คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Till we falling in love again _ PART2
Title : Till I Fallin’ In Love Again.
Chapter II black & white
Pairing : YEOLMYUNG
Author: _winterrain
TALK : ลงช้าไปนานมากกกกกกกกกกกกกกกกก ขอโทษจริงๆงับ ;-;
| Verse 1
มันจะมีวันวันนึง ที่ลมหนาวพัดมาจากทิศตะวันออกอย่างเอื่อยเฉื่อยแต่อุณหภูมิที่เย็นเยียบนั้นกัดกินหัวใจมากจนเทอร์โมมิเตอร์ไม่สามารถวัดค่าเป็นฟาเรนไฮด์ เมื่อมองลอดผ้าม่านลูกไม้สีขาวสะอาดหมดจดนั่น จากหน้าต่างบานโตข้างหัวเตียง แสงแดดที่อบอุ่นได้เล็ดลอดเข้ามาในทุกๆรอยยับย่นของผ้าม่านลูกไม้ราคาแพง แสงแดดช่างอบอุ่นประหนึ่งว่าจะสามารถละลายธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ให้มลายไปสิ้น ชายหนุ่มร่างสูงกำยำทอดกายซุกซ่อนอยู่ในผ้านวมหนานุ่มนิ่ม สีผมออกน้ำตาลไหม้ที่ยุ่งเหยิงพัลวัน ถัดลงมาเป็นดวงตาสีนิลมืดมิดที่พึ่งเปิดออกทักทายเช้าวันใหม่ คนตัวสูงค่อยๆยันตัวขึ้นกับที่นอน สะบัดเรือนผมเบาๆ ขนตาที่เป็นแพบางกระพรือปริบๆเนื่องจากการปลุกของแสงแดดยามเช้า
ชายหนุ่มร่างสูงกว่า 180 เซนติเมตรคนนี้ จะตื่นขึ้นมา ตอนเวลา 6โมงครึ่งของทุกวัน มีเวลามากพอที่จะเดินไปเปิดผ้าม่านออกและสูดดมกลิ่นธรรมชาติจากนอกหน้าต่าง (ซึ่งแน่นอนว่าเขาคงทำแบบนั้นไม่ได้ในเดือนธันวาคม) ในฤดูหนาวแบบนี้เขาจึงเพียงแค่เดินไปเปิดผ้าม่านแล้วทักทายตุ๊กตาหิมะของ ฮเยซอล เด็กหญิงที่อยู่บ้านข้างๆ ซองยอลยิ้มทักทายตุ๊กตาหิมะโง่ๆ แล้วเอานิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าต่างในตำแหน่งที่เป็นจมูกจากเศษกิ่งไม้หักๆของตุ๊กตาหิมะ ไม่นานนักเสียงเคาะห้องเบาๆก็ดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวตัวอ้วนวัน50ปลายๆจะเดินเข้ามายิ้มให้เขาอย่างเคย มันเป็นเช่นนี้แค่เพียงชั่วพริบตาในแต่ละวัน และเป็นมาตลอดชีวิตของผู้ชายที่ชื่ออีซองยอล
“วันนี้ คุณซองยอลอยากทานอเมริกันเบรกฟาสต์เหมือนทุกครั้ง หรือแค่โยเกิร์ตโฮมเมดดีคะ” เสียงแหบพร่าของป้าคังวอนแม่บ้านคนเก่าแก่ของตระกูลอี เอ่ยขึ้นเมื่อเธอขยับมือที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นนั่นจัดการกับสภาพเตียงที่ยุ่งเหยิง
“โยเกิร์ตก็พอครับ เอ่อ.. ขอธัญพืชแบบที่ผมชอบไปซื้อที่ซุปเปอร์ด้วยนะ ของแพงๆที่แม่ชอบ มันเป็นอาหารที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมทั้งนั้น....”
