ตอนที่ 10 : บทที่สี่ มนตราสิเน่หา (1)รีไรท์
บทที่สี่
มนตราสิเน่หา
หลายวันต่อมา หลังได้พบกับชายหนุ่มในอุทยานเป็นครั้งที่สอง ดูเหมือนในห้วงคิดของเนเฟอร์ตีติจะยังคงมีภาพสายตาคู่นั้นของชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อได้พบกันเป็นครั้งแรกนั้น เด็กสาวก็ยังไม่ได้สนใจมากสักเท่าใดนัก ซึ่งอาจเป็นเพราะในขณะนั้น จิตใจของนางกำลังจดจ่อกับการได้ออกไปเที่ยวข้างนอกพระราชวังมากกว่า
แต่ครั้นเมื่อได้มาพบหน้ากันอีกครั้งและได้สบสายตากันแล้ว เด็กสาวก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า สายตาของชายหนุ่มช่างมีพลังอย่างประหลาดและทำให้นางเกิดความรู้สึกบางอย่าง โดยที่นางเองก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร รู้เพียงว่า ไม่อาจลบมันออกไปจากใจได้เลย
“เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ นายหญิงน้อย” ไอริสถามขึ้นในเย็นวันหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นอาการแปลกๆตลอดหลายวันมานี้ของผู้เป็นนาย
เนเฟอร์ตีตีนั่งเหม่อมองออกไปยังทัศยนียภาพของลำน้ำไนล์ยามเย็นเบื้องนอก พี่เลี้ยงสาวมองดูผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกซ้ำและแตะที่แขนเบาๆ “นายหญิงน้อย”
เด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อยคล้ายตื่นจากภวังค์ ก่อนจะหันกลับมามองพี่เลี้ยงของตน
“มีอะไรหรือ”
“ไม่มีหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าสังเกตเห็นว่า หลายวันมานี้ ดูนายหญิงน้อยมีอาการแปลกไปจากเดิม ข้าก็เลย คิดว่านายหญิงน้อยไม่สบายหรืออย่างไร” พี่เลี้ยงสาวพูดอย่างเป็นห่วง
“ข้าว่าเจ้าน่ะ คิดมากเกินไปแล้ว ไอริส” เนเฟอร์ตีตีว่าด้วยน้ำเสียงกึ่งตำหนิ “ ข้าก็เป็นปกติเหมือนเช่นทุกวัน หาได้มีสิ่งใดผิดแปลกไปไม่”
“แต่ตลอดหลายวันมานี้ ท่าทางของนายหญิงน้อยดูคล้ายกับกำลังคิดถึงเรื่องอะไรอยู่นะเจ้าคะ “พี่เลี้ยงสาวตั้งข้อสังเกต
“ทำไม เจ้าถึงคิดเช่นนั้น” ผู้เป็นนายหันมามอง
“ ก็นายหญิงน้อยนิ่งเงียบลงไป ไม่ค่อยพูดจา บางครั้งก็นั่งเหม่อมองไปนอกหน้าต่างนานๆ คล้ายกับว่า...” พี่เลี้ยงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นเบาๆ”..คล้ายกับว่ากำลังคิดคำนึงถึงผู้ใดอยู่”
“ พูดจาเหลวไหล น่า ไอริส” เด็กสาวรีบกลบเกลื่อน
“แต่ข้าเห็นเช่นนั้นจริงๆนะเจ้าคะ”อีกฝ่ายยืนยัน
“ข้าน่ะหรือจะคิดถึงใคร “ นางทำเสียงดุอีกฝ่าย “เจ้าก็รู้มิใช่หรือ ว่าทุกวันนี้ สิ่งเดียวที่ข้าคิดอยู่ก็มีเพียงแต่ ทำอย่างไรจะได้กลับบ้านเท่านั้น”
“อย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ไอริสมองดูนายสาวด้วยแววตาแฝงความสงสัย การที่นางเลี้ยงดูอีกฝ่ายมาตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็กน้อยทำให้นางรู้สึกได้ว่านายสาวเริ่มจะมีบางอย่างผิดไปจากเดิม
