ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic HSJ]… Mushi Man …[Okamoto Keito x Nakajima Yuto]

    ลำดับตอนที่ #7 : Part Final

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 54


     

    [6]

     

     

     

    ผมเป็นคนหวงของ.... โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ได้มายากๆด้วยแล้ว

    เคโตะ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ผมหวงมากที่สุด

     

     

    “เคโตะคุง... มีคนพาเที่ยวงานเทศกาลรึยังจ้ะ”

    “ไปกับพวกเรามั้ย”

    “ใช่ๆ พวกเราจะพาเคโตะคุงไปเองนะ”

     

    “เอ่อ”

     

    “เคโตะคุงอยากลองทำอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”

     

    ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นก็คือภาพที่สาวๆกำลังเข้ามารุมล้อมรอบโต๊ะเคโตะ.... จริงๆก็ควรจะเป็นเรื่องปกติที่เห็นจนชินชาได้แล้ว

    .....แต่วันนี้ทำไมผมถึงเห็นว่ามันขัดหูขัดตาชอบกล.....

     

     

    ยามะจัง ไดจัง ปีนี้ไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกันนะ!!” ผมเผลอตัวพูดเสียงดังขึ้นมาแข่งกับเสียงแหลมๆอย่างกับนกกระจอกแตกรังของพวกสาวๆ ....เกิดความเงียบในห้องไปชั่วขณะด้วยความตื่นตกใจ สายตาของทุกคนมองมาที่ผมอย่างสงสัย แน่นอนว่านายเม่นก็ด้วย

     

    แค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วยยามะจังเอ็ดผมไม่จริงจังนัก

    ....นั่นสินะ ทำไมผมถึงต้องตะโกนทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย...

     

    หรือว่า อยากให้ใครคนอื่นได้ยินด้วยยามะจังหรี่ตาเล็กลง สอบสวนผมด้วยหน้าตากรุ้มกริ่ม

    ใครเล่า ไม่มีซะหน่อยผมได้แต่เดินหนีอายไปนั่งที่โต๊ะ   

    ยามะจัง ก็ไหนว่า....คล้อยหลังผมไปได้ไม่เท่าไหร่ ไดจังก็ทำท่าจะแย้งอะไรขึ้นมา

    ชู่ว~ รอดูไปก่อน

     

     

     

    เคโตะคุงเพื่อนสาวคนหนึ่งสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าร่างหนากำลังทุ่มความสนใจอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่พวกเธอ

    เคโตะคุง มีอะไรเหรอแต่มองตามสายตาของเคโตะไปก็ไม่ช่วยให้เธอเกิดความเข้าใจใดๆขึ้นมา

    ตัดสินใจได้รึยังจ้ะ ไปเที่ยวงานกับพวกเรานะ

     

    เรื่องงานเทศกาล ผมต้องขอโทษทุกคนที่ไม่สามารถไปด้วยได้จริงๆนับว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เคโตะจะตอบกลับพวกสาวๆด้วยประโยคยาวๆแบบนี้.....ปกติจะแค่ยิ้ม ตอบรับสั้นๆหรือไม่ก็หลบเลี่ยงเท่านั้น

     

    เอ๋ ทำไมอย่างนั้นล่ะ

    เคโตะคุงมีนัดแล้วหรือ

    สาวๆมีท่าทางกระเง้ากระงอดด้วยความเสียดาย แต่เคโตะก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ

     

    ครับ มีคนสัญญากับผมเอาไว้แล้ว

    ใครกันเหรอ เคโตะคุง คนพิเศษหรือเปล่า

     

    ครับ คนพิเศษของผม ร่างหนาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มสว่างไสว

     

    ...นั่นมันอะไรกัน! ไอ้คำพูดแบบนั้น แถมยังสายตาที่มองตรงมาที่ผมอย่างไม่ปิดบังนั่นอีก....

