คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Till we falling in love again _ PART1
Title : Till we falling in love again. PART1
Pairing : YEOLMYUNG
Author: _winterrain
verse 1 |
⋈
นานแล้วที่คิมมยองซูนั่งอยู่ในร้านกาแฟหน้ามหาลัยร้านประจำ..
กลิ่นหอมของพีชกับโซดาแสบซ่าลำคอแก้วที่3ของวัน สายตาที่หลับปรือค่อยๆชำเลืองมองหน้าปัดนาฬิกาสายหนังที่อีซองยอลซื้อให้ เข็มชี้บอกเวลาบนหน้าปัดอ่านได้ว่า 14:43 น. แขนบางฟุบลงกับโต๊ะไม้มะฮอกกานีสีหม่นตัวโปรดมุมร้านพลางถอนหายใจระบายก้อนอากาศในท้องออกแรงๆสองที ที่นั่งแสนสบายที่สุดบนโซฟาบุนวมที่ประจำที่สามารถมองเห็นบาริสตาได้อย่างชัดเจน .. ผมทรงใหม่ของคนตัวสูงตรงหน้า ผมด้านข้างที่คิดว่าน่าจะถูกปัตตาเลี่ยน ไถออกเป็นแถบรับกับรูปหน้าตอบเรียว และถูกบรรจงเซ็ทอย่างดูดี ผ้ากันเปื้อนสีเขียวขี้ม้าเข้มตัดกับสีเสื้อเชิ๊ตแขนยาวสีขาวหมดจด...
ก็เห็นภาพแบบนี้อยู่ทุกวัน แต่ก็ยังเอาแต่มอง... มองเท่าไหร่ก็ไม่เคยจะเบื่อ... คิมมยองซูคิดกับตัวเองก่อนจะยกแก้วโซดาพีชขึ้นมาดูดรอบเดียวจนหมดแก้ว ... ละสายตาจากคนๆนี้ไม่ได้เลย....
- โอ้ยยยย หมดอีกละ นี่ต้องซื้อใหม่อีกแก้วอีกเหรอไงวะ ?
พูดจบก็ทำหน้ามู่ทู่ คิมมยองซูคิดกับตัวเองก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเช็คดูยอดเงินคงเหลือ......... 2000วอน……
เหอะ เงินสดหมดละ เหลือแต่บัตรเครดิต.. ร้านกาแฟบ้าๆคงไม่ต้อนรับการ์ดหรอกนะ.... เอาวะ ... นั่งเนียนไปเรื่อยๆเนี่ยแหล่ะ คนเยอะ ค่อยกลับ ...
วันนี้มยองซูพีถีพิถันกับการเลือกเสื้อผ้าเป็นพิเศษ
คิมมยองซูเลือกใส่เสว็ตเตอร์ไหมพรมถักสีเทาอ่อนทั้งๆที่ใจจริงอยากใส่สีดำจะตายชัก... คิมมยองซู เลือกฉีดน้ำหอมของ Bvlgari Aqua Marine. กลิ่นที่อีซองยอลมักจะชอบให้เค้าฉีดอยู่บ่อยๆ
กลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์และดูมีคลาสของอความารีน มันเหมาะกับแกมากจริงๆว่ะ.. โน้ทเล็กๆที่สอดอยู่ภายในกล่องของขวัญที่ได้มาจากซองยอลเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา
ซองยอลยังบอกอีกว่า ในช่วงที่ดอกพดกชบานสะพรั่งทั้งเมือง นอกจากกลิ่นกาแฟคั่วหอมๆในร้านกาแฟ กลิ่นดอกไม้บานสะพรั่งทั่วทั้งโซล ก็อยากให้มีกลิ่น Aqua Marine. ของ Bvlgari อยู่ข้างๆตลอดเวลาเลย...โอยยยยยยยยให้ตาย โรแมนติกชะมัด...
