คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : ฉันหลงอยู่ในเขา!!!
10
“นาย..ปล่อยฉันนะ”
ยูริรู้สึกหน้าชา กระซิบเสียงรอดไรฟันอย่างเข่นเขี้ยว ....ยูยะไม่ได้แนบริมฝีปากสัมผัสกับริมฝีปากบางของยูริ แต่ทิ้งระยะห่างไว้แค่ลมหายใจกางกั้นพอให้ได้ลุ้นเท่านั้น
“ไม่อยากเป็นข่าวหรือไง ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ” ยูยะขืนแรงรั้งต้นคอระหงของยูริที่พยายามดิ้นหนี
“นาย..จะจูบฉัน..ด้วยวิธีนี้...งั้นเหรอ” ยูริเหมือนโดนดูถูกเสน่ห์ของตัวเองอย่างร้ายกาจ
“แน่นอน อย่าห่วงเลย ฉันไม่ได้คิดพิศวาสนายสักนิด” ใบหน้าหล่อเฉยชา ไร้ความรู้สึก จนยูริแทบทนไม่ได้....สู้จูบจริงๆมาซะเขาจะไม่เจ็บใจเท่านี้เลย
“ไอ้บ้า... นายนี่มัน”
“ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ไอ้เรื่องหลอกลวงเสแสร้งจอมปลอมน่ะ”
“ก็ได้ นายเป็นคนเริ่มเองนะ...”
“หืม... น่ากลัวจริงๆ”
.
.
“จำไว้นะทาคาคิ ยูยะ ต่อไปนี้นายต้องเล่นเป็นแฟนที่น่ารักของจิเน็น ยูริ ...นายต้องทำตามที่ฉันขอทุกอย่าง” หลังจากที่หลบความวุ่นวายภายนอกเข้ามาในห้องรับรองของพีซังเรียบร้อยแล้ว ยูริก็เริ่มต้นออกคำสั่งในทันที
“มากไปละ มากไป”
“ไม่งั้นฉันจะลงไปบอกนักข่าวข้างล่างให้หมดเลย”
“เออๆๆ รู้แล้ว”
“ดี!...งั้นเริ่มจากการไปส่งฉันที่บ้านวันนี้”
“เหอะ ฝันกลางวันอยู่รึเปล่า”
“อย่าลืมนะว่านายทำอะไรกับฉันไว้ นักข่าวข้างล่างถึงได้เยอะซะขนาดนั้น... นายควรจะทำหน้าที่แฟนที่ดี รับผิดชอบแฟนนายไปส่งที่บ้านสิ” ยูริเชิดหน้าจิกตาออกคำสั่งกับยูยะที่ยืนหน้าบูดหน้าเบี้ยวอยู่กลางห้อง
ร่างสูงค่อยๆย่นระยะห่างเข้ามาใกล้ยูริทีละนิดๆ จนมายืนค้ำหัวให้ร่างบางได้แหงนเงยมองจนคอคอตั้ง
“ฟังนะ... ฉันไม่เคยขอให้นายมา ในเมื่อนายมาเองก็ควรจะกลับด้วยตัวเองได้เหมือนกัน เพราะงั้นโชคดีล่ะ” ร่างสูงกระตุกยิ้มชั่วร้ายใส่แล้วเดินหนีออกจากห้องไปในทันที ทิ้งให้ยูริที่ถูกขัดใจโวยวาย อาละวาดอยู่ในห้องนั้นคนเดียว
.........................................
........................
..............
หลังจากที่เห็นภาพบาดตาบาดใจเข้าไปเต็มๆ เรียวสุเกะก็รู้สึกว่าตัวเองทนดูต่อไปไม่ได้ จึงวิ่งหนีออกมาตรงระเบียงทางเชื่อมของตึก เพื่อปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายอยู่ในอกตอนนี้
.........ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องรู้สึกเสียใจ.........
.........ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาตั้งแต่ตอนไหน.........
......เจ็บในอกเหมือนมีใครใช้ของมีคมกรีดเข้าไปที่กลางใจ.......
“ยามะจัง...”
