คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Part Final
[6]
ผมเป็นคนหวงของ.... โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่ได้มายากๆด้วยแล้ว
เคโตะ ก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ผมหวงมากที่สุด
“เคโตะคุง... มีคนพาเที่ยวงานเทศกาลรึยังจ้ะ”
“ไปกับพวกเรามั้ย”
“ใช่ๆ พวกเราจะพาเคโตะคุงไปเองนะ”
“เอ่อ”
“เคโตะคุงอยากลองทำอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า”
ภาพตรงหน้าที่ผมเห็นก็คือภาพที่สาวๆกำลังเข้ามารุมล้อมรอบโต๊ะเคโตะ.... จริงๆก็ควรจะเป็นเรื่องปกติที่เห็นจนชินชาได้แล้ว
.....แต่วันนี้ทำไมผมถึงเห็นว่ามันขัดหูขัดตาชอบกล.....
“ยามะจัง ไดจัง ปีนี้ไปเที่ยวงานเทศกาลด้วยกันนะ!!” ผมเผลอตัวพูดเสียงดังขึ้นมาแข่งกับเสียงแหลมๆอย่างกับนกกระจอกแตกรังของพวกสาวๆ ....เกิดความเงียบในห้องไปชั่วขณะด้วยความตื่นตกใจ สายตาของทุกคนมองมาที่ผมอย่างสงสัย แน่นอนว่านายเม่นก็ด้วย
“แค่นี้ทำไมต้องเสียงดังด้วย” ยามะจังเอ็ดผมไม่จริงจังนัก
....นั่นสินะ ทำไมผมถึงต้องตะโกนทั้งที่ไม่มีความจำเป็นเลย...
“หรือว่า อยากให้ใครคนอื่นได้ยินด้วย” ยามะจังหรี่ตาเล็กลง สอบสวนผมด้วยหน้าตากรุ้มกริ่ม
“ใครเล่า ไม่มีซะหน่อย” ผมได้แต่เดินหนีอายไปนั่งที่โต๊ะ
“ยามะจัง ก็ไหนว่า....” คล้อยหลังผมไปได้ไม่เท่าไหร่ ไดจังก็ทำท่าจะแย้งอะไรขึ้นมา
“ชู่ว~ รอดูไปก่อน”
“เคโตะคุง” เพื่อนสาวคนหนึ่งสะกิดเรียกเมื่อเห็นว่าร่างหนากำลังทุ่มความสนใจอยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่พวกเธอ
“เคโตะคุง มีอะไรเหรอ” แต่มองตามสายตาของเคโตะไปก็ไม่ช่วยให้เธอเกิดความเข้าใจใดๆขึ้นมา
“ตัดสินใจได้รึยังจ้ะ ไปเที่ยวงานกับพวกเรานะ”
“เรื่องงานเทศกาล ผมต้องขอโทษทุกคนที่ไม่สามารถไปด้วยได้จริงๆ” นับว่าเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เคโตะจะตอบกลับพวกสาวๆด้วยประโยคยาวๆแบบนี้.....ปกติจะแค่ยิ้ม ตอบรับสั้นๆหรือไม่ก็หลบเลี่ยงเท่านั้น
“เอ๋ ทำไมอย่างนั้นล่ะ”
“เคโตะคุงมีนัดแล้วหรือ”
สาวๆมีท่าทางกระเง้ากระงอดด้วยความเสียดาย แต่เคโตะก็ทำเพียงแค่ยิ้มบางๆ
“ครับ มีคนสัญญากับผมเอาไว้แล้ว”
“ใครกันเหรอ เคโตะคุง คนพิเศษหรือเปล่า”
“ครับ …คนพิเศษของผม” ร่างหนาตอบคำถามด้วยรอยยิ้มสว่างไสว
...นั่นมันอะไรกัน! ไอ้คำพูดแบบนั้น แถมยังสายตาที่มองตรงมาที่ผมอย่างไม่ปิดบังนั่นอีก....
