ตอนที่ 27 : สืบหาผู้ทุรยศ(ปรับปรุง)
สองสัปดาห์ต่อมา กองทัพเชียงใหม่ก็ล่องเรือมาตามลำน้ำปิง ข้ามแดนหัวเมืองฝ่ายเหนือและเข้ากวาดต้อนราษฎรที่มิทันได้อพยพหนี ด้วยไม่คาดคิดว่าข้าศึกจะมาอย่างกะทันหัน จากนั้น ท้าวศรีบุญเรืองก็ส่งกองทหารเข้าโจมตีและกวาดต้อนผู้คนตั้งแต่กำแพงเพชร สุโขทัย มาจนเกือบถึง ไชยนาทสองแคว
ในขณะนั้นเอง หลังจากพระบรมไตรโลกนาถทรงทราบว่ากองทัพเชียงใหม่ลงมาโจมตีหัวเมืองฝ่ายเหนือ ก็ทรงมีพระบัญชาให้ออกญามหาเสนาเร่งจัดทัพและเคลื่อนพลยกไปช่วยหัวเมืองฝ่ายเหนือโดยเร็วที่สุด
ทว่ายังไม่ทันที่อโยธยาจะยกทัพไปถึง ทัพเชียงใหม่ก็ได้ถอยข้ามแดนพร้อมกวาดต้อนเชลยที่จับได้กลับไปจนหมด..
“ครานี้สูทำได้ดีนัก นอกจากกวาดเอาข้าเชลยมาได้มากหลายแล้ว ทัพเรายังเสียคนรบไปเพียงน้อยเท่านั้น” พญาติโลกราชทรงมีรับสั่งชม หลังจากที่พระโอรสกลับมายังนครพิงค์แล้ว
“แต่ข้าเจ้ายังเสียดายนัก ที่กลับมาโดยมิทันได้ต่อรบด้วยทัพใต้” ท้าวศรีบุญเรืองกราบทูล
“เพียงทำฉะนี้ พญาใต้คงเจ็บใจหนักแล้ว ไว้รอหนหน้า ฝ่ายเราคงได้รบกับเขาแน่” จอมคนเชียงใหม่ตรัส “หากยามนี้ พ่อจักให้สูเตรียมตัวให้พร้อม ด้วยเรายังมีการใหญ่รออยู่”
“เจ้าพ่อหมายถึง การศึกกับพวกลาวใช่หรือไม่”
“ถูกแล้ว” พญาติโลกราชทรงแย้มสรวล “ก่อนสูกลับเวียง พ่อได้ให้หมื่นด้งเตรียมคนรบไว้สี่หมื่น อีกเจ็ดวัน พวกเราจักยกทัพไปย่ำยังล้านช้างด้วยกัน”
*****************
ทางด้านกรุงศรีอโยธยา หลังจากออกญามหาเสนานำทัพกลับถึงพระนครแล้ว สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ที่ห้องทรงพระอักษร
“พวกเชียงใหม่รู้ได้เยี่ยงไร ว่าเพลานั้น เจ้าเมืองทั้งสองมิอยู่ ซ้ำยังถอยกลับไปก่อนที่ทัพฝ่ายเรายกไปถึงเสียอีก” สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถตรัสกับออกญามหาเสนาอย่างข้องพระทัย
“ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่า การนี้ฝ่ายเราจักมีไส้ศึก คอยแจ้งตื้นลึกหนาบางให้พวกยวนทราบ” อีกฝ่ายกราบทูล
“ข้าเองก็เคยคิดในข้อนั้นเช่นกัน” องค์เหนือหัวตรัสเป็นเชิงเห็นพ้อง “แล้วยามนี้ ท่านสงสัยผู้ใด”
“ข้าพระพุทธเจ้ายังมิแน่ใจ แต่จักขอพระราชานุญาตสืบความนี้”
“ข้าอนุญาต”จอมคนตรัส “ท่านจงลากคอไอ้คนทุรยศนั่นมาให้ได้”
