ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic HSJ].... You are beautiful ....[Hey!Say!JUMP version]

    ลำดับตอนที่ #11 : อัดเสียง

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ย. 54


     

     

     

    11

     

     

                    วันรุ่งขึ้น

     

    “เรียวจัง! มีคนมารับเรากลับแล้วล่ะ”

    ไดกิเดินมาตามน้องชายที่มานั่งเหม่อลอยอยู่ริมระเบียงอีกแล้ว

     

    “ใครหรอ”

    “ไปดูเองเถอะ” ใบหน้าแย้มยิ้มแบบเจ้าเล่ห์ของไดกินั้น ทำให้แวบนึงในหัวของเรียวสุเกะ คิดว่าอาจจะเป็นยูยะก็ได้ที่มารับเขากลับไป จึงรีบร้อนวิ่งออกไปหน้าบ้านด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข

     

     

     

    แต่ทว่า

     

     

     

     

     

    “เคโตะคุง...”

     

    เพียงชั่วครู่เท่านั้นที่ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างดีใจนั้นกลายเป็นสีหน้าผิดหวัง

    ก่อนที่ร่างเล็กจะปรับสีหน้าให้กลับมายิ้มแย้มตามเดิม ...... แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางรอดพ้นสายตาของเคโตะที่ยืนรออยู่ก่อนแล้วได้เลย

     

    “คิดว่าเป็นยูยะเหรอ” เคโตะแกล้งถามเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าเสียใจของตัวเอง

    “เปล่าฮะ” เรียวสุเกะพยายามบอกปัด

     

    .....จริงๆเขาก็พอดูออก ว่ายามะจังชอบยูยะ แต่ในเมื่อยูยะไม่ได้มีทีท่าว่าจะชอบยามะจัง เพราะฉะนั้นเขาเองก็ยังมีสิทธิ์.....

     

    “ยามะจังเป็นคนสำคัญของฉันนะ” ร่างใหญ่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง

    “เห” เรียวสุเกะเบิกตาโตขึ้นด้วยความตกใจ

    “ฉันหมายถึง นายเป็นเพื่อนคนสำคัญของวงเรา.... A.N.JUMP น่ะ จะขาดใครไปไม่ได้หรอก” เคโตะเห็นปฏิกิริยาแบบนั้นก็เลยเอื้อมมือใหญ่มาขยี้หัวร่างเล็กเบาๆแทน

    .....ท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่ทำเป็นกลบเกลื่อนไปสินะ.....

     

     “อัดเสียงพรุ่งนี้เช้าใช่มั้ย ฉันเป็นห่วงน่ะ ก็เลยมารับ”

    “ขอบคุณมากเลยครับ เคโตะคุงใจดีกับผมตลอดเลย”

     

    ......แต่ความใจดีของฉันมันไม่เคยซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจนายเลยสินะ ยามะจัง ......

     

    .

    .

     

    “ยามะจัง กลับมาแล้ว!!

    ยูโตะแถบจะถลามาเข้ามาชนเรียวสุเกะที่กำลังถอดรองเท้าเปลี่ยนเป็นสลิปเปอร์ปุกปุยลายสตรอเบอร์รี่ที่เขาใช้ประจำ ยังดีที่ยูโตะยังยั้งเท้าเบรกไว้ได้ทน ไม่อย่างนั้นล่ะอาจได้ล้มโครมกันอยู่หน้าบ้านเนี่ยแหละ

     

    “ผมขอโทษทุกคนที่ทำให้เป็นห่วง” ร่างเล็กโค้งขอโทษทุกคนที่นั่งรวมกันอยู่ในห้องนั่งเล่น

    “ไม่เป็นไร นายกลับมาปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ” ฮิคารุตอบยิ้มๆ

     

    “ยามะจัง รีบไปอาบน้ำเถอะ บ่ายนี้พีซังเรียกประชุมที่ห้องนั่งเล่น อ้อ เรียกไดจังมาด้วยนะ” เคโตะย้ำเตือนอีกครั้ง ร่างเล็กโค้งน้อยๆอีกครั้งแล้วก็วิ่งไปที่ห้องทันที

     

    ยูโตะมองตามเรียวสุเกะสลับกับเคโตะ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ...... ท่าทางของสองคนนี้ ดูเหมือนจะมีอะไรที่มากกว่าความเป็นเพื่อนหรือพี่น้องร่วมวง

     

    ......ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้... เคโตะเป็นผู้ชายนะ คงไม่ชอบผู้ชายด้วยกันหรอก........

    ...... แต่ยูยะก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันนี่นา แถมยังเป็นชี่จังผู้น่ารักด้วย ........

     

    ยามะจังนี่ก็เข้าข่ายน่ารักเหมือนกัน คงไม่แปลกที่เคโตะจะมีความรู้สึกพิเศษด้วย

     

    “คิดอะไรอยู่คนเดียวน่ะยูโตะ... อย่างกับคนบ้า” ฮิคารุพูดใส่หน้าอย่างใจร้ายแล้วก็เดินผ่านไป ....ยูโตะบู้ปากใส่ลับหลังเป็นการตอบโต้

     

    .

    .

    .