“ได้ค่ะคุณหนู..” เสียงแหบแห้งตอบรับเบาๆ พลางเดินออกไปหยิบโยเกิร์ตกับธัญพืชมาวางเตรียมไว้ที่โต๊ะเล็กข้างหน้าต่างที่ถูกปูด้วยผ้าลินินสีฟ้าอ่อนแบบที่ซองยอลชอบ ซองยอลมักจะนั่งกินอาหารเช้าเป็นประจำทุกวัน จากมุมนี้ซองยอลจะมองเห็นดอกพดกชต้นโปรดที่ยืนต้นอยู่ตรงรั้วข้างบ้านได้อย่างชัดเจนในเดือนเมษา.
คนตัวสูงหั นหลังเดินผ่านป้าคังวอน แล้วเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมที่เขามักจะเล่นเกมส์วีกับคิมมยองซูในเวลาที่เขามาเยี่ยมบ้าน ซองยอลเหลือบสายตาไปมองชั้นวางเกมส์วีก่อนจะถอนหายใจแรงๆกับตัวเอง ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปในห้องกว้างสีฟ้าอ่อนที่ภายในห้องถูกจัดเป็นสัดส่วน ทั้งฝั่งเสือ้ผ้าไพรเวท เสื้อผ้าออกงาน หรือแม้กระทั่งส่วนยิบย่อยที่เสื้อผ้าถูกแบ่งออกเป็นสีๆในแต่ละฤดู ซองยอลกำลังเลือกเสื้อผ้าให้เข้ากับเช้าวันพฤหัสที่สดใส หิมะไม่ตกแต่มีลมเย็นๆพัดผ่าน มือเรียวกรีดไปตามแนวพับของเสือ้ผ้าที่ถูกบรรจงแขวนเรียงสีอย่างดี เสื้อเสว็ตเตอร์ตัวหนา เสื้อโค้ท เสื้อคาร์ดิแกน หรือจะเป็นเสื้อไหมพรมถักมือจากที่ราบสูงแถบยุโรปตะวันออก และแม้แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมโง่ๆของคุณนายอีผู้เป็นแม่ (ซึ่งแน่นอนว่าซองยอลไม่ได้ปลาบปลื้มกับเซ็ทเสื้อผ้านี่ซักเท่าไหร่) ซองยอลตัดสินใจสวมเสื้อสเว็ตเตอร์สีคุกกี้ครีมง่ายๆ และฉีดน้ำหอม ก่อนจะเดินออกมาจากห้องแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยบทเรียนที่ได้จากการเป็นลูกชายของนักการเมือง เธอต้องเลือกเสื้อผ้าอย่างหลักแหลม มีกาลเทศะและรวดเร็ว เพราะนั่นได้แสดงถึงความเป็นผู้นำที่ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดภายในเวลาที่จำกัด ตามที่อาจารย์ของเขาได้บอกเขาไว้ในวิชาพัฒนาบุคลิกภาพที่พ่อบังคับให้อีซองยอลเข้าเรียนเพื่อเข้างานสังคมใหญ่ๆ นอกจากนี้ซองยอลยังต้องหัดเดิน หัดเก็บอารมณ์ หัดใช้สายตาที่เคร่งขรึม หัดพูดคุย รวมถึงมารยาทบนโต๊ะอาหาร ซองยอลต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้เพื่อเอาไปใช้เวลาที่จะต้องนั่งท่ามกลางบทสนธนาที่น่าเบื่อซะยิ่งกว่าการเรียนวิชาประวัติศาสตร์ความขัดแย้งในภาคตะวันออกกลาง และต้องเรียนรู้การอดทนนั่งบื้ออยู่ต่อหน้ารัฐมนตรีที่มีหน้ามีตาในสังคมเกาหลีใต้ให้ได้ตั้งแต่ยังเล็ก
“คุณหนูซองยอลจ้ะ วันนี้ตอนเย็นจะทานข้าวรึเปล่า ป้าจะได้จัดอาหารไว้ให้”
ซองยอลสั่นหน้าแทนความหมายว่าไม่ ไม่นานนักเมื่อป้าคังวอนเสร็จสิ้นภารกิจจัดห้องก็เดินหันหลังกลับไปและปิดประตูดังกริ้บเบาๆ ซองยอลเหลือบมองนาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลา 7นาฬิกา มือเรียวรีบคว้าโยเกิร์ตโฮมเมดที่ถูกนำมาส่งจากฟาร์มออแกนิคทุกเช้ากลืนลงท้องอย่างรวดเร็วด้วยความกระหายหิว พลันคว้าเสื้อนอกตัวเก่งและวิ่งลงบันไดบ้านไป
“จะไปเรียนละเหรอ”
เสียงทุ้มลึกดังขึ้นมาจากหลังหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า เขียนพาดหัวข่าวตัวโต
ส.ส. คิมดิ้น ถูกนักสืบมือฉมังรื้อคดีเก่า อ่านสกู๊ปดังต่อที่หน้า8..