คิมมยองซูเหม่อไปที่เคาเตอร์บาริสต้าเหมือนทุกวัน ซองยอลกำลังง่วนอยู่กับการรับออเดอร์ .. กดเครื่องคิดเงิน.. รับเงินจากลูกค้า.. ทอนเงิน.. เสร็จแล้วมือเรียวคู่นั้นก็หันไปกดเปิดเครื่องบดกาแฟก่อนที่เจ้าเครื่องบ้านั่นจะส่งเสียงร้องดังสนั่นทั้งร้าน..(ซึ่งความจริงมยองซูก็ไม่ได้คิดรำคาญอะไรมากนักเพราะซองยอลเคยบอกว่าเสียงเครื่องบดกาแฟมันมีเสน่ห์และเขาก็รู้สึกหลงเสน่ห์มันเข้าซะแล้ว) ซองยอลหันไปยิ้มและพยักหน้าให้กับจางดงอูเพื่อนร่วมงาน เป็นสัญญานส่งออเดอร์ต่อ.. จากนั้นซองยอลก็ทำแบบนี้ซ้ำกันเรื่อยๆทั้งวัน.. และทุกวัน
คิมมยองซูนั่งมองอีซองยอลแบบนี้ตลอด จนจำได้ทุกอย่างว่าสูตรกาแฟแต่ละอย่างนั้นมีส่วนผสมอะไรบ้าง โกโก้กี่ปั๊ม นมสดกี่ปั๊ม ไซรัปกี่ปั๊ม หรือแม้แต่ฟองนมต้องใช้นมสดยี่ห้ออะไร... มยองซูนั่งจดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆพวกนี้จนอ่านได้ขึ้นใจว่าอะไรเป็นอะไร ...
- ถ้าไม่อยากรู้เรื่องของอีซองยอลมากขนาดนี้ก็คงไม่ลงทุนทำขนาดนี้หรอก -
NOTE คิมมยองซู. 14:47 น
ส่งยิ้มตาหยีเหมือนลูกแมวไปที่เคาเตอร์บาร์โดยที่อีซองยอลไม่ได้หันมามองซักนิด คิมมยองซูจดโน้ตลวกๆใส่โพสท์อิทแล้วดึงมาแปะในหน้าไดอารี่ ..
เห้อ.. กลิ่นกาแฟคั่วบดมันก็คงจะหอมดีหรอก ... ถ้าไม่ติดที่ว่า... มยองซูไม่ชอบดื่มกาแฟ
บ่ายสามแล้ว.. ถึงเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่น มยองซูเก็บของที่กระจัดกระจายบนโต๊ะผิวไม้มะฮอกกานีสีหม่นตรงหน้า
รวบรวมเศษกระดาษมากมายที่เขียนเล่น ขยำแบบลวกๆใส่กระเป๋าหนังสือ หยิบผ้าพันคอไหมพรมผ้า สีขาววานิลลาขึ้นมาบรรจงพันรอบลำคอ จัดท่าทางให้พอดี ลมหนาวด้านนอกเริ่มพัดมาเรื่อยๆ .. มยองซูสะพายกระเป๋าขึ้นหลัง แล้วเดินผ่านเคาเตอร์บาร์ออกไป
เดินเข้ามาก็ทุกวัน เดินออกไปก็ทุกวัน.
แต่ซองยอลก็ไม่แม้แต่จะหันมาทักทายซักนิด.
แม้แต่เพื่อนก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว.