     

    ผมได้แต่นั่งนิ่งราวกับถูกสายตาคมปลาบนั้นสาปเป็นหินแข็ง ค้างอยู่ที่โต๊ะเรียนแบบนั้น

    พวกสาวๆเริ่มหันไปซุบซิบกันอย่างโจ่งแจ้ง

     

                นะ... ยูโตะริน

     

                    ทุกคน!! ช่วยบอกผมที นี่มันประโยคคำถามประเภทไหนกัน

    แล้วผมจะตอบอะไรได้ ในเมื่อเจ้าตัวมายืนยิ้มอ่อนโยนเป็นคนแสนดีอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

     

     

    ออดดดดดดดดดดดด

     

    เสียงกริ่งเข้าห้องดังขึ้นมาช่วยชีวิตผมไว้ได้อีกครั้งแล้ว

     

    ไดจังโบกมือลาหยอยๆแล้วก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ... เพื่อนๆในห้องก็ขยับเข้ามานั่งที่ตามปกติ แม้ว่าสายตาของทุกคนจะยังคงพุ่งเป้ามาที่ผมอย่างไม่ลดละ

     

    ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างเงียบเชียบ

     

     

     

     

     

     

     

    แล้วไอ้หัวเม่นมันยังจะมายืนทำด๋อยอะไรอยู่ตรงนี้เล่า!!!!

     

    “ไปนั่งที่สิ”  ผมตั้งใจจะไล่มันกลับไปนั่งที่ด้วยเสียงดังๆเป็นการแก้เขิน แต่ทว่าเส้นเสียงของผมมันกลับไม่เป็นใจ ทำให้เสียงที่เปล่งออกมามันช่างเบาบางราวกับเสียงกระซิบ

     

                    “อืม” มันตอบสั้นๆพร้อมกับยิ้มบางๆแล้วก็ยอมเดินกลับไปนั่งที่แต่โดยดี

     

     ..... พอแล้วเถอะได้โปรด อย่าฆ่ายูโตะรินให้ตายด้วยรอยยิ้มละลายใจแบบนี้บ่อยๆนักเลย..... 

                   

    .

    .

    .

     

    พักกลางวัน

     

    ผมแอบหลบมาพักกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร เพราะผมรู้สึกกลัวสายตาประหัตประหารจากสาวๆหลังจากที่ไอ้หัวเม่นนั่นสร้างเรื่องไว้เมื่อเช้านั่นแหละ

     

    “อ้าว น้องเพื่อนยามะจังใช่มั้ย วันนี้ก็ลงมากินข้างล่างเหรอ”

    จะว่าเป็นโชคดี หรือโชคร้ายกันนะที่ผมเจอรุ่นพี่สองคนนี้แบบวันนั้นอีกแล้ว แถมเจ้าตัวยังกวักมือเรียกผมไปนั่งด้วยกันอีกต่างหาก

     

    ช่วงหลังๆนี้ผมไม่ค่อยเห็นพวกพี่มาที่ห้องผมเลยนะครับผมชวนคุยไปตามประสาคนอัธยาศัยดี

    อ่า เกรงใจคนบางคนน่ะผมสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่คนที่ตัวบางกว่าเหล่ไปยังเพื่อนตัวหนาที่นั่งข้างๆเล็กน้อย

    เห....ใครหรือครับเอาล่ะสิ...ยูโตะรินหูตั้งอีกแล้ว อย่ามาทำให้อยากรู้แล้วก็จากไปแบบนี้เชียวนะรุ่นพี่!

    ลองไปถามยามะจังดูสิ

    รุ่นพี่ยกยิ้มใส่อย่างมีเลศนัย แล้วก็ทิ้งปริศนาไว้ให้ยูโตะรินคาใจอีกละ ....อยากรู้นะเนี่ย

     

    .

    .

     

    ผมเดินกลับขึ้นไปที่ห้องเรียนด้วยหัวใจที่สั่นรัว

     

    น่าแปลกที่ผมไม่ได้รับรังสีอำมหิตจากพวกสาวๆอีกแล้ว บางคนถึงขั้นยิ้มล้อเลียนใส่ผมก็มี

     

    ......เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ผมไม่อยู่หรือเปล่านะ.......

     

     

     

    “นี่ มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหรอ” ผมเดินไปถามเอากับยามะจังและไดจัง

    ยามะจังหันมายิ้มแฉ่งใส่ผม ไดจังเองก็ไม่ต่างกัน จนผมต้องขมวดคิ้วสงสัยเข้าไปใหญ่ ....

