ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic HSJ]… Mushi Man …[Okamoto Keito x Nakajima Yuto]

    ลำดับตอนที่ #6 : Part 5

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.ย. 54


      

     

      

    [5]

     

    .

    .

    .

     

    สวนสนุกแห่งหนึ่งในโตเกียว

     

                ร่างของสองหนุ่มหล่อคนดังประจำโรงเรียน วันนี้อยู่ในชุดลำลองสบายๆ ด้วยเสื้อยืดแฟชั่นตามสมัยและกางเกงยีนส์สีซีดเข้ากันแบบธรรมดาๆ หากแต่ความดูดีที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวทั้งคู่นั้นไม่ธรรมดา ทำให้ตกเป็นเป้าสายตาจากสาวๆที่เดินผ่านไปมาอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

     

                    สองหนุ่มอยู่ในอากัปกิริยาที่ต่างกัน ฮารุมะยืนพิงกำแพง ชันขายันกำแพงขึ้นมาข้างหนึ่ง ยืนนิ่งๆ หลับตากอดอก ท่าทางเหมือนอยากจะหาที่งีบต่อ ต่างกันกับยูยะที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานและความกระตือรือร้นอย่างสิ้นเชิง ขายาวๆเดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าฮารุมะ บ้างก็หยุดยืนชะเง้อชะแง่งมองมนุษย์ทุกคน รถทุกคันที่ผ่านมาในเวลานี้ พลางรำพึงถึงน้องในทุกๆห้านาที..... กลัวน้องจะไม่มามั่งล่ะ กลัวน้องจะมาแล้วหาพวกเขาไม่เจอมั่งล่ะ...สารพัดที่จะคิดได้

     

    กี่โมงแล้ว ฮารุคนไฮเปอร์เดินไปเดินมาอย่างไม่มีอะไรทำ สุดท้ายก็เลยมาก่อกวนคนที่หิวนอน จนอยากจะหาที่เงียบๆหลับจนได้ ฮารุมะฝืนเปลือกตาเปิดขึ้นเพื่อดูนาฬิกาเรือนโก้บนข้อมือตัวเองให้

     

    สิบโมงครึ่ง.... นายนัดน้องสิบเอ็ดโมงไม่ใช่หรือไง จะรีบถ่อมาทำไมแต่เช้านักหนาฮะ .....ฮ้าวววว  

     

                    ร่างหนาอ้าปากหาวหวอด เนื่องจากนอนไม่พอ เพราะถูกคนขี้ใจร้อนไปลากตัวออกจากเตียงตั้งแต่เช้า จับบังคับล้างหน้าแปรงฟัน ยังไม่ทันได้อาบน้ำก็ตั้งท่าจะลากเขาออกจากบ้านท่าเดียว..... แม้ว่าจะยังง่วงและรู้สึกว่าต่อให้เขานอนไปอีกสักครึ่งชั่วโมงก็ยังไปทันเวลานัดแบบสบายๆ ..... แต่ยังไงก็ตาม เขาไม่สามารถขัดความต้องการของเพื่อนสนิทที่แสนเอาแต่ใจคนนี้ได้เลยจริงๆ

     

                ก็มันตื่นเต้น... นี่เดทแรกของฉันกับน้องยามะจังเชียวนะ

     

                    เหรอออ....ทีตอนไปเที่ยวด้วยกันล่ะ ปล่อยให้ฉันรอเป็นชั่วโมงๆฮารุมะเบ้ปาก จีบปากจีบคอพูดแบบมีจริตด้วยความหมันไส้ ...ชั่วโมงนี้อะไรๆก็น้องยามะไปหมดล่ะ

     

                เฮ้ย ขอโทษ... วันนั้นตื่นสายจริงๆ ....แล้วมันก็แค่ครั้งสองครั้งเอง นายพูดซะเหมือนว่าฉันทำเป็นประจำงั้นแหละ

     

                    เหอะ.... คนสองมาตรฐานฮารุมะทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น กอดเข่าหน้าเชิดและทำปากเบี้ยว งอนเต็มขั้นแบบสาวน้อยซึ่งดูไม่ได้เข้ากันกับภาพลักษณ์หนุ่มหล่อของร่างหนาเลยสักนิด

