คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Part 2
02
“นายทำเองเลยเหรอ” ไดกิเดินตามกลิ่นหอมๆเข้ามาในครัว
“อาหารแช่แข็งน่ะ...ฉันแค่เอามาทอด” ยูยะยกจานของกินที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะกินข้าว ไดกิมองตามจานเกี๊ยวแล้วลอบกลืนน้ำลาย
....อ่า น้ำย่อยเขาทำงานเต็มที่แล้ว!....
“ไม่ยักรู้ว่านายทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย”
“แต่ก่อนก็ไม่ทำหรอก แต่พอมาอยู่คนเดียวแล้วต้องหัดทำไว้บ้าง”
....แม้หูจะยังฟังยูยะอธิบายอยู่ แต่ปฏิกิริยาของร่างกายที่ซื่อตรงกับหัวใจอย่างเหลือเชื่อทำให้ไดกิคว้าส้อมมาจิ้มเกี๊ยวเข้าปากคำใหญ่อย่างรวดเร็ว.....
“เฮ้ย! ร้อนนะ” ...ดูเหมือนจะเตือนช้าไปเสียแล้วล่ะ....
“อ๊า....” ปากไดกิอ้าค้างมีเกี๊ยวร้อนๆคาอยู่และส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาในสภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่
“รีบคายออกมาก่อน เดี๋ยวลิ้นพองกันพอดี” เดือดร้อนยูยะต้องรีบคว้าทิชชู่ส่งให้แบบแตกตื่น
“ทำไมไม่บอกก่อนล่ะว่ามันร้อน!”
“ใครจะคิดว่านายจะตะกละตะกรามกินขนาดนี้ ไหนอ้าปากสิ” ....ยูยะไม่ได้สั่งแต่ปาก แต่มือใหญ่ๆของมันตามมาจับคางเขาตั้งใจจะง้างปากไดกิแล้วโน้มหน้าเข้ามาช่วยดูแลอย่างเป็นห่วงเต็มที่
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ใช่เด็กซะหน่อย” ไดกิเบือนหน้าหนีแรงมือยูยะเมื่อรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดเกินไปจนใจคอไม่ค่อยดี
....ว่าแล้วไดกิก็แถไปโชว์ความเป็นผู้ใหญ่โดยการใช้ส้อมคันเดิมจิ้มเกี๊ยวมาเป่าลมคลายร้อนก่อนส่งเข้าปากคำใหม่ เคี้ยวตุ้ยจนแก้มขาวๆโย้ไปข้าง....
“อื้อ อร่อย” พอมีของกินในปากแล้วไดกิก็อารมณ์เบิกบานพอที่จะชมฝีมือพ่อครัวที่อุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำให้เขากินกลางดึกให้เป็นรางวัล
ฝ่ายยูยะเห็นเด็กตาโตแก้มป่องกินอย่างเอร็ดอร่อยมีความสุขก็อดจะยิ้มเอ็นดูไม่ได้....เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงทำให้รู้สึกว่าอยากจะอ่อนโยน อยากจะปรนนิบัติดูแลให้อีกฝ่ายอยู่ดีกินดี
....อยากให้ใบหน้าน่ารักนี้มีแต่รอยยิ้มสดใสได้ทุกวัน
“เอานมอุ่นๆไหม? เดี๋ยวอุ่นให้”
“นี่ทาคาคิ” ...คนตัวเล็กพูดขึ้นมาทั้งที่ของกินยังเต็มปาก
....เขาเคยโดนใครต่อใครเตือนหลายครั้งแล้วว่าให้เคี้ยวให้หมดก่อนพูด ...แต่ก็นะ มันเหมือนจะเป็นนิสัยไม่ดีติดตัวที่แก้ยังไงก็ไม่หายไปเสียแล้วล่ะ
“หืม” ยูยะตอบรับมายิ้มๆ นัยน์ตาคมที่จ้องมองมาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูเป็นล้นพ้น
“คิดว่าฉันอายุเท่าไหร่กันฮะ!”
“ก็ตัวเล็กแค่นี้ เห็นแล้วมันอยากบำรุงให้เยอะๆน่ะสิ”
“อ๋อ เพราะแบบนี้ใช่มั้ย ฉันอ้วนเพราะนายเลย ทาคาคิ!!!”