ซองยอลอ้าปากค้างกับหน้าหนังสือพิมพ์
ส.ส. คิม ..ใช่ล่ะแน่นอน คุณพ่อบังเกิดเกล้าของ คิมมยองซู... แค่คิดมือก็กำหมัดแน่น ซองยอลหลับตาข่มอารมณ์ไปชั่ววินาทีก่อนจะรีบสาวเท้าเข้ามายืนข้างคนเป็นพ่อ
“พ่อทำอะไร!! ข่าวนี่มันอะไร!!!” ซองยอลปัดหน้าหนังสือพิมพ์ตกลงไปกับพื้น คนชื่ออีผู้พ่อขมวดคิ้วด้วยความโมโหในทันที บรรยากาศชวนน่าอึนอัดเมื่อสาวใช้ที่หน้าบ้านตกใจถึงขั้นทำแจกันดอกไม้ตกดัง เพล้ง !! ใบหน้าคมคายดูอาวุโสเหลือบกลับมามองหน้าลูกชายตัวดีอย่างสงบนิ่งและยากที่จะอธิบาย
“ก็นิดหน่อย มันเล่นตุกติก ก็ต้องเอาคืนซะบ้าง”
“พ่อนี่มันปีศาจชัดๆ” หมัดที่กำแน่นเริ่มมีเส้นเลือดปูดโปน ซองยอลจ้องหน้าพ่อเขม็ง
“มันเป็นเรื่องของธุรกิจ แกยังเด็ก ต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ” อีผู้พ่อพูดพลางก้มเก็บหนังสือพิมพ์ขึ้นมา สะบัดเบาๆและเลื่อนหน้ากลืนหายไปกับหน้ากระดาษที่ถูกหมึกดำพิมพ์ออกมาว่า Seoul Daily อีกครั้ง
“ไปเรียนซะไป เดี๋ยวจะสาย” ท่อนแขนที่สวมนาฬิกา Casio Limited แค่10เรือนในโลกถูกยกขึ้นและสะบัดมือไหวๆเป็นเชิงไล่
อีซองยอลไม่พูดอะไร แม้แต่เสียงคราง อือ ตอบรับในลำคอยังคงยากลำบาก การเคี้ยวก้อนอากาศและกลืนลงท้องในเวลาแบบนี้ ซองยอลไม่เคยคุ้นชินได้ซะเลยจริงๆ ดวงตาเรียวคู่สวยยังคงปิดแน่น เพื่อดูดกลืนความผิดหวังและทุกอย่างเข้าไปในอก ก่อนจะหันหลังกลับและเดินจากบ้าน สตาร์ทรถเวสป้าสีครีมตัวเก่งออกจากบ้านไป
ความจริงแล้วการตัดสินใจขี่รถเวสป้าในวันที่อากาศค่อนข้างหนาวแบบนี้น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดถนัด แต่สำหรับอีซองยอลแล้วการใส่หมวกกันน๊อคอุ่นๆขี่รถโต้ลมหนาวเย็นเยียบแบบนี้ถึงจะดูเหมือนคนงี่เง่า แต่ด้วยความดื้อส่วนตัวของอีซองยอล และด้วยความที่ไม่อยากจะนั่งรถยุโรปดูดีไปเรียน ก็เลยต้องทนเป็นคนงี่เง่าอยู่ทุกวัน จนคนในมหาลัยชินกันหมด ว่าอีซองยอลกับเวสปาสีครีมต้องมาด้วยกันเสมอ ถึงแม้บางวันจะหนาวมากถึงขั้นจะแข็งตายกลางสี่แยกไฟแดงก็เถอะ แต่ก็คงไม่ลำบากเท่าเดินไปมหาลัยหรอก