     

    เลิกงอนเหอะ มันไม่ได้ดูดีเลยนะเมื่อคนที่เขาอยากให้ง้อไม่เล่นด้วย ร่างหนาก็ไม่รู้จะทนทำท่าทุเรศต่อไปทำไม... จังหวะที่ฮารุมะลุกขึ้นมานั้นเองที่ทำให้สังเกตเห็น ว่าคนที่เพื่อนเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อได้มาถึงแล้ว

     

    อ้ะนั่น...น้องยามะของนายมาโน่นแล้ว

     

    ยูยะหันหลังขวับไปตามคำบอกทันที ก็เลยได้ทันเห็นน้องกำลังวิ่งเหยาะๆด้วยหน้าตาสดใสมาพอดี....... ใครจะหาว่าโอเวอร์ก็ช่าง แต่ตอนนี้ยูยะรู้สึกว่าในสายตาของเขานั้น โฟกัสเห็นเฉพาะแค่ยามะจังกำลังวิ่งมาพร้อมกับแบ็คกราวน์ดอกไม้โปรยสีชมพูเท่านั้น!  

     

     

    “ขอโทษที่ให้รอนะครับ”

     

    วันนี้น้องแต่งตัวน่ารักอีกแล้ว >o< เสื้อมีฮู้ดแขนสั้นสีขาวมีลายลิงแลบลิ้นปลิ้นตาหน้าตากวนตีนสกรีนอยู่กลางอก.... ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพอยามะจังใส่ไอ้เสื้อลิงตัวนั้นแล้วมันจะดูน่ารักเข้ากั๊นเข้ากันได้ขนาดนี้ /////>.,</////

     

     

    “คือ...ไดจังขอตามมาด้วย รุ่นพี่ไม่ว่าอะไรใช่มั้ยฮะ” เสียงหวานๆขอมาแบบนี้ มีรึที่คนที่ยอมตามใจน้องทุกอย่างแบบยูยะจะขัดใจได้...... อีกอย่างก็คือวันนี้เตรียมการณ์มาพร้อมรับสถานการณ์(ที่คิดว่าจะกลายเป็น)แบบนี้อยู่แล้วก็เลยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร

     

    “อื้อ...ไม่เป็นไรหรอก ไปเที่ยวหลายๆคนก็สนุกดี^^ ... งั้นเราเข้าไปกันเลยดีกว่านะ” ยูยะหมุนตัวมาเจอหน้าเพื่อนสนิทที่ยิ้มแยกเขี้ยวใส่ก็สะดุ้งสุดตัวที่ลืมแนะนำ เลยหันกลับไปยิ้มหวานใส่น้องอีกครั้ง

     

    “อ้ะ พี่ก็ลืมบอกไป.... พอดีเพื่อนพี่ก็อยากมาเที่ยวด้วยเหมือนกันน่ะ คงไม่ว่ากันนะ” ฮารุมะโผล่หน้าออกมาส่งยิ้มเท่ห์ทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร

     

    “ไม่เป็นไรครับ” ฝ่ายเรียวสุเกะก็ยิ้มตอบอย่างร่าเริง เขาไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว....... ดีเหมือนกัน จะได้ถือว่าเจ๊ากันไปที่เขาพาไดจังติดมาด้วย

     

     

    “งั้น..ไปกันเถอะยามะจัง” ยูยะยื่นมือไปตรงหน้ายามะจัง ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มและยอมจับมือตอบแต่โดยดี

     

    .

    .

