ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก สัญญามาเฟีย (TaeNy x TaengSic)

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 57


     

    Chapter 7

     



     

    “อ๊ะ / เอ่อ….ขอโทษ”   

     

    สองเสียงดังขึ้นพร้อมกับที่คนสองคนหันหน้าไปคนละทางอย่างเก้อเขินทันทีที่ตะเกียบสองคู่เกิดใจตรงกันคีบอาหารชิ้นเดียวกัน  ก่อนที่คนนั่งหัวโต๊ะจะหันกลับมาเหลือบมองหน้าหญิงสาวที่กำลังเบือนหน้าไปทางอื่น พร้อมกับที่ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กๆออกมาเมื่อเห็นใบหน้าหวานๆของอีกคนนั้นกำลังขึ้นสีน้อยๆ

    ยูริและยุนอามองสบตากันทันทีเมื่อรู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆที่เกิดขึ้นบนโต๊ะอาหาร      จะบอกว่าบรรยากาศในตอนนี้แปลกๆก็ไม่ถูกนัก  ความจริงแล้วทั้งคู่รู้สึกถึงบรรยากาศที่แปลกไปตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเลยต่างหาก 

     

     

    ภาพเจสสิก้าที่กำลังเดินสำรวจไปทั่วสวนกลางบ้านพร้อมกับก้มลงพิจารณาดอกไม้ที่ถูกปลูกไว้อย่างสนใจโดยมีเจ้าของบ้านเดินตามเงียบๆ ทำให้สองพี่น้องที่พึ่งกลับมาจากทำงานต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ

     

     

    เจสสิก้าจะสนใจดอกไม้คงไม่แปลก 

     

     

    แต่สิ่งที่แปลกก็เห็นจะเป็นคนที่เป็นเจ้านายของพวกเค้าต่างหาก

     
     

    ทั่วทั้งบ้านหลังนี้ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าดอกไม้ในสวนแห่งนี้ผู้เป็นเจ้าของบ้านหวงแหนมากขนาดไหน นอกจากคนที่มีหน้าดูแลโดยตรงแล้วคนอื่นแทบจะไม่สามารถแตะต้องดอกไม้ที่ใครๆในบ้านต่างก็เรียกขานว่าดอกไม้ต้องห้ามนั้นได้เลย  แต่สิ่งที่พวกเค้าเห็นและตกใจมากจนแทบหยุดหายใจก็คือ………..

     

     

    เจสสิก้ากำลังก้มลงสัมผัสดอกไม้ต้องห้ามนั้นด้วยรอยยิ้มและท่าทีสบายๆ โดยมีเจ้าของบ้านยืนมองอยู่ข้างหลังอย่างเงียบๆ  โดยที่……ไม่มีคำห้ามปราม ไม่มีเสียงตวาดดังโวยวาย ไม่มีแม้แต่ความกราดเกรี้ยวใดๆดังเช่นที่เคยเป็นมา


    .

    .

    .

    .

     
     

    “เป็นอะไร วันนี้งานหนักกันรึไง”         น้ำเสียงที่ดังมาจากทางหัวโต๊ะทำให้สองพี่น้องที่กำลังจมอยู่กับความแปลกใจของตัวเองต้องสะดุ้งเล็กน้อย

     

     

    “หรืออาหารวันนี้ไม่ถูกปาก”         คนหัวโต๊ะยังคงถามด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมหากแต่หางเสียงกลับกลั้วหัวเราะให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลาย

     

     

    “ป….ป่าวพี่แท ไม่ใช่อย่างนั้น ฝีมือป้ายองอียังอร่อยเหมือนเดิมแต่ยุนกับพี่ยูลแค่แปลกใจนิดหน่อยหนะ”

     

    คำตอบของยุนอาทำให้คนสองคนต้องขมวดคิ้วทันที  คนหนึ่งขมวดเพราะความแปลกใจแต่อีกคนขมวดเมื่อเห็นว่าน้องสาวของกำลังหาแนวสนับสนุนหาเรื่องใส่ตัว

     



    “แปลกใจเรื่อง?”        ถามนิ่งๆแต่คิ้วยังขมวดอย่างคนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราว


     

    “ไม่มีอะไรหรอกแทยอน แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องหนะ”       ยูริตอบเพื่อนสนิทเรียบๆตามนิสัยของตนเองพร้อมกับใช้ศอกกระทุ้งสีข้างน้องสาวเบาๆเพื่อเตือนสติ 

     