.....ถึงว่าสิ ไดกิเคยติดใจสงสัยอยู่นานแล้วว่าทำไมทาคาคิถึงได้ชวนเขาไปกินนู่นกินนี่อยู่ตลอด......
“ไม่อ้วนซะหน่อย”
“อ้วนสิ ฉันอ้วน”
.....ไดกิรู้ตัวเองดีว่าพักนี้เจริญอาหารมากแค่ไหน..... กางเกงที่เคยใส่แล้วหลวม ตอนนี้กลับแน่นพอดี บางตัวที่เคยใส่พอดี ตอนนี้ก็ยัดไม่เข้า
....ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยประสบปัญหาแบบนี้เลยนะ!!!
“งั้นไม่ต้องกินนี่แล้ว เดี๋ยวอุ่นนมให้กินแล้วไปนอน” ยูยะลากจานเกี๊ยวแกล้งทำท่าว่าจะเอาไปเก็บ
“ม่ายยยย ฉันจะกิน” ไดกิคว้าจานมากอดกับตัวอย่างหวงแหน แถมจิกสายตาใส่ยูยะประมาณว่า ...อย่ามายุ่งกับของของข้าเชียว....
“งั้นก็กินเยอะๆ เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำแปบนึง” ยูยะเดินมาขยี้ผมสีอ่อนทรงพุดเดิลของไดกิเบาๆสองสามทีแล้วยิ้มให้บางๆก่อนจะเดินออกจากครัวเข้าห้องนอนไป
.....ทิ้งระเบิดไว้ให้คนบางคนยืนหน้าร้อนเห่อ ใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำ หวั่นไหวไปกับสัมผัสเบาๆที่ทำให้ความอุ่นซ่านไหลไปทั่วร่างกาย.....
.....ให้ตาย ....โดนทำเสน่ห์ใส่เสียแล้วสิไดกิ
.
.
พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน อันเป็นกลไกปกติของร่างกายมนุษย์ ....ไดกิจัดการฟาดเกี๊ยวซ่าทั้งจานหมดจนราบคาบไม่ให้เสียน้ำใจคนทำให้แม่แต่น้อยและจัดการล้างจานเก็บให้ด้วยจิตสำนึกที่ดี ก่อนจะมานอนพึ่งพุงอยู่บนโซฟาในโซนรับแขกที่เขาไม่กล้าแตะมันในคราแรก
....เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้ทำตัวตามสบายไร้กังวลได้ขนาดนี้ ทั้งที่เพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกแท้ๆ.....
“อาริโอกะคุง...ลุกไปนอนในห้องเถอะ” เสียงนุ่มทุ้มที่เรียกอยู่ใกล้ๆหูนั้นทำให้ไดกิสะดุ้งลุกขึ้นมาพรวดพราดจนชนเข้ากับยูยะที่ก้มตัวลงมาพอดี ....เจ็บตัวกันทั้งคู่....
“คางแหลมชะมัด ทาคาคิ!”
….ไม่ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิดก็ขอให้ได้โวยวายไว้ก่อน แม่สอนไว้....
“หัวโนรึเปล่า?” มันไม่พูดเปล่า แต่พิสูจน์หลักฐานด้วยการเปิดผมหน้าไดกิเพื่อหาร่องรอยความบอบช้ำอย่างใกล้ชิดทีเดียว
“มีรอยช้ำนิดนึงล่ะ ผิวอาริโอกะคุงบางมากเลยนะ”
ไดกิรู้สึกได้ถึงสัมผัสของปลายนิ้วที่ลูบไปมาอยู่ที่หน้าผากเขา
...มันก็เพลินๆดีแหละ ว่าแต่ จะสำรวจใกล้ไปมั้ยนะ?.....
จุ๊บ~
“ทายาหน่อยนะ เดี๋ยวก็หาย” ยูยะยิ้มบางๆให้แล้วทำท่าจะผละออกไปอีกครั้ง
“เมื่อกี้ทำอะไร?” ไดกิคว้าเอาท่อนแขนของยูยะไว้ได้ ....ถามทันที
......สัมผัสเมื่อกี้ไม่ใช่นิ้วแน่ๆ........
“อยากรู้เหรอ?”
“อยากสิ....ไม่งั้นจะถามเหรอ?”