ผมได้แต่นั่งนิ่งราวกับถูกสายตาคมปลาบนั้นสาปเป็นหินแข็ง ค้างอยู่ที่โต๊ะเรียนแบบนั้น
พวกสาวๆเริ่มหันไปซุบซิบกันอย่างโจ่งแจ้ง
“นะ... ยูโตะริน”
ทุกคน!! ช่วยบอกผมที นี่มันประโยคคำถามประเภทไหนกัน
แล้วผมจะตอบอะไรได้ ในเมื่อเจ้าตัวมายืนยิ้มอ่อนโยนเป็นคนแสนดีอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
ออดดดดดดดดดดดด
เสียงกริ่งเข้าห้องดังขึ้นมาช่วยชีวิตผมไว้ได้อีกครั้งแล้ว
ไดจังโบกมือลาหยอยๆแล้วก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ... เพื่อนๆในห้องก็ขยับเข้ามานั่งที่ตามปกติ แม้ว่าสายตาของทุกคนจะยังคงพุ่งเป้ามาที่ผมอย่างไม่ลดละ
ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติอย่างเงียบเชียบ
แล้วไอ้หัวเม่นมันยังจะมายืนทำด๋อยอะไรอยู่ตรงนี้เล่า!!!!
“ไปนั่งที่สิ” ผมตั้งใจจะไล่มันกลับไปนั่งที่ด้วยเสียงดังๆเป็นการแก้เขิน แต่ทว่าเส้นเสียงของผมมันกลับไม่เป็นใจ ทำให้เสียงที่เปล่งออกมามันช่างเบาบางราวกับเสียงกระซิบ
“อืม” มันตอบสั้นๆพร้อมกับยิ้มบางๆแล้วก็ยอมเดินกลับไปนั่งที่แต่โดยดี
..... พอแล้วเถอะได้โปรด อย่าฆ่ายูโตะรินให้ตายด้วยรอยยิ้มละลายใจแบบนี้บ่อยๆนักเลย.....
.
.
.
พักกลางวัน
ผมแอบหลบมาพักกินข้าวกลางวันที่โรงอาหาร เพราะผมรู้สึกกลัวสายตาประหัตประหารจากสาวๆหลังจากที่ไอ้หัวเม่นนั่นสร้างเรื่องไว้เมื่อเช้านั่นแหละ
“อ้าว น้องเพื่อนยามะจังใช่มั้ย วันนี้ก็ลงมากินข้างล่างเหรอ”
จะว่าเป็นโชคดี หรือโชคร้ายกันนะที่ผมเจอรุ่นพี่สองคนนี้แบบวันนั้นอีกแล้ว แถมเจ้าตัวยังกวักมือเรียกผมไปนั่งด้วยกันอีกต่างหาก
“ช่วงหลังๆนี้ผมไม่ค่อยเห็นพวกพี่มาที่ห้องผมเลยนะครับ” ผมชวนคุยไปตามประสาคนอัธยาศัยดี
“อ่า เกรงใจคนบางคนน่ะ” ผมสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่คนที่ตัวบางกว่าเหล่ไปยังเพื่อนตัวหนาที่นั่งข้างๆเล็กน้อย
“เห....ใครหรือครับ” เอาล่ะสิ...ยูโตะรินหูตั้งอีกแล้ว อย่ามาทำให้อยากรู้แล้วก็จากไปแบบนี้เชียวนะรุ่นพี่!
“ลองไปถามยามะจังดูสิ”
รุ่นพี่ยกยิ้มใส่อย่างมีเลศนัย แล้วก็ทิ้งปริศนาไว้ให้ยูโตะรินคาใจอีกละ ....อยากรู้นะเนี่ย
.
.
ผมเดินกลับขึ้นไปที่ห้องเรียนด้วยหัวใจที่สั่นรัว
น่าแปลกที่ผมไม่ได้รับรังสีอำมหิตจากพวกสาวๆอีกแล้ว บางคนถึงขั้นยิ้มล้อเลียนใส่ผมก็มี
......เกิดอะไรขึ้นระหว่างที่ผมไม่อยู่หรือเปล่านะ.......
“นี่ มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เหรอ” ผมเดินไปถามเอากับยามะจังและไดจัง
ยามะจังหันมายิ้มแฉ่งใส่ผม ไดจังเองก็ไม่ต่างกัน จนผมต้องขมวดคิ้วสงสัยเข้าไปใหญ่ ....