    ถึงแม้ว่าแทยอนจะใจดีกับยุนอาแต่เค้าก็รู้ดีว่าหากน้องสาวตัวดีของเค้าเอ่ยถามในสิ่งที่เราทั้งคู่แปลกใจขึ้นมาเมื่อไหร่ความใจดีนั้นคงไม่ช่วยอะไรเลย ในทางตรงข้ามกลับทำให้บรรยากาศที่กำลังดีแบบแปลกๆในตอนนี้ย่ำแย่ลงด้วยซ้ำ

     


     

    เพราะยูริรู้ดีว่า…..ถามอะไรก็คงถามได้ แต่ไม่ควรถามหรือพูดอะไรที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้น

     

     

     

    “อ……อ่าใช่พี่แทไม่ใช่เรื่องอะไรสำคัญหรอก เราแค่แปลกใจเพราะป้ายองอีบอกว่าวันนี้พี่แทกับพี่สิก้าเข้าครัว”    

    ยุนอารีบยกความสงสัยอีกข้อของตัวเองขึ้นมาถามคนเป็นพี่ทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองเกือบพลาดทำระเบิดลงกลางบ้าน  แต่อย่างน้อยข้อสงสัยนี้คงทำให้บรรยากาศที่หมิ่นเหม่น่ากลัวเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหละนะ สังเกตได้จากสีหน้าและท่าทางของคนสองคนที่กำลังทำหน้าไม่ถูกในตอนนี้

     

    “อ……อ๋อ ก็ไม่มีอะไร แค่ถ้าขืนปล่อยให้ยัยนี่ทำครัวชั้นคงได้อดข้าวเที่ยง ก็เลยต้องทำเองแค่นั้นหละ”       

    พูดแล้วก็เหลือบไปมองคนข้างๆที่กำลังก้มหน้าก้มตาทานอาหารในจานของตัวเองทั้งที่ใบหน้าหวานๆกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ ก่อนคนพูดจะหันไปก้มหน้าก้มตาทานอาหารหารในจานโดยไม่มองอีกสองคนที่กำลังยิ้มกริ่มแม้แต่น้อย

     
     

    คำพูดแก้ตัวกับสีหน้าแปลกๆของทั้งแทยอนและเจสสิก้าทำให้ยุนอาเหลือบมองยูรินิดๆก่อนที่จะพากันแอบยิ้มกับเหตุผลของคนเป็นนายที่พึ่งกล่าวมา

     



    เพราะพี่สิก้าจะพังครัวเลยต้องทำเองว่างั้น แล้วทำไมไม่ให้ป้ายองอีหรือเด็กในครัวทำหละ  ถึงกับเข้าครัวลงมือทำเองแบบนั้นสงสัยต่อไปคงมีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นแน่แท้    

     

     

    คิดแล้วก็ยิ้มกว้างกับความคิดตัวเองก่อนที่จะหุบยิ้มลงแล้วรีบก้มหน้าก้มตาจ้วงอาหารในจานเข้าปากตัวเองทันทีเมื่อหันไปเห็นสายตาดุๆของคนที่นั่งหัวโต๊ะกำลังมองมา


    .

    .

    .

    .

    .



    “ช่วงนี้ดูอารมณ์ดีนะ แทยอน”

    คำถามกลายๆเจือแววล้อเลียนของเพื่อนสนิททำให้คนที่นั่งเผลอยิ้มอยู่หลังโต๊ะในห้องทำงานต้องหันกลับมองมองคนพูดทันที พร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นเคร่งขรึมเช่นเคยก่อนจะถลึงตาใส่เมื่อเห็นเพื่อนสนิทหัวเราะออกมา



    ยูริมองสีหน้าและท่าทางของเพื่อนสนิทก่อนจะหัวเราะน้อยๆ  คงจะเป็นอย่างที่ยุนอาเคยพูด

     

     

    การเข้ามาของเจสสิก้าจะทำให้หลายอย่างเปลี่ยนไป

     
     

    เห็นได้ชัดๆเลยคือจากคนที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิทของเค้าเอง

     

     

    ตั้งแต่เจสสิก้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ถึงแม้ว่าเจ้าตัวเองและหญิงสาวอีกคนจะไม่เคยมีเวลาตรงกันเลยแต่ยูริก็รู้ว่าแทยอนรับรู้เรื่องราวของเธอเสมอ  ไม่ว่าจะผ่านทางยุนอาหรือแม้กระทั่งสายตาของตัวเอง เจสสิก้าคงไม่รู้ว่าตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เธอคอยแต่มองบานประตูที่ปิดไฟเงียบของห้องข้างๆ เจ้าของห้องจะยืนมองดูเธอพร้อมกับยกยิ้มเล็กๆอยู่มุมหนึ่งของบ้านอยู่เสมอ