     

     

    จากเหตุการณ์วันนั้น วันเดบิวต์ที่ยามะจังหนีสัมภาษณ์ แล้วก็ไอ้คิ้วขมวดๆเหมือนขี้ไม่ออกสามวันของอิโนโอะ เคย์ตลอดการแสดง ....แล้วต่อมายูยะ ยามะจังแล้วก็เคย์ ก็ไปโผล่ที่จิบะ หนำซ้ำยังไปหลงป่าหลงเขาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาวุ่นวายกันไปหมดอีก ....ทั้งหมดมันมาจากเหตุผลเดียวกัน คือ พี่ชายของยามะจัง .....ชื่อไดจังใช่มั้ย

    ยามะพียืนเท้าเอวชี้หน้าชำระบัญชีเรียงคนตามสไตล์ .... สมาชิกทุกคนที่มานั่งรวมกันเป็นวงกลมที่ห้องนั่งเล่นได้แต่หดหัวรับฟังโดยไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไร เพราะยามะพีรู้ลึกรู้จริงเสมอ โดยเฉพาะพวกที่มีชนัก มีความผิดติดหลังอย่างเคย์และยูยะนั้นก็จะยิ่งทำตัวลีบเล็กลงอย่างน่าสงสาร

     

    ผมต้องขอโทษที่สร้างความเดือดร้อนให้ด้วยครับ!”

     

    ไดจังที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใดๆหรือนิสัยพิลึกๆของยามะพีมาก่อนก็ลุกขึ้นโค้งสุดตัวอย่างรู้สึกผิด ....ดูเหมือนปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะเขาเป็นต้นเหตุเสมอๆ เมื่อวันเดบิวต์เขาก็ไม่สบาย ที่ไปจิบะนี่ก็เขาตื่นสาย

    ....ไม่แปลกหรอกที่ยามะพีจะมองเห็นว่าเขาเป็นตัวสร้างปัญหาให้กับวง ทั้งที่เขาเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับA.N.JUMP เลยสักนิด.......

     

    .....ดีแต่สร้างเรื่องลำบากให้ตลอด......

    .......ก็สมควรแล้วนี่...ไดกิ......

     

    อ้ะ ไม่ได้หมายความว่าทั้งหมดเป็นความผิดของไดจังหรอกนะ อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิปีศาจเป็ดวาดรอยยิ้มบนริมฝีปากก็จริง แต่ทำไม๊.... ทุกคนถึงมองดูแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกถึงความใจดีเลยสักนิด

     

    ..............

    ทุกคนตกอยู่ในสภาวะเงียบงัน เพราะไม่รู้แน่ชัดว่าตกลงแล้วพีซังจะเอาเรื่องมั้ย อารมณ์ดีอยู่รึเปล่า

     

    ......ดูไม่ออกเลยสักนิด รอยยิ้มหวานบนใบหน้าน่ารักนั่นน่ะ....

     

     

    ที่พูดไปทั้งหมดน่ะ หมายความว่า ฉันจะให้ไดจังย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่อีกคนน่ะสิ

     

    ห๊ะ!!!!!!!”

     

    แล้วจะให้ไดจังพักที่ไหนอีกล่ะครับ”

    เคโตะพูดประโยคเดิมๆในรอบสัปดาห์นี้ไปกี่รอบกันแล้วนะ ไม่อยากจะนับ

     

    “ก็ห้องยามะจังไง”

    “ห้องยามะจังเล็กเท่ารูหนูขนาดนั้น นอนคนเดียวก็แคบเกินพอแล้ว ยังจะให้เพิ่มคนอีกเหรอ”

    “ใช่ๆ ใจร้ายเกินไปแล้ว” เคย์พูดสมทบ ....

    “หรือจะให้ไดจังย้ายไปอยู่ห้องนายล่ะเคย์” เคย์รีบหุบปากฉับ แอบอึ้งเล็กน้อยที่พีซังมารู้เท่าทันความคิด

     

    “เอ่อ...ผมว่าผมกลับไปอยู่ที่บ้านเหมือนเดิมจะดีกว่านะครับ” ไดกิเกรงว่าตัวเองจะเป็นตัวการทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีกก็รีบออกปาก

    “ไม่ๆๆ นายจำเป็นต้องอยู่ที่นี่” แต่ท่านยามะพีประกาศิตลงมาแล้ว ก็หมายความว่าที่เหลือก็ต้องหาทางทำให้ได้อย่างที่พีซังต้องการสินะ

     

    “แล้วพีซังจะทำยังไงล่ะ”

    ยูยะที่เริ่มฟื้นตัวหลังผ่านพ้นจากการเป็นจำเลยในการชำระความของพีซัง ก็เริ่มมีปากเสียงขึ้นมาทันที

     

    “ไม่ยาก...ให้ไดจังนอนห้องยามะจังนั่นแหละ ส่วนยามะจังก็ย้ายออกมาอยู่กับเพื่อนๆ..... ใครจะให้ยามะจังนอนด้วยได้บ้าง”

    “เอ๋....” ทุกคนทำหน้าเหวอกับการตัดสินใจปุบปับไร้ความรับผิดชอบของพีซัง

     

    “ยูโตะ ว่าไง” ยามะพีชี้ถามเรียงตัวอีกแล้ว

     

    “ผมคิดว่าผมคงอยู่ร่วมห้องกับยามะจังไม่ได้หรอก ไลฟ์สไตล์เราต่างกัน...” ยูโตะทำหน้าเหยเก

    .....ไม่ได้หรอก ตอนนี้เขากำลังอยู่ในช่วงสับสนทางความรู้สึก..... เขายังไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อยามะจังมันคืออะไรกันแน่ เขาไม่อยากอยู่ใกล้ชิดกับยามะจังด้วยความรู้สึกครึ่งๆกลางๆแบบนี้......

