ตอนที่ 31 : นิยามผู้กล้า(ปรับปรุง)
ยามค่ำภายในค่ายทหารอโยธยาซึ่งตั้งอยู่ระหว่างเมืองสองแควและสุโขทัย บรรยากาศเงียบสงบ มีเพียงเหล่าทหารยามที่เดินตรวจไปมา ขณะที่ไพร่พลส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อนเอาแรงแต่หัวค่ำ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทัพในยามเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น เพื่อไปโจมตีกองทัพเชียงใหม่ที่ยามนี้ยึดเมืองสุโขทัยเอาไว้เป็นที่มั่น
สินเมืองนั่งกอดเข่าอยู่ข้างกองไฟหน้าเพิงพัก สายตาเด็กหนุ่มเหม่อมองไปยังความมืดเบื้องหน้าขณะที่ความคิดนั้นวนเวียนสับสนอย่างบอกไม่ถูก
หลวงอินทรัตน์เดินมานั่งลงข้างบุตรชายพร้อมกับตบบ่าเบาๆ
“เป็นอันใด” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถาม “พ่อเห็นเจ้าดูซึมเซาเยี่ยงนี้ แต่เมื่อวานแล้ว”
“คงเป็นด้วยข้าเหนื่อยจากการออกลาดตระเวนน่ะพ่อ”
“ดูท่าคงมิใช่แค่เหนื่อยกระมัง”แสนมองหน้าบุตรชาย “พันเข้มเล่าให้พ่อฟังว่า เมื่อคราออกลาดตระเวน เจ้าได้ประดาบแลสังหารพวกเสือหมอบแมวเซาเชียงใหม่ไปหลายคน คงเป็นเรื่องนี้กระมัง ที่ทำให้เจ้าเป็นเช่นนี้”
“ข้า...” สินเมืองก้มหน้าลง เขาไม่รู้จะบอกกับพ่อของเขาว่าอย่างไรกับการที่เขารู้สึกกลัวยามที่ลงดาบสังหารข้าศึก
“เจ้าคงรู้สึกกลัว ยามที่ปลิดชีพมนุษย์ใช่หรือไม่” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างรู้ใจ
เด็กหนุ่มพยักหน้า “ข้าคงเป็นคนขลาดใช่ไหม ที่รู้สึกกลัวยามที่ต้องสังหารข้าศึก”
“เมื่อออกศึกคราแรก พ่ออายุมากกว่าเจ้าในตอนนี้หลายปี แต่ก็รู้สึกมิต่างจากเจ้าเช่นกัน” แสนพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่เมื่อเพลาล่วงเลยไป พ่อก็ได้รู้ว่า นั่นเป็นเพียงความรู้สึกของผู้ที่ออกรบคราแรกทุกคน แลการที่เรารู้สึกกลัวเมื่อต้องลงดาบสังหารนั้น ก็ด้วยเรายังมีความเป็นคน หาใช่สัตว์ป่าไม่”
“หมายความว่า ข้ามิใช่คนขลาด ใช่ไหม” ผู้เป็นลูกเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่แน่ใจนัก
“การสังหารผู้อื่น หาใช่สิ่งบ่งชี้ถึงความกล้าหาญหรือขลาดกลัวไม่” แสนกล่าว “ผู้กล้าที่แท้จริงนั้น คือผู้ที่เข้าสู้กับอุปสรรคแลภยันตรายทั้งปวงอย่างไม่ท้อถอย ทั้งสามารถเผชิญหน้าความจริงแลยอมรับมันอย่างองอาจ ต่างหาก“
สินเมืองยิ้มรับด้วยสีหน้าแช่มชื่น คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคกับน้ำเสียงที่อบอุ่นของบิดา ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว พ่อคือคนที่เขายึดถือเป็นต้นแบบเสมอมา
***************
เสียงปืนใหญ่ดังกึกก้อง ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องขณะที่กองทัพอโยธยาเคลื่อนพลเข้าโจมตีสุโขทัย ธนูและลูกดอกนับพันถูกยิงมาจากทหารเชียงใหม่บนกำแพงเมืองราวสายฝนเหล็ก สังหารไพร่พลอโยธยาล้มตายกลาดเกลื่อน แต่กระนั้นก็ไม่อาจหยุดการบุกของอีกฝ่ายได้ บันไดไม้ไผ่นับพันถูกพาดเข้ากับกำแพง ก่อนที่เหล่าทหารศรีอโยธยาจะปีนขึ้นไปฟาดฟันกับทหารล้านนาที่รักษาเมือง เสียงคมอาวุธกระทบกันปะปนไปกับเสียงร้องของคนที่กำลังจะตาย กรวดทรายคั่วร้อนและน้ำมันเดือดพล่านถูกเทราดลงใส่ฝ่ายโจมตี ไพร่พลอโยธยาจำนวนมากถูกน้ำมันร้อนลวก ผิวหนังหลุดลอกพุพองร่างร่วงหล่นลงมา เดือดดิ้นร้องทุรนทุราย ก่อนขาดใจตาย
