คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Part 2
“แล้วเจอกันนะ ยูโตะริน”
คำๆนี้ยังคงวนซ้ายเวียนขวา ไหลไปไหลมาอยู่ในหัวของผมตลอดเวลาที่เดินกลับบ้าน
เบื้องหน้าเป็นคู่หูไดยามะที่สร้างโลกส่วนตัวกันอยู่สองคน
อีกไม่ถึง สิบก้าว จะถึงทางแยกเข้าซอย และผมจะต้องเลี้ยวไปอีกทางซึ่งต้องแยกกับทั้งสองคนนั่น
“ไดจัง ยามะจัง ... ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ” ผมตัดสินใจเรียก เพราะไม่อยากให้ความสงสัยมันค้างคา
“ว่ามาสิ//ว่ามาสิ” ทั้งสองคนหันหลังมาพร้อมกัน แถมยังพูดตอบด้วยประโยคเดียวกันราวกับเป็นฝาแฝด
“นายจำไอ้เด็กนอกหัวเหมือนเม่นที่มาอยู่แถวๆบ้านเราได้สักสองเดือนตอนชั้นประถมนั่นได้มั้ย”
“อ๋อ เพื่อนสนิทสุดเลิฟของนายน่ะเหรอ..... จำได้สิ จำได้ว่านายไม่เคยยอมปล่อยให้เจ้านั่นมาเล่นกับเด็กคนอื่นเลย”
“ใช่... ยูโตะขี้หวง แถมยังเอาแต่ชวนเค้าไปจับแมลงอยู่ได้ทุกวัน” ประเด็นนี้ดูเหมือนไดจังจะใส่ความไม่พอใจส่วนตัวปนมาด้วยนะ
“นั่นล่ะๆ แล้วพวกนายจำได้มั้ยว่า เค้าชื่ออะไร”
“ปั๊ดโธ่...เห็นเข้าออกบ้านเค้าราวกับเป็นบ้านตัวเองขนาดนั้น จำชื่อเพื่อนสนิทตัวเองไม่ได้หรือไง”
........ ก็ไม่อยากจะยอมรับหรอกนะว่าจำไม่ได้ แบบว่าวันๆก็เรียกแต่นายหัวเม่นๆๆ ชื่อเต็มจริงๆก็เหมือนจะเป็นภาพเลือนๆลางๆที่จางหายไปตามกาลเวลา .............
“เอาเถอะน่า .... ยามะจังจำได้หรือเปล่าล่ะ”
“ฉันรู้สึกว่าหมอนั่นจะชื่อ โอคา... โอคา...โมโตะ .. ใช่ๆ โอคาโมโตะ เคโตะ”
“เอ้ะ ยามะจัง ชื่อนี้มัน.....” ไดจังเหมือนจะเพิ่งนึกอะไรออก ทำตาโตใส่ยามะจังแล้วชี้ขึ้นไปทางตึกสูงที่เป็นที่ตั้งของคอนโดหรูที่พวกผมเพิ่งจะจากมาไม่ถึงสิบนาที
ชัดเลย ณ จุดนี้ ..
เป็นเจ้านั่นจริงๆด้วย .
.นายกลับมาแล้วจริงๆ
.
.
.นายหัวเม่น .
แล้วยูโตะรินคนนี้จะทำยังไงดี
พอรู้แบบนี้แล้วมัน ..... ทำตัวไม่ถูก TwT
.
.
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อ้าว ยามะจัง... แม่ขึ้นไปปลุกไดจังสองรอบแล้ว ยังไม่ยอมตื่นเลยจ้ะ ฝากปลุกเจ้าตัวยุ่งทีนะลูก”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณ
ทันทีที่เปิดประตูห้องที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีชนิดที่ว่าเข้าออกกันเป็นว่าเล่นตั้งแต่เล็กแต่น้อย ...ตาเรียวจับจ้องไปที่ร่างที่กำลังหลับใหลอย่างเป็นสุขอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาพลางพาตัวเองเข้าไปใกล้ๆเตียงยิ่งขึ้น ....