เสียงโทนต่ำเรียกจากด้านหลัง แต่ร่างเล็กก็ไม่ยอมหันกลับไปตามเสียงเรียก กลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วตอบไปด้วยเสียงอู้อี้ๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกครับ” แผ่นหลังเล็กยังสั่นสะท้านจากการร้องไห้จนคนมองรู้สึกสะท้านในใจ
“ยามะจัง เสียใจเรื่องยูยะเหรอ” เคโตะนั่นเอง .... ชายหนุ่มก้าวเข้าไปชิดเรียวสุเกะมากขึ้น
“เอ่อ คือ....”
“มันก็น่าตกใจอยู่หรอกนะ อยู่ดีๆก็มีแฟนหน้าตาน่ารักขนาดนั้นโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ...เจ้านั่นไม่ยอมบอกเพื่อนสักคำ”
“นายเองก็เป็นแฟนคลับของยูยะใช่มั้ยล่ะ ตอนนี้ในเว็บบอร์ดแฟนคลับเจ้านั่นกำลังคร่ำครวญเสียใจอยู่เหมือนกัน... ดูนี่สิ” เคโตะยื่นโทรศัพท์ให้ร่างเล็กดู เรียวสุเกะยอมรับมาดู ก็เห็นว่าเป็นกระทู้เกี่ยวกับเรื่องข่าวของยูยะกับจิเน็น ยูริ มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมาย ทั้งเสียใจแล้วแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่
“ยามะจังก็ควรจะแสดงความยินดีกับยูยะด้วยสิ นานๆทีมันจะสนใจเรื่องความรักมากกว่าอาหาร 3 มื้อสักที” เคโตะปลอบด้วยเสียงนุ่มนวล ค่อยๆชักจูงใจให้ร่างเล็กคล้อยตามไปทีละนิดๆ ค่อยๆลืมเลือนความเศร้าไปทีละหน่อย
“นั่นสินะฮะ ผมควรจะยินดีกับทาคาคิคุง เค้าจะได้ไม่มีเวลามาแย่งของกินกับผมอีกแล้ว”
.
.
.
“สายแล้วๆๆ ยามะจังอยู่ไหนแล้วเนี่ย... แย่ชะมัด ดันลืมมือถือเอาไว้ที่บ้านซะได้”
ไดกิกำลังเดินสับขาว่องไวเท่าที่ความยาวขาจะอำนวยอยู่ริมฟุตบาต มุ่งหน้าที่จะไปยังสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด ร่างบางๆในชุดรัดกุมแน่นหนาตามเคย เสื้อไหมพรมแขนยาวที่ยาวจนโผล่มาให้เห็นแค่ส่วนปลายนิ้ว กางเกงยีนส์ขายาว ผ้าพันคอและบู๊ทขนสัตว์ ปกป้องทุกส่วนสัดไม่ให้สัมผัสอากาศหนาว หรือเชื้อโรคเชื้อไวรัสใดๆเข้ามากล้ำกลายร่างบางๆนี้ได้เลย ถึงแม้จะกันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ป้องกัน
เคย์ขับรถผ่านมาแถวนี้พอดี เห็นร่างคุ้นๆตากำลังเดินอยู่ข้างถนนก็ตบพวงมาลัยเข้าข้างทาง เปิดกระจกรถคันหรูจอดทักด้วยมาดเท่ห์ๆ
“คนน่ารัก.. จะรีบไปไหนเหรอ”
ไดกิเกือบจะไม่หันไปสนใจแล้วกับมุกจีบสาวข้างถนนโบราณๆแบบนี้ ถ้าหากไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงแบบนี้มันคุ้นหูเหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนจนต้องหันหน้าไปมองตามต้นเสียง
“นาย...” ร่างบางทำตาโตด้วยความไม่คาดคิดว่าจะมาเจอกันโดยบังเอิญแบบนี้ได้
“ไง...ไปส่งให้เอามั้ย” ไดกิมีท่าทีลังเล คล้ายจะเกรงใจแต่อีกใจก็เหมือนกำลังเร่งรีบอะไรสักอย่าง เคย์เห็นดังนั้นก็ยิ้มหวาน เอื้อมมือมาเปิดประตูรถบริการให้เสร็จสรรพ ..... ร่างบางยืนชั่งใจอยู่อีกครู่หนึ่งก็ตัดสินใจขึ้นรถมาด้วยจนได้
......นี่เป็นเพราะว่ามันสายมากแล้วต่างหาก เขากลัวเรียวสุเกะจะต้องรอนานไปกว่านี้เท่านั้นเองน่า........