     

     

    “บอกให้ก็ได้... เมื่อกี้หลังจากที่นายลงไป เคโตะก็ลุกขึ้นมาพูดปกป้องนาย แล้วก็สั่งเด็ดขาดว่าห้ามยุ่งกับยูโตะรินของผม แล้วก็อะไรอีกนะไดจัง”

     

    “ให้ยูโตะไปถามเจ้าตัวเองดีกว่า เดินมานู่นล่ะ” ไดจังยิ้มกว้างแล้วชี้มือไปทางด้านหลังผม

     

     

    ////////ยูโตะรินของผม///////// 

     

     

    ////////ยูโตะรินของผม///////// 

     

     

    ////////ยูโตะรินของผม///////// 

     

     

     

    ตอนนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนจะมาพูดอะไรกับผมต่อจากนี้ ผมก็ไม่รับรู้แล้ว

     

    นี่ยามะจังดีดยาเสน่ห์ติดมากับคำพูดรึเปล่า ทำไมคำๆนี้ถึงได้กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวผมไม่ยอมไปไหน ขนาดว่าไม่ได้ยินเองกับหูด้วยเสียงทุ้มๆนุ่มหูของหมอนั่นด้วยอะนะ

     

     

    .......โอ้ย แค่คิดยูโตะรินก็อยากไหลตาย .......

     

     

     

     

    “นายไปไหนมา ฉันลงไปตามหาตั้งนาน”

     

    แค่คิดอยู่ไม่ทันไร ตัวเป็นๆก็โผล่มาให้เห็นแบบสมจริงทั้งภาพและเสียง ... หน้าหล่อๆที่พราวไปด้วยหยาดเหงื่อซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการวิ่งตามหาผมด้วยนั้นทำร้ายผมได้ไม่เท่ากับความเป็นห่วงเป็นใยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อนั้น

     

    “อย่าวิ่งหนีไปแบบนี้อีกนะ ฉันไม่อยากเสียนายไปอีกแล้ว” เคโตะดึงผมเข้าไปกอดแบบไม่ทันตั้งตัว แขนแข็งแรงนั่นรัดเอวผอมๆของผมแน่น

     

    “ก็ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย”  ผมซุกหน้าลงบนบ่ามันแบบอย่างเขินอาย ….ตอนนี้หน้าผมคงจะแดงๆๆ และแดงจนแทบระเบิดบึ้มเป็นโกโก้ ครันซ์อยู่บนดาวฮันนี่ สตาร์ได้อยู่แล้ว

     

    จังหวะนั้นเองที่สายตาของผมไปประสานเข้ากับตาโตๆของไดจัง และตาใสๆของยามะจังที่จ้องมาอยู่อย่างจัง

     

    และผมก็เพิ่งจะตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่า ผมกับมันกำลังยืนโรแมนซ์ดราม่ากันอยู่กลางห้อง โดยที่มีเพื่อนๆในห้องร่วมรับรู้และเป็นสักขีพยานกันอยู่เต็มห้อง

     

    “อะแฮ่มๆ จะทำอะไรเกรงใจคนแถวนี้บ้าง นั่งกันอยู่เยอะแยะ” ยิ่งได้ยินเสียงแซวของไดจังที่มียามะจังเป่าปากเป็นลูกคู่ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโคตรอาย ...อายแบบไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ก็เลยซุกอยู่กับอกมันต่อไปแบบนั้น

     

     

    ..........ยูโตะริน อยากตายยยยย .............

     

    ..........ไอ้หัวเม่นนี่รู้จักคำว่าเขินอายกับเขาบ้างมั้ยเนี่ยยยยยยย!!!!!!

     

     

    ................................

    ...................

    .......

     

     

    และแล้วงานเทศกาลก็มาถึง

     

    เอาโอบิสีไหนดีละ

    อันนี้ดีกว่าๆ

     

    ผมถูกยามะจังกับไดจังเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้อาบน้ำปะแป้งจนตัวหอมฉุยตั้งแต่เย็น จัดการเตรียมชุดพร้อมทั้งจัดการใส่ให้เรียบร้อยอย่างกับผมเป็นตุ๊กตารึไม่ก็เป็นลูกของทั้งสองคนอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็ให้ไปนั่งรอนายเม่นมารับอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ส่วนสองคนนั้นบอกว่าจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านแล้วตามไปที่งานเลย

     

    ผมก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งๆนอนๆดูทีวีรออยู่ในบ้าน...... แต่ไม่นานเกินรอนายหัวเม่นก็มายืนส่งยิ้มหล่ออยู่หน้าบ้านผมแล้ว

     

    ไปกันเลยไหมนายเม่นส่งเสียงนุ่มทุ้มถามมาอย่างเก้อเขิน ผมพยักหน้ารับเบาๆ แล้วเราก็เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆ

     