     

    “เล่นนี่กันเถอะ”

     

    เรียวสุเกะชี้ไปที่เครื่องเล่นแรกที่มีลักษณะคล้ายจักรยานคู่ที่ใช้แรงปั่นไปบนสายพานที่ลอยอยู่เหนือพื้นดิน

     

    Sky cycle เนี่ยเหรอ~! ไดกิแหงนคอมองเครื่องเล่นคู่รัก แล้วถอนหายใจนิดๆ

     

    “ไดจังก็ไปเล่นด้วยกันเถอะ” ร่างเล็กเอ่ยปากชักชวนด้วยหน้าตารื่นเริงสุดขีด ...มองหน้าก็รู้ว่าคงไม่ได้คิดอะไรนอกเหนือไปจากความอยากเล่นเท่านั้นแหละ

     

    “จะเล่นยังไงล่ะ มันนั่งได้คันละ 2 คน” ไดกิเหลือบตามองหน้ารุ่นพี่ที่ทำหน้าเหมือนหมาถูกทิ้ง ...แล้วตอบแบบนอยด์เล็กๆ

     

    “จริงด้วยสิน้า” เรียวสุเกะมองหน้ายูยะกับไดกิสลับไปมา

    .... ไดจังก็ทิ้งไม่ลง แต่ถ้าไปกับไดจังรุ่นพี่ก็น่าสงสาร อุตส่าห์ชวนมาเที่ยวด้วยกันแท้ๆ

     

    ระหว่างที่ตัดสินใจอยู่นั้นเอง ร่างหนาของฮารุมะก็ฉวยโอกาสลากแขนไดกิขึ้นไปบนเครื่องเล่นคู่กันเสียแล้ว สร้างความตกใจให้กับอีกสองคนที่เหลือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยูยะที่ยืนอ้าปากค้าง อึ้งกับความหน้าด้านระดับเทพของเพื่อนเขาที่อยู่ดีๆไปคว้าแขนคนที่ไม่ได้รู้จักสนิทสนมขึ้นไปเล่นด้วยกันเฉย

     

     

    “อะไรของรุ่นพี่เนี่ย! ใครบอกว่าจะเล่น ห๊า!! ไดกิขืนตัวดิ้นพล่านจากแรงมือของร่างหนาที่ดูจะไร้ผล เมื่อเทียบจากขนาดตัวแล้วดูยังไงก็มวยคนละรุ่น กระดูกคนละเบอร์ชัดๆ

     

    “นี่นายอ่านสถานการณ์ไม่ออกรึไง... สวนสนุกไม่ใช่ที่ๆจะมาเป็นเศษเป็นส่วนเกินได้ ไม่รู้รึไง!?

    “นายเองก็มาเป็นส่วนเกินด้วยไม่ใช่หรือ? ไดกิกัดปาก ย้อนถามร่างหนาเมื่อหมดทางสู้ กระแทกตัวเองลงนั่งบนเบาะเครื่องเล่นอย่างไม่สบอารมณ์

     

    “ก็เพราะรู้ไงว่านายจะต้องมาขวางแน่ๆ” ไดกิจิ๊ปากอย่างขัดใจ.... ดวงตากลมใสนั้นจ้องไปที่ยูยะที่กำลังช่วยเป็นหลักยึดให้ยามะจังขึ้นมานั่งบนเครื่องเล่นอย่างปลอดภัย

     

    “ขวางสิ...ยามะจังของฉันทั้งคน” สายตาของไดกิในขณะที่พูดนั้นเหมือนมีลูกไฟลุกโชนออกมาจากดวงตาเลยทีเดียว

     

    “ชอบเหรอ...” ฮารุมะมองตามสายตานั้นไปก็เข้าใจ.....เขาเองก็เจ็บไม่ต่างกันหรอก

     

    “แล้วมันเรื่องอะไรของรุ่นพี่!

     

    “ถ้าชอบก็ไปทำอะไรให้มันชัดเจนสิ มาทำอะไรครึ่งๆกลางๆแบบนี้ มันเจ็บกันหลายฝ่าย เข้าใจมั้ย!

     

    “..................”

     

    “จะบอกไว้อีกอย่างนะ.. ถ้าน้องยามะเป็นของนายจริงจะตอบรับคำชวนของผู้ชายที่มาขอตัวเองคบทำไม ถ้าไม่คิดจะสานสัมพันธ์ต่อด้วยน่ะ!