     

    “เคโตะล่ะ”

    “ผมคงไม่ใช่คนที่เขาอยากพึ่งพาหรอก” ตอบประชดที่เรียวสุเกะเอาแต่เรียกหายูยะตลอดเวลา

    ...... เหตุการณ์เมื่อเช้าที่เขาไปรับที่จิบะยังคงจำได้ติดตา ภาพที่ยามะจังทำหน้าผิดหวังออกมา แม้จะเป็นเวลาเพียงเสี้ยววิ แต่มันก็ทำให้เจ็บในอกไม่ใช่เล่นเลย .......

     

    “เคย์ ฮิคารุ”

    “หมอนี่ไว้ใจไม่ได้ อย่าให้ยามะจังมาอยู่ห้องพวกผมเลย จริงๆ” ฮิคารุชี้ไปที่เคย์

    “ฉันไว้ใจไม่ได้ตรงไหน...” แล้วสองเพื่อนรักก็ทำท่าจะมีปากเสียงกันเล็กๆ

     

    “ยูยะ เหลือนายคนเดียวล่ะ ไหนๆก็เคยนอนด้วยกันมาก่อนแล้วนี่นา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”

    “แล้วมันเรื่องอะไรที่จะต้องให้สองพี่น้องนี่มาอยู่ห้องผมด้วยล่ะ!” ยูยะโวยวายเสียงดัง

     .....ทำไมทีกับเขาไม่เห็นจะถามความเห็นเหมือนคนอื่นเลยล่ะ.....

     

    “เพราะว่าห้องนายใหญ่ที่สุดน่ะสิ” ยามะพียิ้มตอบอย่างน่ารัก

    ..... เขาจำได้ว่าพีซังเคยพูดประโยคคล้ายๆแบบนี้ไปแล้วครั้งนึงนะ .....

     

    “เอาล่ะๆ เอาอย่างนี้ ยามะจังเลือกเลยดีกว่าว่าจะไปอยู่ห้องใคร”

     

    เรียวสุเกะมองหน้าทีละคน เคโตะกำลังอยู่ในโหมดน้อยใจ ยูโตะมีสีหน้าระแวดระวังและไม่ไว้ใจ(ตัวเอง) ฮิคารุกับเคย์ไม่ยอมสบตาแล้วก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ส่วนยูยะ...

    “อย่าแม้แต่จะคิดเชียวนะ” ยูยะกระซิบลอดไรฟันพอให้ร่างเล็กได้ยิน

     

    เรียวสุเกะใคร่ครวญอีกนิดหน่อย แล้วตัดสินใจชี้ไปที่ยูยะในที่สุด

    “ห้องฉัน? ทำไม..ห้องอื่นมีตั้งเยอะให้นายเลือก ทำไม?” ยูยะชี้หน้าตัวเองอย่างไม่เข้าใจ ....นี่ขนาดว่าเขาขู่ไว้แล้วนะ

    “เพราะผมอยากอยู่กับไดจังนี่นา”

    “ไม่ได้...ฉันไม่ตกลง ไม่มีห้องก็นอนข้างนอกไปสิ” ยูยะพูดเสียงแข็ง

     

    “ใจร้าย” ฮิคารุพูดลอยลม

    “ไม่มีหัวใจ” ลูกคู่อย่างยูโตะก็ไม่พลาดโอกาสนี้เช่นกัน

     

    “แน่จริงก็ให้เจ้านั่นไปอยู่ห้องพวกนายสิเว้ย!” ยูยะที่ถูกกวนอารมณ์เลยอดไม่ได้ที่จะตวาดใส่เจ้าคู่หูคู่ฮา

    “ช่วยไม่ได้นี่นา ห้องพวกเราเต็มแล้ว” ฮิคารุทำหน้าเสียดาย และเห็นอกเห็นใจอย่างสุดซึ้ง โดยมียูโตะพยักหน้าหงึกๆเป็นแบ็คกราว ...ทีเรื่องแบบนี้ล่ะ เข้าขากันดีไม่มีหลุดเชียวนะ

     

    “คือว่า..ผม” ไดกิทำท่าจะท้วงขึ้นมาอีกหน

    “โอเค งั้นตกลงตามนี้นะ...ไดจังย้ายเข้ามาวันนี้เลยก็ได้นะ” .....แต่ยามะพีไม่แม้แต่จะคิดฟังเลยสักนิดเดียว....