.
.
“นายนัดยามะจังไว้ที่สถานีตอน 9 โมง แล้วนี่ก็จะบ่ายแล้วเนี่ยนะ” เคย์ถามย้ำอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ ..... แม่เจ้า ใครจะนอนยาวไม่รู้เรื่องรู้ราวได้ยาวนานขนาดนี้
“อืม ก็นาฬิกามันไม่ยอมปลุกนี่” อุบอิบบอกเหตุผลไปแบบบิดเบือนความจริงนิดหน่อย
.....จริงๆมันส่งเสียงปลุกมากว่า 5 รอบได้แล้ว แต่ไดกิผู้เป็นศัตรูกับยามเช้าก็ขว้างมันกระเด็นจนถ่านหลุดไปคนละทิศละทาง แล้วก็เผลอนอนยาวมาจนสายป่านนี้เนี่ยแหละ
“ไม่โทรบอกล่ะ”
“ฉันลืมมือถือเอาไว้ที่บ้าน” เคย์แทบจะเอาหัวโขกพวงมาลัยกับความโก๊ะขั้นเทพของพี่ชายผู้น่ารักคนนี้
“เอางี้... เดี๋ยวฉันส่งข้อความบอกยามะจัง แล้วฉันจะไปส่งนายเอง”
.
.
เรียวสุเกะได้รับข้อความจากเคย์ ว่าไดกิอยู่กับเขาแล้วให้ไปเจอกันที่จิบะเลย เพราะตั๋วรถไฟที่ซื้อไว้ล่วงหน้ามันเลยเวลามา(นาน)แล้ว
“แล้วยามะจังจะไปยังไง”
ตอนนี้เขาอยู่ที่ห้องยามะพี หลังจากที่ทำใจสงบเรื่องเมื่อครู่ได้แล้ว เขาก็มานั่งเล่นรออยู่ที่ห้องโดยมีชิเงะซังนั่งทำงานอยู่เป็นเพื่อน
“เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปก็ได้ครับ” เรียวสุเกะยิ้ม แต่ถึงริมฝีปากบางจะวาดเป็นรอยยิ้มก็ตาม แต่ก็เป็นยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม ....ชิเงะเองเป็นห่วงก็เลยอาสาจะไปส่งให้
“ยามะจังไปรอที่ประตูหลังนะ เดี๋ยวฉันไปเอารถก่อน”
.
.
“เอ่อ ทำไมทาคาคิคุงถึงได้..” เรียวสุเกะเอ่ยถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
.... ก็เมื่อกี้ชิเงะซังบอกว่าจะไปเอารถ แต่ไหงคนที่ขับรถชิเงะซังออกมากลายเป็นทาคาคิคุงไปได้ล่ะ!?
“นายลืมอะไรไปหรือเปล่า”
“เอ๋ ลืม...อะไรหรือครับ”
“นายต้องอัดเสียงวันไหน”
“มะรืนนี้ครับ”
“แล้วตอนนี้ซ้อมไปถึงไหนแล้ว”
“แฮะๆ”
“ฉันไม่มีทางปล่อยให้นายไปร้องเพลงของฉัน ทั้งที่ยังเป็นแบบนี้หรอก!”
......................................
........................
............