เรียวสุเกะนั่งลงบนที่ว่างข้างเตียง มองดูใบหน้าขาวใสที่มักจะมีรอยยิ้มหวานๆประดับอยู่ตลอดเวลาซุกซบบนหมอนนุ่มใบโปรด ...ปากบางๆวาดเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังฝันถึงอะไรอยู่ แต่ดูท่าว่าจะฝันดีเสียด้วยถึงไม่ยอมตื่นง่ายๆ ...แม้ว่าปกติไดกิจะไม่ใช่มนุษย์ตื่นเช้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ตามที
“ฉันก็ไม่อยากไปขัดความฝันของนายหรอกนะ แต่ว่าไดจัง.... ตื่นได้แล้วน่า เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายอีกหรอก” เรียวสุเกะเขย่าตัวคนขี้เซาเสียจนหัวสั่นหัวคลอนไปหมด แต่ก็ไดกิยังไม่มีวี่แววที่จะยอมตื่นโดยง่าย ซ้ำยังพลิกตัวหนีตะแคงข้างไปอีกฝั่งโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้นอีกด้วย
“อยากโดนปลุกแบบเมื่อวานอีกเหรอ”
“.............................”
“นี่...วันนี้ฉันไม่อยากเข้าเรียนสายนะ โควตาสายจะหมดแล้ว ฉันขี้เกียจจะถูกทำโทษ”
“.............................”
“แล้วอย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกันนะ”
“ฮื่อออออออ” แม้ว่าเรียวสุเกะจะทั้งขู่ ทั้งขอร้อง แต่ไดกิก็ทำเพียงครางฮือออกมาไม่เป็นศัพท์ด้วยความรำคาญตอบรับกลับมาเท่านั้น
“โอเค ไม่ตื่นใช่มั้ย ...ถือว่าเตือนแล้วนะ”
เรียวสุเกะเดินไปเปิดผ้าม่านสีอ่อนตรงหน้าต่าง ให้แสงแดดยามเช้าช่วยทำให้อีกคนรู้สึกแสบตาจนไม่สามารถนอนต่อได้บ้าง ก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งอีกฟากของเตียง แล้วตวัดผ้าห่มที่ไดกิใช้ห่อหุ้มตัวเองจนเหมือนดักแด้ออกเพื่อที่จะเบียดตัวเองเข้าไปในที่นอนนุ่มด้วยคน ร่างขาวท้าวศอกต่างหมอน นอนตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับไดกิ แล้วจ้องใบหน้ายามหลับก่อนจะยกยิ้มเจ้าเล่ห์
ความคิดแปลกๆ ของเด็กวัยอยากรู้อยากลองแล่นปร๊าดเข้ามาในหัวเด็กหนุ่มอย่างมากมาย กับไดกินั้นถึงแม้ว่าจะสนิทสนมและมักจะไปไหนมาไหนด้วยกันมาโดยตลอด แต่น้อยครั้งนักที่จะมีโอกาสได้สังเกตเพื่อนในระยะที่ใกล้ จนเกือบจะหายใจรดกันได้ขนาดนี้ ....แพขนตางอนยาว คิ้วเรียวสวยรับกับรูปหน้า จมูกโด่งรั้นนิดๆพอให้ความรู้สึกซุกซนแบบเด็กๆ แก้มเนียนขาวอมชมพู... กลีบปากอิ่มสีระเรื่อแดงที่แสนเย้ายวน
เรียวสุเกะเลื่อนใบหน้าของตนเข้าหาเป้าหมายดังใจนึก ...ริมฝีปากบางแตะเบาๆเข้าที่กลีบปากอิ่มก่อนจะผละออก แตะเบาๆแล้วผละออก ทำวนไปวนมาอยู่อย่างนี้หลายครั้ง พอให้คนขี้เซาได้รู้สึกรำคาญและพยายามลืมตาตื่นขึ้นมาดูว่ามีใครกำลังทำอะไรกับตนเองกันแน่
