ตอนที่ 11 : บทที่สี่ มนตราสิเน่หา(2)รีไรท์
บริเวณลานกว้างหน้ามหาวิหารแห่งเทพอมุน มีรูปสลักของสิงโตหมอบที่มีหัวเป็นแกะตั้งเรียงรายเป็นแนวอยู่ด้านหน้า ปุโรหิตเคนามุน ก้าวลงจากคานหามที่แบกโดยทาสผิวดำสี่คน ก่อนจะเดินไปยังบันไดทางขึ้นของมหาวิหาร ชายวัยกลางคนแต่งกายด้วยผ้าลินินสีขาวและคลุมทับด้วยหนังเสือดาวอันเป็นเครื่องแบบประจำของเหล่านักบวชแห่งเทพอมุน
ที่ลานด้านล่างติดกับเชิงบันไดวิหาร นักบวชสองคนยืนรออยู่ ทั้งสองประสานมือพร้อมกับก้มศรีษะลงทำความเคารพ เมื่อเห็นผู้มาเยือนเดินเข้ามา ทั้งคู่ต่างแต่งกายด้วยผ้าลินินขาวและคลุมทับด้วยหนังเสือดาวเช่นเดียวกัน
“ ขอเทพเจ้าจงประทานพรแด่ ท่านปุโรหิต” นักบวชทั้งกล่าว
นักบวชชั้นสูงแห่งเทพอมุนพยักหน้าเล็กน้อยแทนการตอบรับ ก่อนจะถามนักบวชทั้งสองขึ้นว่า “ เครื่องสังเวยของวันนี้ พวกเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้ว ขอรับท่าน” นักบวชร่างผอมบางตอบ
“ ดี ถ้าเช่นนั้น ก็ไปกันเถอะ” เคนามุนพูด ก่อนเดินนำทั้งสองเข้าไปในวิหารเพื่อไปยังห้องโถงอันเป็นที่ตั้งเทวรูปของเทพอมุน โดยตลอดสองข้างทางเดินในวิหารเรียงรายไปด้วยเสาหินที่แกะสลักและลงสีอย่างงดงามเป็นภาพเกี่ยวกับเทพอมุนและจอมเทพรา
แม้ว่าเทพเจ้าราจะได้รับการนับถือว่าเป็นจอมเทพสูงสุดของอียิปต์ แต่เนื่องจากเทพอมุนเป็นเทพประจำนครธีบส์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร อีกทั้งชาวอียิปต์ยังถือว่า เทพอมุนคือองค์อวตารของรา จึงทำให้ชาวอียิปต์เคารพบูชาเทพอมุนเทียบเท่าจอมเทพรา
“ท่านปุโรหิต ข้าได้ยินข่าวมาว่า องค์ฟาโรห์ทรงมีพระประสงค์จะลดทอนอำนาจของบรรดานักบวช ไม่ทราบว่านี่เป็นความจริงหรือไม่ขอรับ” นักบวชร่างใหญ่ถามขึ้น
เคนามุนชะงักเท้าครู่หนึ่ง ก่อนหันมามองผู้พูด ”เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากผู้ใด”
“ข้าได้ยินมาจากพวกขุนนางในวัง”อีกฝ่ายตอบ”พวกนั้นพูดกันว่า การที่องค์ฟาโรห์ทรงโปรดให้สร้างวิหารหลังใหม่ที่ฟากตรงข้ามของนครธีบส์ ก็ด้วยทรงมีพระประสงค์จะเชิดชูอำนาจของพระองค์ให้เสมอเทียบเท่ากับเทพอมุน”
“ข้าว่าเรื่องพวกนั้นเป็นแค่การคาดเดาเอาเองของขุนนางพวกนั้นเสียมากกว่า” น้ำเสียงผู้มีตำแหน่งสูงกว่าไม่ได้แสดงถึงความใส่ใจในเรื่องที่ได้ฟัง” ข้าไม่คิดว่า การที่องค์ฟาโรห์จะทรงโปรดให้สร้างวิหารสักหลังสองหลังจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร”
“แต่หากเรื่องนี้ที่พวกขุนนางพูดกันนี้ เป็นความจริงล่ะขอรับ ข้าคิดว่า หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็น่าที่จะเตรียมการบางอย่างเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดไว้บ้าง”นักบวชร่างผอมกล่าวขึ้น