     

    โดนคำพูดแทงใจดำเข้าไปไดกิก็ปิดปากเงียบสนิทตั้งแต่นั้นมา .....ไม่ว่าจะปั่นจักรยานเครื่องเล่นจนครบรอบ จนเดินลงมารวมกลุ่มกับยามะจังก็แล้ว ... แม้ว่ายามะจังจะมาชวนไปเล่นเครื่องเล่นอื่นๆ ไดกิก็ทำเพียงแค่ขอนั่งรออยู่เฉยๆเท่านั้น

     

    .

    .

     

    “เป็นอะไรมากรึเปล่าน้า...” เรียวสุเกะชะเง้อคอมองไปทางเพื่อนรักที่นั่งอยู่ไกลออกไปจากแถวของชิงช้าสวรรค์ที่เขาและรุ่นพี่กำลังรอต่อคิวอันยาวเหยียดอยู่

     

    “เป็นห่วงไดจังเหรอ”

     

    “อื้อ...ไม่ร่าเริงเหมือนทุกทีเลย ขนาดชวนไปเล่นรถไฟเหาะของชอบไดจังแล้วแท้ๆ” ร่างเล็กร่ายยาวมาด้วยหน้าตาเป็นห่วงสุดชีวิต

     

    ยูยะเองก็สังเกตได้ว่าตลอดวันที่ผ่านมา ....แม้ตัวน้องจะอยู่กับเขาแต่เรื่องที่น้องคุยก็มีแต่ไดจังอยู่ในบทสนทนา อันนี้ก็เคยมาเล่นกับไดจัง อันนั้นก็ไดจังไม่ยอมมาเล่นด้วย ที่ไหนๆก็เต็มไปด้วยไดจังจนร่างสูงชักจะมองเห็นถึงอนาคตของตัวเองชัดเจนเข้าไปทุกทีๆ

     

    “ยามะจังไปเถอะ...”

     

    “เอ้ะ??

     

    “พี่เข้าใจทุกอย่างแล้ว ไปหาไดจังเถอะ”

     

    “รุ่นพี่หมายความว่ายังไง?

     

    “รักไม่ใช่เหรอ ไดจังที่นั่งหน้างออยู่ตรงนั้นน่ะ.... ยามะจังอาจจะไม่รู้ตัว แต่คนที่มองแต่ยามะจังอยู่ตลอดเวลาน่ะ เห็นมันชัดเจนเลยล่ะ”

     

    “...............”

     

     “บางทีใกล้กันเกินไปก็อาจทำให้มองข้ามบางสิ่งที่สำคัญเหมือนกันนะ..... พี่เองก็เหมือนกัน” สายตาคมจ้องมองไปทางเพื่อนสนิทที่นั่งดูดน้ำรออยู่ห่างๆข้างๆกับไดกิ

     

    “ผมชอบรุ่นพี่ยูยะนะ”

     

    “หา!!!!!!!!!!! ร่างสูงหันมาทำหน้าตื่นตกใจ เบิกตาโต อ้าปากค้างมองไปที่ใบหน้าหวานที่บอกรักเขาพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วยความเหลือเชื่อ..... ไม่จริงน่า .....

     

    “แต่แค่ชอบเหมือนพี่ชายเท่านั้นเอง... รุ่นพี่ใจดีจะตาย ผมอยากได้เป็นพี่ชายจริงๆเลยนะ” เรียวสุเกะพูดประโยคถัดมายิ้มๆ

     

    “เด็กบ้า... หลอกให้พี่ดีใจเก้อได้ไง” ยูยะผลักศีรษะของเรียวสุเกะด้วยความหมันไส้ แล้วลูบเล่นอย่างเอ็นดู .......

     

     

                ........... น่าแปลก ที่เขาอกหัก แต่กลับก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเจียนตายอย่างที่คิด ..........

     

    .......... แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองไม่รู้สึกเสียใจ .........

     

    .

    .

    .