ออกญามหาเสนาถวายบังคมน้อมรับพระบัญชา “รับด้วยเกล้า พระพุทธเจ้าข้า”
หลังจากรับพระบัญชาแล้ว สมุหพระกลาโหมก็เรียกตัว หลวงอินทรัตน์ นายทหารคนสนิทมาพบและสั่งการให้อีกฝ่ายเดินทางไปยังหัวเมืองฝ่ายเหนือเพื่อสืบหาตัวคนทรยศ
“ข้าจักให้เจ้าขึ้นไปยังเมืองปากยมแลร่วมมือกับเจ้าเมือง สืบหาคนที่ลอบติดต่อกับพวกเชียงใหม่มาให้จงได้”
“พระคุณท่านคิดว่า เราไว้ใจ เจ้าเมืองปากยมได้หรือขอรับ”
“หลวงพิจิตรเคยทำราชการในพระนคร ก่อนไปเป็นเจ้าเมือง จึงเป็นผู้เดียวที่น่าไว้วางใจที่สุดในบรรดาเจ้าเมืองฝ่ายเหนือ” ออกญามหาเสนากล่าว ก่อนกำชับว่า “การนี้ เป็นความลับสำคัญ จงอย่าให้แพร่งพรายเป็นอันขาด”
“ขอพระคุณท่านโปรดวางใจ” อีกฝ่ายกล่าวรับรอง ขณะที่สมุหพระกลาโหมผงกศีรษะรับอย่างพอใจ
***************
“เพิ่งกลับมา ได้สองวัน ก็ต้องไปอีกแล้วรึ” นางสายพิณที่นั่งเอนหลังพิงหมอนอยู่บนตั่งยาว ถามบุตรชาย หลังจากอีกฝ่ายกลับมาจากเรือนออกญามหาเสนา “แล้วนี่ต้องไปที่ใด”
“ท่านสมุหพระกลาโหมให้ลูกไปราชการที่ปากยมขอรับ” อีกฝ่ายตอบเพียงสั้นๆ
“ดูท่าครานี้คงไปนานสินะ”
“ลูกเองก็บอกมิได้ แต่คงต้องอยู่จนกว่าจักเสร็จงาน”
คนเป็นแม่ผงกศีรษะรับรู้ ก่อนจะไอแรงๆสองสามครั้ง ขณะที่แสนมองดูอย่างเป็นกังวล
“แม่ไม่สบายหรือ” เขาถาม
“ก็ตามประสาคนแก่นั่นแล กินยาต้มแล้วนอนพักก็หาย”
“ลูกจักให้ตามหมอมา”
“อย่าได้ยุ่งยากไปเลย แม่ดูแลตัวเองได้” นางสายพิณยิ้มให้บุตรชายเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ “เจ้าหาต้องกังวลไม่”
“ลูกจักกำชับเจ้าสินเมืองให้ช่วยดูแลแม่ ในยามที่ลูกไม่อยู่” แสนบอก
ผู้เป็นมารดายังคงยิ้มบางๆ พร้อมกับกล่าวว่า “สินเมืองเป็นเด็กดี ถึงเจ้าไม่บอก เขาก็คอยดูแลแม่อยู่แล้ว”
*************
ที่บริเวณชานบ้าน สินเมืองกำลังนั่งเช็ดดาบอยู่ นับแต่หลวงอินทรัตน์ผู้เป็นบิดาไปราชการเมื่อหลายเดือนก่อน เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่า บ้านช่องเงียบลงกว่าเดิม ยิ่งในยามนี้ นางสายพิณ ย่าของเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก จึงต้องนอนพักผ่อนบ่อยๆ ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไชพวกบ่าวไพร่เหมือนอย่างแต่ก่อน จึงทำให้บ้านเงียบลงไปอีก