เคนามุนแหงนหน้ามองเสาหินแกะสลักที่ตั้งอยู่ตลอดสองข้างทางเดิน ก่อนจะกลับมามองดูคู่สนทนาทั้งสอง “ในเมื่อยามนี้ เรื่องยังไม่เกิด พวกเจ้าก็หาสมควรทำเสมือนหนึ่งมันได้เกิดขึ้นแล้วไม่"เขากล่าวเป็นเชิงตัดบทด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เมื่อได้ยินดังนั้น นักบวชทั้งสองก็ก้มศรีษะลงและยุติการสนทนา ก่อนจะเดินตามหลังอีกฝ่ายไปยังห้องพิธี
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นคนออกปากให้ยุติการสนทนา แต่เคนามุนกลับเก็บเอาเรื่องที่ตนได้ฟังจากนักบวชทั้งสองเมื่อครู่นี้ มาครุ่นคิดอยู่ภายในใจอย่างเงียบๆ
ในช่วงแรกที่ฟาโรห์องค์ปัจจุบันทรงขึ้นครองราชย์นั้น ความสัมพันธ์ของราชสำนักกับเหล่านักบวชยังคงดำเนินไปด้วยดี จวบจนเมื่อ องค์ฟาโรห์ทรงมีพระชนมายุมากขึ้น พระองค์ก็ทรงเริ่มมีความคิดที่จะดึงอำนาจจากพวกนักบวชมาอยู่กับพระองค์มากขึ้น ประกอบกับความสำเร็จในการปกครองจักรวรรดิของพระองค์ ยิ่งทำให้ฟาโรห์ทรงพยายามที่จะกระทำองค์ให้ขึ้นเทียบเท่ากับเทพอมุน โดยเคยทรงประกาศว่า พระองค์นั้นไม่ได้มีฐานะเป็นเพียงโอรสแห่งอมุนเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นองค์อวตารของจอมเทพรา เช่นเดียวกับที่เทพอมุนทรงเป็นด้วย
แม้ว่าสิ่งที่ฟาโรห์ทรงประกาศออกไป จะไม่เป็นที่พอใจของบรรดานักบวชของเทพอมุนสักเท่าใด แต่พระองค์ก็ยังมิได้ทรงทำสิ่งใดที่เป็นการลิดรอนอำนาจของบรรดานักบวช กระนั้นก็ตาม เรื่องนี้ก็กลายเป็นที่จับตามองของบรรดานักบวชชั้นสูงหลายคน เนื่องจากมันเป็นเหมือนสัญญาณของความขัดแย้งที่ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ
อันที่จริง เคนามุนก็ได้คิดถึงเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอดเช่นกัน เพียงแต่มิเคยเอ่ยปากกับผู้ใด ด้วยว่าไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้ความคิดของตนและไม่ปรารถนาที่จะสร้างศัตรูให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น เพราะถึงอย่างไร เวลานี้ ปวงชนส่วนใหญ่ก็ยังมีความนิยมในองค์ฟาโรห์อยู่มาก
นักบวชชั้นสูงแห่งอมุนละความคิดเรื่องนี้ไปชั่วคราว เมื่อเดินมาถึงห้องโถงที่ใช้สำหรับประกอบพิธี เขาก้าวไปยังแท่นบูชาที่ตั้งอยู่หน้าเทวรูปอันสูงใหญ่ของเทพอมุนที่สร้างเป็นรูปบุรุษหุ้มด้วยทองคำตลอดทั้งองค์และคลุมด้วยเครื่องทรงที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดีพร้อมเครื่องประดับที่ทำจากหินมีค่า แสงแดดที่ส่องผ่านช่องหน้าต่างแคบด้านบน กระทบองค์เทวรูปมองดูน่าเกรงขาม กลิ่นกำยานลอยอบอวลไปทั่ว เคนามุนกระชับหนังเสือดาวที่คลุมอยู่ก่อนเดินไปหยุดหน้าแท่นบูชาและเริ่มพิธีถวายเครื่องสังเวย
********************
นับแต่ได้พบกันอีกครั้งที่หน้าพระตำหนักพระมเหสีแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจิตใจของเนเฟอร์ตีตีแทบจะไม่สงบเลย หลายครั้งที่เด็กสาวมีความรู้สึกอยากจะพบหน้าชายหนุ่มผู้นั้นอีกสักหน แม้จะไม่รู้ว่า เป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้หัวใจของนางสับสน จนนางอดคิดไม่ได้ว่า บางทีเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นนี้อาจเป็นลิขิตของทวยเทพก็เป็นได้