แต่ทันทีที่เปลือกตาบางค่อยๆกระพริบปรับสายตาสู้แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดไว้เมื่อครู่ ริมฝีปากอิ่มก็ถูกจู่โจมเข้าครอบครองอีกครั้ง ริมฝีปากร้อนบดเบียดเคล้าคลึงอย่างนุ่มนวล ...และครั้งนี้อาศัยโอกาสที่อีกฝ่ายยังคงสะลืมสะลือไม่ตื่นดี แทรกลิ้นร้อนเข้าไปสำรวจความหวานภายในโพรงปาก กวาดต้อนลิ้นเล็กอย่างย่ามใจ .... เรียวสุเกะผลักไหล่ไดกิให้หงายหลังจมลงไปกับที่นอนตามด้วยมวลกายที่เคลื่อนขึ้นมาทาบทับ ฝ่ามือเล็กป้อมทว่าแข็งแรงเปรียบเสมือนคีมเหล็กที่โอบล้อมรอบกาย ทำให้ไดกิไม่สามารถขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวหรือลุกหนีไปไหนได้อย่างใจนัก
จนถึงตอนนี้ไดกิตื่นเต็มตาเลยทีเดียว... ตากลมโตกระพริบมองภาพตรงหน้าอย่างเบลอๆเพราะระยะห่างที่ใกล้กันจนเกินไป จึงไม่สามารถโฟกัสได้ เห็นแต่เพียงใบหน้าขาวๆ เปลือกตาที่หลับพริ้ม และแพขนตางอนยาวของใครสักคนที่กำลังขโมยจูบเขาอยู่ ..... จริงอยู่ที่ไดกิจะตกใจแทบช็อกในคราแรกที่รู้สึกตัวว่ากำลังถูกใครที่ไหนไม่รู้จูบตนเองอยู่ แต่กลิ่นกายที่คุ้นจมูก ท่าทางที่คุ้นตา และความรู้สึกที่คุ้นเคยทำให้เขายอมนอนนิ่งอยู่ใต้อาณัติแบบไม่กระโตกกระตาก ...... แต่... มันชักจะนานเกินไปหรือเปล่า
ไดกิกำลังหายใจไม่ออก เนื่องจากไม่ได้ตั้งตัวที่จะถูกช่วงชิงลมหายใจยาวนานขนาดนี้ จึงรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายที่จะผลักร่างตรงหน้าออก ....แต่ก็ไม่เป็นผล จึงทุบเข้าที่แผงอกหนารัวๆเป็นการระบายอารมณ์
“อื้ออออออ ปล่อยยย”
“อรุณสวัสดิ์ไดจัง.....” หลังจากที่ปลุกปล้ำจูบเพื่อนจนตื่นเต็มตาดีแล้ว เรียวสุเกะก็ลงมานั่งขัดสมาธิบนเตียง พร้อมส่งยิ้มน่ารักให้อย่างรื่นเริงราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่
ไดกิที่นอนหอบหายใจถี่รัว พยายามกอบโกยอากาศเข้าปอดอย่างหมดแรง ได้แต่ชี้หน้าจอมโจรหน้าใสที่อุกอาจเข้ามาขโมยจูบเจ้าบ้านได้ถึงสองวันติดต่อกัน
“ไม่ระวังตัวเลยน้า ขี้เซาอย่างนี้ระวังจะถูกลับหลับเอาง่ายๆนะ”
“นายคนเดียวน่ะสิ”
“ไปๆลุกไปอาบน้ำได้แล้ว” เรียวสุเกะตบหลังตบไหล่ไดกิให้ลุกขึ้นจากเตียง ยื่นผ้าเช็ดตัวให้พร้อมเดินมาส่งถึงหน้าห้องน้ำ “ฉันจะได้งีบ” แล้วจึงหันหลังกลับกระโดดเข้าไปซุกอยู่ในก้อนผ้าห่มบนเตียง...
“อื้อหือ...ไล่คนอื่นให้ลุกแล้วตัวเองก็มานอนต่อเนี่ยนะ น่าเกลียดจริง”
“อย่าบ่นๆ ตัวเองตื่นสายเองนี่นา”
.
.
.