     

     

    ปึ่ดดด

     

    ภาพที่ร่างสูงของยูยะขยี้ไปบนกลุ่มผมนุ่มสลวยของเรียวสุเกะราวกับเป็นการหยอกล้อเล่นกันของคู่รักด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขแบบนั้น ทำให้ไดกิไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เผลอออกแรงบีบแก้วโค้กที่ถืออยู่ในมือจนฝาพลาสติกที่ครอบปากแก้วอยู่ดีๆนั้นลอยหวือทำพาราโบล่าโค้งสวยงามไปพร้อมกับหลอดดูดที่ตีลังกาม้วนหน้าใส่เกลียวสองรอบครึ่งลงไปนอนกองอยู่ด้วยกันบนพื้น

     

    ทำอะไรของนาย กระเด็นเลอะหมดแล้ว ฮารุมะที่นั่งอยู่บนม้านั่งเดียวกันร้องออกมาอย่างตกใจ

     

    อ้ะ!” เหมือนคนทำจะเพิ่งรู้สึกตัว รีบลุกขึ้นสำรวจรอยเปื้อนบนเสื้อผ้า โดยที่มีร่างหนาช่วยหยิบแก้วโค้กที่ไดกิถือเอียงๆหวิดจะหกแหล่มิหกแหล่อย่างน่าหวาดเสียวไปวางบนม้านั่งก่อนที่มันจะเทรดตัวคนถือเอาจนได้

     

    แค่นี้ถึงกับทนไม่ได้เชียวเหรอฮารุมะแกล้งถามยั่ว

     

    แล้วนายทนได้หรือไงกัน!”

     

    ถ้าถามความรู้สึกจริงๆ ฉันก็ไม่ค่อยชอบหรอกนะ แต่ถ้ามันเป็นการทำให้คนที่เรารักมีความสุขได้ ฉันก็มีความสุขด้วย

     

    ทำตัวอย่างกับพระเอกน้ำเน่า

     

    งั้นนายก็เป็นตัวอิจฉางั้นสิ

     

    “อือ ฉันคงเป็นตัวอิจฉาจริงๆนั่นแหละ เพราะฉันทนดูเฉยๆไม่ได้จริงๆ”

    สิ้นคำนั้นไดกิก็เดินย่างสามขุมหน้าตาถมึงทึงจนเหมือนมีออร่าสีดำแผ่ทะมึนอยู่รอบๆตัว ไดกิตรงเข้าไปคว้าแขนของเรียวสุเกะแล้วลากพาออกมาจากแถวอย่างอุกอาจ

     

    ยูยะได้แต่ยืนอึ้งค้างกับความบ้าบิ่นของหนุ่มรุ่นน้องตาปริบๆ ปล่อยให้ตัวเองถูกพรากแก้วตาดวงใจไปอย่างง่ายๆ

     

    “ปล่อยไปแบบนั้นจะดีหรือ ...ไม่ตามไปล่ะ” ฮารุมะเดินตามเข้ามาสมทบทีหลัง หลังจากที่ไดกิลากตัวยามะจังไปจนลับสายตาแล้ว ... มือหนาตบเข้าที่ไหล่ของยูยะแล้วบีบเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ

     

    “ไม่ล่ะ.... ดีแล้ว เป็นแบบนี้ก็..ดีอยู่แล้วแหละ” ยูยะยิ้มออกมาน้อยๆ ตามองตรงไปที่ชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ที่หมุนอย่างช้าๆตรงหน้าเท่านั้น

     

    “ยอมแพ้แล้วเหรอ”

    “อือ ฉันแพ้..แพ้หมดรูปเลย” ยูยะตอบโดยไม่มองหน้าคนถาม ..... ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าที่ยูยะเงยหน้าแบบนี้ก็เพราะต้องการฝืนไม่ให้น้ำตาไหลลงมา

     

    “จะกลับเลยมั้ย” ร่างหนาถามอย่างเอาใจ ....เขาเห็นแล้วว่ายูยะกำลังร้องไห้

    “เดี๋ยวสิ ใกล้จะถึงคิวแล้ว”

    “งั้นเดี๋ยวฉันไปนั่งรอตรงโน้นแล้วกัน” ฮารุมะทำท่าจะเดินกลับไปที่ม้านั่งตัวเดิมอีกครั้ง หากไม่มีคำพูดต่อมาจากยูยะที่เปรียบเสมือนเป็นเชือกเหนี่ยวรั้งร่างหนาเอาไว้ด้วยความสมัครใจ