     

     

     เพราะเวลาที่เธอกลับมาแทยอนมักจะยังไม่นอนอย่างที่หญิงสาวเข้าใจ

     

     

    เค้ารู้ดีว่าเจ้านายของเค้ามักจะทำงานอยู่ในห้องทำงานจนเวลาถึงเวลาเกือบรุ่งสางอยู่เสมอเช่นกัน

     

     

    “หัวเราะอะไรยูล”   

     
     

    น้ำเสียงดุๆที่ส่งกลับมาทำให้ยูริรู้ว่าคนพูดเริ่มจะมีอาการหงุดหงิดเล็กๆ  ใบหน้าคมหันกลับมาหาใบหน้าอ่อนวัยของเพื่อนสนิทที่เริ่มจะบึ้งตึง พร้อมกับส่ายหน้าทั้งที่ยังคงกลั้วหัวเราะ

     

    แทยอนมองหน้าเพื่อนสนิทที่ยังคงหัวเราะอยู่ด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา ก่อนที่ริมฝีปากบางๆจะยกยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงเรื่องบางอย่างได้

     

     

    “หัวเราะอารมณ์ดีแบบนี้ เพราะคิดถึงใครบางคนที่อยู่ฮ่องกงรึไง”       

    น้ำเสียงยียวนซึ่งไม่บ่อยนักที่จะได้ยินทำให้คนที่กำลังหัวเราะอยู่ต้องหยุดกึกทันที พร้อมกับที่ใบหน้าคมๆนั้นจะเริ่มขึ้นสีจางๆ

     

     

    “อ้า…..พูดแล้วก็คิดถึงยัยตัวยุ่งขึ้นมาไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะว่ามั๊ย ว่าแต่…………..แกได้โทรกลับโทรไปฮ่องกงบ้างรึป่าวตั้งแต่ที่เรามาที่นี่”

     

     

    คนพูดยังพูดด้วยสีหน้ายียวนส่วนคนฟังไม่ต้องพูดถึงหน้าคมๆนั่นขึ้นสีแดงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ได้ยินอีกคนเอ่ยถึง ยัยตัวยุ่ง นั้นแล้ว   

    แทยอนหัวเราะน้อยๆเมื่อเห็นสีหน้าเพื่อนสนิททำไมเค้าจะไม่รู้ว่ายูริคิดอะไรกับยัยตัวยุ่งของพวกเค้า  ตั้งแต่เด็กจนโตที่เพื่อนของเค้าปกป้องและดูแลน้องน้อยคนนั้นอย่างดีเสมอ หลายครั้งหลายคราที่เค้าแนะนำให้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป แต่เจ้าตัวก็มักจะปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ทำให้เค้าและยุนอาต้องส่ายหน้า

     
     

    เพราะน้องคงไม่คิดอะไร และเห็นเค้าเป็นแค่พี่คนหนึ่งเท่านั้นแล้วอีกอย่างคนที่น้องรักคงไม่ใช่เค้า…..

     

     

    เพราะรู้ความหมายของเหตุผลนั้นดีแต่แทยอนเองก็ยังคงนิ่งเฉยทำไมเค้าจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรและที่เพื่อนสนิทของเค้าพูดหมายถึงอะไรแต่เค้าเองก็ไม่ได้เก็บสิ่งนั้นมาใส่ใจ บางครั้งเรื่องบางอย่างก็คงต้องให้เวลาเป็นคนตัดสินโดยเฉพาะความรู้สึกและหัวใจของคน

     

     
     

    “พี่แท พรุ่งนี้พี่จะพาพี่สิก้าไปข้างนอกหรอ”   

    เสียงของผู้มาใหม่ที่พึ่งเปิดประตูเข้ามาทำให้คนสองคนที่อยู่ในห้องต้องหันไปมองก่อนที่คนถูกถามจะพยักหน้ารับเบาๆอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก้มหน้าอ่านเอกสารปึกใหญ่ในมือของตัวเองต่อโดยไม่สนใจใครอีก

    ยุนอามองใบหน้าอ่อนวัยของรุ่นพี่คนสนิทยิ้มๆ ก่อนที่จะหันไปหาคนเป็นพี่ที่กำลังเลิกคิ้วเป็นเชิงถามพร้อมกับกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันสองคน

     



    พี่สิก้าบอก…….