“นี่มันอะไร” น้ำเสียงตกใจของยามะจังดังขึ้นมาทันทีที่พวกเขามาถึงห้องเรียน
“ยามะจัง มีอะไร..อ้ะ” ไดกิที่เดินตามมาก็อึ้งค้างไปอีกคน เมื่อเห็นกระเช้าผลไม้ขนาดเล็กที่ข้างในใส่ไว้แต่สตรอเบอร์รี่ วางทับไว้บนการ์ดใบเล็กบนโต๊ะของยามะจัง.... ทำเอายามะจังตาเป็นประกายวิบวับขณะจับจ้องไปยังสตรอเบอร์รี่สีแดงฉ่ำๆลูกโตๆที่อยู่ในกระเช้านั้น
“พรุ่งนี้วาเลนไทน์นี่นา ทำไมรีบให้จัง” ผมสังเกตเห็นว่าไดจังชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็ทำหน้านิ่งไปเลย
“ยังไงก็ช่างเถอะ ยามะจังอ่านการ์ดสิ” แต่ยังไงเรื่องอยากรู้เรื่องชาวบ้านก็ต้องมาเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ...ผมคะยั้นคอยอให้ยามะจังเปิดการ์ดออกอ่าน พลางชะเง้อคอเข้าไปขอดูอย่างใกล้ชิด
ยามะจังยอมเปิดการ์ดที่แนบมาออกอ่านเสียงดังในระดับที่ให้เฉพาะผมกับไดจังได้ยินเท่านั้น
“รู้มาว่าน้องชอบกินสตรอเบอร์รี่ ก็เลยอยากเอามาฝาก .... ยังไงก็ช่วยรับน้ำใจของผู้ชายคนนึงไว้ด้วยนะครับ แล้วพรุ่งนี้ พี่จะไปหา ยามาดะ เรียวสุเกะ ด้วยตัวเอง”
“มีรุ่นพี่มาจีบยามะจัง!” ผมพลั้งปากพูดออกมาทันทีที่ตีความนัยของข้อความในการ์ดที่แนบมานั้นได้ โดยที่ไม่ได้สังเกตว่าใครกำลังมีปฏิกิริยาแบบไหนกับเรื่องนี้บ้าง
“ฉันขอตัวก่อนละกัน ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว” ไดจังขอตัวกลับห้องไปเรียนอย่างทุกวัน แต่ที่ไม่เหมือนทุกวันก็เห็นจะเป็นสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงออกซึ่งความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ....แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้านิ่งสงบนั้นอาจมีพายุกำลังก่อตัวอยู่ข้างในก็เป็นได้
“อรุณสวัสดิ์ เคโตะคุง”
สาวๆ ในห้องต่างพากันเข้าไปเสนอหน้าทันทีที่เห็นหน้าหล่อๆของหนุ่มอังกฤษแม้นหน้าเข้ามาในระยะตาเห็น
“อ่า อรุณสวัสดิ์ครับ” ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มแกนๆ และพยายามเดินเลี่ยงมาทางกลุ่มของยูโตะอย่างเงียบเชียบ......
....เงียบมากจริงๆ เพราะผมที่อยู่ในระหว่างการประมวลผลความสัมพันธ์ของไดจัง ยามะจัง และก็รุ่นพี่ปริศนา ผมไม่รู้สึกเลยว่ามีใครกำลังเข้ามาประชิดตัว จนกระทั่งมือของใครสักคนมาจิ้มๆที่สีข้าง
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
“อ้ะ นายหัวเม่น” ด้วยอารามสะดุ้งตกใจ ผมจึงเผลอเรียกชื่อที่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดคืนกับเจ้าตัวไปจนได้ “เอ่อ...” ต่อให้เอาสองมือมาอุดปากให้สนิทในตอนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเสียแล้ว
“นายจำฉันได้แล้วเหรอ?!”
ถ้าผมตาไม่พร่าเลือนหรือเกิดภาพเบลอ มัวอีต๊งไป ผมว่าผมเห็นตาตี่ๆนั้นเบิกกว้างขึ้นจากเดิมนิดหนึ่ง ซ้ำยังพราวระยับด้วยความยินดีอีกด้วย
ออดดดดดดดดดดดด
ประหนึ่งเสียงระฆังช่วยชีวิต เพื่อนๆในห้องทยอยกลับเข้าไปนั่งที่ เตรียมพร้อมสำหรับคาบโฮมรูม... ผมเองก็กลับไปนั่งที่เหมือนกัน รวมถึงเคโตะที่ยอมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง โดยที่ยังไม่ละสายตาออกจากผมแถมยังแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจนเลยว่า ....เสียดายโอกาส......
เรามักจะรู้สึกว่าเวลามันจะเดินช้าในเวลาที่ต้องรอคอย หรือใจจดใจจ่ออยู่กับอะไรสักอย่างหนึ่ง
และในทางกลับกัน ในช่วงที่เรามีความสุข เวลากลับเดินเร็วราวกับติดไฮสปีดอินเตอร์เน็ต... เมื่อรู้สึกตัวอีกที เวลาก็หมดลงเสียแล้ว
สำหรับเคโตะ เขาคงเป็นอย่างแรก .... เพราะเท่าที่รู้สึกได้ สายตาคมมักจะเหลือบมองมาทางผมเกือบจะตลอดเวลา ท่าทางพร้อมที่จะมาเค้นคอเอาคำตอบจากผมทันทีที่หมดคาบเรียน
แล้วมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆเสียด้วยสิ
ร่างหนาของเคโตะเดินดุ่มๆมานู่นแล้ว.....