ณ ชานเมือง จังหวัดจิบะ
เมื่อเดินทางมาถึงบ้านเกิดของบ้านยามาดะในเวลาไล่เลี่ยกันแล้ว ในระหว่างที่สองพี่น้องขึ้นไปไหว้หลุมศพบนสุสาน สารถีของทั้งคู่ ยูยะและเคย์ผู้ที่ไม่มีธุระอันใดต่างมองหน้ากันแล้วก็ไม่วายที่จะแซวกันเอง
“เดี๋ยวนี้รับจ๊อบขับแท็กซี่แล้วเหรอ” ยูยะเปิดฉากขึ้นเป็นคนแรก
“แค่บังเอิญน่ะ” เคย์จอมปากแข็งก็แถไปได้น้ำขุ่นๆเหมือนกัน
“บังเอิญมาไกลเนอะ มาถึงจิบะแน่ะ”
“นายก็เหมือนกันนั่นแหละ ฉันเพิ่งได้ข่าวนายกับจิเน็น .... ทำไมไอ้คนเพิ่งมีแฟนถึงได้มาโผล่อยู่ที่นี่ได้ล่ะ” ยูยะหุบยิ้มฉับ... คนกำลังอารมณ์ดีๆทำไมต้องพูดถึงอะไรที่มันเป็นมลพิษทางหูด้วยวะเนี่ย
“เรื่องของฉันน่า....”
“เฮ้อ นานๆทีจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์แบบนี้ซะที ฉันขอไปเดินเล่นหน่อยละกัน”
“อือ ฉันขอพักอยู่ที่บ้านละกันนะ เหนื่อย...ขับรถมาตั้งไกล” ว่าแล้วอิโนโอะ เคย์ก็ทิ้งตัวลงนอนที่ริมระเบียงบ้านอย่างเกียจคร้านทันที
ยูยะส่ายหัวให้กับการกระทำนั้นแล้วเดินออกไป ....ไหนๆก็มาถึงจิบะทั้งที เขาตั้งใจว่าจะไปหาอากาศบริสุทธิ์หายใจสักหน่อย วันนี้ทั้งวันเขาเจอแต่มลภาวะทางสังคม
ยูยะออกไปเดินเล่นในสวนใกล้ๆบ้านยามาดะนั้นเอง ร่างสูงเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อย อากาศที่สดชื่นอย่างที่หาไม่ได้ในโตเกียว บรรยากาศที่สงบเงียบที่เฝ้าฝันหา เสียงของน้ำตกที่ดังมาจากที่ไกลๆ ทำให้เขาเผลอปล่อยตัวปล่อยใจให้เดินลึกเข้าไปทุกทีๆแบบไม้รู้ตัว
จะมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เดินเล่นจนพอใจแล้วตั้งใจจะเดินกลับไปก่อนที่จะมืดค่ำ
แต่ทว่า.....
......ใครสั่งใครสอนให้สร้างสวนเป็นแนวต้นไม้สูงท่วมหัว แถมยังคดเขี้ยวเหมือนเขาวงกตอย่างนี้วะ!!!
แล้วตอนเดินเข้ามานี่ กรูเข้ามาทางไหน(วะ)เนี่ย
แล้วทีนี้จะออกไปยังไงล่ะ
บะเห้ย!!!!
ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงไปทุกขณะ บรรยากาศสดชื่นสวยงามที่เคยชื่นชมก็เริ่มเปลี่ยนไป ..... ตอนนี้แค่ได้ยินเสียงลมพัดหวีดหวิว ใบไม้ปลิวร่วงหล่นประหนึ่งฉากในละคร หรือแม้กระทั้งเสียงงฝีเท้าของตัวเองยามที่ย่ำลงไปบนใบไม้แห้งดังกรอบแกรบก็ล้วนชวนให้ร่างสูงขนลุกขนชัน หวาดผวา สั่นประสาทไปเสียหมด
....แฟนคลับน้อยคนนักล่ะ ที่จะรู้ว่านักร้องดังยอดนิยมอย่าง “ทาคาคิ ยูยะ” จะกลัวผีอย่างสุดจิตสุดใจ.... ยามใดที่อยู่ต่อหน้ากล้อง หรือว่าต่อหน้าคนอื่นๆแล้วล่ะก็ ความคิดที่อยากจะทำให้ตัวเองดูดี พึ่งพาได้จะทำให้เขาสามารถควบคุมอารมณ์ข่มความกลัวต่อสิ่งลี้ลับได้เป็นอย่างดี แต่ยามใดที่เขาอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนที่เขาไว้ใจแล้วล่ะก็..... ไม่มีทางซะล่ะ ที่เขาจะทนอยู่ในบรรยากาศมืดๆ วังเวงๆอยู่คนเดียว
มือสั่นๆของยูยะตัดสินใจล้วงเอามือถือออกมา กดเบอร์หาเพื่อนที่จำเป็นต้องพึ่งพาในตอนนี้มากที่สุด
.
