เจ้าต้องระวังตัวให้จงหนัก”สินเมืองเตือนอย่างเป็นห่วง “หากเกิดอันใดขึ้นกับเจ้าแล้วไซร้ พี่คงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้”
คำพูดและสายตาของนายทหารหนุ่มทำเอาสาวน้อยชาววังอดเขินอายมิได้”ข้าจักจดจำที่พี่บอก”นางพูดเบาๆ
สินเมืองยิ้มอย่างพอใจ ก่อนหันมายังหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังเอามือคลำรอยฟกช้ำบนใบหน้า
“เจ็บมากไหม เจ้าทอง”สินเมืองถาม
”พอทนได้ น่ะพี่”อีกฝ่ายตอบ “ขอบน้ำใจที่พี่มาช่วย”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พี่เองก็ต้องขอบน้ำใจเจ้าเช่นกัน ที่มาช่วยดอกแก้วเอาไว้”
“เมื่อครู่ข้าได้ยินหมื่นหาญเรืองฤทธิ์ เรียกชื่อพี่”ดอกแก้วเอ่ยแทรกขึ้น “พี่สินเมืองรู้จักเขาด้วยหรือ”
“เคยเจอกันเมื่อครั้งไปทำศึกที่สุโขทัยน่ะ”ชายหนุ่มตอบ “เมื่อครานั้น พี่กับเขามีเรื่องวิวาทถึงขั้นประดาบกัน จนถูกท่านออกญาเพชรพิชัยคาดโทษทั้งคู่”
“คนผู้นี้ใจคอโหดร้ายยิ่งนัก หากพี่มาช้าเพียงอึดใจ พี่ทองคงถูกบริวารของเขารุมทำร้ายถึงสาหัสปางตายเป็นแน่”
“ที่จริง ฝีมืออ้ายพวกบริวารของหมื่นหาญก็มิเท่าใด”สินเมืองว่า “หากเมื่อก่อน เจ้าทอง มันเชื่อที่พี่บอกแลใส่ใจฝึกเชิงมวยเชิงดาบให้มากกว่านี้ คงมิต้องลงไปคลุกฝุ่นเยี่ยงนี้ดอก”ประโยคต่อมา ชายหนุ่มกล่าวเชิงตำหนิรุ่นน้อง
ทองก้มหน้าลงพลางกล่าวเบาๆ“ข้าขอโทษ ที่เมื่อก่อน มิเชื่อคำพี่”
“ช่างมันเถิด”คนเป็นพี่บอก “ว่าแต่หน้าเจ้าฟกช้ำดำเขียวเยี่ยงนี้ กลับไป จักบอกพ่อแม่เยี่ยงไร”
“เรื่องนั้น ข้าพอหาทางตอบเลี่ยงได้ พี่ท่านมิต้องห่วง”
“พี่ก็คิดว่า ฝีปากเยี่ยงเจ้า คงเอาตัวรอดได้มิยาก”สินเมืองว่าก่อนชวนสาวคนรักและสหายผู้น้องเดินไปจากบริเวณนั้น
*********************
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

นาคเหรา
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 23 สิงหาคม 2556 / 06:27
$$$$$$$$$____$$_____$$_______$________$$$_______$$ ___$$_____$$____
___$$________$$_____$$______$$$_______$$_$$_____$$ ___$$___$$______
___$$________$$_____$$_____$$_$$______$$__$$____$$ ___$$_$$________
___$$________$$$$$$$$$____$$___$$_____$$___$$___$$ ___$$$__________
___$$________$$_____$$___$$$$$$$$$____$$____$$__$$ ___$$_$$________
___$$________$$_____$$__$$_______$$___$$_____$$_$$ ___$$___$$______
___$$________$$_____$$_$$_________$$__$$______$$$$ ___$$_____$$____
☆┌─┐ ─┐☆
│▒│ /▒/
│▒│/▒/
│▒ /▒/─┬─┐
│▒│▒|▒│▒│ Thank You !
┌┴─┴─┐-┘─┘
│▒┌──┘▒▒▒│ I Love You
└┐▒▒▒▒▒▒┌┘
└┐▒▒▒▒┌┘
\____/