    “พีซัง คือว่าผมไม่อยากให้ทุกคนต้องมาลำบากเพราะผมคนเดียว” ไดกิอุทธรณ์ด้วยความเกรงใจ

     

    “ยูยะ...นายดูสิ นายทำให้ไดจังต้องลำบากใจถึงขนาดนี้เชียวนะ ดูตากลมๆคู่นี้สิ ไม่ทำให้นายใจอ่อนสักนิดเลยรึ” ยามะพีใช้สองมือจับบังคับใบหน้าขาวใสของไดกิให้หันมาเงยหน้าจ้องยูยะตาปริบๆ

     

    “จิ๊..” ยูยะเบือนหน้าหลบ ยามะพีรู้จุดอ่อนเขา ว่าเขาแพ้ตาใสๆแป๋วๆแฝงแววเศร้าอย่างที่ไดจังกำลังทำอยู่ตอนนี้

    “ยูยะ ฉันเพิ่งรู้นะว่านายเป็นคนไม่มีหัวใจถึงขนาดนี้” ยามะพีดราม่าใส่อีกระลอก ด้วยแอคติ้งมารยาระดับออสการ์

    “เออๆๆ จะมาอยู่กี่คนก็มา เลิกพูดกดดันแบบนั้นสักที” สุดท้ายยูยะก็ยอมแพ้ด้วยความอ่อนใจ

    ทุกคนเผยยิ้มออกมา เพราะรู้ว่าจริงๆแล้วยูยะเป็นคนปากร้ายใจดี

     

    “ไม่มีใครคัดค้านที่จะให้ไดจังมาอยู่ที่นี่แล้วใช่มั้ย พวกนายล่ะ”

    “พวกผมไม่มีปัญหาอะไรครับ!

    “เดี๋ยวฉันจะให้คนมาสร้างห้องเพิ่มให้ทีหลัง ตอนนี้ก็อยู่ด้วยกันไปก่อนก็แล้วกันนะ”

     

    .

    .

     

     

    “พีซัง ผมสงสัยว่าทำไมจะต้องให้พี่ชายของยามะจังไปอยู่ที่บ้านด้วย” ชิเงะถามขึ้นมาขณะที่กำลังขับรถให้ท่านประธานบริษัทผู้แสนเอาแต่ใจ หลังจากการประชุมอย่างไม่เป็นทางการที่บ้านเสร็จสิ้น

     

    “ก็ได้ข่าวว่าไดจังเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง ป่วยง่าย ถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียวก็น่าสงสารแย่ ไหนจะยามะจังที่คอยเป็นห่วงไม่เป็นอันทำงานอีก”

    “แค่นี้เหรอครับ” ชิเงะถามย้ำอีกครั้ง... เหตุผลมันแลดูเป็นคนดีเกินไป อย่างยามะพีน่ะมีต้องเหตุผลอื่นอีกแน่ๆ

     

    “แล้วก็.... อิอิอิ ผู้ชายตั้ง 7 คนในบ้าน มันก็น่าสนุกดีนี่นา”

    ชิเงะทำหน้าเบลอ... นี่อะนะ เหตุผลทั้งหมด -_-“

     

     

    ………………………….

    ………………..

    ………..

     

     

    วันอัดเสียง

     

    ก่อนจะถึงเวลาเข้าห้องอัด เรียวสุเกะรู้สึกประหม่าไม่มั่นใจจนเกิดความเครียดขึ้นมาเล็กๆ ขณะที่นั่งเตรียมตัวรออยู่ในห้องทำงานของยามะพี

     

    “ถึงเวลาแล้ว ไปกันเถอะยามะจัง” เคโตะเป็นคนเข้ามาเรียก แต่เมื่อร่างเล็กออกมานอกห้องก็พบว่า ฮิคารุ เคย์ ยูโตะ หรือแม้แต่ยูยะก็ยืนอยู่หน้าห้อง ทุกคนมาเพื่อมาให้กำลังใจเขา เรียวสุเกะรู้สึกซาบซึ้งใจน้ำตาจะไหล 

     

    แต่ทันใดนั้นเอง กรอบร่างบอบบางของ จิเน็น ยูริ ที่เดินมาพร้อมกับยามะพีก็ทำให้ทุกคนนิ่งอึ้งตกใจ โดยเฉพาะเรียวสุเกะที่ทำตาโตอย่างคาดไม่ถึง

     

    “ได้ยินว่าวันนี้ยามะจังมาอัดเสียง ผมขอเข้าไปให้กำลังใจด้วยคนได้มั้ยฮะ” ร่างบางพูดด้วยเสียงหวาน

    “อ่า ได้สิๆไม่มีปัญหา” แน่นอนว่าคนตอบไม่ใช่ยูยะ หากแต่เป็นยามะพีที่รักความสนุกสนาน.... แล้วการที่เจ้าของบริษัทออกปากเองแบบนี้ ใครเล่าจะไปกล้าขัดใจท่านได้ “วันนี้มีเดทกับยูยะเหรอ”

     

    “ครับ ยูยะบอกว่าจะพาผมไปขับรถเล่นล่ะ” ยูริยิ้มแย้มบอกเล่าอย่างน่ารักแล้วเดินเข้าไปเกาะแขนยูยะพร้อมกับอิงหัวซบไหล่ ร่างสูงสะบัดหน้าหนีทันที

    ...... ฉันไปตกลงกับแกเมื่อไหร่ฟะ!!!.....