     

    “ใจคอจะให้ฉันขึ้นไปคนเดียวรึไง ...นายก็รู้ว่าฉันกลัวความสูง” ยูยะพูดด้วยเสียงอู้อี้ ....ซึ่งถึงแม้ว่ายูยะไม่ยอมหันหน้ามาแต่ก็พอจะทำให้ร่างหนาจับได้ด้วยน้ำเสียงว่า ...กำลังเขินอยู่ไม่น้อยที่ต้องมาพูดจุดอ่อนของตัวเอง

     

    “กลัวแล้วก็ยังอยากจะขึ้นไปอีกนะ” ฮารุมะพูดยิ้มๆ หันกลับมายืนลงหลักปักฐานอยู่ข้างๆร่างโปร่งด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง

     

    .

    .

    .

     

     

    “ไดจัง ทำไมทำแบบนี้”

    เรียวสุเกะร้องออกมา เมื่อเห็นว่าเขาถูกพาเดินออกมาไกลกว่าที่ควรและยังไม่มีท่าว่าไดกิจะหยุดเดินง่ายๆ

     

     

    “................”

     

     

    “ไดจัง.... นี่จะเดินไปถึงไหนน่ะ”

     

     

    “................”

     

     

     “ไดจัง ปล่อยเถอะ....ฉันเจ็บ! เรียวสุเกะหยุดเดินตามแรงลาก และใช้แรงที่มียื้อแขนตนเองกลับมาจากการจับกุม

    ไดกิสะดุ้งหลุดจากแรงอารมณ์หึงหวงรีบปล่อยข้อมือขาวๆที่ตอนนี้มีรอยแดงจากแรงบีบลากของตนเองประทับอยู่เป็นตราบาปว่า เขาใช้อารมณ์แบบไร้สติไปแค่ไหน

     

    “ขอโทษ... ยามะจัง” ไดกิทำหน้าจ๋อย พลางใช้มือลูบไล้ไปที่รอยช้ำด้วยความสำนึกผิด

     

    “แล้วมีอะไร ทำไมต้องใช้กำลังบังคับลากกันมาขนาดนี้ คุยกันดีๆก็ได้นี่.... จู่ๆก็ลากฉันมาแบบนี้มันเสียมารยาทกับรุ่นพี่เค้ารู้มั้ย” เรียวสุเกะยืนกอดอกหน้าตาเคร่งเครียด ส่งคำถามมาไม่ยั้ง ....ไดกิก็ก้มหน้าลงต่ำ ทำหน้าบูด ปากยื่นเหมือนเด็กน้อยที่กำลังถูกคุณครูดุอย่างไรอย่างนั้น

     

    “ก็ยามะจังกำลังทำอะไรกับไอ้รุ่นพี่นั่นล่ะ”

    “ทำอะไร ก็แค่ยืนคุยกันเฉยๆ”

     

    “แล้วทำไมต้องยิ้ม ทำไมต้องให้หมอนั่นลูบหัว ทำไมต้องจับมือกันด้วยล่ะ”

    “ก็คนมีความสุขก็ต้องยิ้มสิ หรือจะให้ฉันทำหน้าบูดหน้าเบี้ยวตลอดทั้งวันแบบไม่มีสาเหตุ”

     

    “ก็ฉันไม่อยากให้ยามะจังยิ้มแบบนั้นให้ใครนี่!!!!! ไดกิหลุดพูดสิ่งที่คิดออกมาเสียงดัง.... และดูเหมือนจะไม่สามารถทนเก็บสิ่งที่ทำให้เขาทนอึดอัดมาตลอดวันได้อีกแล้ว 

     

    “ไม่อยากเลย...ไม่อยากให้นายเป็นของใคร ไม่อยากเห็นนายอยู่กับใครอื่นที่ไม่ใช่ฉัน”

     

     

    “ไดจังชอบฉันเหรอ?