“บอกให้ก็ได้... เมื่อกี้หลังจากที่นายลงไป เคโตะก็ลุกขึ้นมาพูดปกป้องนาย แล้วก็สั่งเด็ดขาดว่าห้ามยุ่งกับยูโตะรินของผม แล้วก็อะไรอีกนะไดจัง”
“ให้ยูโตะไปถามเจ้าตัวเองดีกว่า เดินมานู่นล่ะ” ไดจังยิ้มกว้างแล้วชี้มือไปทางด้านหลังผม
////////ยูโตะรินของผม/////////
////////ยูโตะรินของผม/////////
////////ยูโตะรินของผม/////////
ตอนนี้ไม่ว่าใครหน้าไหนจะมาพูดอะไรกับผมต่อจากนี้ ผมก็ไม่รับรู้แล้ว
นี่ยามะจังดีดยาเสน่ห์ติดมากับคำพูดรึเปล่า ทำไมคำๆนี้ถึงได้กระเด้งกระดอนอยู่ในหัวผมไม่ยอมไปไหน ขนาดว่าไม่ได้ยินเองกับหูด้วยเสียงทุ้มๆนุ่มหูของหมอนั่นด้วยอะนะ
.......โอ้ย แค่คิดยูโตะรินก็อยากไหลตาย .......
“นายไปไหนมา ฉันลงไปตามหาตั้งนาน”
แค่คิดอยู่ไม่ทันไร ตัวเป็นๆก็โผล่มาให้เห็นแบบสมจริงทั้งภาพและเสียง ... หน้าหล่อๆที่พราวไปด้วยหยาดเหงื่อซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากการวิ่งตามหาผมด้วยนั้นทำร้ายผมได้ไม่เท่ากับความเป็นห่วงเป็นใยที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้าหล่อนั้น
“อย่าวิ่งหนีไปแบบนี้อีกนะ ฉันไม่อยากเสียนายไปอีกแล้ว” เคโตะดึงผมเข้าไปกอดแบบไม่ทันตั้งตัว แขนแข็งแรงนั่นรัดเอวผอมๆของผมแน่น
“ก็ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” ผมซุกหน้าลงบนบ่ามันแบบอย่างเขินอาย ….ตอนนี้หน้าผมคงจะแดงๆๆ และแดงจนแทบระเบิดบึ้มเป็นโกโก้ ครันซ์อยู่บนดาวฮันนี่ สตาร์ได้อยู่แล้ว
จังหวะนั้นเองที่สายตาของผมไปประสานเข้ากับตาโตๆของไดจัง และตาใสๆของยามะจังที่จ้องมาอยู่อย่างจัง
และผมก็เพิ่งจะตระหนักได้ในวินาทีนั้นเองว่า ผมกับมันกำลังยืนโรแมนซ์ดราม่ากันอยู่กลางห้อง โดยที่มีเพื่อนๆในห้องร่วมรับรู้และเป็นสักขีพยานกันอยู่เต็มห้อง
“อะแฮ่มๆ จะทำอะไรเกรงใจคนแถวนี้บ้าง นั่งกันอยู่เยอะแยะ” ยิ่งได้ยินเสียงแซวของไดจังที่มียามะจังเป่าปากเป็นลูกคู่ ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกโคตรอาย ...อายแบบไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ก็เลยซุกอยู่กับอกมันต่อไปแบบนั้น
..........ยูโตะริน อยากตายยยยย .............
..........ไอ้หัวเม่นนี่รู้จักคำว่าเขินอายกับเขาบ้างมั้ยเนี่ยยยยยยย!!!!!!
................................
...................
.......
และแล้วงานเทศกาลก็มาถึง
“เอาโอบิสีไหนดีละ”
“อันนี้ดีกว่าๆ”
ผมถูกยามะจังกับไดจังเจ้ากี้เจ้าการ บังคับให้อาบน้ำปะแป้งจนตัวหอมฉุยตั้งแต่เย็น จัดการเตรียมชุดพร้อมทั้งจัดการใส่ให้เรียบร้อยอย่างกับผมเป็นตุ๊กตารึไม่ก็เป็นลูกของทั้งสองคนอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็ให้ไปนั่งรอนายเม่นมารับอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ส่วนสองคนนั้นบอกว่าจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่บ้านแล้วตามไปที่งานเลย
ผมก็เลยทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งๆนอนๆดูทีวีรออยู่ในบ้าน...... แต่ไม่นานเกินรอนายหัวเม่นก็มายืนส่งยิ้มหล่ออยู่หน้าบ้านผมแล้ว
“ไปกันเลยไหม” นายเม่นส่งเสียงนุ่มทุ้มถามมาอย่างเก้อเขิน ผมพยักหน้ารับเบาๆ แล้วเราก็เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆ
วันนี้ผมอยู่ในชุดยูกาตะสีเทาอ่อนๆ เช่นเดียวกับนายเม่นที่ใส่สีเข้ม....แลดูเข้ากันอย่างประหลาด ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ามีเบื้องหลังเป็นคู่หูไดยามะกันแน่นะ
......แต่ต้องยอมรับเลยว่าไอ้อิงลิชบอยนี่มันใส่อะไรก็ขึ้นจริงๆ //////>o<///////
“เราจะไปไหนก่อนดีล่ะ” ผมมัวแต่คิดอะไรเพลินๆอยู่คนเดียว รู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่หน้าทางเข้างานเทศกาลแล้ว..... ผมหันไปมองหน้าคนพูด ก็เห็นว่าตาเล็กๆของเคโตะมีประกายวิบวับด้วยความตื่นตาตื่นใจ ใบหน้าคมหันซ้ายหันขวามองร้านรวงข้างทางและคนมากมายที่สวมยูกาตะมาเที่ยวอย่างตื่นเต้นตลอดเวลา
.....มองๆไปแล้วก็ เหมือนเด็กชะมัด .....