.
“แย่แล้ว!!!”
“มีอะไรหรือครับเคย์คุง”
“เมื่อกี้ยูยะโทรมา บอกแค่ว่า ‘ฉันหลงอยู่ในเขา’ แล้วสัญญาณก็ตัดหายไปเลย” เคย์บอกเล่าด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
“นี่มันก็จะมืดแล้วนะ เรารีบไปตามหากันเถอะ” ไดกิเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาทันที เขาไม่อยากเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนอื่นเดือนร้อน ....เพราะที่ยูยะและเคย์ต้องลำบากมาถึงที่นี่ก็เป็นเพราะเขาตื่นสายจนพลาดรถไฟเพียงคนเดียว
“เดี๋ยวไดจัง...ผมไปเองดีกว่า” เคย์ลุกขึ้นบอกด้วยน้ำเสียงแน่วแน่
“แต่นายเองก็ไม่รู้ทางไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวก็ได้หลงไปอีกคนหรอก” แล้วก็โดนไดกิตอกกลับไปด้วยเหตุผลจนร่างโปร่งต้องยอมนั่งลงไปตามเดิม
“แต่จะให้นายออกไปคนเดียวตอนมืดๆแบบนี้ ฉันก็ไม่ยอมเหมือนกันนั่นแหละ” จู่ๆเคย์ก็โพล่งขึ้นมาอีกครั้ง.... คราวนี้ใบหน้านวลของไดกิขึ้นสีจัดชัดเจนจนเจ้าตัวต้องแสร้งก้มหน้าก้มตาเพื่อซ่อนมัน
“ไม่ต้องเถียงกันแล้วทั้งสองคน ผมจะไปตามหาทาคาคิคุงเอง”
เรียวสุเกะตัดสินใจออกไปตามหายูยะด้วยตนเอง เหตุเพราะเขาเป็นคนพื้นที่ ดังนั้นย่อมชำนาญทางกว่าเคย์ที่มาครั้งแรก แล้วเขาก็มีร่างกายแข็งแรงกว่าไดกิ .... ร่างเล็กถือกระบอกไฟฉายเดินลัดเลาะเข้าไปในสวนเขาวงกตของหมู่บ้านที่เป็นสถานที่วิ่งเล่นของเขากับไดกิมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ท่ามกลางความเป็นห่วงเป็นอย่างมากของพี่ชายอย่างไดกิ
“ทาคาคิ..... ทาคาคิคุงงงง”
เดินมาก็ลึกแล้ว ท้องฟ้าก็มืดลงทุกที แต่ยังไม่เห็นวี่แววของร่างสูงสักนิด เรียวสุเกะจึงตัดสินใจจะโกนเรียกหาไปเรื่อยๆ
“ฉะ...ฉันอยู่นี่”
“เอ้ะ นั่นทาคาคิคุงหรือเปล่า” เรียวสุเกะได้ยินเสียงแว่วๆเล็ดลอดออกมา ก็เลยเดินไปตามต้นเสียงที่ได้ยิน
“...เรียว..สุเกะ” เสียงสั่นๆดังออกมาจากร่างที่ซุกตัวอยู่ตรงมุมของพุ่มไม้เลื้อยขนาดใหญ่ คล้ายจะใช้เป็นที่อำพรางจากสรรพสิ่งต่างๆที่นึกกลัว
“อ๊า เจอตัวสักที ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ผมมาช่วยแล้ว”
ร่างสูงใหญ่ของยูยะ พอได้มานั่งห่อตัวกอดเข่าขดเป็นกุ้งอยู่แบบนี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเล็กไปถนัดตาเลยทีเดียว