เมื่อเห็นท่าทางสงสัยของอีกฝ่าย เนเฟอร์ตีตี ก็รีบพูดตัดบทขึ้นทันทีว่า “ ไอริส ข้าว่า ตอนนี้ เจ้าไปเตรียมน้ำให้ข้าอาบจะดีกว่า เพราะข้าเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวแล้ว”
“เอ่อ เจ้าค่ะ”พี่เลี้ยงสาวรีบรับคำก่อนรีบเดินออกไปตามคำสั่ง
เด็กสาวถอนหายใจเบาๆอย่างโล่งอกที่สามารถทำให้นางพี่เลี้ยงออกไปได้ อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ทุกครั้งที่มีเรื่องไม่สบายใจเกิดขึ้น เนเฟอร์ตีตีก็มักจะเล่าให้นางพี่เลี้ยงฟังอยู่เสมอ ความที่วัยไม่ห่างกันมากอย่างหนึ่ง กับการที่ผู้เป็นบิดาไม่ค่อยมีเวลาให้มากนัก ทำให้ไอริสกลายเป็นคนสนิทที่รู้ใจนางไปเกือบทุกเรื่อง
แต่ในครั้งนี้ เด็กสาวต้องการความสงบมากกว่าเพื่อนช่วยคิด นางคิดว่าบางทีความเงียบนั้น อาจจะให้คำตอบที่ดีสำหรับนางก็เป็นได้
*************************
แม้เวลาจะผ่านไปนับเดือนตั้งแต่จากบ้านที่อัคห์มิมและเข้ามาอยู่ในพระราชวัง แต่เนเฟอร์ตีตีก็ยังคงไม่มีโอกาสจะถวายตัวต่อเจ้าชาย เนื่องจากฟาโรห์ทรงมีพระบัญชาให้เจ้าชายอเมนโฮเทปเสด็จออกตรวจราชการยังหัวเมืองรอบนอก โดยนับแต่เสด็จกลับจากแคว้นนูเบียแล้ว ดูเหมือนว่าองค์ฟาโรห์จะทรงมอบราชกิจต่างๆให้กับเจ้าชายมากขึ้นนอกจากนี้ยังทรงโปรดให้เจ้าชายร่วมว่าราชการอีกด้วย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะฟาโรห์อเมนโฮเทปทรงตั้งพระทัยจะฝึกฝนพระราชโอรสให้มีความพร้อมที่จะขึ้นครองราชย์ในวันข้างหน้า
…ที่บริเวณผืนนาแห่งหนึ่ง เจ้าชายอเมนโฮเทบประทับยืนอยู่บนคันดินพร้อมกับทอดพระเนตรทุ่งข้าวสาลีสีเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
“ดูท่าปีนี้ พืชผลคงจะอุดมสมบูรณ์มากนะ เซเรเม”เจ้าชายหนุ่มตรัสกับอาลักษณ์คนสนิท
“ฤดูอาเคต*ที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำหลากค่อนข้างมาก พะย่ะค่ะ”อีกฝ่ายทูลบอก” ทำให้มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกในฤดูเปเรตของปีนี้มีมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้ไปจนถึงเข้าฤดูเชมู ข้าบาทคิดว่าคงเก็บเกี่ยวธัญญาหารได้มากเป็นสองเท่าของปีที่แล้ว”
“พืชพันธุ์ธัญญาหารมากขึ้นเช่นนี้ ราษฎรคงมีความสุขสมบูรณ์มากขึ้นด้วยสินะ”เจ้าชายอเมนโฮเทบตรัส
“พะย่ะค่ะ” อีกฝ่ายก้มศรีษะ