“หิวไหมล่ะ ไปหาอะไรกินกันก่อน”
“อืม ก็ดีนะ”
.
.
“ตรงนั้นๆๆ ยามะจังช้อนให้ได้นะ”
“อ๊า......ขาดซะแล้วอ่า”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันลองเอง”
“ไดจังสู้ๆ”
อีกด้านหนึ่งของงานเทศกาล คู่หูไดยามะก็กำลังสนุกสนานกับการช้อนปลาทองจากอ่างน้ำเล็กๆที่จัดไว้ให้ผู้คนที่มาเที่ยวชมงานได้มาประลองฝีมือ
“ยัตต้า!! ได้แล้ว!!!!” ไดกิยิ้มกว้างออกมา เมื่อการท้าทายความเป็นลูกผู้ชายของเขาสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พนักงานยื่นถุงพลาสติกที่มีปลาทองที่เขาช้อนได้สองตัวว่ายวนเวียนกันอยู่ในนั้นให้ เรียวสุเกะยื่นมือไปรับแทนด้วยรอยยิ้ม
“ไดจัง...ขอบคุณนะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงทาโกยากิเป็นการตอบแทน”
“ไม่เอาอ่ะ เบื่อแล้ว ขอเป็นอย่างอื่นบ้างไม่ได้เหรอ”
“ไดจังอยากได้อะไรล่ะ หรืออยากเปลี่ยนเป็นแอปเปิ้ลเคลือบน้ำตาลแทน... แต่ฉันว่าถ้าเปลี่ยนเป็นสตรอเบอร์รี่คงจะอร่อยกว่าแน่ๆเลยอะ”
“ฉันว่ามีอย่างอื่นที่อร่อยกว่านั้นอีกนะ”
“จริงดิ อะไรเหรอ” เรียวสุเกะทำตาโตด้วยความอยากรู้
“ตามมาสิ” ไดกิยกยิ้มแปลกๆ เหมือนกับว่ามันเคลือบแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์บนใบหน้ายิ้มๆนั้น.... แต่อย่ากระนั้นเลย เรียวสุเกะก็ได้เดินตามต้อยๆโดยไม่ได้ตระหนักถึงภยันตรายใดๆเสียแล้ว
“ไหนล่ะไดจัง นี่มันไกลจากงานมาเยอะแล้วนะ แถวนี้ก็มีแต่ต้นไม้ ไม่เห็นจะมีร้านขายอะไรสักยะ...อ้ะ!!” เรียวสุเกะถูกผลักไปติดโคนต้นไม้ โดยที่มีร่างของไดกิตามมาวางแขนโอบล้อม กักขังไม่ให้หนีไปไหน
“ก็ไม่ได้บอกว่ามีขายนี่นา ของแบบนี้มันซื้อกันไม่ได้ซะหน่อย”
เพราะความมืดของบรรยากาศโดยรอบที่มีเพียงเสาไฟในสวนสาธารณะที่ให้ทางเป็นระยะๆรึเปล่านะ ที่ทำให้เรียวสุเกะเห็นใบหน้าน่ารักของไดกิที่กลืนเข้ากับเงาสลัวของฉากหลังแล้วมัน...รู้สึกว่าหล่อคมมากขึ้น เท่ห์ขึ้นมาซะงั้นน่ะ
“หมายความว่าไง” แต่ถึงอย่างนั้นเรียวสุเกะก็ไม่หายเคืองไปเสียทีเดียว ...เฮ้ย ได้ไง มาหลอกให้เขาเดินตามมาตั้งไกลแล้วบอกว่าไม่มีเนี่ยนะ ...มันน่าโมโหนัก
“ก็...” คำตอบทั้งหมดถูกส่งผ่านริมฝีปากอิ่มของไดกิที่กดเข้าหาริมฝีปากบางแนบสนิท เรียวสุเกะลืมตาโพลงขึ้นมาในวินาทีแรกด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆหลับตาลงโอนอ่อนยอมให้ลิ้นชื้นเข้ามาสำรวจหาความหวานในโพรงปากเล็กอย่างไม่ขัดขืน..... สัมผัสนั้นเป็นไปอย่างนุ่มนวล เต็มไปด้วยความรู้สึก.... หวานละมุนละไม