“ทำไม....” ร่างสูงส่งคำถามที่คล้ายจะแปลกใจกับการเห็นเขาที่นี่
“ก็ทาคาคิคุงเคยบอกว่าไม่ถูกกับความมืดนี่นา ผมเห็นว่ามันเริ่มมืดแล้วก็เลยมาตามหา ทาคาคิคุงไม่เป็นไรใช่มั้ย ลุกขึ้นมาเถอะ” มือเล็กถูกยื่นไปให้ ซึ่งในยามนี้ยูยะก็ใช้มันในการยันตัวยืนขึ้นแต่โดยดี
“มะ...ไม่เป็นไรแล้ว อ้ะ!!” เสียงลมและเสียงของกิ่งไม้ใบไม้ที่เสียดสีกัน บรรยากาศของสวนที่มีแต่พุ่มไม้ที่ถูกเลี้ยงมาให้สูงใหญ่และหนาทึบราวกับกำแพงและท้องฟ้าที่มืดครื้ม ไม่แปลกเลยที่จะทำให้คนขวัญอ่อนสักคนนึกกลัวจนจะเป็นบ้าได้ และมันก็เป็นไปได้เช่นกันว่าคนขวัญอ่อนอย่างยูยะจะถลาไปคว้าเอาชายเสื้อของเรียวสุเกะไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ดวงตาคมกลอกไปมาอย่างระแวดระวังภัย
“หรือว่า....ที่ออกมาไม่ได้เนี่ย เพราะทาคาคิคุงกลัวผี”
“อย่าพูดนะ เดี๋ยวมันก็ออกมาหรอก” เจอคำพูดไร้เดียงสาราวกับเด็กประถมเข้าไป เรียวสุเกะก็อดที่จะแกล้งร่างสูงไม่ได้
“ออกมาก็ดีสิ ผมชอบเรื่องลึกลับอยู่ซะด้วยสิ”
“ไม่ต้องเลย หยุดคิดแบบนั้นเดี๋ยวนี้นะ นายก็รู้ว่าที่นี่มีสุสาน”
“แหม ผมมีเรื่องผีจะเล่าให้ทาคาคิคุงฟังตั้งเยอะแน่ะ เรามาเล่ากันระหว่างเดินกลับกันมั้ยครับ”
“นาย....ห้ามพูดนะ ห้ามเล่าเด็ดขาดเลย” เรียวสุเกะรู้สึกสนุกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นยูยะอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การได้แกล้งร่างสูงคืนบ้างก็ถือเป็นความใฝ่ฝันของเขาอย่างหนึ่งเหมือนกัน
หลังจากที่เรียวสุเกะแกล้งแหย่ยูยะด้วยเรื่องผีมาตลอดทาง สุดท้ายก็ออกมาจากป่าเขาวงกตได้โดยสวัสดิภาพ แม้ว่าเสื้อของเขาจะย้วยจนแทบไม่เหลือสภาพจากแรงดึงทึ้งของยูยะก็ตาม..... ตอนนี้เขากำลังรอให้ไดกิมารับกลับที่พักตามที่นัดแนะกันไว้ตั้งแต่แรก แต่เพราะว่าเขาไม่ได้พกมือถือติดมาด้วยจึงทำได้แต่นั่งรอไปเรื่อยๆเท่านั้น
“ตอนนี้ทุกคนคงจะเป็นห่วงทาคาคิคุงแย่เลยนะฮะ”
“นายก็ด้วยนั่นแหละ”
“ผมก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับของทาคาคิคุงนะฮะ”
“จะบ้าเหรอ นายน่ะเป็นสมาชิกคนนึงในวง แล้วก็เป็นคนเดียวที่ได้ร้องเพลงของฉันต่างหาก” ร่างสูงแก้คำพูดให้ ...... เรียวสุเกะฟังแล้วก็ยิ้มออกมาบางๆอย่างเศร้าสร้อย
....แม้แต่แฟนคลับก็ยังเป็นไม่ได้เลย จะหวังอะไรที่มากกว่านี้อีกละเรียวสุเกะ.....