ชั่วขณะหนึ่ง สินเมืองนึกถึงทองและดอกแก้ว เพื่อนรุ่นน้องทั้งสองที่พักหลังแทบจะไม่ได้พบกัน ด้วยต่างคนต่างก็มีภาระ โดยดอกแก้วถูกส่งเข้าไปอยู่กับญาติที่เป็นหัวหน้านางพระกำนัลในวังเพื่อฝึกความเป็นกุลสตรี ส่วนเจ้าทองนั้นถูกส่งไปอยู่เรือนหลวงอาลักษณ์เพื่อศึกษาความรู้ในเชิงอักษรศาสตร์ ดูเหมือนว่าสหายรุ่นน้องคนนี้ของเขาจักใฝ่ใจในทางหนังสือ มากกว่าการจับดาบเป็นขุนทหารเช่นตัวเขา
พอนึกมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างเบื่อๆ เขาเป็นทหารมาจวนครบปีแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรตื่นเต้นผ่านเข้ามาเลย แม้ว่าเมื่อครั้งที่ทัพกรุงยกขึ้นไปป้องกันหัวเมืองเหนือ สินเมืองจะได้ไปด้วย แต่ในคราวนั้น พวกเชียงใหม่ก็ถอยไปก่อนทัพอโยธยาจะไปถึง จึงมิได้รบกัน ทำให้เขารู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้ประดาบในสนามรบจริงๆ
....อย่างไรก็ตาม ที่ความผิดหวังนั้นเกิดขึ้น ก็เพราะสินเมืองยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า การรบในสงครามจริงๆนั้นโหดร้ายยิ่งกว่าการฝึกดาบในสนามซ้อมมากเพียงใด..
****************
ยามค่ำ อากาศค่อนข้างเย็น เรือนหลังใหญ่ของเจ้าเมืองปากยมที่ตั้งอยู่กลางหมู่ไม้ใหญ่แลเห็นเป็นเงาทะมึนกลางแสงจันทร์ บรรยากาศภายในเงียบสงัด ด้วยว่าคนในบ้านส่วนใหญ่ต่างเข้านอนกันหมดแล้ว
ณ.ห้องเล็กด้านใน หลวงพิจิตร เจ้าเมืองปากยม วัยสามสิบหก รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว ใบหน้าคมสัน กำลังสนทนากับหลวงอินทรัตน์ ผู้มีวัยไล่เลี่ยกัน ภายในห้องมีแสงสว่างจากเทียนเล่มใหญ่ที่ตั้งบนโต๊ะเล็กกลางห้อง
หลังจากเดินทางมาถึงยังเมืองปากยมเมื่อสามเดือนที่แล้ว แสน หรือ หลวงอินทรัตน์ได้ร่วมมือกับหลวงพิจิตร เพื่อสืบความเป็นไปของเจ้าเมืองต่างๆในหัวเมืองฝ่ายเหนือ จนกระทั่งพบสิ่งผิดสังเกตบางอย่าง
“จากที่คนของข้าสืบมาได้” หลวงพิจิตรกล่าวด้วยเสียงดังพอได้ยินเพียงสองคน “สองสามปีมานี้ คุ้มเจ้าเมืองสองแควได้รับบ่าวชายฉกรรจ์เข้ามาหลายร้อย ทั้งมีคนแปลกหน้าเข้าออกเป็นระยะ แลทุกครั้งที่คนพวกนั้นมา พญายุทธิษเฐียรก็จักให้ไปพบยังที่รโหฐานโดยมิให้บ่าวไพร่คนใดเข้าไปยุ่มย่าม เว้นแต่พวกที่เป็นคนสนิทของพระองค์เท่านั้น”
“ฟังจากที่ท่านพูดมา ดูเหมือนพญาสองแควกำลังมีลับลมคมในบางอย่าง” หลวงอินทรัตน์ หรือ แสน กล่าว