    วันนี้ผมอยู่ในชุดยูกาตะสีเทาอ่อนๆ เช่นเดียวกับนายเม่นที่ใส่สีเข้ม....แลดูเข้ากันอย่างประหลาด ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ามีเบื้องหลังเป็นคู่หูไดยามะกันแน่นะ

     

    ......แต่ต้องยอมรับเลยว่าไอ้อิงลิชบอยนี่มันใส่อะไรก็ขึ้นจริงๆ //////>o<///////

     

     

    เราจะไปไหนก่อนดีล่ะ ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียว รู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่หน้าทางเข้างานเทศกาลแล้ว..... ผมหันไปมองหน้าคนพูด ก็เห็นว่าตาเล็กๆของเคโตะมีประกายวิบวับด้วยความตื่นตาตื่นใจ ใบหน้าคมหันซ้ายหันขวามองร้านรวงข้างทางและคนมากมายที่สวมยูกาตะมาเที่ยวอย่างตื่นเต้นตลอดเวลา  

    .....มองๆไปแล้วก็ เหมือนเด็กชะมัด .....

     

    หิวไหมล่ะ ไปหาอะไรกินกันก่อน

    อืม ก็ดีนะ

     

    .

    .

     

    ตรงนั้นๆๆ ยามะจังช้อนให้ได้นะ

    อ๊า......ขาดซะแล้วอ่า

    ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลองเอง

    ไดจังสู้ๆ

     

    อีกด้านหนึ่งของงานเทศกาล คู่หูไดยามะก็กำลังสนุกสนานกับการช้อนปลาทองจากอ่างน้ำเล็กๆที่จัดไว้ให้ผู้คนที่มาเที่ยวชมงานได้มาประลองฝีมือ

     

    ยัตต้า!! ได้แล้ว!!!!” ไดกิยิ้มกว้างออกมา เมื่อการท้าทายความเป็นลูกผู้ชายของเขาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พนักงานยื่นถุงพลาสติกที่มีปลาทองที่เขาช้อนได้สองตัวว่ายวนเวียนกันอยู่ในนั้นให้ เรียวสุเกะยื่นมือไปรับแทนด้วยรอยยิ้ม

     

    ไดจัง...ขอบคุณนะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงทาโกยากิเป็นการตอบแทน

    ไม่เอาอ่ะ เบื่อแล้ว ขอเป็นอย่างอื่นบ้างไม่ได้เหรอ

    ไดจังอยากได้อะไรล่ะ หรืออยากเปลี่ยนเป็นแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลแทน... แต่ฉันว่าถ้าเปลี่ยนเป็นสตรอเบอร์รี่คงจะอร่อยกว่าแน่ๆเลยอะ

    ฉันว่ามีอย่างอื่นที่อร่อยกว่านั้นอีกนะ

    จริงดิ อะไรเหรอเรียวสุเกะทำตาโตด้วยความอยากรู้

    ตามมาสิไดกิยกยิ้มแปลกๆ เหมือนกับว่ามันเคลือบแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์บนใบหน้ายิ้มๆนั้น.... แต่อย่ากระนั้นเลย เรียวสุเกะก็ได้เดินตามต้อยๆโดยไม่ได้ตระหนักถึงภยันตรายใดๆเสียแล้ว

     

    ไหนล่ะไดจัง นี่มันไกลจากงานมาเยอะแล้วนะ แถวนี้ก็มีแต่ต้นไม้ ไม่เห็นจะมีร้านขายอะไรสักยะ...อ้ะ!!” เรียวสุเกะถูกผลักไปติดโคนต้นไม้ โดยที่มีร่างของไดกิตามมาวางแขนโอบล้อม กักขังไม่ให้หนีไปไหน

     

    ก็ไม่ได้บอกว่ามีขายนี่นา ของแบบนี้มันซื้อกันไม่ได้ซะหน่อย

     

    เพราะความมืดของบรรยากาศโดยรอบที่มีเพียงเสาไฟในสวนสาธารณะที่ให้ทางเป็นระยะๆรึเปล่านะ ที่ทำให้เรียวสุเกะเห็นใบหน้าน่ารักของไดกิที่กลืนเข้ากับเงาสลัวของฉากหลังแล้วมัน...รู้สึกว่าหล่อคมมากขึ้น เท่ห์ขึ้นมาซะงั้นน่ะ

     

    หมายความว่าไงแต่ถึงอย่างนั้นเรียวสุเกะก็ไม่หายเคืองไปเสียทีเดียว ...เฮ้ย ได้ไง มาหลอกให้เขาเดินตามมาตั้งไกลแล้วบอกว่าไม่มีเนี่ยนะ ...มันน่าโมโหนัก