“วันนี้ท้องฟ้าสวยจังเลยนะครับ ดาวเต็มท้องฟ้าเลย” ร่างเล็กเฉไฉทำเป็นมองท้องฟ้า หน้าเรียวแหงนเงยขึ้น หน่วยตาเรียวแวววาวคลอด้วยน้ำใสๆ เก็บกลั้นความรู้ที่เอ่อล้นออกมา กลัวว่าเขาจะแสดงออกให้ยูยะรู้มากเกินไปแล้วจะทำให้ร่างสูงต้องลำบากใจ
“นายไม่ได้จะเล่าเรื่องผีอีกใช่มั้ย” ยูยะถามอย่างหวาดๆ
“ผมคิดว่าผมเจอดวงดาวที่พิเศษสำหรับผมแล้วล่ะ”
“เหรอ”
“ทั้งสวยงาม เปล่งประกาย แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยน”
“หึ อะไรจะขนาดนั้น”
“ตั้งแต่เกิดมาผมก็เพิ่งได้เจอดวงดาวแบบนี้เป็นครั้งแรก ..... แต่ว่ามันอยู่สูงเกินกว่าที่ผมจะเอื้อมถึงได้” เรียวสุเกะจ้องหน้าร่างสูงแล้วน้ำตาที่กักเก็บไว้มานานก็ไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
“แล้วไง..นายก็เลยได้แต่มองอยู่ต่อไปอย่างนั้นเหรอ” ยูยะพยายามเพ่งสายตามองหาดาวที่ร่างเล็กพูดถึง แต่มองจนทั่วแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีดาวดวงไหนเป็นอย่างที่ว่า
“..............”
“ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง แล้วจะได้มันมาได้ยังงะ.......นะ..นาย... ร้องไห้ทำไม” ยูยะทำหน้าตกใจเมื่อหันกลับมาเจอร่างเล็กที่น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ......เรียวสุเกะจึงรีบใช้หลังมือปาดเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ
“เฮ้...ยูยะ ยามะจัง อยู่ที่นี่รึเปล่า”
“เรียวจัง ได้ยินฉันมั้ย”
แสงไฟจ้าที่สาดมาพร้อมกับเสียงร้องตะโกนของเคย์และไดกิ ทำให้เรียวสุเกะรีบลุกขึ้นกระโดดเหยงๆพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณให้สองคนนั้นหาพวกเขาเจอ
“เรียวจัง!!!!” ไดกิเห็นน้องชายยืนโบกมืออยู่ไม่ไกลก็รีบวิ่งเข้าไปสวมกอดไว้แน่น
“ฉันเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ” เรียวสุเกะก็เลยถือโอกาสนี้ซุกซอกไหล่ของพี่ชายกลบเกลื่อนรอยน้ำตาทันที
“ยูยะนายไม่เป็นไรใช่มั้ย..... เรากลับกันเลยเถอะ ป่านนี้พีซังคงเต้นเป็นเจ้าเข้าไปแล้ว” เคย์พูดอย่างร้อนรน
“ทำไมล่ะ ก็โทรไปบอกสิ”
“ฉันโทรไปครั้งสุดท้ายตอนบอกว่านายหลงอยู่ในเขา แล้วตอนนี้มือถือฉันแบตหมดไปแล้ว ของนายก็ด้วยใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วของยามาดะ”
“ไดจังบอกว่าพีซังเพิ่งเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ยามะจังเมื่อกลางวันนี่เอง เพราะงั้นก็เลยไม่มีเบอร์ของใครสักคน อ้อ แล้วก็ของไดจัง รายนั้นลืมมือถือไว้ที่บ้านตั้งแต่ออกมาแล้วล่ะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
สุดท้ายยูยะก็ต้องยอมกลับไปกับเคย์ เพราะรู้นิสัยของยามะพีดี รู้ว่ารายนั้นจะทนอยู่เฉยๆนานๆไม่ได้จนต้องทำอะไรที่มันเอิกเกริกเกินไปเพื่อช่วยเขา หรือบางทีตอนนี้อาจมีหน่วยค้นหาทั้งทางบกและทางอากาศที่กำลังตามหาเขาตามป่าเขาอยู่ก็ได้
แต่พอชวนสองพี่น้องกลับด้วนกัน เรียวสุเกะเองก็ยืนกรานว่าจะตามกลับไปวันพรุ่งนี้ ไดกิก็เลยจะอยู่เป็นเพื่อนอย่างแน่นอนที่สุด สองหนุ่มโตเกียวก็เลยต้องขับรถกลับกันเองอย่างช่วยไม่ได้
.