ทำไงดี ยูโตะรินยังไม่พร้อม >.<;
“เคโตะคุง ชอบกินช็อคโกแลตมั้ย”
“แล้วเค้กล่ะ”
“คุกกี้ล่ะ”
“พรุ่งนี้เคโตะคุงอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
จู่ๆสาวๆในห้องก็กรูกันเข้าไปรุมล้อมพ่อหนุ่มอังกฤษรูปงามที่กำลังเดินมาให้ยืนค้างแข็งทื่ออยู่กลางห้อง โดยที่เจ้าตัวทำได้ทำหน้าเบลอไม่รู้ว่าควรจะตอบคำถามไหนก่อนดี
ฟู่ววววว ......เซฟฟฟฟฟฟ...........
ผมไม่รีรอที่จะใช้โอกาสนั้นหลบเลี่ยงออกจากห้องไปในทันที
เมื่อเช้านี้ผมตื่นสายกว่าปกติ(เพราะมีเรื่องอะไรกวนใจอยู่คงไม่ต้องให้บอก) เพราะความเร่งรีบทำให้ผมลืมข้าวกล่องที่คุณแม่ทำไว้ให้จนได้ ..... กลางวันนี้ผมจึงฉายเดี่ยวมาฝากท้องไว้กับโรงอาหารของโรงเรียนนี่ล่ะครับ
ส่วนยามะจังน่ะเหรอ เห็นว่าขึ้นไปตามไดจังที่ห้องเพราะวันนี้เจ้าตัวลงมาช้ากว่าปกติ
“ขอนั่งด้วยคนนะครับ” ผมเงยหน้าขึ้นจากการสูดเส้นราเมง ...มองหน้าร่างสูง ขาเพรียวยาว ผิวสีน้ำผึ้ง ที่ส่งยิ้มเท่ห์ๆมาให้อย่างเป็นมิตร ...อ่า หน้าตาดีไม่เลวทีเดียว ....ผมมองรอบๆตัวก็พบว่าโรงอาหารตอนพักกลางวันนั้นหนาแน่นไปด้วยผู้คน โต๊ะอาหารอาจจะมีไม่เพียงพอกับความต้องการ ผมที่นั่งอยู่คนเดียว ไม่แปลกที่จะถูกขอแชร์โต๊ะด้วย
“เชิญฮะ” ผมจึงตอบรับไปอย่างง่ายๆ เพราะคนขอแชร์โต๊ะหน้าตาดี เอ้ย เพราะว่าผมมีน้ำใจต่างหาก
“วันนี้ไม่กินข้าวกับเพื่อนเหรอ” ประโยคคำถามแปลกๆถูกส่งมาอีกระลอกให้ผมต้องเงยหน้ามองรุ่นพี่ตรงหน้าอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าเค้าคุยกับผมไม่ผิดตัวแน่
“รุ่นพี่รู้จักผมหรือครับ”
“เอ่อ จะว่าอย่างนั้นก็ได้มั้ง” รุ่นพี่ยิ้มเขิน แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ เสียงของบุคคลที่สามแทรกขึ้นมา
“หมอนี่ไปส่องเด็กที่ห้องนายบ่อยๆก็เลยจำหน้าได้น่ะ” ร่างหนาที่มีดีกรีความหน้าตาดีไม่แพ้กัน ต่างกันที่รุ่นพี่คนนี้ตัวใหญ่กว่า ซ้ำยังมาดแมนไร้ที่ติ เดินถือถาดอาหารของสองคนตามมาทีหลังก็เข้ามาวางตรงหน้าเพื่อนของเขา
“พูดมากน่ะ ฮารุมะ” รุ่นพี่คนแรกเขินหน้าแดงไปแล้วครับ มือเรียวฟาดเข้าไปที่ไหล่หนาของคนปากมากดังป้าบ แต่ผมไม่ยักกะเห็นพี่เค้าสะดุ้งสะเทือนอะไรมากไปกว่าแกล้งทำหน้าเจ็บปวดไปอย่างนั้นเอง
“เอ๋...รุ่นพี่ไปแอบดูใครหรือครับ” เอาอีกแล้วยูโตะริน ...นิสัยแบบนี้ ทำยังไงก็แก้ไม่หายจริงๆ เวลาอยากรู้เรื่องชาวบ้านเนี่ย
“เพื่อนนายไง ยามาดะ เรียวสุเกะน่ะ อุ้บบบบ” รุ่นพี่ปากสว่างโพล่งขึ้นมาอีกครั้งครับ คราวนี้รุ่นพี่คนแรกหันมาล็อกคอเพื่อนพร้อมกับเอามือปิดปากนั่นซะเลย
“คือว่า...”