     

    เรียวสุเกะมองไปที่ทั้งคู่อย่างเศร้าสร้อย แล้วเดินซึมๆจะเข้าห้องอัด แต่ก็โดนเสียงเรียกของยูโตะรั้งเอาไว้ก่อน

     

    “ยามะจัง ไม่ต้องกลัวนะ พวกเราจะอยู่ตรงนี้ด้วย”

     

    ยูโตะส่งยิ้มและชูพีชให้อย่างรื่นเริง ทำให้เรียวสุเกะอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนจะหันกลับไปสูดลมหายใจลึก ตั้งสมาธิแล้วผลักประตูเข้าห้องอัดเสียงไป

     

     

    Alone

     

    aitakute zutto furetakutte motto

    อยากจะพบเธอมาตลอด อยากจะสัมผัสเธอให้มากกว่านี้

    kimi no yokogao kirei na yubisaki

    ใบหน้า และสัมผัสจากปลายนิ้วที่อ่อนโยนของเธอ

    naze toozakatte yuku no?

    แต่ทำไมเธอถึงต้องจากฉันไป

     

    hitomi tojite mo mimi fusai demo

    หากว่าฉันจะหลับตาลง หากว่าฉันปิดหูเอาไว้

    hanikamu egao atataka na kioku

    รอยยิ้มอายๆของเธอ ความทรงจำที่แสนอบอุ่น

    ima mo wasurerarenai yo

    จนถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่เคยลืม

     

    ai dake wo sotto oshiete

    “รัก” เป็นเพียงคำเดียวที่ฉันอยากให้เธอพูด

    ne doushite sayonara na no

    แต่ทำไมเธอถึงพูดว่า “ลาก่อน”

    kotoba mo naku nagareru toki

    ไม่มีคำพูดใดๆ จวบจนเมื่อเวลาผ่านไป

    mune ga harisakesou

    หัวใจของฉันราวกับจะแตกสลาย

     

    ai dake wo sotto ataete

    “รัก” เป็นสิ่งเดียวที่ฉันอยากให้เธอ

    ne doushite kiete yuku no

    แต่ทำไมเธอถึงได้จากไป

    suterarenai ano hibi

    ฉันไม่เคยลืมวันนั้น

    kotae mo nai mama

    เมื่อเธอไม่ได้ให้คำตอบใดๆกลับมา

     

    tomedonai kono itoshii sa

    ความรักนิรันดร์นี้

    otomonaku afuredasu yo

    เกิดขึ้นอย่างเงียบๆ

     

    kimi dake wo motto mo tomete

    เธอเป็นหนึ่งเดียวที่ฉันต้องการค้นหามากกว่านี้

    kimi dake wo machi tsuzukeru

    เธอเป็นคนเดียวที่ฉันยังคงรออยู่เสมอ

    haruka na sora miageta nara

    เวลาที่ฉันมองไปจากท้องฟ้าจากที่แสนไกล

    nakitaku naru kedo

    ฉันรู้สึกเหมือนจะร้องไห้

     

    maebure mo aizu mo naku

    ไม่มีแม้แต่คำเตือนหรือสัญญาณใดๆ

    wakare mo toki mukaete mo

    เวลาที่เธอต้องไปก็มาถึง

    kotoba mo naku dakishimetai

    ไม่มีแม้คำพูดใดๆ ฉันอยากจะกอดเธอ

    daisuki na hito ni okuru ai wo

    ฉันจะส่งความรักให้เธอเสมอ ....ถึงเธอ คนที่ฉันรัก

     

    hitomi tojite mo mimi fusai demo

    หากว่าฉันจะหลับตาลง หากว่าฉันปิดหูเอาไว้

    hanikamu egao atataka na kioku

    รอยยิ้มอายๆของเธอ ความทรงจำที่แสนอบอุ่น

    kitto..wasurerarenai yo

    แน่นอน ว่าฉันจะไม่มีทางลืมมัน

     

     

    ตลอดการอัดเสียงนั้น กระจกใสของห้องอัดเสียงที่สะท้อนให้เห็นภาพของยูริที่คลอเคลียอยู่กับยูยะแทบจะตลอดเวลา ความรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจนั้นเขาใช้มันถ่ายทอดผ่านบทเพลงไปอย่างแนบเนียน ตีโจทย์เพลงรักที่สื่ออารมณ์ถึงความเจ็บปวดทรมานได้แตกกระจายจนยามะพีร้องบราโว่ออกมาเสียงดังตอนที่เพลงจบพร้อมกับผุดคำชมออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

    แต่เรียวสุเกะไม่สามารถกักกลั้นความรู้สึกตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว พอร้องจบก็วิ่งร้องไห้ออกจากห้องไปทันที ท่ามกลางความตื่นตกใจของคนที่เหลือ

     

     

    .

    .