อันที่จริงแล้ว แม้เด็กสาวจะมีความเฉลียวฉลาดสักเพียงใด แต่นางก็ยังคงไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดกับนางในเวลานี้คือ ความรัก อันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์มากมายต้องแปรเปลี่ยน สิ่งที่บางครั้งหอมหวานและเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชโลมหัวใจให้ชุ่มชื่น แต่บางครั้งก็เป็นเหมือนเครื่องพันธการจิตใจให้ติดอยู่กับบ่วงแห่งความห่วงหา อาวรณ์และคิดคำนึง จนกระทั่งนำไปสู่ความริษยาและก่อให้เกิดความเคียดแค้น
เย็นวันหนึ่ง หลังเสร็จจากการถวายรับใช้พระมเหสีแล้ว ก่อนกลับเข้าที่พัก เนเฟอร์ตีตีได้ชวนไอริสออก ไปเดินเล่นในบริเวณพระราชอุทยานที่อยู่ใกล้กับเขตพระราชฐานรอบนอก ทั้งสองเดินกันเงียบๆ มาจนถึงคลองส่งน้ำของอุทยานที่ขุดมาจากแม่น้ำไนล์ เด็กสาวหยุดยืนพลางทอดสายตามองดูลำคลองเบื้องหน้าก่อนจะมองไปจนถึงสายน้ำใหญ่ซึ่งอยู่ไกลออกไป
สายลมยามเย็นพัดพาเอาละอองไอความชื้นจากเหนือผืนน้ำมาปะทะกับผิวหน้า ทำให้เกิดความรู้สึกที่สดชื่น เนเฟอร์ตีติค่อยๆทรุดกายนั่งลงบนก้อนหินใหญ่ ใต้ร่มเงาของหมู่ต้นอินทผาลัมเพื่อทอดอารมณ์กับบรรยากาศอันงดงามก่อนที่ยามค่ำคืนจะมาถึง ขณะที่นางพี่เลี้ยงนั่งพับเพียบลงบนพื้นหญ้าข้างๆ
หลายวันมานี้ ไอริสลอบสังเกตเห็นว่า นายสาวของตน มีอาการเงียบขรึมคล้ายคนที่กำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ บางครั้งก็ถอนหายใจ นางพี่เลี้ยงเคยคิดจะถามอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่กล้าพอจะออกปาก
“ไอริส “ เด็กสาวผู้เป็นนายร้องเรียกขึ้น “ เจ้าเคยมีความรู้สึกอยากจะพบหน้าผู้ใดเป็นอย่างมาก บ้างหรือไม่”
พี่เลี้ยงสาวงุนงงกับคำถามที่ยังไม่ทันตั้งตัวของผู้เป็นนาย ไอริสเงยหน้ามองเด็กสาวก่อนจะตอบไปว่า “ ไม่เคยหรอกเจ้าค่ะ นายหญิงน้อยถามทำไมหรือเจ้าคะ”
เนเฟอร์ตีตีสั่นศรีษะช้าๆ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงถามดูเฉยๆเท่านั้น”
ไอริสมองนายสาวของตนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่า หลายวันมานี้ ท่าทางของนายหญิงน้อยดูแปลกไปนะเจ้าคะ “ นางพี่เลี้ยงหยุดครู่หนึ่งเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนที่จะกล่าวต่อไปอีกว่า “ อาการคล้ายกับคนที่กำลังตกอยู่ในห้วงความรัก”
เนเฟอร์ตีตีมองหน้าพี่เลี้ยงของตน “ เจ้ารู้ได้อย่างไร ”
“ ถึงข้าจะไม่เคยรักใคร แต่ข้าก็เคยเห็นคนที่มีอาการแบบนายหญิงน้อยมามากแล้วนะเจ้าคะ ข้าคิดว่า อาการแบบนี้ นายหญิงน้อยคงพบชายในดวงใจแล้วเป็นแน่ “ พี่เลี้ยงสาวพูดตรงๆ
“เจ้านี่ “ น้ำเสียงของเด็กสาวเหมือนจะเขินอายมากกว่าโกรธ “ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว “
ไอริสยิ้มเล็กน้อย “ เช่นนั้น บ่าวไม่พูดก็ได้เจ้าค่ะ”
ทั้งสองเงียบกันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เนเฟอร์ตีตีจะเปลี่ยนเรื่องคุยโดยพูดขึ้นว่า “ เดี๋ยวนี้ องค์ราชินีมิได้ตรัสถึงเรื่องให้ข้าเข้าถวายตัวเลย ไอริส”
“ ข้าได้ฟังมาว่า เวลานี้ องค์ฟาโรห์ ทรงโปรดให้เจ้าชายออกตรวจราชการตามหัวเมืองต่างๆบ่อยๆ ทำให้พระองค์ไม่ค่อยมีเวลาประทับในวังสักเท่าไหร่ เจ้าค่ะ” ไอริสเล่า
“ที่จริง เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” เด็กสาวพูดเปรยๆพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง “แต่ถ้าหากข้าไม่ต้องถวายตัว ก็คงจะดีกว่านี้มาก”
นางพี่เลี้ยงมองผู้เป็นนายอย่างเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
ขณะนั้น ที่อีกด้านหนึ่งของพระราชอุทยาน เจ้าชายอเมนโฮเทบเสด็จพระราชดำเนินมาเงียบๆเพียงพระองค์เดียวตามความเคยชิน เจ้าชายหนุ่มเพิ่งจะเสด็จกลับจากการเข้าเฝ้าองค์ฟาโรห์เพื่อรายงานข้อราชกิจ และทรงตั้งพระทัยจะมาเดินเล่นเพื่อพักผ่อนอิริยาบถก่อนจะเสด็จกลับตำหนัก และขณะที่เจ้าชายหนุ่มมาถึงริมคลองส่งน้ำนั่นเอง พระองค์ก็ทรงเห็นสตรีสองนาง อยู่ไม่ไกลจากที่ที่พระองค์ประทับยืนอยู่นัก หลังจากทอดพระเนตรอยู่เพียงครู่เดียว เจ้าชายก็ทรงจำสตรีหนึ่งในสองนางนั้นได้
“เนเฟอร์ตีตี” พระองค์ทรงอุทาน
เจ้าชายหนุ่มรีบสาวพระบาทไปยังนางทั้งสองในทันที ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เนเฟอร์ตีตีหันหน้ามาและเห็นบุรุษผู้กำลังตรงเข้ามาพอดี เมื่อได้เห็นหน้าชายหนุ่ม ในส่วนลึกของหัวใจเด็กสาวก็เกิดความยินดีที่ได้พบอีกครั้ง จนแสดงออกมาทางสีหน้า และไม่อาจรอดพ้นจากการสังเกตของนางพี่เลี้ยงที่นั่งอยู่ใกล้ๆได้
“ในที่สุด เราก็ได้พบกันอีกครั้งแล้วนะ” เจ้าชายหนุ่มตรัสทักขึ้นก่อน “นี่คงจะเป็นเทพลิขิตดังเช่นที่เจ้าเคยว่าไว้เป็นแน่”
เด็กสาวหลบสายตาของชายหนุ่มด้วยความเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ เมโนฮัท”
“ ข้าก็มารอพบหน้าเจ้าอย่างไรล่ะ” เจ้าชายหนุ่มทรงเย้า
เนเฟอร์ตีตีหันหน้าไปทางอื่น ด้วยไม่ต้องการให้ชายหนุ่มเห็นสีหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆของตน” พอพบหน้ากัน เจ้าก็พูดจาเหลวไหลเลยเชียวนะ”นางแกล้งว่า
“ยามนี้ เจ้าช่วยหันหน้ามาทางนี้หน่อยมิได้หรือ” อีกฝ่ายกล่าวขอร้อง” เมื่อคุยกับข้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงต้องหันหน้าไปทางอื่นด้วยเล่า”
“ แล้วเหตุใด ข้าจะหันไปทางอื่นมิได้”
“ ก็ข้าอยากมองหน้าเจ้าให้เต็มตาน่ะสิ” เจ้าชายหนุ่มตรัสบอก ”เจ้า รู้หรือไม่ ยิ่งได้พบกัน ข้าก็รู้สึกว่าเจ้านั้นยิ่งงดงามขึ้นเรื่อยๆ”
แม้จะพอใจในคำพูดของชายหนุ่ม แต่เด็กสาวก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายจับความรู้สึกของตนได้ นางรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติและหันกลับมากล่าวย้อนว่า “ ข้าชักสงสัยเสียแล้วล่ะสิว่า บุรุษชาวธีบส์ จะมีคารมหวานปานน้ำผึ้งเยี่ยงเจ้า ทุกคนหรือเปล่า”