verse 2 |
⋈
“ไอ่ซองยอล ใจคอมึงจะให้มยองซูมันมานั่งรอมึงทุกวี่ทุกวันแบบนี้เนี่ยนะ มึงไม่เห็นใจมันบ้างไงวะ?” ซองยอลเผลอกลืนน้ำลายไปกับคำถามของจางดงอู ในขณะที่กำลังเลื่อนมือไปตามแนวตู้เย็น บรรจงเก็บเค้กที่เหลือทั้งหมดของวันนี้ใส่ตู้เย็น ช็อตเค้ก ชีสพาย ทาร์ต บราวนี่ หรือแม้แต่เครปเค้ก .. “ไม่คิดจะตอบกูหน่อยเหรอ?” พูดจบก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
ซองยอลไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจากตู้เย็นและสบตาเพื่อนร่วมงานอย่างไม่สบอารมรมณ์ ซองยอลย้ายที่จากตู้เย็นทันทีเหมือนทุกครั้งที่ดงอูพยายามถามเขาเรื่อง เพื่อนที่เคยซี้ ดงอูไม่เข้าใจเกี่ยวกับปฏิกิริยาตอบโต้ที่เย็นชาเช่นนี้ระหว่างซองยอลกับมยองซู … 4เดือนมาแล้วที่เพื่อนทั้งสองหันหลังให้กันตลอดเวลา โกรธกันเรื่องอะไร? ทะเลาะกันทำไม? ดงอูคนเดียวที่ไม่เคยได้รู้เรื่องระหว่างเพื่อนทั้งสองคนเลย
ซองยอลเดินไปหยิบไม้ถูพื้นแล้วเดินหลบออกไปเช็ดพื้นที่มุมโซฟาตัวใหญ่มุมร้านต่อ.. โซฟาบุผ้านวมนุ่มนิ่มแสนสบายที่มยองซูมักจะนั่งอยู่พร้อมกับโซดาพีชแก้วแล้วแก้วเล่า... อีซองยอลบรรจงลากไม้ถูพื้นไปตามแนวพื้นไม้ปาเก้ราคาแพง.. ทุกๆครั้งที่มยองซูขยับเปลี่ยนท่านั่ง ซองยอลนึกถึงภาพมยองซูอ้าปากหาวเมื่อตอนกลางวัน ปากเรียวก็กระตุกยิ้มขึ้นมาเองซะอย่างนั้น.. พลางจัดการเก็บขยะที่ตกเลอะเทอะอยู่ตามพื้นไปด้วย
พลันสายตาเรียวก็เหลือบไปเห็นเศษกระดาษที่ถูกขยำแบบลวกๆ ตกอยู่ใต้โซฟาตัวตรงข้าม .. ซองยอลพิงไม้ถูพื้นที่โซฟาก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเศษกระดาษขึ้นมา... ด้วยสัญชาตญาน มือเรียวค่อยๆคลี่แผ่นกระดาษเล็กนั้นออกอย่างเบามือ..
- ถ้าไม่อยากรู้เรื่องของอีซองยอลมากขนาดนี้ก็คงไม่ลงทุนทำขนาดนี้หรอก NOTE จากคิมมยองซู. 14:47 น -
หงุดหงิด.
ไม่รู้ทำไมถึงไม่ชอบข้อความบ้านี่ ซองยอลขยำกระดาษแน่นกลับเข้าไปในกำมือ แล้วยัดเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะหยิบไม้ถูพื้นผละออกจากพื้นที่บริเวณโซฟาผ้านวมนุ่มนิ่มแสนสบายโง่ๆ.
ซองยอลเดินกระทืบเท้าอ้อมเข้ามาในเคาเตอร์บาร์ทันทีอย่างหัวเสีย ..
“มึงเป็นอะไรอีกเนี่ย กูก็แค่ถามมึงดีๆจะเป็นอารมณ์ทำไมวะ” กระแทกมือถือที่กำลังพิมพ์ข้อความคาคาโอค้างอยู่ลงกับเคาร์เตอร์เสียงดังสนั่น ... จ้องหน้าเพื่อนตัวดี ดงอูที่ยืนพิงเคาเตอร์บาร์ เห็นท่าทางโมโหของเพื่อน ดงอูคิดไปว่าซองยอลคงโมโหที่ถามเรื่องของมยองซู
“ป่าวกูไม่ได้อะไร... ใจเย็นดิ่ แค่หงุดหงิดเรื่อง Assignment วิชา Speech com นิดหน่อยอะ โทดทีนะ คุยกับซองจงต่อเหอะ อย่าคิดมากเรื่องกูเลยมึง” ซองยอลพูดแล้วเดินไปเก็บไม้ถูพื้น ก่อนจะกดยิ้มอย่างนุ่มนวลให้เพื่อนเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ พลางเดินไปจัดการถอดเครื่องบดกาแฟออกทีละชิ้น ล้างทำความสะอาด เช็ดให้แห้ง ก่อนจะตากไว้บนซิ้งค์น้ำ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น.. จางดงอูหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์คาคาโอต่อ.. กระพริบตาปริบๆ เหลือบสายตาแอบมองเพื่อนผ่านหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า.. แม้งเป็นห่าอะไรของมัน.. ดงอูคิด
“เห้ย ดงอู พรุ่งนี้เรามีเรียนกี่โมงวะ” ซองยอลเอ่ยถามเพื่อน ขณะที่จางดงอูที่กำลังง่วนอยู่กับแผงสวิทช์ไฟในร้าน มือหนาเอื้อมไปปิดสวิทช์และดึงคัตเอาท์ลงก่อนหันกลับมาตอบแบบส่งๆ “เรียน8ว่ะ มี’ไร?”