     

    “ยามะจัง…นายร้องไห้”

     

    เคโตะเป็นคนแรกที่วิ่งตามออกมาหาจนเจอเป็นคนแรก

     

     “เคโตะคุงไม่ต้องสนใจผมหรอก ฮึก...ตอนนี้น้ำหูน้ำตาน้ำมูก ทุกอย่างมันไหลมารวมกันหมดแล้ว ฮึก...ผม...ไม่อยากให้ใครเห็น”

    “งั้นก็ไม่ต้องให้เห็น” พูดจบเคโตะก็คว้าตัวเรียวสุเกะเข้ามากอด จับให้ใบหน้าเปื้อนน้ำตาซบลงกับอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแทน

     

    เรียวสุเกะที่กำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนไหวก็เลยยืนร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของเคโตะอยู่สักพักหนึ่ง .... เขาเกือบจะเช็ดน้ำมูกน้ำตาลงบนเสื้อแบรนเนมของเคโตะอยู่แล้ว ถ้าสายตาเขาไม่มองเลยข้ามไหล่ร่างหนาไปจนเห็นว่ายูยะกำลังยืนมองมาด้วยสายตานิ่งๆ

     

    ทันทีที่ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับยูยะที่ทำท่าจะเดินเข้ามาหา ก็ผลักเคโตะออกแล้ววิ่งหนีไป

     

     

     

    ...... เขายังไม่อยากเจอยูยะตอนนี้ ......

     

     

     

    ....... หน้าตาตอนร้องไห้ของเขาคงจะน่าเกลียด .....

    ...... เขาไม่อยากถูกยูยะเก็บเอาไปล้อจนสิ้นชาติหรอกนะ!......

     

     

     

    เรียวสุเกะวิ่งไปหลบอยู่ในห้องซ้อมดนตรีของบริษัท ก้มหน้าก้มตาใช้กระดาษทิชชู่เช็ดหน้า เช็ดคราบน้ำตาจนหมดจด เหลือทิ้งไว้ก็แต่รอยแดงๆรอบดวงตาที่ทำให้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักทีเดียว.... แต่พอเช็ดเสร็จ ภาพในหัวก็พาลไปนึกถึงฉากกระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายกาจที่ฉายซ้ำเหมือนดูทีวีรีรัน แล้วน้ำตาเจ้ากรรมก็ทำท่าว่าจะไหลออกมาอีกระลอก

     

     

     

    “ยามะจัง”

     

     

     

     “ยู...โตะคุง” ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่า ร่างสูงโปร่งของยูโตะ กำลังยืนส่งยิ้มอ่อนโยนอยู่ตรงหน้า “...เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”

     

     

    “ฉันอยู่ที่นี่ก่อนที่ยามะจังจะเข้ามาซะอีก”

     

    “////*-*/////” พอนึกทบทวนว่าตัวเองทำอะไรน่าขายหน้าไปขนาดไหนตอนที่คิดว่าไม่มีใครอยู่ในห้องก็อดจะเขินอายไม่ได้

     

     

    “มัวแต่ร้องไห้ล่ะสิ ถึงไม่เห็นว่าฉันอยู่ในนี้”

    “อย่าร้องไห้เลย.... รอยยิ้มของนายวิเศษที่สุดเลยนะ”

    “เอ้า ไหนลองยิ้มซิ”

    “นี่สิ เวลานายยิ้มแล้วน่ารักขึ้นตั้งเยอะ....”

     

    เรียวสุเกะไม่ได้พูดอะไรออกไปเป็นการการตอบรับ แต่ความร่าเริงสดใสและรอยยิ้มอ่อนโยนของยูโตะก็ทำให้ร่างเล็กยิ้มออกมาจากใจได้อีกครั้ง

     

     

     

    “เอาล่ะ ยามะจัง..... เราไปทำอะไรที่มันรื่นเริงกันเถอะ!

     

     

    ............................

    .................

     

     

    ยูโตะพาเรียวสุเกะมาที่เกมเซนเตอร์ ร่างเล็กรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยจากความอึดอัดกดดันทั้งหมดทั้งมวล คว้าปืนในเกมยิงซอมบี้มารัวกระสุนใส่ซอมบี้ไม่ยั้ง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเห็นหน้าซอมบี้พวกนั้นซ้อนทับกับใบหน้าของยูยะก็เป็นได้ ......ส่วนมนุษย์ผู้รักการตีกลองเป็นชีวิตจิตใจอย่างยูโตะนั้นโชว์ความสามารถในการตีกลองแบบขั้นเทพจนได้คะแนนเต็มในเกมไทโกะ เรียวสุเกะรู้สึกประทับใจจนต้องปรบมือให้ไม่หยุดเมื่อจบเกม

     

    ทั้งคู่ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายสนุกสนานกับการเล่นเกมตู้นั้นตู้นี้เสียจนแทบลืมเวลา พอออกมาอีกทีก็พบว่าท้องฟ้าใกล้จะมืดแล้ว ยูโตะพาไปกินของอร่อยๆที่ร้านอาหารแบบครอบครัวที่เขาชอบมากินเป็นประจำ ตบท้ายด้วยรายการของหวานที่มีสตรอเบอร์รี่อยู่ในรายการ เรียกรอยยิ้มและความสดใสของเรียวสุเกะให้กลับคืนมาจนเต็มแก้มป่องๆนั้นเลยทีเดียว