เจ้าชายหนุ่มทรงย่างพระบาทไปสองสามก้าวตามคันดินก่อนจะหยุดและทอดพระเนตรความเขียวขจีของท้องทุ่งๆรอบอย่างพอพระทัย กลิ่นไอของดินและน้ำทำให้บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยความสดชื่น นกยางสีขาวหลายตัวเดินหากินในทุ่งนา ไกลออกไปทางซ้ายมือ มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังวัวเขายาวหลายสิบตัวไปตามคันดินเลียบนาข้าวเพื่อไปกินหญ้าในทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่อยู่ถัดออกไป
“แล้วทุ่งนาทางด้านนั้น เป็นของใครหรือ เหตุใดจึงกว้างขวางนัก”เจ้าชายอเมนโฮเทบทรงชี้ไปยังทุ่งกว้างที่อยู่ไกลออกไปทางด้านเหนือ
“นั่นเป็นทุ่งนาของวิหารแห่งเทพธอท พะย่ะค่ะ”เซเรเมทูลบอก
“ กว้างขวางถึงเพียงนี้ เชียวหรือ”
“นั่นยังเล็กน้อยพะย่ะค่ะ หากเทียบกับที่ดินของวิหารจอมเทพอมุน”ขุนนางอาลักษณ์ทูลบอก
“อย่างนั้นหรือ”เจ้าชายหนุ่มทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อย ขณะที่สายพระเนตรยังคงจับอยู่กับภาพทุ่งนาเบื้องหน้าโดยมิได้ทรงมีรับสั่งสิ่งใดอีก
สำหรับเจ้าชายอเมนโฮเทปนั้น แม้ว่าพระองค์จะไม่ทรงโปรดการออกว่าราชการสักเท่าใดนัก แต่การได้เสด็จประพาสออกตรวจราชการตามหัวเมืองก็เป็นสิ่งที่สร้างความพอพระทัยให้เจ้าชายหนุ่มได้ไม่น้อย เนื่องจากทำให้พระองค์ได้ทรงมีโอกาสพบเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน อีกทั้งยังได้ชมทิวทัศน์อันงดงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำไนล์อีกด้วย
ตกบ่าย เจ้าชายอเมนโฮเทบเสด็จกลับนครธีบส์โดยเรือพระที่นั่งส่วนพระองค์ หลังจากที่ทรงเสร็จสิ้นการตรวจราชการแล้ว โขนเรือพระที่นั่งแกะเป็นรูปนกกระสา ตัวเรือเป็นสีน้ำตาล ที่ข้างลำเรือทั้งสองด้านถูกวาดเป็นรูปแมลงสคารับ**สีเขียวเข้ม เรือลำนี้เป็นเรือขนาดกลาง ใช้ฝีพายเพียงห้าสิบคน มีใบเรือขนาดใหญ่ที่กลางลำเรือ ไว้ช่วยผ่อนแรงฝีพาย
ตอนท้ายของเรือเป็นศาลาที่ประทับเปิดโล่งทั้งสี่ด้าน เรือแล่นไปอย่างเชื่องช้าตรงตามพระประสงค์ของเจ้าชายที่ทรงโปรดจะทอดพระเนตรทิวทัศน์สองข้างทาง
ขณะที่เรือเคลื่อนไปนั้น เจ้าชายหนุ่มก็ทรงหวนคำนึงถึงสาวน้อยที่ทรงพบในอุทยานหลวง เจ้าชายทรงไม่แน่พระทัยว่านางผู้นั้นจะเป็นนางข้าหลวงของพระมารดาจริงหรือไม่ ด้วยว่าพระองค์ไม่เคยทรงเห็นนางมาก่อน แต่เมื่อมาทรงคิดว่าพระองค์ได้จากธีบส์ไปเป็นเวลานานกว่าสามเดือน ก็ไม่น่าจะแปลกอะไรที่พระมารดาจะทรงมีนางข้าหลวงใหม่ๆเพิ่มมาสักคนสองคน
ว่ากันตามจริงแล้ว ในส่วนของเรื่องนั้น เจ้าชายหนุ่มไม่ทรงสนพระทัยสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่อยู่ในความสนพระทัยก็คือ พระองค์ทรงต้องการทราบว่า เด็กสาวผู้นั้น มีนามว่าอะไร และเมื่อทรงคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว เจ้าชายหนุ่มก็ดำริว่าคงจะต้องเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดาที่ตำหนักอีกสักครั้งเพื่อหาคำตอบในเรื่องนี้