“รุ่นพี่ใช่คนที่เอาสตรอเบอร์รี่มาให้เมื่อเช้าหรือเปล่าครับ”
“อ่า ใช่ๆฉันเองแหละ แล้วน้องยามะจังว่ายังไงบ้าง”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรนะฮะ แต่ผมเดาว่าคงชอบแหละ เพราะรายนั้นอย่างกับปีศาจที่เห็นสตรอเบอร์รี่ทีไรก็ตาลุกวาวทุกที”
“เหรอ ดีจังที่ชอบ” ขณะที่รุ่นพี่กำลังยิ้มดีใจ ลืมสนใจอีกคนที่ถูกล็อกคอปิดปากอยู่ จนเจ้าตัวต้องส่งเสียงอู้อี้ๆลอดผ่านนิ้วมือออกมา
“อ่อยอั้นอ้ายอัง”
“กินเฉยๆแบบไม่พูดมากน่ะได้มั้ย” รุ่นพี่ที่ผมได้ยินพี่เค้าเรียกว่าฮารุมะพยักหน้ารับหงึกๆ แล้วทำตาอ้อน จนอีกฝ่ายยอมปล่อยให้เป็นอิสระ
ผมมองรุ่นพี่สองคนที่เดี๋ยวก็คุยกันดีๆเดี๋ยวก็ตีกัน ด้วยความรู้สึกครื้นเครง ... คนนึงก็ช่างหยอกช่างแกล้ง อีกคนก็ความดันต่ำ พร้อมจะหันไปดุด่าบ่นว่าโวยวายเอาเรื่องได้ตลอดเวลา
ดูๆไปก็ไม่ใช่คนที่เลวร้าย หรือดูมีพิษมีภัยอะไรนี่นา
ถ้าคนๆนี้จะมาจีบยามะจัง ก็ไม่มีอะไรให้เพื่อนอย่างผมต้องกังวลแล้วล่ะ(มั้ง)
.
.
“กลับกันเถอะ ยูโตะ”
“อ้าว แล้วไม่รอไดจังเหรอ”
“หมอนั่นส่งข้อความมาว่าโดนเรียกตัวไปหลังเลิกเรียน ให้กลับก่อนได้เลย”
“โดนเรียกตัว เรียกไปทำไมล่ะ แล้วไม่ไปช่วยจะดีเหรอ”
ร่างขาวของเรียวสุเกะหันมาทำตาเหวี่ยงใส่คนพูดหนึ่งที... แต่พอเห็นหน้าซื่อๆตาใสๆที่บ่งบอกว่าพูดทุกอย่างไปตามที่คิดอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆก็ไม่อยากจะไปถือสาหาความ
ได้แต่ถอนหายใจแรงๆ แล้วพูดประโยคที่ทำให้หนุ่มร่างสูงที่แสนซื่อบริสุทธิ์เข้าใจได้ง่ายขึ้น
“อยู่ในช่วงเทศกาลความรักแบบนี้ จะมีอะไรเสียอีกล่ะ นอกจากสารภาพรักน่ะ”
ผมเอามือตะปบปากตัวเอง ทำตาโตใส่ยามะจังด้วยความอเมซิ่ง ...ไดจังถูกสารภาพรัก ... แต่นั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่ากับการที่ยามะจังยังยืนเฉยอยู่ตรงนี้ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
...ตกลงว่าสองคนนี้นี่ยังไงกันนะ...