“อร่อยใช่มั้ยล่ะ” ไดกิหักใจถอนริมฝีปากออกมากระซิบถามข้างหูด้วยเสียงแหบๆ
“แค่นี้ไม่เห็นต้องพาเดินมาตั้งไกลเลย” เรียวสุเกะยังคงบ่นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าตัวเองจะกำลังหายใจไม่ทันก็ตาม
“ก็แค่อยากแกล้งน่ะ....เอาคืนที่นายชอบมาลักหลับฉันตอนเช้าๆไง” ไดกิเกลี่ยนิ้วบนแก้มใสของเรียวสุเกะเบาๆ
“ช่วยไม่ได้ ไดจังตอนหลับน่ารักจะตาย”
“นายตอนนี้ก็น่ารักเหมือนกันแหละน่า ดูสิแก้มแดงเชียว”
สองคนหยอกเอินกันอยู่สักพัก เรียวสุเกะก็ทำตาโตเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“เดี๋ยวนะไดจัง เราตกลงกันว่าจะไปตามแอบดูเจ้ายูโตะกับเคโตะไม่ใช่เหรอ”
“เออ นั่นสิ ป่านนี้คงอยู่ในงานแล้วล่ะมั้ง”
.
.
.
“นี่..นายหัวเม่น”
“หืม”
“ฉันรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องเราอยู่ตลอดเลยอะ”
“เหรอ...ฉันไม่รู้สึกนะ”
“งั้นคงรู้สึกไปเองละมั้ง ช่างเถอะ... เราไปซุ้มนู้นกันดีกว่า มียิงปืนด้วยล่ะ”
ผมทำหน้าที่เป็นไกด์นำนายเม่นเดินเที่ยวด้วยความกระตือรือร้น .... ปกติผมเป็นประเภทชอบงานเลี้ยง งานสังสรรค์รื่นเริงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม พอได้มางานเทศกาลแบบนี้มันก็เหมือนกับว่าควบคุมความกระสันตื่นเต้น อยากเที่ยวตรงนั้นตรงนี้เยอะแยะไปหมดไม่ได้
“อ้ะ”
ผมได้ยินเสียงทุ้มอุทานใกล้ๆหู พอหันกลับมามองก็พบว่า นายเม่นลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นด้วยสภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่ หน้าตาตื่นๆเหวอๆแบบเก๊กหลุดของนายนั่นทำเอาผมอดจะขำไม่ได้จริงๆ
“ฮะๆ นายนี่ซุ่มซ่ามไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“แค่ไม่ชินกับชุดเท่านั้นแหละ นายก็อย่าเดินเร็วนักสิ” นายเม่นเถียงกลับมาทั้งที่หน้ายังแดงด้วยความเขินอยู่
“โอ๋ กลัวหลงเหรอเด็กน้อย เดี๋ยวพี่ยูโตะพาไปเองนะ” ผมอารมณ์ดีพอจะเล่นบทพี่ชายที่แสนดี คว้ามือหนาของน้องชาย(ที่ตัวใหญ่กว่า) ดึงให้ลุกขึ้นยืนแล้วก็พาเดินฝ่าผู้คนออกไป
....ไม่รู้หรอกว่าทำให้คนข้างหลังยิ้มกว้างได้แค่ไหน....
.....ผมไม่รู้.... เพราะผมไม่กล้าหันกลับไปมองจริงๆ.....
.
.
“ยูยะกินยากิโซบะมั้ย”
“ยูยะสายไหม....”