รถสีครีมแล่นเข้ามาจอดในลานจอดรถเช่นเคย อีซองยอลสะบัดผม เซ็ทให้เข้าทรงแล้วเดินเข้าคณะ พยายามจัดเรียงสมองให้เข้าที่และจัดเรียงสิ่งต่างๆให้เข้าไปซ่อนอยู่ในซอกหลืบของทุกโสตประสาทความรู้สึก .......... วันนี้มีคัดคนเข้าชมรมหมากรุก
|Verse 2
⋈
เป็นอีกวันนึงที่คิมมยองซูต้องการกำลังใจจากใครซักคนนึงเพื่อเดินข้ามผ่านความความกล้ำกลืนฝืนทนในเช้าวันที่ออกจะดูสดใส แต่ทำไมมันถึงกลับตาลปัตรไปหมดสำหรับเขา เรื่องราวทุกอย่างมันกำลังเป็นไปได้ด้วยดี มยองซูกำลังจะได้ก้าวไปสู่การเป็นช่างภาพมืออาชีพระดับแนวหน้าด้วยตัวเอง การเรียนที่มหาลัยก็กำลังสวย ถ้าไม่ติดที่เรื่องของอซองยอล............
สี่เดือนที่แล้ว ในวันที่ใบโมมิจิกำลังเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไหม้ออกแดง วันที่อากาศแห้งแล้งราวจะดูดซับความสดชื่นและละอองน้ำในตัวของเขาออกไปให้หมดสิ้น คิมมยองซูสับเท้าที่สวมรองเท้าสตั๊ทคู่โปรด คิมมยองซูค่อยๆเดินมานั่งบนม้านั่งยาวกลางสวนสาธารณะของมหาลัย ท้องฟ้าสีฟ้าสดใสแต่กลับถูกใบไม้สีน้ำตาลแดงปกปิดไว้หมดสิ้น ในใจที่กำลังอึดอัดและสับสน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในเซลล์สมองทุกส่วนกับความรู้สึกที่สอดแทรกอยู่ในทุกซอกหลืบของหัวใจ มันกำลังตีกัน วุ่นวาย สับสน และซับซ้อน ดวงตาเรียวคู่เล็กหรี่ตาให้เล็กลงเพื่อมองลอดพุ่มไม้หนาออกออกไปกลางสนามฟุตบอล เขาเห็นอีซองยอลวอร์มร่างกายเตรียมลงสนามฟุตบอลเหมือนทุกๆเย็น ไม่บอกก็รู้ว่าอีซองยอลรอเขาอยู่ ผมสีดำที่พึ่งถูกย้อมกลับมาหมาดๆช่างดำขลับตัดกับสีผิวขาวนวลเนียนสะอาดตา ทั้งดูเท่ สมาร์ท สมกับเป็นประธานชมรมหมากรุกจริงๆ คิมมยองซูสะบัดหน้าแรงๆเป็นเชิงไล่ความคิดบ้าบอนั่นออกไปจากสมอง มันนานเท่าไหร่แล้วที่กำลังพยายามปฏิเสธตัวเองที่เป็นบ้าแบบนี้
.... เราไม่ได้เป็นเกย์....
มยองซูคิดพลางเอื้อมไปหยิบขวดเกลือแร่ข้างตัวมาดื่มอักๆๆๆๆๆ แล้วเรอเสียงดังเอิ้กอ้าก
มยองซูลุกขึ้นพลางทิ้งขวดเกลือแร่ลงถังรีไซเคิลข้างม้านั่ง แล้ววิ่งออกไปหาซองยอลกลางสนามฟุตบอล
จะหนีตัวเองไปได้ไกลซักเท่าไหร่กัน ?