ไม่ทันไรซองยอลก็หยิบเสื้อโค้ท Wool ตัวหนาจากกระเป๋าขึ้นมาใส่ “กุฝากมึงเซ็นชื่อคาบอาจารย์ลีพรุ่งนี้เช้าด้วยนะ กุไปละ” ซองยอลพูดรัว ไม่ทิ้งช่องว่างให้ดงอูเถียงอะไรพลันก้าวฉับๆออกจากร้าน ทิ้งไว้แค่เสียงกระดิ่งหน้าร้านดัง กรุ๊งกริ๊ง. ดงอูมองเห็นหลังเพื่อนไวๆเดินออกจากร้านลับสายตาไปนู่น “อีกแล้วนะมึง !!! ถ้ามึงเข้าเรียนไม่ครบ F นะเว้ย! เอ้อ!!! แล้วอย่าลืมเอาแลคเชอร์กูมาคืนพรุ่งนี้ด้วยอะ !!! โอ้ยยยย ไอ่ยอลแม้งแบบนี้ทุกที!”
verse 3 |
⋈
「あなたはなんで可愛いんだ。」
มยองซูจรดดินสอลงกับหน้ากระดาษว่างเปล่าตรงหน้า ค่อยๆเปล่งเสียงไปพร้อมๆกับตัวอักษรทีละตัว
“kimi……….. wa……….. nande………. Kawaiinda?.... แปลว่า ทำไม......คุณ..........ถึง........น่ารัก.......ได้ขนาดนี้นะ?”
รู้ตัวอีกทีก็เขียนแต่ประโยคบ้านี่เต็มกระดาษ. เป็นบ้าไปแล้วใช่มั้ย? โชคดีแค่ไหนที่มีซองยอลเป็นเพื่อน แค่นี้ก็พอแล้วป่าววะ ไอ่มยองซู.. ได้คืบจะเอาศอก! อยากจะย้อนเวลากลับไป ขอแค่กลับมาเตะบอลด้วยกันตอนเลิกเรียนได้อยู่ก็พอแล้ว...
มยองซูวางดินสอ แล้วจ้องข้อความบนหน้ากระดาษ ทำไม..ถึงเลือกเรียนไมเนอร์ภาษาญี่ปุ่น ทั้งๆมีแต่ตัวคันจิยุ่งยากสารพัดเต็มไปหมด แต่มยองซูก็ยังชอบจะเรียน เพราะภายนอกมันดูน่ารักสดใสแต่ลึกๆแล้วทั้งยากที่จะเข้าใจและมีสิ่งดึงดูดให้มยองซูต้องการแก้โจทย์ เหมือนกับใครบางคน.