     

    ไดกิเงียบไปอึดใจแล้วก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและหน้าตาที่จริงจังว่า 

     

    “ฉันชอบนาย เรียวสุเกะ” ดวงตากลมโตที่เคยสดใสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บัดนี้มันเปี่ยมไปด้วยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และมั่นคง จนเรียวสุเกะอดที่จะเผลอใจเต้นไปกับคนสนิทที่เห็นหน้ากันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันด้วยไม่ได้

     

    “ความรู้สึกที่มีต่อนายมันไม่เหมือนเดิม ฉันไม่บริสุทธิ์ใจต่อนายอีกแล้ว”

     

    ไดกิเดินเข้ามาชิด ใช้มือทั้งสองกอบกุมมือของเรียวสุเกะไว้แนบแน่น ดวงตากลมโตนั้นไม่มีความล้อเล่นอยู่ในแววตาเลย

     

    “เรามาเลื่อนระดับสถานะอย่างเป็นทางการกันดีมั้ย”

     

    เรียวสุเกะอมยิ้มขำกับคำบอกรักแปลกๆและหน้าตาจริงจังเกินเหตุถึงขั้นฮา จนอยากจะถ่ายคลิปเก็บเป็นภาพประทับใจไว้เป็นที่ระลึก .....

     

    “ก็เอาสิ.... แล้วจะเลื่อนเป็นอะไรดีล่ะ”

     

    “แฟน คนรัก คนพิเศษ คนรู้ใจ อะไรก็ได้ที่มันแปลว่าเรารักกันอะ!!

     

    .

    .

    .

     

    “ยูยะ..” ร่างหนาส่งเสียงเรียกเมื่อเขากับยูยะได้เข้าไปนั่งในชิงช้าสวรรค์เรียบร้อยแล้ว 

    “หืม......” ยูยะหันมายิ้มๆเพลินๆ ไม่ทันได้สังเกตว่าร่างหนามีบรรยากาศเปลี่ยนไป มีแววเคร่งขรึมจริงจังมากกว่าเดิม

     

    “ฉันชอบนาย”

     

    “..............”

     

    “ถ้านายไม่ได้ชอบ หรือว่าคิดอะไรกับฉัน ก็รีบลุกออกไปซะก่อนประตูจะปิด”

     

    ปึงงงงง

    “เพราะถ้าช้าแบบนี้ฉันจะถือว่านายเป็นแฟนฉันแล้ว” ร่างหนาพูดยิ้มๆ ควงตาคมกริบจับจ้องไปที่ใบหน้าของเพื่อนอย่างจริงจัง

     

    ประตูกระเช้าปิดลง พนักงานใส่กลอนล็อคแน่นหนา ก่อนที่กระเช้าจะค่อยเคลื่อนตัวสูงขึ้นไปอย่างช้าๆ.....

     

    “อันนี้เรียกว่าให้เวลาคิดแล้วจริงๆน่ะเหรอ” ยูยะอดที่จะท้วงออกมาไม่ได้กับอาการมัดมือชกของเพื่อนสนิท..... แม้เขาจะไม่มีความคิดที่จะลุกออกไปจริงๆก็ตาม

     

    “ทำไมต้องคิดมาก มีคนดีๆที่หน้าตาดีแบบฉันมาชอบทั้งคน” ร่างหนาอวยตัวเองได้หน้าตาเฉย แถมยังลอยหน้าลอยตาอมยิ้มมีความสุขเสียจนน่าหมันไส้

     

    “จะให้เวลาฉันทอดอารมณ์เป็นคนอกหักสักครึ่งชั่วโมงนี่ไม่ได้เลยใช่ม้ะ”

     

    “เดี๋ยวนายไปเผลอชอบใครเข้าอีก” เสียงของฮารุมะดูเบาลงและแฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ จนยูยะฉุกคิดสงสัยถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

     

    “นายจะทำยังไง ถ้าน้องยามะจังกับฉันคบกันจริงๆ” แล้วก็ไม่ทนเก็บความสงสัยไว้กับตัวนาน ยูยะออกปากถามไปตามที่ใจคิด

     

    “ไม่มีทางหรอก เพราะนายชอบฉัน” ร่างหนาจ้องตากลับ พูดคำรักออกมาแบบไม่เขินอาย จนคนฟังต้องเป็นฝ่ายเขินแทน