คราวนี้ยูยะยิ้ม รวบผมหน้าไดกิมัดขึ้นเป็นจุกน้ำพุแล้วโน้มหน้าลงมาจูบหน้าผากเขาเต็มๆเน้นๆ ...มันชัดเจนซะจนไดกิถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่นั่งหน้าร้อนฉ่าแก้มแดงเหมือนมีใครเอาของร้อนมาแนบหน้า
“อยู่นิ่งๆล่ะ จะหายามาทาให้”
....ไดกิก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมนั่งนิ่งๆตามที่มันสั่งด้วย แต่เขาก็ทำไปแล้ว....
.....จนกระทั่งยูยะกลับมาเปิดหลอดยาเนื้อเย็นคลึงที่รอยช้ำนั่นแหละ....
“ทีนี้ก็ไปนอนในห้องได้แล้ว”
“นอนด้วยกันเหรอ?”
…..นี่เป็นเรื่องที่ไดกิเพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้เมื่อกี้นี้เอง ว่าคอนโดนี้เขาเห็นว่ามีห้องนอนอยู่ห้องเดียว.....
“แล้วนายคิดว่าฉันจะนอนที่ไหน” เสียงทุ้มถามอย่างใจเย็น
“ก็โซฟา.... เยอะแยะ”
พูดไปก็ละลายใจแก่ตัวเอง เพราะว่ากันตามจริงแล้วเขาก็คือคนอาศัยดีๆนั่นแหละ ....ตอนแรกไดกิก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่หรอก เขานอนที่ไหนก็ได้เพราะยังไงก็ผู้ชายเหมือนกัน
.....จนเมื่อถูกมันทำอะไรแปลกๆใส่เมื้อกี้นี่ล่ะเลยทำให้เริ่มระแวง.....
“โทษที นี่ห้องฉัน ทำไมฉันจะต้องไปลำบากแบบนั้นด้วย และนาย...ก็ไม่ใช่ผู้หญิง...ถูกมั้ย?” เสียงทุ้มตอบมาอย่างนิ่มนวลแต่หน้าตายียวนกวนประสาทเป็นที่สุด โดยเฉพาะไอ้ยิ้มร้ายๆมุมปากนั่นล่ะตัวดี! หมันไส้นัก
สุดท้ายไดกิก็ยอมจำนนด้วยเหตุผลทุกประการ เลยต้องเดินตามมันเข้าห้องนอนไปแบบเงียบๆ
ไดกิยังใจเต้นกับเรื่องเมื่อครู่ไม่หาย ตากลมจ้องทุกอิริยาบถของยูยะที่นั่งบนเตียงหลังเดียวกัน กระทั่งทิ้งตัวลงนอนห่มผ้า และยังมีแก่ใจยื่นมามือช่วยเขาห่มผ้าให้จนถึงคอ
“หลับฝันดีนะ” กล่าวอวยพรพร้อมกับลูบหัวกลมๆของไดกิ เหมือนส่งเด็กน้อยเข้านอนยังไงอย่างนั้น
…….จะว่าไปตั้งแต่รู้จักกันมา ยูยะก็เป็นสุภาพบุรุษแสนดี ตามใจเขาแทบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเอาแต่ใจแค่ไหนก็ไม่เคยปริปากบ่น ยูยะยิ้ม บ้างก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนจะทำตามบัญชาของเขาทุกอย่าง ไม่มีสักครั้งที่ยูยะจะมีท่าทีคุกคามหรือลวนลามเขาเลยทั้งที่อยู่กันแค่สองคนในห้องหับมิดชิด……..
…….แต่กับจูบนั้นหมายความว่ายังไงกัน ไม่เห็นเข้าใจเลย……..
.....................................
...........................
...............
…..อาริโอกะ ไดกิของทุกคนยังอยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงยามเช้าของวันรุ่งขึ้นครับ…..