ห่างออกมาจากแนวกำแพง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงประทับบนหลังช้างทรง พลางทอดพระเนตรการรบเบื้องหน้า สีพระพักตร์ของพ่ออยู่หัวอโยธยาเคร่งเครียด สายพระเนตรอันแข็งกร้าวจับไปยังบุรุษผู้หนึ่งซึ่งแต่งกายงามสง่าที่กำลังยืนบัญชาการรบอยู่บนเชิงเทิน
แม้จะอยู่ห่างไกลจนไม่อาจทรงเห็นหน้าของคนผู้นั้นได้ชัดเจน แต่จากธงรบและเหล่าทหารราชองครักษ์ของเชียงใหม่ที่อยู่รายรอบ ก็ทำให้จอมคนอโยธยาทรงทราบดีว่า บุรุษผู้นั้นคือใคร
“พญาติโลกราชทรงบัญชาการรบเองเยี่ยงนี้นี่เล่า ทหารเชียงใหม่จึงต่อสู้ได้เข้มแข็งนัก ทัพเราทั้งโหมยิงปืนใหญ่แลส่งพลเข้าปล้นเมืองถึงสามขวบวันติดกันยังหักเอามิได้” สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถรับสั่งด้วยสุรเสียงเครียดกับออกญามหาเสนาที่อยู่บนหลังช้างศึกอีกเชือกที่ยืนอยู่ติดกับช้างทรงของพระองค์
“ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า” ออกญามหาเสนา กราบทูล “ชาวล้านนารักษาเมืองเข้มแข็งเยี่ยงนี้ หากฝ่ายเรายังส่งพลเข้าตี ก็คงมิผิดกับแมลงเม่าบินเข้ากองอัคคี ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่าเพื่อถนอมชีวิตไพร่พล ควรพักรบ แลตั้งค่ายล้อมเมืองไว้ เพื่อรอโอกาส จักเหมาะกว่า พระพุทธเจ้าข้า”
พ่ออยู่หัวอโยธยาทรงถอนพระอัสสาสะ ก่อนทรงมีรับสั่งว่า “เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น ก็จงให้อาณัติสัญญาณถอยทัพเถิด”
อีกฝ่ายพนมมือยกขึ้นถวายบังคมน้อมรับพระบัญชา ก่อนให้ควาญของตนไสช้างออกไปจากที่นั้น
ครู่ต่อมา เสียงกลองศึกก็ดังเป็นสัญญาณยุติการรบ ก่อนที่กองทัพอโยธยาจะทยอยกันล่าถอยออกจากแนวกำแพงเมือง ทิ้งไว้แต่เพียงซากศพที่นอนอยู่เกลื่อนกลาด
บนแนวเชิงเทินเมืองสุโขทัย ก่อนแสงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า พญาติโลกราชประทับยืนอยู่พลางทอดสายพระเนตรไปยังกองทัพอโยธยาที่กำลังล่าถอย ที่เบื้องพระพักตร์ห่างออกไป จอมคนเชียงใหม่ทรงเห็นช้างศึกเชือกหนึ่งยืนนิ่งอยู่ โดยบุรุษที่นั่งอยู่บนกูบช้างเชือกนั้น คล้ายกำลังมองมาทางกำแพงเมือง
ภาพของฉัตรสีขาวเก้าชั้นที่ติดอยู่กับกูบและเหล่าราชองครักษ์ชาวอโยธยาที่รายล้อมอารักขารอบช้างเชือกนั้น บ่งบอกชัดถึงความสำคัญแลฐานะอันสูงส่งของบุรุษที่อยู่บนหลังช้างได้เป็นอย่างดี
จอมคนเชียงใหม่ทรงแย้มสรวลที่มุมพระโอษฐ์เล็กน้อย อย่างพอพระทัยในภาพที่เห็น