“คิมมยองซู ควิสครั้งที่ผ่านมา ได้เต็มอีกแล้วนะครับ” ผงะจากตัวอักษรตรงหน้าด้วยความตกใจ
รอยยิ้มที่อบอุ่นเหมือนแสงแรกแห่งเดือนเมษายน ถูกส่งมาจาก อีโฮวอน เพื่อนร่วมคลาสภาษาญี่ปุ่น ที่นั่งถัดจากมยองซูไปสองที่นั่ง เมื่อมยองซูหันกลับไปส่งยิ้มเจื่อนๆ ร่างหนาก็เก็บของพลางเดินมานั่งตรงเก้าอี้ข้างมยองซู
คิมมยองซูจับจ้องไปที่ท่าทางประหลาดของเพื่อนร่วมคลาส แต่โฮวอนเพียงแค่ส่งยิ้มเหมือนหมีโง่ๆ ทรงผมสั้นที่ตัดเข้ารูปและถูกเซ็ทให้ยุ่งๆรับกับกรอบหน้า ลักยิ้มที่ดูเป็นมิตร รวมถึงผิวสีแทนดูสุขภาพดี ทั้งหมดทั้งมวลนั่นกำลังหันมาทักทายเขาอยู่
“อ...เอ่อ ขอบคุณนะ ว่าแต่.. นายคืออีโฮวอนใช่รึป่าว” ตอบรับอย่างอึกอัก พร้อมส่งยิ้มกลับไปอย่างงงๆ โฮวอนพยักหน้ารับก่อนจะส่งกระดาษคำตอบที่ถูกวงกลมตัวใหญ่ด้วยปากกาสีแดงที่มุมกระดาษ 10คะแนนเต็ม
มยองซูรับกระดาษมาอย่างเก้ๆกังๆ .. โฮวอนกดยิ้มให้เขาอีกครั้งพร้อมขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง ซึ่งอ่านปากได้ว่า ..แดบัค .. พลางยกนิ้วโป้งมือขึ้นช้าๆ
... นี่อยากได้รางวัล นายมิตรภาพดีเด่นหรืออะไรทำนองนี้นักเหรอไง.. มยองซูคิดกับตัวเอง
คาบเรียนภาษาญี่ปุ่นดำเนินไปเรื่อยๆ โดยที่ทั้งคาบมยองซูรู้สึกได้ว่าสายตาของโฮวอนได้แต่จับจ้องมาที่เขา.. หลายครั้งที่เผลอหันไปสบตาใส่คนข้างๆ แต่โฮวอนก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรตอบกลับ เพียงแต่ส่งยิ้มเท่ๆนั่นกลับมาให้เขาทุกที มยองซูสับสน..และไม่เข้าใจว่าโฮวอนกำลัง พยายาม ทำอะไร? นี่ก็ไม่ใช่คาบแรกที่เข้าเรียน ที่จำเป็นจะต้อง make friend หรือทำอะไรเทือกนั้นซะหน่อย นี่ก็นั่งเรียนด้วยกันมาจนจะสอบกลางภาคอยู่แล้ว
ทันทีที่อาจารย์เลิกคลาสมยองซูรีบเก็บสมุดและหนังสือที่วางระเกะระกะบนโต๊ะแล็คเชอร์เข้ากระเป๋าสีน้ำเงินใบโปรด คิดแค่เพียงว่าต้องรีบออกจากห้องไปให้เร็วที่สุดก่อนที่โฮวอนจะหันมาหาและชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ มยองซูคว้ากระเป๋าขึ้นบนบ่าแล้วก้าวฉับๆตรงดิ่งไปยังประตูห้อง เสียดายนัก..ที่ไม่ทันท่อนแขนแข็งแรงของเพื่อนร่วมห้องที่คว้าแขนเล็กของมยองซูไว้ทันแค่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่จะคนตัวเล็กจะทันออกจากห้องไป
“โอ๊ย.. เจ็บ! มีไรนักหนาวะ!” มยองซูสะบัดแขนเล็กออก ก่อนจะเงยหน้ามองโฮวอนอย่างหัวเสีย
“เห้ย ขอโทษที!! ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายโมโห.. คือพอดี คุ้นหน้านายอ่ะ ก็เลยอยากคุยด้วยหน่อย ได้ยินมาว่าชอบถ่ายรูป?” โฮวอนยกมือยกไม้ขึ้นสะเปะสะปะทำท่าขอโทษเป็นพัลวัน แล้วรีบรื้อกระเป๋าเรียน ค้นนิตยสารประจำมหาวิทยาลัยรายปักษ์ล่าสุดออกมา มือหนารีบเปิดหาหน้าที่คั่นไว้ แล้วอ่านออกเสียงดังฟังชัด
คิมมยองซู ปีสาม คณะนิเทศศาสตร์ ชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายระดับเขตุประจำฤดูใบไม้ผลิ ในหัวข้อ การ......