“ยูยะทาโกยากิ…”
“พอแล้วฮารุ... นี่นายตั้งใจจะขุนให้ฉันอ้วนเป็นหมูเลยรึไงฮะ” ยูยะใช้มือผลักของกินชิ้นล่าสุดที่ถูกส่งมาให้เขาอย่างไม่ขาดมือตลอดเวลาที่เดินเที่ยวในงาน ซึ่งตอนนี้เขาอิ่มจนแทบไม่อยากจะเดินไปไหนต่อแล้วทีเดียว
“เอาน่า ไม่ว่านายจะอ้วนจะผอม ฉันก็รักนายไม่เปลี่ยนเหมือนเดิมนั่นแหละ เอ้ากินซะ” ฮารุมะพูดประโยคหวานเลี่ยนได้หน้าตาเฉยเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แถมยังจิ้มทาโกยากิมาจ่ออยู่ตรงปากยูยะแบบไม่กลัวเกรงอีกต่างหาก
ร่างโปร่งบางที่เขินกับคำพูดนั้นก็เลยอ้าปากรับทาโกยากิลูกใหญ่มาเคี้ยวยับๆกินเป็นการแก้เขิน .... แต่ฮารุมะก็ยังไม่วายมาทำให้อายอย่างต่อเนื่องด้วยการยื่นมือมาเช็ดคราบซอสที่มุมปากให้อีกระลอก
“เอ้ะ นั่นน้องยามะจังนี่นา” ยูยะลืมอายเผลอร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นร่างเล็กๆในชุดยูคาตะสีสดใสวิ่งผ่านสายตาไปแว่บๆ .....เพราะตั้งแต่วันนั้นเขาก็ไม่ได้ไปหาน้องยามะจังอีกเลย..... ก็เพราะเกรงใจไอ้คนที่มันยืนป้อนของกินเขาอยู่ไม่ขาดปากเนี่ยแหละ
“อยากไปหารึเปล่าล่ะ” ร่างหนาถามด้วยเสียงเรียบๆ... สายตาคมบ่งบอกว่าพร้อมจะตามใจเขาทุกอย่าง แม้ว่ามันอาจจะย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจตัวเองก็ตาม
....ประโยคนี้เขาควรจะตอบตามความจริงหรือว่าแบบที่นึกถึงจิตใจคนฟังด้วยแล้วดีล่ะ....
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอก เราไปหาที่เจ๋งๆรอดูพลุกันดีกว่า ฮะๆ”
.....สุดท้ายเขาก็นึกถึงรอยยิ้มของผู้ชายตรงหน้าอยู่ดี เขาไม่อยากให้รอยยิ้มสว่างไสวนั้นจากหายไป.... ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เขาหลงรักรอยยิ้มกว้างขวางจริงใจของฮารุมะเข้าแล้ว
“ยูยะ.... ถ้าอยากไปทักน้องฉันก็จะไม่ห้าม” ฮารุมะพูดด้วยหน้าตาจริงจัง จับปอยผมข้างหนึ่งของยูยะขึ้นทัดหูก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูร่างโปร่งบางว่า “เพราะฉันเชื่อใจนาย”
ยูยะที่โดนคำรักไปแล้วสองดอกในเวลาไล่เลี่ยกันก็ยืนค้างหน้าแดงก่ำด้วยความคาดไม่ถึง ..... ใครจะไปคิดว่าไอ้เพื่อนเสือยิ้มยาก พูดน้อย ที่มันเพิ่งปวารณาตัวเองเป็นแฟนเขาเมื่อไม่นานมานี้ มันจะกลายเป็นเสือซ่อนลาย ที่มีลูกล่อลูกชนแพรวพราว นิดนึงก็หยอดคำหวาน นิดหน่อยก็เข้าถึงเนื้อถึงตัว .... แล้วอย่างนี้ยูยะจะมีเวลาไปคิดถึงใครคนอื่นได้อีก
“ไม่เอาดีกว่า ฮารุเราตามสองคนนั้นไปกันเถอะ ท่าทางเหมือนกำลังมีเรื่องสนุกอยู่เลย”
.
.
.