“แล้วนายก็ปล่อยให้ไดจังไปเฉยๆน่ะหรือ ถ้าเกิดไดจังตกลงปลงใจขึ้นมา นายจะทำยังไงล่ะ”
“ทำไมฉันต้องทำยังไงด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องของไดจัง หมอนั่นต้องตัดสินใจด้วยตัวเอง”
“แล้วยามะจังจะไม่เหงาเหรอ”
“ไม่รู้สิ” ยามะจังตอบผมแค่นั้นแล้วก็สาวเท้าเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไปเลย ผมจึงต้องรีบวิ่งตามออกไปทั้งๆที่ความสงสัยยังแปะติดอยู่เต็มหน้าผากผมเต็มไปหมด
“ยามะจัง....” // “นายเองก็ไม่ไปคืนดีกับเคโตะเหรอ เห็นเจ้านั่นมองนายตาละห้อยมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่”
กำลังจะอ้าปากถามเรื่องความสัมพันธ์อันคลุมเครือของทั้งสองต่ออยู่แล้วเชียว แต่อีกฝ่ายโยนคำถามแทงใจใส่อกผมดังอึ้ก ... เล่นเอาต่อมเสือกผมหยุดทำงานไปชั่วขณะเลยทีเดียว
“เราไม่ได้ทะเลาะกันซะหน่อย”
“แล้วทำไมไม่พูดกันดีๆ”
“ฉันไม่รู้จะทำตัวยังไงนี่นา ...ทั้งๆที่สนิทกัน แต่หมอนั่นก็หนีกลับอังกฤษโดยไม่บอกฉันสักคำ ข่าวคราวสักนิดก็ไม่มี ฉันก็ไม่เคยรู้ว่ามันจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แล้วจู่ๆก็กลับมาหลังจากผ่านไปแล้ว 7-8 ปีเนี่ยนะ จะให้ฉันวิ่งเข้าไปกอดมันแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นน่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก”
ผมเผลอพูดความในใจออกมาจนหมดเปลือก โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครอีกคนเดินตามมาตั้งแต่ออกจากห้องเรียนแล้ว
“ก็นายไม่เคยให้โอกาสฉันพูดเลยนี่นา” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง
....เสียงที่แม้ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ได้ว่าใคร....
แต่ผมเลือกที่จะหันขวับมองหน้ายามะจังทันที เพราะผมรู้สึกได้ว่า นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญของโชคชะตาใดๆทั้งนั้น ที่เคโตะตามผมมาได้ถูกเวลาเหมาะเจาะโป้ะเช้ะเด็ดดวงขนาดนี้ได้มันต้องมีเบื้องหลัง
ซึ่งผู้ต้องสงสัยก็กำลังยืนยิ้มเผล่ พลางยกมือขอขมาโทษ ก่อนจะทิ้งผมไว้ด้วยประโยคเพียงประโยคเดียว
“เคลียร์กันดีๆนะ”
.
.
“คือว่า ฉันชอบไดกิคุงมากเลยค่ะ”
“........”
“ฉันเองก็เห็นคุณยังไม่มีใคร”
“.......”
“กรุณาคบกับฉันด้วยเถอะค่ะ”
“........ ขอโทษนะ เธออาจจะไม่รู้ .... แต่ผมมีคนที่ต้องดูแลอยู่แล้วน่ะ” ไดกิพูดด้วยเสียงนิ่มๆ อมยิ้มนิดๆเมื่อนึกถึงคนที่ตัวเองกล่าวอ้าง แต่เมื่อเห็นหน้าตาของสาวน้อยที่ทำท่าจะร้องไห้ก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้
“เพราะฉะนั้น ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
สาวน้อยพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็เหมือนยังทำใจไม่ได้จึงวิ่งออกไป
“เฮ้อ.... รู้สึกไม่ดีจริงๆเลยนะเนี่ย” ไดกิมองตามสาวเจ้าไปอย่างสงสาร แต่ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเค้าไม่สามารถตอบรับความรู้สึกดีๆจากใครได้อีกแล้ว
To be con
Talk : ลงฟิกต้อนรับวันสงกรานต์ด้วยคู่นี้เลย ฮ่าๆๆๆ
ยังไงก็ขอให้มีความสุขกับฟิกนะจ้ะ คิดเห็นอย่างไรก็บอกกันบ้างอะไรบ้างไม่ว่ากัน
...... สุดท้ายนี้ เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกและปลอดภัยเน้อเจ้า บุญรักษาค่ะ
ความคิดเห็น