เมื่อทรงคิดเช่นนี้แล้ว เจ้าชายหนุ่มจึงตรัสสั่งให้บรรดาฝีพายเรือพระที่นั่งเร่งกำลังให้มากขึ้น เพื่อให้กลับถึงพระราชวังโดยเร็ว แต่ก็ดูเหมือนเวลานี้ พระหทัยของพระองค์จะแล่นลิ่วไปถึงก่อนเสียอีก
ที่ลานกว้างด้านหน้าพระตำหนักของพระราชินี เจ้าชายอเมนโฮเทปเสด็จพระราชดำเนินมาเพียงลำพัง แต่ก่อนที่จะเสด็จขึ้นบันไดพระตำหนัก พระองค์ก็ทรงเห็นสตรีผู้หนึ่งกำลังเดินสวนลงมาจากด้านบน
ทันทีที่เห็น ก็ทรงบอกได้ทันทีว่า สตรีผู้นั้น คือเด็กสาวที่เป็นต้นเหตุให้พระองค์ต้องรีบเสด็จมาที่นี่ นั่นเอง เจ้าชายหนุ่มทรงหลบข้างรูปปั้นที่เชิงบันได และรอจนเด็กสาวผู้นั้นเดินผ่านไป ก่อนจะทรงย่างพระบาทออกจากที่ซ่อนและตรัสเรียกนางเอาไว้
“ เราได้พบกันอีกแล้วนะ สาวน้อย”
เมื่อได้ยินเสียงทักดังกล่าว เนเฟอร์ตีตีก็หยุดเดินและหันกลับมามองตามเสียงนั้น เมื่อได้เห็นเจ้าของเสียง เด็กสาวก็มีอาการตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ เจ้าจำข้าได้หรือไม่ “ เจ้าชายหนุ่มตรัส พร้อมกับย่างพระบาทเข้าไปใกล้“ เราเคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง…”พระองค์ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อย”…หรือไม่ก็สองครั้งมาแล้ว ที่ในอุทยานแห่งนี้”
อันที่จริง เด็กสาวจำชายหนุ่มได้ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ด้วยว่าภาพของเขาอยู่ในความทรงจำของนางตั้งแต่วันที่พบกันเป็นครั้งที่สอง แต่เด็กสาวก็ถือตัวเกินกว่าจะแสดงกิริยาว่าดีใจที่ได้พบกับเขาอีกครั้ง นางจึกทำเพียงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า
“ที่แท้ ก็เจ้าเองหรอกหรือ”
“ ข้าดีใจนะ ที่เจ้าจำข้าได้ “ เจ้าชายหนุ่มตรัสพร้อมกับย่างพระบาทเข้ามาใกล้ๆ
“แล้วนี่เจ้า เข้ามาในนี้ได้อย่างไรกัน มิรู้หรือ ว่าภายในเขตพระตำหนักของพระราชินี มีกฏห้ามบุรุษย่างกรายเข้ามา” เด็กสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะถอยห่างอีกฝ่ายออกมาหนึ่งก้าว
“อย่างนั้นหรือ “ เจ้าชายหนุ่มทรงหยุดดำเนินและแกล้งทำท่าตกพระทัย” ข้าหาได้ตั้งใจที่จะเข้ามายังที่นี่ไม่ สงสัยว่าทวยเทพคงจะทรงบันดาลให้ข้าหลงทางเข้ามาเสียแล้วเป็นแน่แท้ “ เจ้าชายตรัสก่อนจะทรงยิ้มกับเด็กสาวอีกครั้ง” แต่ข้าก็ดีใจนะที่ได้พบกับเจ้า ที่นี่”
เด็กสาวก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อหลบสายตาของชายหนุ่ม “ข้าคิดว่า ยามนี้ เจ้ารีบออกไปจากที่นี่ ก่อนที่จะมีใครมาเห็นเจ้าจะดีกว่า”
“เจ้า เป็นห่วงว่าข้า จะถูกลงโทษเช่นนั้นหรือ” เจ้าชายตรัสยิ้มๆ
“ใครบอก ข้าเพียงไม่อยากให้ข้าต้องถูกลงโทษไปพร้อมกับเจ้าต่างหาก “ เนเฟอร์ตีตีพูด