คู่สนทนาของเด็กสาวยิ้มบางๆ “ที่ข้ากล่าวไปแม้จะจะเป็นคำหวาน แต่ทั้งหมดนั้นก็ล้วนเป็นคำจริงที่มาจากใจทุกคำ หาใช่เพียงลมปากไม่”
“ดูท่าทาง เจ้าคงจะเคยพบกับหญิงงามมานับไม่ถ้วนแล้วกระมัง”เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงค่อนขอด ” จึงได้เจรจาคารมคมคายถึงเพียงนี้”
“หากจะมีหญิงอื่นใดที่ข้าได้เคยพบมาบ้างแล้ว ความงามของหญิงเหล่านั้นก็หาเทียบเทียมหญิงที่อยู่เบื้องหน้าของข้าในยามนี้ได้ไม่” เจ้าชายหนุ่มตรัส
เนเฟอร์ตีตีอดยิ้มด้วยความพอใจในคำชมนั้นไม่ได้ แต่ก็แกล้งทำเป็นพูดว่า” ยกยอกันเยี่ยงนี้ คิดหรือว่า ข้าจะเชื่อ”
“หรือจะให้ข้าสาบานต่อทวยเทพล่ะ” เจ้าชายหนุ่มตรัส
“มิต้อง”เด็กสาวห้าม
อีกฝ่ายยิ้มในสีหน้า“เช่นนั้น เจ้าก็เชื่อข้าแล้วสินะ”
เนเฟอร์ตีตีอดหมั่นไส้ในความเจ้าสำนวนของชายหนุ่มมิได้ “ข้าเชื่อแล้วว่า คารมของบุรุษชาวธีบส์นี้ช่างร้ายนัก ไล่ต้อนจนข้าต้องจนมุม”
เจ้าชายหนุ่มทรงพระสรวลเบาๆ ก่อนจะตรัสว่า “ข้ามีของสิ่งหนึ่งจะมอบให้เจ้าด้วยนะ”
“ของอันใด”
อีกฝ่ายหยิบผ้าคลุมศรีษะที่พับไว้อย่างดีส่งให้เด็กสาว”ข้าเก็บของสิ่งนี้ได้ที่ท้ายอุทยานแห่งนี้ และหากจำไม่ผิด ข้าคิดว่ามันคงจะเป็นของเจ้า”
เนเฟอร์ตีตีมีสีหน้าตกใจ ขณะที่มองดูผ้าคลุมผืนนั้น เนื่องจากที่ผ่านมา นางไม่คิดว่า ในคืนวันนั้น เขาจะจำนางได้เจ้าชายหนุ่มทรงยิ้มอีกครั้ง “ข้าขอรับรองด้วยเกียรติของบุรุษชาวธีบส์ว่าจะไม่บอกกับผู้ใด ถึงเรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองลอบออกไปข้างนอกวังในราตรีนั้น”
“ ขอบใจเจ้ามากนะ “ เนเฟอร์ตีตีพูด พร้อมกับยื่นมือรับผ้าคืนมา
“คราแรก ข้าคิดว่า คืนนั้น ข้าได้พบกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์เสียอีก”อเมนโฮเทบทรงมองเด็กสาวด้วยสายตาที่สื่อความหมายบางอย่าง มันทำให้นางต้องหลบตาด้วยความประหม่าอีกครั้งหนึ่ง
ขณะนั้นเอง ไอริสที่สังเกตท่าทางของผู้เป็นนายอยู่ด้วยก็เอ่ยเตือนขึ้นว่า”นายหญิงน้อยเจ้าคะ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว พวกเรารีบกลับกันดีกว่านะเจ้าคะ”
เสียงของนางพี่เลี้ยง ทำให้เด็กสาวรู้สึกตัว “เอ่อ...ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ไปกันเถอะ”เนเฟอร์ตีตีหันไปพยักหน้าเห็นด้วย เพราะนางก็รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรไม่ค่อยจะถูก ยามอยู่ต่อหน้าบุรุษผู้นี้ เด็กสาวหันกลับมากล่าวกับคู่สนทนาว่า “ข้าคงต้องไปก่อนนะ “
“เดี๋ยวสิ “เจ้าชายหนุ่มร้องห้าม “ เรายังเพิ่งคุยกันได้เพียงครู่เดียวเอง ”
อีกฝ่ายหันไปมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนต่ำลงก่อนจะพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ ก็เย็นมากแล้ว ได้เวลาที่ข้าจะต้องกลับแล้ว หาไม่จะมืดค่ำเอาเสียก่อน”