พออ่านมาถึงตรงนี้ ผู้คนทั้งห้องเรียนและตามทางเดินหยุดและจับจ้องมาที่เสียงของโฮวอนหน้าห้องเรียน มยองซูถลึงตาใส่คนร่างหนาตรงหน้า พลันรีบปัดหน้าหนังสือลง คนตัวเล็กกว่าได้แต่ จิ๊ปาก เป็นเชิงแสดงถึงความรำคาญ
“เบาๆดิวะ! ตกลงมี’ไรอะ ว่ามา” โฮวอนยิ้มกริ่มก่อนจะยื่นใบสมัครเข้าชมรมโฟโต้ประจำมหาวิทยาลัยให้มยองซู “กรอกให้หมดแล้วรีบส่งก่อนเที่ยงพรุ่งนี้นะครับ ยินดีต้อนรับเข้าชมรมโฟโต้นะ ทง-แซง-นิม ” พูดจบโฮวอนก็คว้าหนังสือจากมือมยองซูกลับมาหิ้วไว้แนบลำตัว ก่อนจะเดินทอดน่อง ผิวปากเดินนำออกห้องไปก่อนมยองซูอย่างสบายอารมณ์..
ลับสายตาโฮวอน มยองซูจ้องใบสมัครเข้าชมรมปานจะฉีกทิ้งให้เป็นเสี่ยงๆตรงหน้า .. เหอะ.. จะให้ใครรู้ได้ไงล่ะ? ว่าที่ส่งประกวดไปน่ะ ส่งไปแบบส่วนตัว ไม่ได้ส่งผ่านมหา’ลัย ไม่งั้นก็เป็นเรื่องแน่ๆล่ะ ... คณะบดีเอาคิมมยองซูคนนี้เละคามือแน่ๆ ละเมิดกฎมหา’ลัยขนาดนี้ อย่าหวังเล้ยยยยย ว่าจะรอด! .. มยองซูคิดพลางกลืนก้อนอากาศลงท้องอย่างยากลำบาก
.. เดินออกมาจากคลาสก็นานแล้ว สายตาจับจ้องอยู่ที่ใบสมัคร... มยองซูไม่อยากจะเข้าชมรมโฟโต้ประจำมหาลัย หรือประจำคณะ หรืออะไรก็แล้วแต่ มยองซูชอบที่จะทำงานถ่ายภาพคนเดียว ชอบที่จะออกเดินไปเรื่อยๆตามถนน แล้วถ่ายรูปแบบที่เขาชอบ ชมรมหรือชุมนุมอะไรของมหาลัยก็แค่ที่เอาหน้าของพวกอวดดีเท่านั้นแหล่ะ มยองซูไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับคนพวกนั้นหรอก...
เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงแล้วที่มยองซูยังคงเดินไปเรื่อยๆ ไม่ยอมเลี้ยวเข้าซอยหน้าบ้านตัวเองเสียที ท้องฟ้าสีส้มแก่นวลละมุนตาค่อยๆถูกทาบทับด้วยผืนผ้าสีดำกำมะหยี่ อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆทุกวัน ฟ้าก็มืดลงเร็วขึ้นทุกวัน มยองซูกระพริบตาช้าๆแล้วขยี้ตาให้ชินกับแสงสลัวของไฟข้างถนน ความเงียบสงัดบนท้องถนนยิ่งขับเสียงสะท้อนในสมองให้ดังขึ้นกว่าเดิมถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ..