     

    ก็... คำตอบทั้งหมดถูกส่งผ่านริมฝีปากอิ่มของไดกิที่กดเข้าหาริมฝีปากบางแนบสนิท เรียวสุเกะลืมตาโพลงขึ้นมาในวินาทีแรกด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงโอนอ่อนยอมให้ลิ้นชื้นเข้ามาสำรวจหาความหวานในโพรงปากเล็กอย่างไม่ขัดขืน..... สัมผัสนั้นเป็นไปอย่างนุ่มนวล เต็มไปด้วยความรู้สึก.... หวานละมุนละไม

     

    อร่อยใช่มั้ยล่ะ ไดกิหักใจถอนริมฝีปากออกมากระซิบถามข้างหูด้วยเสียงแหบๆ

    แค่นี้ไม่เห็นต้องพาเดินมาตั้งไกลเลย เรียวสุเกะยังคงบ่นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเองจะกำลังหายใจไม่ทันก็ตาม

    ก็แค่อยากแกล้งน่ะ....เอาคืนที่นายชอบมาลักหลับฉันตอนเช้าๆไงไดกิเกลี่ยนิ้วบนแก้มใสของเรียวสุเกะเบาๆ

    ช่วยไม่ได้ ไดจังตอนหลับน่ารักจะตาย

    นายตอนนี้ก็น่ารักเหมือนกันแหละน่า ดูสิแก้มแดงเชียว

     

    สองคนหยอกเอินกันอยู่สักพัก เรียวสุเกะก็ทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก

    เดี๋ยวนะไดจัง เราตกลงกันว่าจะไปตามแอบดูเจ้ายูโตะกับเคโตะไม่ใช่เหรอ

    เออ นั่นสิ ป่านนี้คงอยู่ในงานแล้วล่ะมั้ง

     

    .

    .

    .

     

    นี่..นายหัวเม่น

    หืม

    ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องเราอยู่ตลอดเลยอะ

    เหรอ...ฉันไม่รู้สึกนะ

    งั้นคงรู้สึกไปเองละมั้ง ช่างเถอะ... เราไปซุ้มนู้นกันดีกว่า มียิงปืนด้วยล่ะ

     

    ผมทำหน้าที่เป็นไกด์นำนายเม่นเดินเที่ยวด้วยความกระตือรือร้น .... ปกติผมเป็นประเภทชอบงานเลี้ยง งานสังสรรค์รื่นเริงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม พอได้มางานเทศกาลแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าควบคุมความกระสันตื่นเต้น อยากเที่ยวตรงนั้นตรงนี้เยอะแยะไปหมดไม่ได้

     

    อ้ะ

     

     ผมได้ยินเสียงทุ้มอุทานใกล้ๆหู พอหันกลับมามองก็พบว่า นายเม่นลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่ หน้าตาตื่นๆเหวอๆแบบเก๊กหลุดของนายนั่นทำเอาผมอดจะขำไม่ได้จริงๆ

     

    ฮะๆ นายนี่ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ

    แค่ไม่ชินกับชุดเท่านั้นแหละ นายก็อย่าเดินเร็วนักสินายเม่นเถียงกลับมาทั้งที่หน้ายังแดงด้วยความเขินอยู่

    โอ๋ กลัวหลงเหรอเด็กน้อย เดี๋ยวพี่ยูโตะพาไปเองนะ ผมอารมณ์ดีพอจะเล่นบทพี่ชายที่แสนดี คว้ามือหนาของน้องชาย(ที่ตัวใหญ่กว่า) ดึงให้ลุกขึ้นยืนแล้วก็พาเดินฝ่าผู้คนออกไป  

     

    ....ไม่รู้หรอกว่าทำให้คนข้างหลังยิ้มกว้างได้แค่ไหน....

     

    .....ผมไม่รู้.... เพราะผมไม่กล้าหันกลับไปมองจริงๆ.....

     

    .

    .

     

    ยูยะกินยากิโซบะมั้ย

    ยูยะสายไหม....