“ แล้วข้าจะพบ เจ้าได้อีกครั้งเมื่อไหร่ “ เจ้าชายทรงร้องถาม
“ ทุกวันพระนางเจ้าจะให้ข้าไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักเพื่อถวายการรับใช้จนถึงยามบ่าย หลังจากนั้นแล้ว บางทีไม่แน่ว่าข้าอาจมีเวลาว่างพอที่จะมาเดินเล่นที่นี่อีกครั้งก็ได้” เด็กสาวตอบด้วยคำพูดเป็นนัยๆก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากไป
เจ้าชายอเมนโฮเทบทรงมองตามร่างนั้นจนลับไปจากสายพระเนตร
***************
“นายหญิงน้อยมีธุระอันใดที่อุทยานนี่หรือเปล่าเจ้าคะ”ไอริสที่สังเกตกิริยาท่าทางของผู้เป็นนายนับแต่มาถึงอุทยานได้เป็นเวลาครู่ใหญ่ เอ่ยปากขึ้น ”หรือว่าจะมารอผู้ใด”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรน่ะ ไอริส”นายสาวหันมาเอ็ด
อีกฝ่ายทำหน้าอมยิ้ม“ข้าก็พูดตามที่ตาเห็นน่ะสิ เจ้าคะ”
“เจ้าเห็นอะไร ไหนบอกข้ามาซิ”
“ก็ตั้งแต่มาถึงที่นี่ ข้าก็เห็นนายหญิงน้อยเดินวนไปวนมาเป็นหลายรอบ บางครั้งก็มองไปทางโน้นที ทางนั้น คล้ายกับจะมองหาใครสักคนว่า เขามาถึงแล้วหรือยัง” พี่เลี้ยงสาวบอก
“ข้ามิได้มองหาใครสักหน่อย”นายสาวทำเป็นปฏิเสธ” ข้าก็เพียงอยากชมทิวทัศน์ที่นี่ให้ทั่วเท่านั้น”
“แต่อุทยานหลวงแห่งนี้ พวกเราก็มา มิรู้กี่ครั้งแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ยังจะมีบริเวณใดของอุทยานนี้อีกที่นายหญิงน้อยยังมิได้ดูชม”ไอริสแกล้งพูด เมื่อสังเกตว่าผู้เป็นนายกำลังอารมณ์ดี ”นายหญิงน้อยแน่ใจนะเจ้าคะ ว่ามิได้มารอพบผู้ใดเป็นพิเศษ”
เนเฟอร์ตีตีรู้สึกเขินที่อีกฝ่ายจับความในใจของตนถูก “ปากดีนักนะ” เด็กสาวแกล้งทำเสียงดุเพื่อกลบเกลื่อน พร้อมกับเงื้อมือขวาทำท่าจะตี “เห็นที ข้าต้องลงโทษเจ้าเสียหน่อยแล้ว”
“อภัยข้าด้วยเจ้าค่ะ นายหญิงน้อย”ไอริสแกล้งทำเป็นร้องขอ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆออกห่างผู้เป็นนาย เมื่อเห็นดังนั้น เนเฟอร์ตีตีก็แกล้งทำท่าขึงขังก่อนจะออกวิ่งไล่ตามพี่เลี้ยงสาวอย่างนึกสนุก
ทั้งสองวิ่งเล่นไล่ตามกันมาจนถึงทางเดินที่ปูด้วยแผ่นหินปูน ประจวบเหมาะกับที่มีขบวนของคนกลุ่มหนึ่งพร้อมคานหามกำลังมาตามทางนั้นพอดี
ขุนนางที่เดินนำหน้าคานหามตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“หลีกไป! อย่ามาขวางขบวนเสด็จของพระนัดดา ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

287 ความคิดเห็น
-
#77 F-Za (จากตอนที่ 11)วันที่ 20 กรกฎาคม 2552 / 00:49พระนัดดา?#770
-
#74 พันดารา (จากตอนที่ 11)วันที่ 12 กรกฎาคม 2552 / 17:46โดนแล้ววว#740
-
#58 mydei (จากตอนที่ 11)วันที่ 10 กรกฎาคม 2552 / 16:16รออ่านอยู่นะจ๊ะ#580
-
#55 mydei (จากตอนที่ 11)วันที่ 1 กรกฎาคม 2552 / 22:37งานเข้าแล้ววววววววววววว#550
-
#44 *เฟมีลน้อย* (จากตอนที่ 11)วันที่ 30 มิถุนายน 2552 / 13:52ปากหวานมากๆเลย#440