********************
หลังการเข้าตีเมืองครั้งสุดท้ายผ่านไป สมเด็จพระบรมไตรโลกได้ทรงมีพระบัญชาให้กองทัพอโยธยาหยุดการโจมตีและเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นตั้งค่ายล้อมเมืองสุโขทัยเอาไว้ เพื่อรอจนกว่ากองทัพข้าศึกที่อยู่ในเมืองจะอ่อนแอลงและเป็นโอกาสให้ฝ่ายอโยธยาได้เริ่มการโจมตีอีกครั้ง
ยามสาย ที่คุ้มเจ้าเมืองสุโขทัย ซึ่งขณะนี้ได้ถูกใช้ที่ประทับของพญาติโลกราช เจ้าเหนือหัวแห่งเชียงใหม่ ภายในห้องโถงด้านใน พญาติโลกทรงกำลังสนทนากับท้าวศรีบุญเรือง ผู้เป็นพระโอรสถึงเรื่องการทำศึกกับกองทัพอโยธยา
“ทัพอโยธยานิ่งเฉยมาร่วมสัปดาห์ฉะนี้ พวกมันคงหมายล้อมจนเราสิ้นเสบียง แล้วจึงค่อยเทคนเข้าทุบเวียง” จอมคนเชียงใหม่ทรงรับสั่งด้วยสุรเสียงเรียบๆ อย่างไม่ทรงกังวลแต่อย่างใดนัก “มันคงมิรู้ว่า เรายังมีเสบียงพอเลี้ยงไพร่พลได้อีกนับเดือน”
“ไหว้สา เจ้าพ่อ นักรบสมิงดำที่ลอบออกไปสืบข่าว ได้กลับมาแจ้งว่า ยามนี้พญาใต้ได้แต่งทัพหนึ่งกองยกไปตั้งค่ายมั่นยังด้านเหนือ คงหมายสกัดทัพจากนครพิงค์ที่จักลงมาช่วยฝ่ายเราเป็นแน่” ท้าวศรีบุญเรืองกราบทูลบอก
“นับว่า พญาใต้บรมไตรโลก คิดอ่านการศึกได้รอบคอบมิใช่น้อย” พญาติโลกราชทรงแย้มสรวลเล็กน้อย “เยี่ยงนี้สิ ถึงสมเป็นคู่ศึกแห่งเรา”
“จากนี้ไปเจ้าพ่อจักให้ทำเช่นไร”
“พญาใต้อุตส่าห์ยกทัพขึ้นมาทั้งที หากปล่อยให้เขาตั้งล้อมเวียงเฉยอยู่เยี่ยงนี้ ฝูงเขาจักคิดเอาว่า ชาวล้านนาเรานี้ไม่มีพิษสงอันใด”สายพระเนตรของจอมคนเชียงใหม่เป็นประกาย ก่อนจะทรงรับสั่งกับพระโอรสว่า“สูจงให้คนไปตามหมื่นหางช้างมาที่นี่ พ่อมีการสำคัญจักใช้มัน”
ท้าวศรีบุญเรืองทรงสงสัย“เจ้าพ่อจักใช้มันทำการอันใดฤา”
“คืนนี้ พ่อจักให้ชาวใต้ได้รู้ฤทธิ์ของฝ่ายเรา” พญาติโลกราชตรัสพลางแย้มสรวลเยือกเย็น
**********************
กลางดึก ภายในค่ายอโยธยา บรรยากาศเงียบสงบ ด้วยไพร่พลส่วนใหญ่ต่างก็นอนหลับพักผ่อน มีเพียงทหารยามจำนวนหนึ่งที่ยังคงประจำอยู่บนเชิงเทินรอบค่ายเท่านั้น สายลมหนาวที่พัดมา ทำให้ทหารยามหลายคนแอบหลบเข้าไปนั่งผิงไฟในเพิงพักเป็นระยะ
ท่ามกลางความเงียบยามราตรี สินเมืองออกมาเดินเล่นอยู่นอกที่พักเนื่องจากนอนไม่หลับ เด็กหนุ่มเดินช้าๆพลางนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในช่วงสามวันขณะทัพอโยธยาเข้าตีเมือง ยามนั้น เขาได้เห็นเพื่อนทหารรอบข้างล้มตายดุจใบไม้ร่วง ตัวเขาเองแม้จะมีฝีมือดีแต่ก็เกือบไม่รอดหลายครั้ง โดยเฉพาะในการโจมตีวันสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด ในวันนั้น หากมิได้หลวงอินทรัตน์ผู้เป็นบิดาเข้ามาช่วยไว้ ตัวเขาเองก็คงตายอยู่ที่กำแพงเมืองแล้ว
มาถึงเวลานี้ สินเมืองได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้วว่า สงครามนั้นโหดร้ายเพียงใด และแม้ว่าในตอนนี้เขาจะเริ่มทำใจให้เข้มแข็งกับความโหดร้ายของสงครามได้บ้างแล้ว ทว่าทุกครั้ง ที่เขานึกถึงเพื่อนทหารจำนวนมากที่ต้องล้มตายไป ก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มอดรู้สึกสลดหดหู่มิได้ ด้วยว่าหลายคนในพวกที่ตายนั้น เป็นคนที่เขารู้จัก บ้างก็เคยเป็นศิษย์ร่วมสำนักและบ้างก็เพิ่งมารู้จักกันในกองทัพ