    ยูยะทาโกยากิ…”

     

    พอแล้วฮารุ... นี่นายตั้งใจจะขุนให้ฉันอ้วนเป็นหมูเลยรึไงฮะยูยะใช้มือผลักของกินชิ้นล่าสุดที่ถูกส่งมาให้เขาอย่างไม่ขาดมือตลอดเวลาที่เดินเที่ยวในงาน ซึ่งตอนนี้เขาอิ่มจนแทบไม่อยากจะเดินไปไหนต่อแล้วทีเดียว

     

    เอาน่า ไม่ว่านายจะอ้วนจะผอม ฉันก็รักนายไม่เปลี่ยนเหมือนเดิมนั่นแหละ เอ้ากินซะฮารุมะพูดประโยคหวานเลี่ยนได้หน้าตาเฉยเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แถมยังจิ้มทาโกยากิมาจ่ออยู่ตรงปากยูยะแบบไม่กลัวเกรงอีกต่างหาก

     

                    ร่างโปร่งบางที่เขินกับคำพูดนั้นก็เลยอ้าปากรับทาโกยากิลูกใหญ่มาเคี้ยวยับๆกินเป็นการแก้เขิน .... แต่ฮารุมะก็ยังไม่วายมาทำให้อายอย่างต่อเนื่องด้วยการยื่นมือมาเช็ดคราบซอสที่มุมปากให้อีกระลอก

     

    เอ้ะ นั่นน้องยามะจังนี่นา ยูยะลืมอายเผลอร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นร่างเล็กๆในชุดยูคาตะสีสดใสวิ่งผ่านสายตาไปแว่บๆ .....เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้ไปหาน้องยามะจังอีกเลย..... ก็เพราะเกรงใจไอ้คนที่มันยืนป้อนของกินเขาอยู่ไม่ขาดปากเนี่ยแหละ

     

    อยากไปหารึเปล่าล่ะร่างหนาถามด้วยเสียงเรียบๆ... สายตาคมบ่งบอกว่าพร้อมจะตามใจเขาทุกอย่าง แม้ว่ามันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจตัวเองก็ตาม

     ....ประโยคนี้เขาควรจะตอบตามความจริงหรือว่าแบบที่นึกถึงจิตใจคนฟังด้วยแล้วดีล่ะ....

     

    เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก เราไปหาที่เจ๋งๆรอดูพลุกันดีกว่า ฮะๆ

    .....สุดท้ายเขาก็นึกถึงรอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าอยู่ดี เขาไม่อยากให้รอยยิ้มสว่างไสวนั้นจากหายไป.... ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาหลงรักรอยยิ้มกว้างขวางจริงใจของฮารุมะเข้าแล้ว

     

    ยูยะ.... ถ้าอยากไปทักน้องฉันก็จะไม่ห้าม ฮารุมะพูดด้วยหน้าตาจริงจัง จับปอยผมข้างหนึ่งของยูยะขึ้นทัดหูก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูร่างโปร่งบางว่า เพราะฉันเชื่อใจนาย

     

    ยูยะที่โดนคำรักไปแล้วสองดอกในเวลาไล่เลี่ยกันก็ยืนค้างหน้าแดงก่ำด้วยความคาดไม่ถึง ..... ใครจะไปคิดว่าไอ้เพื่อนเสือยิ้มยาก พูดน้อย ที่มันเพิ่งปวารณาตัวเองเป็นแฟนเขาเมื่อไม่นานมานี้ มันจะกลายเป็นเสือซ่อนลาย ที่มีลูกล่อลูกชนแพรวพราว นิดนึงก็หยอดคำหวาน นิดหน่อยก็เข้าถึงเนื้อถึงตัว .... แล้วอย่างนี้ยูยะจะมีเวลาไปคิดถึงใครคนอื่นได้อีก

     

    ไม่เอาดีกว่า ฮารุเราตามสองคนนั้นไปกันเถอะ ท่าทางเหมือนกำลังมีเรื่องสนุกอยู่เลย

     

    .

    .

    .

     

    ทีนี้ก็ถึงเวลารอไคลแม็กซ์ของงานเทศกาลแล้วละนะ

     

    ผมเลือกจับจองพื้นที่ริมน้ำที่ห่างออกมาจากบรรดาร้านรวงและซุ้มขายของทั้งหลาย เพราะต้องการหลีกหนีจากผู้คนมากมายที่มาเดินเที่ยวงานกันอย่างหนาตา ยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ .... ซึ่งที่ตรงนี้นอกจากจะเงียบสงบแล้วก็ยังสวย แถมเป็นจุดที่เห็นพลุงานเทศกาลได้ชัดไม่แพ้จุดชมพลุดอกไม้ไฟที่ไหนอีกด้วย

     