“ทีนี้ก็ถึงเวลารอไคลแม็กซ์ของงานเทศกาลแล้วละนะ”
ผมเลือกจับจองพื้นที่ริมน้ำที่ห่างออกมาจากบรรดาร้านรวงและซุ้มขายของทั้งหลาย เพราะต้องการหลีกหนีจากผู้คนมากมายที่มาเดินเที่ยวงานกันอย่างหนาตา ยิ่งดึกคนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ .... ซึ่งที่ตรงนี้นอกจากจะเงียบสงบแล้วก็ยังสวย แถมเป็นจุดที่เห็นพลุงานเทศกาลได้ชัดไม่แพ้จุดชมพลุดอกไม้ไฟที่ไหนอีกด้วย
“ปีก่อนๆยูโตะรินมาเที่ยวกับใครเหรอ”
“ก็พวกยามะจัง ไดจังนั่นแหละ ...ว่าแต่พวกนั้นบอกว่าจะตามมา ป่านนี้ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเลย แอบหนีไปเที่ยวกับสองคนแล้วแน่ๆเลย”
“ก็ดีแล้ว”
“ดีตรงไหน พวกนั้นทิ้งเพื่อนเห็นๆ”
“ดีตรงที่เราเองก็ได้เที่ยวกันสองคนเหมือนกันไง”
โอย....เอาอีกแล้ว คำพูดหวานๆ หน้าหล่อๆ เสียงทุ้มๆ
ยูโตะรินอยากกลายร่างเป็นขอมดำดินหนีอายให้รู้แล้วรู้รอด!
“ยูโตะริน”
“หืม”
“ฉันชะ.../อ๊ะ หิ่งห้อย” ผมชิงพูดตัดหน้านายเม่น แล้วก็ลุกหนีไปยืนทัศนาหิ่งห้อยตัวน้อยๆไม่กี่ตัวที่บินเปล่งแสงวิบวับๆอยู่เหนือน้ำทันที ... ผมไม่รู้หรอกว่ามันตั้งใจจะพูดอะไร แต่แค่สายตามันผมก็เขินจะแย่แล้ว
“ไปยืนใกล้น้ำมาก เดี๋ยวก็ได้ตกลงไปหรอก มานั่งตรงนี้สิ” นายเม่นรวบเอวผมจากด้านหลังแล้วดึงรั้งให้ลงมานั่งข้างกันบนพื้นหญ้าเขียวชอุ่มที่ชื้นจากน้ำค้างเล็กน้อย
“นายว่าถ้าเรานอนดูแบบนี้จะสบายกว่าหรือเปล่า” ว่าแล้วนายเม่นล้มตัวลงนอนราบกับพื้นหญ้า ใช้มือประสานกันไว้หลังศีรษะต่างหมอน
“ก็คงจะสบาย เพราะไม่ต้องเมื่อยคอไง”
“ไม่หรอก แบบนี้สบายกว่า” สบายกว่าที่ว่าของนายเม่นคือการเอาหัวเม่นๆของมันมาวางอยู่บนตักผมนั่นแหละ.... เออละหนอ คนเรา... อุตส่าห์พยายามหลีกลี้หนีอายแทบตาย สุดท้ายก็ต้องมานั่งจุ้มปุ๊กให้มันนอนจ้องเอาๆ....ไม่สงสารกันบ้างเลย
เสียงอึกทึกจากเบื้องบน ดึงสายตาผมให้เงยขึ้นไปมองแสงสีตระการตาบนท้องฟ้าที่มืดมิด ..... ผมจ้องมองความสวยงามของพลุดอกไม้ไฟที่แตกกระจายตัวเป็นรูป เป็นตัวอักษรสีสันต่างๆอย่างเพลิดเพลิน ไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองด้วยความรู้สึกแบบใดอยู่
“นายเม่นดูสิ สวยไหมๆ” ผมอารมณ์ดีกับแสงสีบนท้องฟ้ามากพอที่จะแกล้งลืมๆความเขินอาย แล้วชวนนายเม่นให้ได้ดูได้เห็นอย่างที่ผมเห็น
“สวย...แต่นายสวยกว่า ยูโตะริน” มุกน้ำเน่าที่ผมคิดว่ามันตายไปแล้วเมื่อสิบปีก่อน มันกลับออกมาจากปากไอ้เด็กนอกนี่ ก็เข้าใจนะว่าคลังศัพท์มันน้อย แล้วดันไปเรียนรู้เอาคำแบบนี้มา
ระหว่างที่ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง นายเม่นก็จับประคองใบหน้าผม บังคับให้สบสายตาคมนั้น แล้วประโยคภาษาอังกฤษยาวๆสำเนียงผู้ดีอังกฤษสมชื่อนักเรียนนอกก็ไหลพรั่งพรูออกจากปากเรียวยาวนั่น
“Since the day I met you, I know my heart is belong to you till I die”
“I’ll be eternally looking at you only”
“I always want to hold you tight”
ผมยืนอึ้งอยู่นาทีครึ่งในการประมวลผลประโยคเมื่อครู่ .... ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้ยินหรือได้ยินมันไม่ชัดหรอกนะ .... ไอ้อิงลิชบอยนี่ก็ไม่ปรานีล่อสำเนียงผู้ดี ไม่สนใจว่ากว่าผมจะแปลงเป็นสำเนียงญี่ปุ่น กว่าผมจะแปลออกมาได้แต่ละคำ
ให้ตาย..... แทนที่จะซึ้ง ผมกลับต้องอ้ำอึ้งน้ำท่วมปากไปไม่เป็นอยู่แบบนี้
เสียงพลุงานเทศกาลที่ดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณนั้นสงบลงแล้ว รอบตัวผมนั้นเงียบสงัดจนได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ ...เคโตะเห็นผมนั่งนิ่งทำตาปริบๆใส่ก็เข้าใจ แล้วก็ยิ้มเขินๆออกมา
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่ไม่รู้จะพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นยังไงให้นายเข้าใจ”
......แล้วคิดว่าพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วฉันจะเข้าใจงั้นเรอะ!!........