“วันนี้มึงยิงไม่เข้าอีกละ มีไรไม่สบายใจปะวะ”
จางดงอูวิ่งเข้ามาตบไหล่หลังจากการซ้อมครึ่งแรกผ่านไปได้ไม่สวยเท่าใดนัก มยองซูที่กำลังยืนหอบเหนื่อยไม่เป็นจังหวะหันกลับไปส่ายหน้าใส่เพื่อนสนิทอย่างหัวเสีย มือเล็กยกขึ้นยีหัวตัวเองให้สมกับความหงุดหงิด สับสน วุ่นวาย พัลวัน
ถ้ามยองซูไม่ได้มีตำแหน่งอยู่กองหน้าและมีหน้าที่เป็นตัวทำประตูให้ทีมซะทุกครั้ง คงไม่หงุดหงิดแบบนี้...
หลายครั้งที่ดงอูชงลูกส่งไปให้ แต่มยองซูกลับเตะพลาดไม่เป็นไปตามที่คาด และในวันกีฬามหาลัยที่ใกล้เข้ามา ถ้ามยองซูยังทำประตูไม่ได้ โค้ชจะต้องปลดมยองซูออก และให้อีโฮวอนขึ้นมาเล่นเป็นตัวเต็งแทน อีโฮวรที่นอกจากจะเล่นกีฬาเก่งแล้ว สาวยังกรี้ดเยอะขนาดนี้ ถ้าทีมชนะในครั้งนี้ แฟนคลับก็ต้องเยอะขึ้นอย่างแน่นอน แล้วสปอนเซอร์ก็จะตามมาอีกแน่ๆ .. คิมมยองซูรู้ดี… คนให้เงินก็ถูกเสมอล่ะ
“ช่วงนี้งานเยอะอะมึง เหนื่อยๆด้วยว่ะ เออเอาน้ำมาแดกดิ้” มยองซูตอบแบบเนือยๆ พลางถอดรองเท้าออกแล้ววิ่งไปหยิบผ้าขนหนูมาซับหน้า .. ดงอูเดินสวนไปยังกระติกน้ำก่อนจะยื่นแก้วน้ำเย็นผสมน้ำหวานให้
“ขอบใจ” มยองซูพูดลวกๆ สายลมที่แห้งผากพัดเอื่อยๆปะทะกับใบหน้า มยองซูเชิดจมูกขึ้น รับกลิ่นฤดูใบไม่ร่วงเต็มปอด.. กลิ่นสนจากที่ไกลๆ หอมเหมือนทุกปี.....
ปากเรียวบางขบปากแก้วเบาๆเหมือนเช่นทุกทีเวลาที่เหนื่อยใจ .. พลันเหลือบสายตาไปเห็นเพื่อนสนิทกำลังยืนอยู่ข้างโกลฟุตบอล
มยองซูหรี่ตาให้ลีบเล็กจ้องมองไปที่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ถ้าเขาคาดการณ์อะไรไม่ผิด อีซองยอลกำลังถูกรุ่นน้องที่เป็นดาวเฟรชชี่ สารภาพรัก.. กล่องของขวัญสีขาวใบเล็กที่บรรจงผูกด้วยริบบิ้นสีชมพูเข้มถูกส่งให้คนตัวสูง อีซองยอลยังคงตีหน้านิ่งสงัดราวกับผิวน้ำในฤดูร้อน เหงื่อเม็ดเล็กผุดพรายขึ้นตามไรผมสีดำขลับ เด็กผู้หญิงตัวเล็กเผยอปากปิดๆเปิดๆ ร่ายยาวให้คนข้างหน้าฟังด้วยใบหน้าแดงก่ำ
อีกครั้งที่มยองซูขบปากแก้วพลาสติกแน่น
แขนยาวเก้งก้างคู่นั้นถูกส่งออกไปรับกล่องของขวัญใบเล็กมาด้วยท่าทีสุภาพและนุ่มนวล เด็กผู้หญิงโบกมือ บ๊ายบาย เป็นเชิงว่า จบบทสนธนา ซองยอลเหลือบหันหน้ามามองหน้าเขาทันทีเหมือนรู้ทันว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่ตลอด ขายาวนั่นก็ก้าวฉับๆเข้ามาหาเขาเรื่อยๆ ใช่ไม่ผิดหรอก ซองยอลทั้งยิ้มและโบกมาก่อนจะวิ่งตรงมาทางนี้ เหนือความคาดหมายคิมมยองซูตกใจจนแก้วน้ำพลาสติกหกเลอะเทอะกางเกงกีฬาตัวเก่ง ท่ามกลางเสียงโวยวายของจางดงอูเพื่อนซี้
มยองซูรู้สึกว่ากำลังมีมรสุมก่อตัวขึ้นภายในช่องท้อง...