“ข้าไปก็ได้ แต่เจ้าจะไม่บอกนามของเจ้าให้ข้ารู้บ้างเลยหรือ” เจ้าชายตรัสถาม
“ แล้วเหตุใด ข้าต้องบอกนามข้าแก่ เจ้าด้วยเล่า” เด็กสาวย้อนถาม
เจ้าชายหนุ่มทรงยิ้มอย่างเป็นต่อ” อันที่จริง เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าก็ได้ เพียงแต่ข้าคิดว่าข้าจะตามเจ้าไปเรื่อยๆจนกว่าข้าจะทราบนามของเจ้า”
“เอ๊ะ ! เจ้า ”เนเฟอร์ตีตีเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าชายหนุ่ม แต่คู่สนทนาของนางยังดูเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอันใด ขณะที่เด็กสาวกลัวว่าจะมีใครมาพบ ประกอบกับส่วนลึกก็อยากรู้จักกับชายหนุ่มเช่นกัน
“หากอยากทราบนามของข้า เจ้าก็แจ้งนามของของเจ้ามาก่อนสิ” เด็กสาวต่อรอง
เจ้าชายหนุ่มทรงนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง” ข้า มีนามว่า เมโนฮัท เป็นนายทหารรักษาพระองค์”เจ้าชายตรัสบอกชื่อปลอมก่อนจะทรงถามอีกฝ่ายกลับ” คราวนี้เจ้าบอกชื่อของเจ้ามาได้หรือยัง”
“ข้ามีนามว่า เนเฟอร์ตีตี” เด็กสาวพูด
“…เนเฟอร์ตีตี…”เจ้าชายรับสั่งทวนชื่อนั้น ก่อนจะตรัสชมว่า “ นามของเจ้าไพเราะมาก และช่างเหมาะสมกับตัวเจ้ายิ่งนัก”
“ ขอบคุณนะ สำหรับคำชมของเจ้า” เนเฟอร์ตีตีพูดอย่างไว้ตัวเล็กน้อยแม้จะนึกพึงใจในคำกล่าวนั้น “แต่ตอนนี้ ข้าคงต้องไปแล้ว ”เด็กสาวทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ แล้วข้าจะเจอเจ้าได้อีกเมื่อไหร่ “ เจ้าชายหนุ่มตรัสถาม
“นั่นคงต้องแล้วแต่ เทพเจ้าจะลิขิตกระมัง ” เนเฟอร์ตีตีแสร้งทำเป็นตอบด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ ทั้งที่ในใจส่วนหนึ่งก็อยากพบหน้าชายหนุ่มอีก เช่นกัน
หลังกล่าวจบ เด็กสาวหันกลับและเดินจากไป โดยปล่อยให้เจ้าชายหนุ่มทรงยืนมองตามจนลับตา
“เนเฟอร์ตีตี” เจ้าชายหนุ่มทรงพึมพำเบาๆ
***************
**หมายถึง ด้วงมูลช้าง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของสุริยเทพ
* ชาวอียิปต์แบ่งฤดูกาลออกเป็นสามฤดู ได้แก่ฤดูอาเคต หมายถึงฤดูน้ำหลาก เนื่องจากดินแดนอียิปต์แทบจะไม่มีฝนตกเลย จึงต้องอาศัยน้ำที่หลากท่วมจากแม่น้ำไนล์ในฤดูนี้เพื่อใช้ในการเพาะปลูก ส่วนฤดูต่อมาคือฤดูเปเรต หมายถึงฤดูไถหว่านซึ่งชาวนาจะเริ่มการเพาะปลูกในฤดูนี้ และสุดท้ายคือฤดูเชมู หมายถึง ฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต*
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หรือตามจริงก็ต้องมีนางกำนัลติดตามเนเฟอร์ติติไปส่งนอกวัง เท่ากับว่าเจ้าชายจะหลอกเธอไม่สำเร็จ .....-*- นิยายจ๊ะ อย่าถือสา SD นะ ถ้าพลิกสักนิดว่าพระองค์แอบตามไปดักเธอที่หน้าวังโดยเปลี่ยนเครื่องทรงออกแล้วก็จะเดิ้นขึ้น มันก็จะไ่ม่สะกิดคนอ่านอ่ะจ๊ะ