ไม่มีเหตุการณ์น่ากลัวประเภท ผีผ้าห่ม เกิดขึ้นอย่างที่นึกระแวง ….เมื่อคืนหลังจากยูยะจับเขานอนห่มผ้าให้ถึงคอแล้วก็ลูบหัวเขาเหมือนเวลากล่อมเด็กเข้านอน อ่า…. จะมีที่ทำให้รู้สึกวูบวาบหน่อยก็ตรงที่มันจูบหน้าผากแล้วบอกราตรีสวัสดิ์นี่แหละ ….จากนั้นต่างคนต่างหลับไปจนถึงเช้า
ยูยะขับรถไปส่งไดกิที่บ้านในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อแวะเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า เพราะตอนที่ติวอยู่เมื่อวานได้ตกลงปลงใจกันแล้วว่าไดกิจะไปค้างที่ห้องยูยะหนึ่งอาทิตย์เพื่อติวสอบ แล้วก็จะได้ทำรายงานต่อด้วย
นางอาริโอกะประหลาดใจในทีแรกที่เห็นลูกชายตัวเองแบกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงมาจากชั้นสอง พร้อมกับบอกกล่าวห้วนๆว่า จะไปค้างบ้านเพื่อนสักอาทิตย์หนึ่ง ...ซึ่งไม่ได้สร้างความเข้าใจให้ผู้เป็นมารดาแม้แต่น้อย... ร่างใหญ่ของยูยะที่ยืนรอรับอยู่จึงรีบปราดมาอธิบายเหตุผลให้คุณแม่ทราบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนคุณแม่ถึงกับออกปากว่าให้ช่วยดูแลลูกชายนางแทนด้วย
ยูยะให้เหตุผลว่า ไหนๆก็ต้องทำงานด้วยกัน ติวด้วยกันแล้ว ห้องยูยะเองก็สะดวกสบายครบครัน แถมยังใกล้มหาลัย เดินทางได้สะดวกกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปๆมาๆ
เช้าๆก็มีสารถีรูปหล่อขับรถมาส่งไปเรียนถึงหน้าคณะ…..
กลางวันมารับไปกินข้าวเที่ยงตามร้านอาหารอร่อยๆรอบมหาลัย…..
เย็นๆก็ยังมารับกลับบ้าน ทำอาหารให้กิน ติวหนังสือ หาของว่างให้กิน แล้วก็ส่งเขาเข้านอน
จะบอกว่าทาคาคิ ยูยะเป็นคนที่มีเวลาว่างเหลือเฟือมากก็ว่าได้ล่ะมั้ง
ตลอดอาทิตย์ที่อยู่ด้วยกันในห้อง ไดกิรู้สึกสะดวกสบายเสียยิ่งกว่าโรงแรมห้าดาว ทั้งของกินของใช้จัดมาให้ไม่ได้ขาด (กรณีนี้เน้นที่ของกิน) ยูยะเติมเต็มกระเพาะน้อยๆของเขาอย่างอิ่มหนำทั้งเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ได้อย่างเลิศเลอเพอร์เฟคจนไดกิชักเคยตัวและติดเป็นนิสัยรักสบาย เพราะมีคนมาประเคนความสะดวกสบายให้ทุกอย่าง อย่างกับเป็นราชาเลยล่ะ!
“ไดจังกับรุ่นพี่เป็นแฟนกันแล้วเหรอ?”
เรียวสุเกะตัดสินใจถามขึ้นมาในวันหนึ่ง หลังจากที่ช่วงนี้เขาเห็นไดกิเดินลงมาจากรถคันเดิมที่เทียวรับเทียวส่งเช้าเย็นไม่ได้ขาด
“เฮ้ย ใครว่าแบบนั้น ไม่ได้เป็นเว่ย!!!” ไดกิก็ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลยว่า ....เขากับยูยะไม่ได้เป็นแฟนกัน....
“แต่นายก็หอบข้าวหอบของไปอยู่กินกับเขาเป็นอาทิตย์อะนะ”
“ก็แค่ช่วยติวหนังสือให้ อ้ะ! แล้วก็ทำรายงานด้วยกันไง”
“แต่มันก็น่าสงสัยอยู่ดี ..รุ่นพี่ปล่อยให้ไดจังอยู่รอดปลอดภัยดีมาได้ยังไงน่ะ” เรียวสุเกะท้าวคางทำหน้าครุ่นคิด …..ไดจังก็ออกจะหน้าตาน่ารัก ตาโต แก้มป่อง ตัวเล็กๆขาวๆท่าทางนุ่มนิ่มไปทั้งตัวแบบนี้ ออกจะเป็นที่หมายปองของใครต่อใครเยอะแยะ แม้แต่เขาเองที่เป็นเพื่อนสนิทก็ยังมีความคิดที่อยากจะจับไดกิมาฟัดสักทีเวลาหมันเขี้ยวมากๆ
…..แล้วกับรุ่นพี่ที่คลุกคลีอยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกันทุกวัน จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยเชียวหรือ?