คนขายาวค่อยๆก้าวซ้าย
ขวา
ซ้าย
เข้ามาใกล้และยื่นกล่องของขวัญเล็กๆให้เขา
“น้องเค้าชอบมึงว่ะ”
“.........”
“กูล่ะหงุดหงิดแทบบ้า ทำไมต้องเป็นมยองซูคนนี้ก็ไม่รู้”
รอยยิ้มเล็กๆของซองยอลหลังจากประโยคนั้น ทำให้มรสุมค่อยๆหมุนวนรุนแรงและพัฒนาจนกลายเป็นทอร์นาโด จะเป็นไปได้ไหมว่าลำไส้ของเขากำลังจะขาดออกเป็นเสี่ยงๆ .. อีซองยอลส่งยิ้มนุ่มนวลที่แม้แต่ฟองนมบนเลเต้ก็ไม่สามารถนุ่มได้ เป็นบาริสตาที่เก่งมากจริงๆสินะ แม้แต่รอยยิ้มยังดูละมุนละไมเหมือนกับฟองนมและยังเลอะเทอะอยู่เต็มริมฝีปากเรียว
สายตาของเราถูดดูดกลืนเข้าหากันด้วยอิทธิพลบางอย่าง เรามองกันและกันในเวลาสั้นๆแต่ประหนึ่งว่าเนิ่นนานเหลือเกิน เหมือนมีคันเบ็ดอันมโหราฬถูกเหวี่ยงเข้ามาภายในตัวของเขา และลึกลงไปเกี่ยวทุกสสารในร่างกายของมยองซู มันทิ้งช่วงนานจนเกิดคำถามขึ้นมากมาย แต่อย่างไรก็ตามนั้น หัวใจของเราเหมือนสัมผัสได้ว่าเรารู้สึกกันต่อกันยังไง โดยที่ไม่มีใครตอบหรือพูดให้ชัดเจนเสียทีเดียว ถ้าจะถามว่าตอนนี้คิมมยองซูมีความสุขมากเท่าไหร่ คงจะตอบได้แค่ว่าเหมือนกลับไปเป็นเด็กประถม3 ที่ได้กินผับบิงซูในหน้าร้อน
ความสดใสและประกายแห่งความชื่นใจสะท้อนออกมาจากเกล็ดน้ำแข็งละเอียดละอ่อนมากมายมหาศาลนั่น .. ชุ่มชื้นใจเป็นที่สุด แค่ยิ้มมันยังไม่พอที่จะอธิบาย...
“ไปเหอะ เล่นครึ่งหลังต่อ.. ไม่ต้องซีเรียสนะ ไอ่โฮวอนมันไม่สนใจเรื่องเตะบอลหรอก”
มือยาวเก้งก้างคู่เดิมกระชากไหล่ของเขาขึ้น
มยองซูยิ้มแล้ววิ่งตามออกไปตามสนาม
GAME STARTED !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
.
.
.
.
มยองซูขยี้ตาที่เต็มไปด้วยภาพความทรงจำที่ชวนเลี่ยน มันดูสวยงามชวนฝันเหมือนกับว่าในช่วงเวลาเหล่านั้นมีกลิตเตอร์สีเงินโรยลงมาจากท้องฟ้าสีครามที่มีเมฆกลุ่มเล็กๆลอยกระจายตัวและหัวเราะให้กัน มีเสียงไวโอลินขับกล่อมภาพพวกนั้นให้ดูมีค่าและดูเคลิบเคลิ้มเลื่อนลอยตามไปเหมือนว่ากำลังเสพยาเสพติด ความหอมหวาน ความสดใส พวกนั้นมันกำลังทำให้คิมมยองซูคนนี้รู้สึกเอียนและคลื่นไส้.