การได้เห็นเพื่อนฝูงและคนที่รู้จักคุ้นเคย ต้องมาล้มตายไปต่อหน้านั้น ทำให้สินเมืองรู้ว่า แม้ตัวเขาเองจะสามารถทำใจให้เผชิญกับความโหดร้ายของสงครามได้อย่างไม่หวาดหวั่น แต่ความสูญเสียหลังจากสงครามสิ้นสุดลงนั้นดูเหมือนจะทำร้ายความรู้สึกของเขาได้มากกว่าเสียอีก
เสียงผู้คนเอะอะโวยวายดังแว่วมาจากค่ายปีกขวา สินเมืองลุกขึ้นและหันไปดูก็เห็นแสงสว่างจากเปลวไฟอยู่ทิศนั้น ขณะนั้นทหารหลายสิบคนก็วิ่งผ่านมา
“เกิดอันใดขึ้นรึ”เด็กหนุ่มร้องถาม
“ไฟไหม้ที่โรงเสบียงที่ค่ายปีกขวา!”หนึ่งในนั้นตอบ ก่อนพากันวิ่งไปยังทิศนั้น
เด็กหนุ่มตกใจเมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบตามพวกนั้นไป ทว่าขณะที่ผ่านหน้ากระท่อมหลังใหญ่ที่อยู่ทางซ้ายมือ ประสาทหูอันค่อนข้างไวของเขา ก็ได้ยินเสียงอาวุธกระทบกัน ดังมาจากด้านหลังกระท่อม ด้วยความสงสัย สินเมืองจึงหยุดวิ่งและเดินเลี้ยวเข้าไปดู
ครู่ต่อมา เสียงก็เงียบไปและเมื่อเขาไปถึงลานว่างด้านหลังกระท่อม ก็เห็นทหารอโยธยาสิบคนนอนตายอยู่บนพื้น เลือดไหลนอง โดยมีชายชุดดำจำนวนสิบกว่าคนยืนอยู่เหนือศพเหล่านั้น
เมื่อหนึ่งในนั้นหันมาเห็นเด็กหนุ่มเข้า ก็ยกดาบในมือชี้ตรงมายังสินเมืองด้วยท่าทางดุดัน เป็นสัญญาณให้คนอื่นๆพุ่งตรงเข้ามาสังหารเพื่อปิดปาก
สินเมืองรีบยกดาบในมือเข้ารับอาวุธจากชายชุดดำคนแรกที่มาถึงตัวก่อนจะเหวี่ยงดาบใส่จนอีกฝ่ายต้องถอยออกไป ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น คนอื่นๆก็เข้ามารุมโจมตีเขาพร้อมกันจากรอบข้าง และแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสามารถตั้งรับการจู่โจมของเหล่าคนชุดดำได้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้แม้แต่คนเดียว
เมื่อเห็นว่า ตัวเอง กำลังจะถูกล้อมกรอบ สินเมืองก็ตัดสินใจถีบตัวสูงจนออกมาพ้นวงล้อมของพวกศัตรูที่กำลังรุมเล่นงานเขา ก่อนจะหันกลับและเหวี่ยงดาบฟาดฟันพวกนั้นอย่างรวดเร็ว จนสังหารฝ่ายตรงข้ามได้สองคน
ขณะที่กำลังต่อสู้กับพวกศัตรูที่เหลือนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ร้องตะโกนเพื่อบอกให้ทหารคนอื่นๆ รู้ตัว เพียงไม่นาน ก็มีทหารยามกลุ่มใหญ่วิ่งมาที่นั่น และเข้าช่วยสินเมืองต่อสู้กับพวกชายชุดดำ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงตะโกนมาจากหลังค่าย ตามมาด้วยเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นทางทิศนั้น ขณะที่เหล่าชายชุดดำซึ่งประมือกับสินเมืองและพวกทหารได้ผละจากการต่อสู้ เมื่อเห็นว่าฝ่ายตนล้มตายไปกว่าครึ่ง จากนั้นชายชุดดำที่เหลือก็ใช้ความมืดกำบังกายหนีหายไปจนสิ้น เหลือเพียงร่างไร้ชีวิตของพวกมันเจ็ดคนนอนปะปนกับศพทหารอโยธยาร่วมสามสิบ
***************
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

สินเมืองนี่ ทำตัวน่าหมั่นไส้ เหมือนกันแฮะ เดี๋ยวเหอะ