    ....... ให้มันได้อย่างนี้สิน่า ไอ้ตอนไม่พูดก็อมพะนำเก็บกลั้นความรู้สึกไม่มีคายมาให้ได้ยินเชียวนะ แต่พอถึงเวลาที่พูดออกมาได้แล้วก็พูดเอาๆ ย้ำเข้าไปสิว่ารักว่าชอบ ไม่คิดบ้างหรือไงว่าคนฟังมันทำตัวไม่ถูก ทั้งตกใจ ทั้งเขิน จนไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ารึสบหน่วยตาคมคู่นั้นไปแล้ว!

     

    “แล้วชอบฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “ตั้งแต่แรกเลยล่ะมั้ง”

     

    “โอ้โห นี่คิดอกุศลตั้งแต่รู้จักกันเลยเหรอเนี่ย... แล้วทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก”

     

    “ก็แค่อยากให้ทั้งนายและฉันแน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง แต่มีใครก็ไม่รู้ที่วิ่งมาบอกว่าไปหลงรักเด็กคนนึงเข้า... มันเลยผิดแผนไปหมดแบบนี้ไง”  

     

    ก็ฉันไม่รู้นี่ปากบางเชิดอย่างไม่พอใจ ....อย่าพูดเหมือนเป็นความผิดของเขานะ!

     

    จู่ๆฮารุมะลุกขึ้นย้ายที่นั่งตัวเองมานั่งฝั่งเดียวกับยูยะที่กำลังทำตาลอกแล่กไม่รู้จะวางโฟกัสไว้ที่จุดไหน ไหนจะสีซับเลือดจางๆบนแก้มเนียน ท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูกนั่นอีกล่ะ .....น่ารักจนอดจะยิ้มออกมาไม่ได้

     

    .... ที่ฮารุมะยังยิ้มอยู่ได้ขนาดนี้ก็เพราะคนที่เขารักก็คิดเหมือนกันกับเขา หรืออย่างน้อยๆไม่ได้ตั้งท่ารังเกียจที่เขามีความรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนสนิทตัวเอง  กลับกันลองมาคิดว่า ถ้ายูยะไม่ได้คิดเหมือนอย่างที่เขาคิด หรือเหตุการณ์มันพลิกผันจนไม่เหลือโอกาสถึงเขา .....มันจะเป็นยังไงนะ

     

    ช่างมันเถอะนะ มันผ่านมาแล้ว... แค่ตอนนี้นายรู้ตัวว่าชอบฉันก็พอแล้วฮารุมะใช้รอยยิ้มอ่อนโยน หลอกล่อในการลดระยะห่างระหว่างเขากับยูยะทีละน้อย ค่อยๆโน้มใบหน้าเข้าหาทีละหน่อย จนจมูกโด่งของทั้งคู่เสียดสีกันเบาๆ รับรู้ได้ถึงลมหายใจของกันและกัน

     

    ณ วินาทีที่ฮารุมะปิดตาลงและตั้งใจจะทาบทับริมฝีปากตัวเองลงไปบนกลีบบางสีระเรื่อนั้น

     

    โอ้ย!!!!!!!”

    แทนที่เขาจะได้ดื่มด่ำกับสัมผัสนุ่มนวลดังที่ใฝ่ฝัน กลับต้องมาฝันกระเจิงเพราะยูยะโขกศีรษะกลับมาเต็มรัก เล่นเอามึนแทบจะลงไปนอนนับดาวเลยทีเดียว

     

    อย่ามาฉวยโอกาสกับฉันนะเฟ้ย!!”

     

    …………………

    …………

    …..

     

     

    To be con

     

    โอคาจิม่าหายแซ้บหายสอย ฮ่าๆๆๆ  ตอนหน้าค่ะ ตอนหน้าจะมาแน่นอน แล้วก็คงเป็นตอนจบด้วยเลย 

    ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ใกล้จะจบแล้ว เรื่องนี้จบแน่ๆ
    ใครยังไม่เคยเม้น ท่านได้สิทธินั้นเดี๋ยวนี้
    55+
     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×