“คราวนี้ฟังดีๆนะ ฉันเชื่อว่านายเข้าใจ”
“อื้อ” ร่างสูงกวักมือเรียกให้ผมก้มลงไปเอียงหูฟังจากปากมันชัดๆ ....เคโตะค่อยๆกระซิบข้างหูผมทีละคำอย่างช้าๆไม่รีบร้อน และชัดเจนหนักแน่นทุกถ้อยคำ
“Please become mine”
ผมสะดุ้งผละออกห่างมาทันที หน้าผมคงกำลังแดงแปร๊ดอย่างห้ามไม่อยู่ .... อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ ที่ผมฟังประโยคพวกนั้นไม่ทัน ไม่งั้นผมคงได้หัวใจวายตาย ไม่ก็น้ำตาลในเลือดสูงจนตายแน่ๆ แค่นี้ก็เขินจนแก้มร้อนแล้ว ....ถ้านี่เป็นในการ์ตูนคงเห็นไอร้อนเป็นควันเหมือนกับเตาหมูกระทะออกมาจากหน้าผม แล้วก็มีซาวน์เอฟเฟคเสียงดัง ......ฉ่า!!..... ประกอบแน่ๆเลย
“ว่าไง...”
ผมสูดลมหายใจลึก แล้วคว้าฝ่ามือใหญ่ขึ้นมา วาดตัวอักษรบางอย่างลงไปบนมือนั้น ..... บางอย่างที่ทำให้นายเม่นยิ้มกว้างไม่หุบ แถมยังคว้าคอผมลงไปกอดฟัดด้วยความดีใจอีกด้วย
อยากรู้ล่ะสิว่าผมเขียนอะไรลงไป
โอเค ...เพื่อเห็นแก่ทุกคนที่ทนฟังผมพล่ามเรื่องของตัวเองมาตั้งแต่ตอนแรก
ผมจะบอกให้ก็ได้ .......เอียงหูมาสิ
“I’m your”
^_________________Fin___________________^
Talk : เฮะๆๆ เค้นอยู่นานว่าจะจบยังไงดี ออกมาเป็นแบบนี้ถูกใจมั้ยอ่า
อย่าได้คาดหวังอะไรกับฟิกประเลย ถ้ากลัวจะผิดหวัง.... ฟิกเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความเอาแต่ใจของประล้วนๆ มันเลยกลายเป็นฟิกคู่หาอ่านยากไปซะทั้งหมดทั้งมวล แฮะๆ
ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกันมาถึงตอนนี้นะคะ เพราะจริงๆแล้วพล็อตเรื่องนี้ตั้งใจเขียนไว้ให้เป็นฟิกสั้นจบแค่ตอนอินโทรนั่นแหละ ถ้าไม่มีคอมเม้นดีๆ เราก็คงไม่มีกำลังใจเอามาแต่งต่อจนกลายเป็นฟิกสั้นขนาดยาวแบบนี้ไปได้น่ะนะ ขอบคุณจริงๆค่ะ(โค้ง) ....แล้วเจอกันในเรื่องต่อไปเนาะ^^
Special Thank กวางเพื่อนเลิฟ ที่ช่วยคิดประโยคบอกรักเลี่ยนๆของเม่นให้ตอนที่พรีเซนต์ฝึกงานกันน้า (ฮา)
......... จบแล้ว....จะรีบไปไหนๆ ...เม้นก่อนสิคร้าบบบ .......
ความคิดเห็น