“ท่านสงสัยว่า เขาอาจเป็นไส้ศึกให้แก่พวกเชียงใหม่ เช่นนั้นหรือ” เจ้าเมืองปากยมถาม
หลวงอินทรัตน์พยักหน้าแทนคำตอบ
“ว่าแต่เหตุใด พญาสองแควจึงต้องคิดทุรยศ ในเมื่อพระองค์เป็นทั้งพระสหายสนิทแลยังเกี่ยวข้องเป็นพระญาติข้างพระราชมารดาของพ่ออยู่หัวด้วย” อีกฝ่ายยังข้องใจ
“เรื่องของอำนาจ หาได้เข้าใครออกใครไม่” นายทหารจากอโยธยาพูด “ลางทีพญายุทธิษเฐียรอาจไม่พอพระทัยที่ตนถูกลดศักดิ์จากเจ้าประเทศราชกลายมาเป็นเพียงเจ้าเมืองก็เป็นได้”
เจ้าเมืองหนุ่มเอามือลูบคางช้าๆ “ที่ท่านพูด ก็ชอบอยู่ แต่หากขาดหลักฐานพยานชัดเจน คงยากเอาผิดพญาสองแควได้”
“เช่นนั้น ข้าจักแฝงตัวเข้าไปสืบความในคุ้มเจ้าเมืองสองแคว เผื่อว่ามีหลักฐานอื่นใดเพิ่มเติม”
“การนี้ เสี่ยงนัก หากพลาดพลั้งนอกจากมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ยังอาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นด้วย”
“หากมิเข้าถ้ำเสือ ไหนเลยได้ลูกเสือ” หลวงอินทรัตน์กล่าวช้าๆ “ข้าจักทำการนี้ให้รอบคอบ ท่านมิต้องกังวล”
“ท่านมีการใดให้ข้าช่วยบ้าง” เจ้าเมืองปากยมถาม
“ขอคนอันมีฝีมือแลไว้ใจได้ให้ข้าสักห้าคน” อีกฝ่ายตอบ
“ข้าจักหาให้ตามนั้น”
******************
หลังจากแสนลอบเข้าไปยังคุ้มของเจ้าเมืองสองแคว ก็พบว่าภายในนั้นมีชายฉกรรจ์อยู่เป็นจำนวนมากผิดปกติ ดังที่อุปนิกขิตเคยบอกไว้ และหลังจากที่ได้เห็นคนเหล่านั้นด้วยสายตาของขุนทหารชำนาญศึกแล้ว แสนรู้ทันทีว่าชายฉกรรจ์เหล่านั้น ล้วนแต่มีฝีมือในเชิงอาวุธทั้งสิ้น
เมื่อค่อนข้างแน่ใจว่าตนสืบมาถูกทางแล้ว แสนหรือหลวงอินทรัตน์ ก็กลับออกจากคุ้มและจัดคนคอยเฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวในคุ้มเจ้าเมืองสองแควอย่างใกล้ชิด
หนึ่งเดือนต่อมา ลูกน้องของแสนก็มารายงานว่ามีชายแปลกหน้าสามคนเดินทางมาจากนอกเมือง เข้าไปในคุ้มเจ้านครสองแคว แสนจึงส่งคนกลับไปขอทหารจากเจ้าเมืองปากยมและสั่งพันเข้มกับลูกน้องให้จับตามองคนกลุ่มนั้นไว้
กลางดึกของคืนวันที่สามวัน พันเข้ม ก็มารายงานแสนว่า ชายแปลกหน้าทั้งสามคนกลับออกมาจากคุ้มแล้ว
“พวกมันออกเดินทางในยามดึกเยี่ยงนี้ คงมีพิรุธเป็นแน่” แสนกล่าวก่อนถามอีกฝ่ายว่า “ทหารจากปากยมมาถึงหรือยัง”
“พวกนั้นจักมาถึงในเพลาเช้า ขอรับ”