“บ้า!! พูดไปเรื่อย เราคบกันเป็นเพื่อนไงล่ะ”
“ถามจริงเหอะ ไดจังโดนแอบทำอะไรแปลกๆบ้างรึเปล่า” เรียวสุเกะจ้องไปในดวงตากลมโตของไดกิพยายามเค้นความจริงอย่างไม่ย่อท้อ จนมีจังหวะหนึ่งที่ไดกิเหมือนฉุกคิดขึ้นมาได้
….จะว่าไปก็มีถูกจูบที่หน้าผากโดยที่เขาไม่รู้ความหมายมัน แล้วไดกิก็ไม่กล้าพอที่จะถามตรงๆด้วย ….. มันอาจไม่ได้มีความหมายอะไรลึกซึ้งหรอกมั้ง?
“ไม่มีซักหน่อย!!” สุดท้ายก็ปฏิเสธหัวใจตัวเองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หยุดคิดนานแบบนี้มีแหงๆ บอกมานะ ไดจัง!!”
.
.
“นี่...ทาคาคิมีแฟนหรือยังน่ะ?”
เพราะเรียวสุเกะมาถามอะไรแปลกๆนั่นแหละ ไดกิถึงได้อยากรู้ขึ้นมา…..หลังจากที่หลุดพิรุธออกไปนิดเดียวเท่านั้นก็โดนเพื่อนเป่าหูทั้งวันว่าให้มาถามให้ชัดเจน จะได้ไม่ค้างคาใจ
โอเค ไดกิอาจจะผิดเองที่จู่ๆก็ถามเรื่องนี้ขึ้นมาตอนที่พักกินของว่างระหว่างที่ติวหนังสืออยู่ตรงโต๊ะเตี้ยๆหน้าโซฟา ….ยูยะถึงได้สำลักน้ำชาที่กำลังกินอยู่จนไอค่อกแค่กๆแบบนั้น
“อยู่ๆทำไมถึงถามล่ะ” ยูยะเบี่ยงตัวหันข้างมาหาไดกิอย่างสงสัยเต็มที่ ….ปกติก็ไม่เห็นจะเคยสนใจชีวิตส่วนตัวเขา ทำไมวันนี้มาแปลก…..
“ก็สงสัยนี่..ถ้ามันลำบากใจนักก็ไม่ต้องตอบก็ได้” แต่ทำหน้างอนไปเรียบร้อย แถมยังคว้าคุกกี้ในจานมาเคี้ยวกร้วมๆอย่างดุเดือด
….. อันนี้คือไม่ได้ตั้งใจจะข่มขู่กันเลยจริงจริ๊งงงง
“งั้นบอกของนายมาก่อน” ยูยะยื่นข้อเสนอ
“อ้าว เห่ย ทำไมล่ะ” ไหงคำถามนี้มันย้อนกลับเข้าหาตัวเองได้ล่ะ
“ก็อยากรู้” ไดกิรู้สึกมุกคุ้นๆชอบกล แต่ก็ทำลืมๆมันไปเพราะความอยากรู้ที่มีมากกว่า
“ก็ได้ๆ ฉันโสด ฉันซิง ฉันไม่เคยมีแฟนมาก่อนในชีวิตโอเคนะไม่ต้องเซ้าซี้ ..ตอบของนายมาทาคาคิ!”
“นายซิงอยู่เหรอเนี่ย อุ้บ!” ยูยะปิดปากขำอย่างเอาเป็นเอาตาย ซึ่งเป็นการกระทำที่เหยียดหยามกันอย่างน่าเกลียดใช้ได้ทีเดียวในสายตาไดกิ ….