     

     

     

     

    “นี่เป็นฐานทัพลับของฉันเอง .....ยามะจัง นายจงภูมิใจซะ เพราะว่าฉันไม่เคยบอกให้ใครรู้นอกจากนายเลยนะเนี่ย” ยูโตะผายมือไปทางสนามเด็กเล่นที่มีบรรดาของเล่นพื้นฐานตามโรงเรียนทั่วไปและบ่อทรายขนาดกลาง เขาพราวด์ทูพรีเซนต์ด้วยความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

     

    “เอ๋ ที่นี่มันโรงเรียนอนุบาลนี่นา” เรียวสุเกะมองไม่เห็นถึงความเป็นฐานทัพลับดั่งคำคุยที่ตรงไหน เพราะว่าในสายตาเขามันก็เป็นสนามเด็กเล่นธรรมดาๆเท่านั้น

     

    “ใช่ ฉันเคยเรียนที่นี่ตอนเด็กๆ มันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำล่ะนะ ฉันชอบมาที่นี่ตอนดึกๆคนเดียวเวลามีเรื่องไม่สบายใจน่ะ ได้เล่นอะไรย้อนวัยมันก็ช่วยให้ลืมเรื่องร้ายๆไปได้ มันเป็นสถานที่ที่วิเศษไปเลยนะ^^

     

    โอเค เรียวสุเกะจะเข้าใจว่าคนเรามีความทรงจำที่ประทับใจต่างกันไปก็แล้วกันนะ

     ... เขามองไปรอบๆหาเครื่องเล่นที่พอจะเล่นได้ สุดท้ายก็ตัดสินใจไปนั่งห้อยขาไกวชิงช้าอย่างเงียบๆ ขณะที่ยูโตะนั้นเผลอแผล็บเดียวก็ปีนไปนั่งอยู่บนกระดานลื่นเสียแล้ว ตัวโตๆสูงใหญ่อย่างยูโตะ พอขึ้นไปอยู่บนนั้นแล้ว กระดานลื่นอันใหญ่สำหรับเด็กก็ดูเล็กลงไปถนัดตาและดูเหมือนจะคับแคบไปสำหรับเขาด้วยซ้ำ แต่ยูโตะก็หาได้เจียมบอดี้ตัวเองไม่ ยิ่งทวีความผาดโผนโดยใช้เพียงเท้าในการสไลด์ตัวลงมาราวกับเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีม

     

                ยูโตะวิ่งเล่นไปรอบๆจนพอใจแล้วก็กลับมานั่งบนชิงช้าตัวข้างๆร่างเล็กที่ไกวชิงช้าไปมาเบาๆอย่างเหม่อลอย เศร้าซึมไปตั้งแต่มาถึงที่นี่แล้ว..... เขามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเรียวสุเกะด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป

     

     

                    .....ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่สายตาของเขาไม่ได้มองยามะจังเป็นแค่เพื่อนอีกแล้ว.......

                    .....เขารู้สึกทนไม่ได้ถ้ายามะจังต้องร้องไห้ อยากแทนที่ใบหน้าเศร้าสร้อยนั้นด้วยรอยยิ้ม.......

     

     

    รูปร่างอย่างยูโตะนั้นถือว่าเป็นคนแข้งขายาว แต่ทั้งๆที่เรียวสุเกะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่พอจะเอื้อมมือไปหาก็เหมือนกับว่ามีระยะห่างมาขวางกั้นไว้เสมอ ....เขาไม่ใช่คนที่ยามะจังเลือก ไม่ว่าจะทำยังไงก็ดูเหมือนว่าเข้าไปไม่ถึงใจของร่างเล็กเสียที

     

    “ฉันทำได้แค่มองนายจากตรงนี้เท่านั้นใช่มั้ย” ยูโตะพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่เพราะความเงียบสงบจนได้ยินแม้แต่เสียงลมพัดก็ทำให้ร่างเล็กหันมาถามด้วยความสงสัย

     

    เอ้ะ? เมื่อกี้ยูโตะพูดอะไรหรือเปล่า

     

    “อ๋อ บอกว่ากลับกันเถอะ เดี๋ยวทุกคนจะเป็นห่วง”

     

     

    .

    .

     

     “ไดจัง!!!!!

    เมื่อเรียวสุเกะกับยูโตะกลับมาถึงบ้าน ร่างเล็กที่เห็นร่างบางๆของพี่ชายแวบๆในบ้านก็รี่เข้าไปหาอย่างไม่รอช้า

     

    “เคย์... แกว่ายามะจังเนี่ย ชอบไอ้เคโตะมันรึเปล่าวะ” ฮิคารุที่พอเห็นร่างเล็กวิ่งลับสายตาไปแล้ว ก็คันปากอยากเปิดประเด็น ขณะที่นั่งดูทีวีอยู่กับเคย์ตรงโซฟาห้องรับแขก

    “แกก็คิดเหมือนที่ฉันคิดใช่มั้ยฮิค”

    “ท่าทางของสองคนนี้มันดูยังไงๆอยู่ เจ้าเคโตะก็ชอบดูแลยามะจังจนเวอร์อยู่เรื่อย”