    ปีก่อนๆยูโตะรินมาเที่ยวกับใครเหรอ

    ก็พวกยามะจัง ไดจังนั่นแหละ ...ว่าแต่พวกนั้นบอกว่าจะตามมา ป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลย แอบหนีไปเที่ยวกับสองคนแล้วแน่ๆเลย

    ก็ดีแล้ว

    ดีตรงไหน พวกนั้นทิ้งเพื่อนเห็นๆ

    ดีตรงที่เราเองก็ได้เที่ยวกันสองคนเหมือนกันไง

     

                โอย....เอาอีกแล้ว คำพูดหวานๆ หน้าหล่อๆ เสียงทุ้มๆ

    ยูโตะรินอยากกลายร่างเป็นขอมดำดินหนีอายให้รู้แล้วรู้รอด!

     

    ยูโตะริน

    หืม

    ฉันชะ.../อ๊ะ หิ่งห้อย ผมชิงพูดตัดหน้านายเม่น แล้วก็ลุกหนีไปยืนทัศนาหิ่งห้อยตัวน้อยๆไม่กี่ตัวที่บินเปล่งแสงวิบวับๆอยู่เหนือน้ำทันที ... ผมไม่รู้หรอกว่ามันตั้งใจจะพูดอะไร แต่แค่สายตามันผมก็เขินจะแย่แล้ว

     

    ไปยืนใกล้น้ำมาก เดี๋ยวก็ได้ตกลงไปหรอก มานั่งตรงนี้สิ นายเม่นรวบเอวผมจากด้านหลังแล้วดึงรั้งให้ลงมานั่งข้างกันบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มที่ชื้นจากน้ำค้างเล็กน้อย

     

    นายว่าถ้าเรานอนดูแบบนี้จะสบายกว่าหรือเปล่าว่าแล้วนายเม่นล้มตัวลงนอนราบกับพื้นหญ้า ใช้มือประสานกันไว้หลังศีรษะต่างหมอน

    ก็คงจะสบาย เพราะไม่ต้องเมื่อยคอไง

     

    ไม่หรอก แบบนี้สบายกว่า สบายกว่าที่ว่าของนายเม่นคือการเอาหัวเม่นๆของมันมาวางอยู่บนตักผมนั่นแหละ.... เออละหนอ คนเรา... อุตส่าห์พยายามหลีกลี้หนีอายแทบตาย สุดท้ายก็ต้องมานั่งจุ้มปุ๊กให้มันนอนจ้องเอาๆ....ไม่สงสารกันบ้างเลย

     

     เสียงอึกทึกจากเบื้องบน ดึงสายตาผมให้เงยขึ้นไปมองแสงสีตระการตาบนท้องฟ้าที่มืดมิด ..... ผมจ้องมองความสวยงามของพลุดอกไม้ไฟที่แตกกระจายตัวเป็นรูป เป็นตัวอักษรสีสันต่างๆอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองด้วยความรู้สึกแบบใดอยู่

     

     

    นายเม่นดูสิ สวยไหมๆผมอารมณ์ดีกับแสงสีบนท้องฟ้ามากพอที่จะแกล้งลืมๆความเขินอาย แล้วชวนนายเม่นให้ได้ดูได้เห็นอย่างที่ผมเห็น

    สวย...แต่นายสวยกว่า ยูโตะรินมุกน้ำเน่าที่ผมคิดว่ามันตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน มันกลับออกมาจากปากไอ้เด็กนอกนี่ ก็เข้าใจนะว่าคลังศัพท์มันน้อย แล้วดันไปเรียนรู้เอาคำแบบนี้มา

     

    ระหว่างที่ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง นายเม่นก็จับประคองใบหน้าผม บังคับให้สบสายตาคมนั้น แล้วประโยคภาษาอังกฤษยาวๆสำเนียงผู้ดีอังกฤษสมชื่อนักเรียนนอกก็ไหลพรั่งพรูออกจากปากเรียวยาวนั่น

     

    “Since the day I met you, I know my heart is belong to you till I die”

     

     

    “I’ll be eternally looking at you only”

     

     

    “I always want to hold you tight”

     

    ผมยืนอึ้งอยู่นาทีครึ่งในการประมวลผลประโยคเมื่อครู่ .... ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ยินหรือได้ยินมันไม่ชัดหรอกนะ .... ไอ้อิงลิชบอยนี่ก็ไม่ปรานีล่อสำเนียงผู้ดี ไม่สนใจว่ากว่าผมจะแปลงเป็นสำเนียงญี่ปุ่น กว่าผมจะแปลออกมาได้แต่ละคำ