แน่นอน... คิมมยองซูคนนี้ไม่ได้เป็นเกย์ ไมได้สับสนทางเพศ ไม่ได้รักเพศชาย
เพียงแต่คิมมยองซูหลงรัก คนๆหนึ่งที่ชื่อว่าอีซองยอล และเขาเพียงแค่เกิดมาเป็นผู้ชาย ... เช่นเดียวกับเขาเอง
มีใครบนโลกนี้เคยรักใครโดยปราศจากเงื่อนไข เหมือนเขาได้อีกไหม?
ไม่ว่าซองยอลจะเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง เป็นเอเลี่ยน เป็นแมว หรือเป็นปีศาจอยู่เทือกเขาเหล่ากอ ไฟลั่มไหน
คิมมยองซูก็รักอีซองยอล เพราะอีซองยอลคืออีซองยอล...
คนนี้ คนเดียว ไม่ใช่ใครอื่น หรือใครก็ได้
แขนเรียวยาวสะบัดผ้าห่มสีดำขลับและบรรจงพับเก็บวางลงปลายเตียง ก่อนจะทิ้งขาลงสัมผัสกับพื้นปาเก้อันเย็นเยียบ มยองซูดันตัวเองขึ้นจากเตียง ก่อนจะนึกได้ว่านี่สายมากแล้ว ขาเล็กรีบวิ่งเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำอย่างรีบร้อน
ไม่แปลกที่มยองซูใช้ชีวิตอยู่คนเดียวในตึกแถวสีเหลืองเข้มที่เลือกด้วยตัวเอง คิมมยองซูชอบสถาปัตยกรรมแบบ french colonial และก็อีกครั้งที่มยองซูอินกับเรื่องบางเรื่องโดยปราศจากเงื่อนไข มยองซูคิดเสมอว่าเรื่องบางเรื่องเราไม่ควรใช้สมอง ปล่อยให้อารมณ์ทำหน้าที่ไปตามนั้น จะอินกับอะไร กับใคร ที่ไหน คนที่สัมผัสถึงความสุขพวกนั้นได้ มันก็มีแค่เราเอง ทำไมจะต้องใส่ใจไอ่ความคิดมากเรื่องพรรค์นั้น ???
ในอีกประเด็นหนึ่ง ที่มยองซูย้ายมาอยู่เพียงลำพังไม่ใช่เพราะความติสท์แตกของความอยากเป็นช่างภาพหรือความอินดี้ที่บังคับให้เขาแยกตัวออกมาจากบ้านพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง คุณพ่อคุณแม่ออกจะรักมยองซูมากด้วยซ้ำ ครอบครับของมยองซูรักกันมาก ให้อิสระและให้ความรักมาอย่างดี มยองซูก็รักครอบครัวมากเช่นกันและไม่เคยที่จะคิดน้อยใจว่าตนเป็นลูกนอกไส้เลยซักครั้งเดียว แถมซ้ำน้องสาวซึ่งเป็นลูกของพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงแท้ๆยังรักเขามากอีกด้วย แต่ไม่นานนักหลังจากเอนทรานส์เข้ามหาลัยได้ มยองซูอยากลองใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยให้เหตุผลว่าไม่อยากสบายเกินไป พ่อกับแม่เคารพการตัดสินใจของมยองซูอยู่แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม.
มยองซูวิ่งออกมาด้วยชุดไพรเวทสีดำที่ดูสุขุมและเป็นทางการ แวะหยุดหน้ากระจกพลางจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย หยิบนาฬิกาเรือนโปรดขยับเขยิ้นแบบผลักไสลงไปในข้อมือเรียวเล็ก โดยที่ไม่ลืมติด Cuff Link ของ Paul Smith ที่น้องสาวให้เป็นของขวัญตอนชนะเลิศประกวดถ่ายภาพ
มยองซูยิ้มให้ตัวเองในกระจก พกความมั่นใจมาค่อนข้างเต็มเปี่ยม
....... วันแรกของชมรมถ่ายภาพ …….
เอาวะ ต้องลองซักตั้ง ! ไหนๆที่บ้านก็เล่นการเมือง
ก็ให้มันรู้ไปสิ ว่าคิมมยองซูคนนี้ จะไม่ได้เป็นประธานชมรม!
ความคิดเห็น