    “วันนี้แกก็เห็นใช่มั้ย สองคนนี้ก็แอบไปกอดกันด้วยน่ะ”

     

    ยูโตะที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าบ้านฟังพี่ๆคุยกันด้วยความสะเทือนใจแล้วก็เดินหนีขึ้นห้องไปอย่างเงียบๆผิดวิสัย ในขณะเดียวกัน ยูยะที่ออกมาหาอะไรกินในครัวก็ได้ยินบทสนทนาของเพื่อนทั้งสองเช่นกัน ร่างสูงกระแทกประตูตู้เย็นปิดอย่างแรงโดยไม่ได้หยิบอะไรออกมา แล้วก็หุนหันเดินกลับเข้าห้องไป

     

     

    “อ้ะ ทาคาคิคุง”

    เรียวสุเกะที่กำลังหอบหมอนห้าห่มเต็มไม้เต็มมือจนโผล่มาให้เห็นแค่ครึ่งหน้า ส่งเสียงทักทายตามปกติ ... แต่ในยามนี้ยูยะที่หงุดหงิดอย่างไม่รู้สาเหตุก็ทำให้ร่างสูงตอบกลับด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น

     

    “ถ้าชอบกัน รักกันนักก็ขนของไปอยู่ห้องมันเลยเซ่! ไม่ต้องมาอยู่ห้องฉัน!!” พูดจบก็เดินกระแทกส้นไปกระชากเอาผ้าเช็ดตัวเดินเข้าไปในห้องน้ำซะอย่างนั้น

     

    เรียวสุเกะได้แต่ยืนค้างอยู่ท่าเดิมด้วยความไม่เข้าใจในท่าทางปั้นปึ่งไร้เหตุผลของยูยะแบบนั้น

     

     

    ......ตกลงนี่กรูทำไรผิดไปรึเปล่า?? ......

     

    ถ้าจะมีคนที่จะโมโหได้แบบนั้นมันควรจะเป็นเรียวสุเกะคนนี้ไม่ใช่หรือ กล้าดียังไงมาทำให้เขาเสียใจร้องห่มร้องไห้ผีบ้าอยู่นานสองนาน แล้วยังมีหน้ามาเหวี่ยงไร้เหตุผลใส่เขาอีก

     

    เรียวสุเกะหนีปัญหาด้วยการเข้าไปขลุกอยู่กับไดกิในห้องอยู่เป็นชั่วโมง ชวนคุยสัพเพเหระตามประสาพี่น้องจนกระทั่งถูกพี่ชายไล่ออกมานอนเพราะว่าดึกมากแล้ว แม้จะยังไม่อยากเผชิญหน้าแต่ก็จำใจเพราะว่าหักหาญความเป็นห่วงเป็นใยของพี่ชายไม่ได้

     

    เมื่อเขาออกมาจากห้องเล็กก็เห็นว่ายูยะอยู่ในชุดกางเกงผ้าเนื้อนิ่ม(ที่ไม่ยอมใส่เสื้อตามเดิม) และกำลังเตรียมตัวเข้านอนอยู่พอดี.... ร่างสูงหันมา สั่งด้วยเสียงเฉียบขาด

     

     

    “ไอ้ตัวเล็ก....คืนนี้ลงไปนอนข้างล่าง” ประกาศิตท่านเจ้าของห้องท่านว่าอย่างนั้น เรียวสุเกะก็จะท้วงจะเถียงอะไรได้ไม่เต็มปากนัก... เลยเลี่ยงไปมองหาเจ้าตุ๊กตาหมีขนฟูแทน ด้วยคิดว่าจะเอามาใช้ขู่เหมือนคราวที่แล้ว

     

    “ไม่ต้องคิดจะเอาคุซาป๊งเป็นตัวประกันเลย” ยูยะยิ้มกริ่ม แขนขวากอดคุซาป๊งไว้ด้วยท่าทางสุขใจ

     

    “เตียงก็ออกกว้าง ผมไม่เบียดทาคาคิคุงหรอก”

     

    “ไม่ได้”

     

    เรียวสุเกะตื้ออยู่อีก 2-3 ประโยคก็ยอมแพ้... นอนพื้นก็ได้วะ ยังไงพื้นข้างล่างก็เป็นพรม คงไม่ทำให้ปวดหลังเท่าไหร่หรอกมั้ง...เนอะ

     

    To be con

     

    มาแล้ววววว ขอโทษที่ช้าค่า .... ใครลืมอนุญาตให้ย้อนกลับไปอ่านตอนก่อนได้จ้า^^

    งานเริ่มเยอะตั้งแต้ต้นเทอมเลยทีเดียว แต่จะพยายามหาเวลามาลงเรื่อยๆน้า คาดว่าเรื่องนี้ได้ยาวถึงปีหน้าแน่นอน เตรียมเค้าดาวน์ไปกับฟิกได้เลย ฮ่าๆๆๆ
    สำหรับคำแปลเพลง ประแปลมาจากอิ๊งอีกทีนึงนะ 55+ อาจจะแปลกๆไปบ้าง

    เจอกันตอนหน้าค่า^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×