“ไอ้คนทุเรศ อย่ามาขำคนอื่นแบบนี้นะ” คนตัวเล็กถึงได้แก้มพองขึ้นมาอย่างอารมณ์เสียสุดๆ
“โอเคๆ ฉันก็ยังไม่มีแฟน...หมายถึงตอนนี้น่ะนะ” ในที่สุดยูยะก็ยอมคายออกมาสักที ไม่รู้ว่าจะหวงคำตอบไปทำไมนักหนา
“งั้นนายก็เคยมีงั้นสิ!” ไดกิทำหน้าตื่นเต้น ยื่นหน้าทำตาเป็นประกายเข้าไปเค้นคอใกล้ๆยูยะ
“อืม เคยมี แล้วฉันก็ถูกทิ้งน่ะ”
….คนพูดน่ะพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่คนถามน่ะ รู้สึกผิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไดกิหน้าจ๋อยไปในบัดดล เพิ่งรู้สึกตัวว่าได้ถามคำถามที่ไม่ควรถามไปซะแล้วสิ…..
“ขอโทษ...” ไดกิอุบอิบขอโทษออกมาเสียงอ่อยๆ
“ขอโทษทำไม เรื่องมันนานแล้วน่า ฉันไม่เป็นไรหรอก” ยูยะโบกมือเป็นเชิงว่าไม่ต้องไปใส่ใจ เขาไม่ได้เสียใจเรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว
“ว่าแต่ทำไมแฟนทาคาคิถึงทิ้งนายได้ลงคอนะ นายออกจะเป็นคนดี ….ใจดีมากด้วย”
ไดกิพึมพำพูดไปตามที่ตัวเองคิด ….โดยส่วนตัวแล้วเขาก็เห็นว่ายูยะน่าจะเป็นแฟนที่ดีมากคนหนึ่ง ทั้งนิสัยที่ชอบดูแลเอาใจใส่ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆก็ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ….เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆว่าทำไมคนอย่างยูยะถึงถูกทิ้ง
“ฉันเป็นอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็ขนาดฉัน นายยังใจดีด้วยตั้งเยอะตั้งแยะ” ไดกิก็ขี้เกียจจะนับว่าตั้งแต่ที่รู้จักกันน่ะยูยะทำอะไรให้เขาบ้าง เพราะมันเยอะมากซะจนเขายังคิดว่าตัวเองเป็นราชาอยู่บ่อยๆ
“แล้วไม่คิดมั่งเหรอ? ว่าฉันอาจจะทำด้วยเหตุผลอื่น” ตาคมจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตากลมโตของไดกิที่เริ่มสั่นไหวเพราะคำพูดแปลกๆของยูยะ
“มะ..ไม่คิด” ไดกิรีบหลุบตาลงต่ำเพราะรู้สึกกลัวอะไรบางอย่างจากสายตายูยะอย่างบอกไม่ถูก
“คิดซะสิ คิดให้เยอะๆเลย” ยูยะโน้มตัวมาพูดใกล้หูไดกิ แล้วก็ส่งยิ้มบางๆให้
“นายหมายความว่ายังไง...ชอบฉันเหรอ?”
“นั่นก็เป็นความคิดที่ดีนะ...แต่ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลานอนแล้ว ไปเตรียมตัวอาบน้ำนอนกันได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”
…..ทำไม? ทาคาคิ นายอยากจะพูดอะไรกันแน่ ฉันไม่เข้าใจเลย……
......ตั้งแต่ที่รู้จักกันมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า ไม่รู้จักผู้ชายตรงหน้าเลย......
To be con
I-PrA Talk: มาต่อเร็วผิดปกติวิสัยจังเลยเนอะ ...แต่ก็ดีใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆๆ
ละก็...แอบมีคนจำได้ด้วย ว่าเหมือนชีวิตจริง เพราะว่าฟิกเรื่องนี้มีความตั้งใจที่จะดึงเอานิสัยจริงๆ แล้วก็โมเม้นจริงๆของทาคาไดที่ไดจังเคยเล่าออกสื่อมายำอยู่ในเรื่องเต็มไปหมดเลยล่ะ 555+
อย่างการเรียกชื่อ อาริโอกะคุง~(ด้วยเสียงนุ่มนวล) กับทาคาคิ!(ด้วยเสียงโคตรห้วน) นี่ก็ยังได้ยินมาจนถึงทุกวันนี้ และไม่รู้ว่าชาตินี้สองคนนี้จะเปลี่ยนวิธีการเรียกชื่อกันได้มั้ย 555+
เอาเถอะ มันอาจจะเป็นการแสดงความรักในรูปแบบของทาคาไดก็ได้ล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ #มโนคือชีวิต
ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ
ความคิดเห็น