ไม่ว่าใครก็รู้ว่ามยองซูกับซองยอลอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร ที่ไหน นอกจากทั้งสองคนจะโดดเด่นในเรื่องของหน้าตาแล้ว ซองยอลยังเป็นประธานชมรมหมากรุกของมหาวิทยาลัยและเป็นตัวเก็งอันดับต้นๆของประเทศ ส่วนมยองซูก็ไปโดดเด่นทางฝีมือถ่ายรูปและงานกราฟฟิกดีไซน์ถึงขนาดได้รางวัลชนะเลิศงานออกแบบแคมเปญรณรงค์การท่องเที่ยวให้กับกรุงโซล .. แต่แทนที่ทุกคนคนในมหาลัยจะให้ความสนใจเพื่อนซี้คู่นี้ในเรื่องของความสามารถที่มากมายพวกนี้ สิ่งที่น่าสนใจมากกว่า คือความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวของมยองซูและซองยอล
พ่อซองยอลทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตุกังนัม มีทรัพย์สินส่วนตัวมากถึงขนาดที่สามารถจะบินไปพักร้อนที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ได้ตลอดเวลาได้อย่างสบายๆ ส่วนมยองซูก็อาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ซึ่งเป็นนักการเมืองที่มีหน้ามีตาในสังคม ... และทั้งสองบ้านก็มีปัญหากันมานานเพราะผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว
แปลก.
อีซองยอลและคิมมยองซูเป็นเพื่อนรักกัน
ตั้งแต่เด็กจนถึง.......... เมื่อสี่เดือนก่อน
มยองซูเผลอลูบเสื้อโค้ทตัวหนาของตัวเองอย่างไม่ทันได้รู้ตัว เลียขอบปากที่เริ่มแตกเพราะอากาศเย็นเยียบ เหม่อมองไปยังทางเดินว่างเปล่าตรงหน้าที่เต็มไปด้วยสีเหลืองสดใสของใบกิงโกะซึ่งตัดกับสีดำมืดมิดของท้องฟ้า มยองซูจงใจย่ำลงบนกองใบกิงโกะที่ร่วงกระจายกลาดเกลื่อนอยู่ทั่วทางเดิน ... และถ้าเป็นซองยอล ก็คงจะเตะมันให้ปลิวกระจายไปทั่วทั้งซอย แล้วก็หัวเราะร่าจนเหงือกบานเหมือนทุกที เห้อะ ! … มยองซูคิด..
พลันสายตาเหลือบไปเห็นใครบางคนกำลังเดินตรงมาในที่ๆกำลังยืนอยู่ หัวเราะร่ามาแต่ไกล เสียงแหลมที่แสนคุ้นเคยกำลังดังกังวาลอยู่ทั้งถนนอีกครั้ง .. อีซองยอล.. โดยไม่ต้องคิด เสียงนั่นกำลังตรงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ทำยังไง?
มยองซูรู้ว่าซองยอลก็คงทำเป็นมองไม่เห็นอย่างเคยนั่นแหละ แต่แล้วจะทำยังไงได้ ก็กำลังยืนอยู่บนถนน ไม่มีที่ให้ซ่อนตัวเหมือนทุกที แล้วจะให้ทำยังไงกันล่ะ? ไม่เอาอีกแล้ว แค่หน้าด้านไปเจอที่ร้านกาแฟก็มากพอแล้ว เวลาอื่นที่ไม่ได้เตรียมตัว มยองซูไม่พร้อมทั้งนั้นแหละ ! คนตัวเล็กกว่ารีบหันหลังกลับพลันสาวเท้าออกเดินด้วยหัวใจสั่นระรัว จากที่เริ่มเดินช้าๆ กลายเป็นออกวิ่ง .. ดวงตารูปพระจันทร์เสี้ยวเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาแต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความเจ็บปวดที่เพิ่มล้นจนมยองซูอยากจะให้มันรีบละลายหายไปให้หมดสิ้น มยองซูกัดริมฝีปากที่เริ่มแตกอีกครั้ง มยองซูเริ่มออกวิ่งให้ไกลออกไปและเร็วขึ้นเรื่อยๆ ย่ำเท้าลงบนกองใบไม้สีเหลืองสดใสซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนใบกิงโกะแตกกระจายฟุ้งไปทั่วทั้งท้องถนนเช่นเดียวกับกล้ามเนื้อสีแดงสดในหน้าอกด้านซ้ายของมยองซูที่กำลังเต้นอย่างไม่เป็นจังหวะ.
つづく。
.
ฝากติดตามตอนต่อไปกันด้วยนะคะะะะะ ><
ความคิดเห็น