“เช่นนั้น เจ้าจงตามอ้ายพวกนั้นไปอย่าให้คลาดสายตา ส่วนข้าจักรอคนของหลวงพิจิตรอยู่ที่นี่ แล้วจึ่งตามไปสมทบในภายหลัง”หลวงอินทรัตน์สั่ง “หากจับอ้ายสามคนนั่นได้ พวกเราคงได้ทราบความจริงทั้งหมดเป็นแน่”
“ขอรับ” พันเข้มรับคำสั่ง
******************
ยามบ่าย ชายสามคนแต่งกายเยี่ยงชาวบ้านทั่วไป ศีรษะโพกผ้าเก็บชาย ขี่ม้าเดินเรียงกันมาตามทางในป่าโปร่งนอกเมืองสองแคว บรรยากาศเงียบสงัด ปราศจากเสียงนกและสัตว์ใดๆ
ทันใดนั้น เชือกเส้นใหญ่ก็ถูกดึงขึ้นจากพื้นดินขึงขวางทางไว้ จนม้าที่คนทั้งสามขี่ ผงะร้องอย่างตกใจ ขณะที่พวกนั้นพยายามทำให้ม้าสงบลง ก็มีชายฉกรรจ์ร่วมยี่สิบคนพร้อมอาวุธครบมือออกมาดักหน้าดักหลังไว้
หลวงอินทรัตน์ หรือ แสน บังคับม้าออกมาข้างหน้าและประกาศก้อง “พวกเจ้าจงลงจากหลังม้าบัดเดี๋ยวนี้ อย่าได้คิดสู้เป็นอันขาด ข้ามิต้องการฆ่าใคร”
แทนที่อีกฝ่ายจะทำตามคำสั่ง พวกนั้นกลับขว้างมีดสั้นเข้าใส่ทันที
แสนใช้ดาบปัดอาวุธซัดจนกระเด็นไม่ต้องตัว ก่อนจะสั่งให้ทหารที่มากับตนเข้าล้อมกลุ่มชายโพกผ้าไว้ จากนั้นเขากับพันเข้มก็บังคับม้าพุ่งเข้าประดาบกับอีกฝ่าย ซึ่งแสดงท่าทีว่าพร้อมสู้ตายมากกว่ายอมให้จับกุม
หลังสู้กันได้ครู่หนึ่ง แสนกับพันเข้มปลิดชีพฝ่ายตรงข้ามไปสองคน ขณะที่คนสุดท้ายถูกแสนใช้ดาบฟันที่สีข้างได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพลัดตกจากม้า
แสนโดดจากหลังม้าลงไปเอาดาบจ่อคออีกฝ่ายไว้ พร้อมกับกล่าวว่า “จงยอมแพ้เสีย แล้วข้าจักไว้ชีวิต”
คนเจ็บยิ้มเหี้ยมเกรียม ก่อนจะจับดาบที่จ่ออยู่ ปาดเข้าที่ลำคอ เลือดพุ่งกระฉูด
นายทหารหนุ่มถึงกับอึ้ง ขณะมองดูคนเจ็บที่กลายเป็นศพไปแล้ว
“พวกมันตายสิ้นแล้ว จักสอบความได้เยี่ยงไรขอรับ” พันเข้มก้าวมายืนข้างๆเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ
แสนมองดูศพทั้งสามก่อนสังเกตเห็นบางอย่าง เขาก้มลงไปที่ศพหนึ่งและดึงกระบอกหนังที่เหน็บกับผ้าคาดเอวศพขึ้นมาเปิดและพบม้วนใบลานสอดอยู่ข้างใน เมื่อคลี่ออกดู ดวงหน้าเคร่งเครียดนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาได้
*************
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอลุ้นต่อนะคะ สนุกค่ะ
ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ ที่ไรท์เตอร์บรรจงเขียนออกมาค่ะ