    ให้ตาย..... แทนที่จะซึ้ง ผมกลับต้องอ้ำอึ้งน้ำท่วมปากไปไม่เป็นอยู่แบบนี้

     

    เสียงพลุงานเทศกาลที่ดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณนั้นสงบลงแล้ว รอบตัวผมนั้นเงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ ...เคโตะเห็นผมนั่งนิ่งทำตาปริบๆใส่ก็เข้าใจ แล้วก็ยิ้มเขินๆออกมา

     

    ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่ไม่รู้จะพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นยังไงให้นายเข้าใจ

    ......แล้วคิดว่าพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วฉันจะเข้าใจงั้นเรอะ!!........

     

    คราวนี้ฟังดีๆนะ ฉันเชื่อว่านายเข้าใจ

    อื้อร่างสูงกวักมือเรียกให้ผมก้มลงไปเอียงหูฟังจากปากมันชัดๆ ....เคโตะค่อยๆกระซิบข้างหูผมทีละคำอย่างช้าๆไม่รีบร้อน และชัดเจนหนักแน่นทุกถ้อยคำ

     

    “Please become mine”

     

    ผมสะดุ้งผละออกห่างมาทันที หน้าผมคงกำลังแดงแปร๊ดอย่างห้ามไม่อยู่ .... อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ ที่ผมฟังประโยคพวกนั้นไม่ทัน ไม่งั้นผมคงได้หัวใจวายตาย ไม่ก็น้ำตาลในเลือดสูงจนตายแน่ๆ แค่นี้ก็เขินจนแก้มร้อนแล้ว ....ถ้านี่เป็นในการ์ตูนคงเห็นไอร้อนเป็นควันเหมือนกับเตาหมูกระทะออกมาจากหน้าผม แล้วก็มีซาวน์เอฟเฟคเสียงดัง ......ฉ่า!!..... ประกอบแน่ๆเลย

     

     

    ว่าไง...

     

     

    ผมสูดลมหายใจลึก แล้วคว้าฝ่ามือใหญ่ขึ้นมา วาดตัวอักษรบางอย่างลงไปบนมือนั้น ..... บางอย่างที่ทำให้นายเม่นยิ้มกว้างไม่หุบ แถมยังคว้าคอผมลงไปกอดฟัดด้วยความดีใจอีกด้วย

     

     

     

     

    อยากรู้ล่ะสิว่าผมเขียนอะไรลงไป

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โอเค ...เพื่อเห็นแก่ทุกคนที่ทนฟังผมพล่ามเรื่องของตัวเองมาตั้งแต่ตอนแรก

     

     

     

     

     

     

    ผมจะบอกให้ก็ได้ .......เอียงหูมาสิ

     

     

     

     

    “I’m your”

     

     

     

     

     

     

     

     

    ^_________________Fin___________________^

     

     

     

    Talk : เฮะๆๆ เค้นอยู่นานว่าจะจบยังไงดี ออกมาเป็นแบบนี้ถูกใจมั้ยอ่า

    อย่าได้คาดหวังอะไรกับฟิกประเลย ถ้ากลัวจะผิดหวัง.... ฟิกเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความเอาแต่ใจของประล้วนๆ มันเลยกลายเป็นฟิกคู่หาอ่านยากไปซะทั้งหมดทั้งมวล แฮะๆ

                    ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้นะคะ เพราะจริงๆแล้วพล็อตเรื่องนี้ตั้งใจเขียนไว้ให้เป็นฟิกสั้นจบแค่ตอนอินโทรนั่นแหละ ถ้าไม่มีคอมเม้นดีๆ เราก็คงไม่มีกำลังใจเอามาแต่งต่อจนกลายเป็นฟิกสั้นขนาดยาวแบบนี้ไปได้น่ะนะ ขอบคุณจริงๆค่ะ(โค้ง) ....แล้วเจอกันในเรื่องต่อไปเนาะ^^

     

    Special Thank กวางเพื่อนเลิฟ ที่ช่วยคิดประโยคบอกรักเลี่ยนๆของเม่นให้ตอนที่พรีเซนต์ฝึกงานกันน้า (ฮา)

     

    ......... จบแล้ว....จะรีบไปไหนๆ ...เม้นก่อนสิคร้าบบบ .......                    

     

     

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×