.
“นอนไม่หลับหรือ”
ไดกิเห็นว่าน้องชายยังไม่เข้าไปนอนก็เลยออกมาตาม แล้วก็พบว่าเรียวสุเกะกำลังนั่งห้อยขาเหม่อมองฟ้าอยู่ที่ริมระเบียง สถานที่โปรดของพวกเขาพี่น้องตอนที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่
“นิดหน่อยน่ะ ไดจัง” เรียวสุเกะหันมายิ้มให้พี่ชายที่ตั้งท่าจะหย่อนขาลงนั่งข้างๆเป็นเพื่อนเขา
“เรียวจัง..... มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า...บอกฉันได้นะ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกไดจัง แค่เครียดเรื่องอัดเสียงวันมะรืนน่ะ”
“อย่างนั้นน่ะเอง ...แล้วมันเป็นเพลงที่มีเนื้อหายังไงล่ะ”
“ความรักน่ะ รักข้างเดียวด้วย”
“โอ้ น้องฉัน...ได้ร้องเพลงอกหักรักคุดหรือเนี่ย”
“ผมไม่รู้ว่าจะร้องมันยังไงดี”
“อืม....เอางี้สิ นายก็ลองนึกถึงความรู้สึกที่เหมือนว่าได้รักใครสักคนโดยที่ไม่ได้หวังอะไรน่ะ แค่ความรู้สึกที่อยากจะรักเท่านั้นก็พอ”
“ไดจังพูดเหมือนมีประสบการณ์เลย”
“ฉะ..ฉันก็จำมาจากในละครนั่นแหละน่า”
“โอเคๆ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะพยายามให้ดีที่สุดแล้วกัน”
“เข้าใจแล้วก็มานอนเถอะ ดึกแล้วน้ำค้างลง เดี๋ยวก็เป็นหวัดเอาหรอก” ไดกิทำท่าจะไม่ยอมลุกไปไหนจนกว่าน้องชายจะเข้าห้องนอน เรียวสุเกะจึงจำยอมเข้าไปนอนแต่โดยดี เพราะเป็นห่วงว่าพี่ชายจะเป็นฝ่ายไม่สบายแทน เพราะมานั่งเฝ้าเขาแบบนี้
To be con
เนื้อเรื่องดำเนินมาถึงครึ่งเรื่องแล้วล่ะมั้ง (เหรออออ) .... ตอนนี้ทากะจังหลงอยู่ในเขา..เขาวงกต ฮ่าๆๆๆ (ไอประช่างคิดได้....) ภาพพจน์พระเอกป่นปี้เพราะมี๊เองแหละ ไม่ใช่ใคร55+
ช่วงนี้ประเปิดเทอมแล้ว เทอมสุดท้ายปีสุดท้ายในมหาลัย ฮิ้วว... และการทำตัวจบนั้นก็อาจทำให้ความสามารถให้การต่อฟิกลดลง เหอะๆๆ ตอนนี้ยังเหลือในสต็อกอีกประมาณ 2 ตอน ดังนั้นตอนหลังๆอาจจะต่อช้าหน่อยนะ จะพยายามเข็นในจบก่อนถึงช่วงพีคของการสัมมนาน้าทุกโคนนนน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ขอบคุณทุกคอมเม้น(โค้งๆ)
นักแต่งฟิกทุกคนมีชีวิตอยู่ได้ด้วยคอมเม้นนะคะ ดังนั้น เชิญติชมได้ตามสะดวกน้า^^
ความคิดเห็น