     

     

    ยูริพยักหน้าน้อยๆเชิงเข้าใจ ไม่แปลกที่ยุนอาจะบอกเช่นนี้ในเมื่อน้องของเค้าเพิ่งออกจากห้องของเธอมา เพราะนอกจากยุนอาต้องทำหน้าที่รายงานความเป็นไปของเจสสิก้าให้แทยอนได้ฟังแล้ว  หน้าที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งที่เจ้าตัวได้รับแต่งตั้งจากหญิงสาวก็คือรายงานความเป็นไปของน้องสาวของเธอให้ฟัง  ในตอนแรกเค้าเองก็อดที่จะสงสารกับภาระงานแบบแปลกๆนี้ไม่ได้แต่ตอนนี้เค้าเองก็ชักจะแน่ใจขึ้นมาบ้างแล้วว่างานนี้ต่อให้แทยอนสั่งห้ามยุนอาก็คงไม่ฟัง ดูได้จากหน้าบานๆพร้อมกับรอยยิ้มที่ไม่เคยหุบเมื่อเจ้าตัวพูดถึงหญิงสาวที่ต้องดูแลอีกคน

     

     
     

    “ว่าแต่พี่จะพาพี่สิก้าไปไหนหละ”        คำถามของยุนอาทำให้คนที่ก้มหน้าอ่านเอกสารในมือต้องเงยหน้าขึ้นมา

     


     

    “ไม่รู้สิ”      ตอบพร้อมกับก้มลงสนใจเอกสารในมืออีกครั้งพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กๆ

     

     

    นั่นสินะ  เค้าแค่บอกว่าจะพาไปแต่ก็ไม่ได้คิดเลยว่าจะพาไปไหน แต่ก็คงจะไม่ใช่เรื่องวุ่นวายอะไรเพราะคนอย่างเจสสิก้าหนะดูง่ายจะตาย ถ้าไม่ไปช๊อปปิ้งซื้อของเจ้าหล่อนก็คงขอให้พากลับบ้านสินะ

     

     

    “แล้วจะพาเธอไปยังไง พรุ่งนี้ยุนอาต้องไปดูแลคริสตัลแล้วชั้นเองก็ต้องเข้าไปจัดการเอกสารที่บริษัท”

     

    ยูริถามเพื่อนสนิทพร้อมกับขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจและกังวล เรื่องที่ยุนอาพึ่งบอกทำให้เค้ากังวลใจ เพราะความที่ทั้งเค้าและยุนอาต่างก็ติดงานสำคัญที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าตัวจนไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างดังเช่นปกติได้ทำให้เค้าไม่สบายใจ  ไม่ใช่ว่าแทยอนไม่มีฝีมือหรืออ่อนแอแต่ในทางตรงกันข้ามแทยอนกลับแข็งแกร่งกว่าพวกเค้ามากนัก  หากแต่ความปลอดภัยของแทยอนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดยิ่งในตอนที่เหตุการณ์ไม่ปกติเช่นนี้

     

    แทยอนเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารในมือดวงตาคมเข้มมองสบในตาที่ฉายแววห่วงกังวลของเพื่อนสนิทโดยไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ  ยูริเป็นห่วงเรื่องอะไรเค้ารู้ดีแต่ในเมื่อได้พูดออกไปแล้วเค้าก็ต้องรับผิดชอบคำพูดนั้นเพื่อไม่ให้ใครต้องมาว่าเค้าทีหลังได้  และคนอย่างคิมแทยอนเมื่อพูดไปแล้วก็ต้องแน่ใจแล้วเช่นกันถึงแม้จะรู้ว่าค่อนข้างเสี่ยงที่ไม่มีทั้งยูริและยุนอาอยู่ด้วยก็ตาม และเค้าก็รู้ดีว่าทั้งยูริและยุนอาคงไม่ปล่อยให้เค้าเป็นอันตรายแน่ๆ

     

     

    “ชั้นจะขับรถไปเอง”     ตอบสั้นๆให้คนฟังต้องอ้าปากค้าง 

     

     

    “แต่…..แทยอนทำแบบนั้นมันอันตรายนะ”      มาเฟียชื่อดังกระตุกยิ้มนิดๆเมื่อเห็นสีหน้ากังวลของสองคนสนิท

     


     

    ถึงจะบอกว่าขับรถไปเองแต่เชื่อเถอะว่าพรุ่งนี้ยังไงๆสองคนนี่ก็ต้องส่งลูกน้องไปคุ้มครองเค้าและเจสสิก้าแน่นอน

     

     

    “ตกใจอะไร ถึงชั้นจะบอกอย่างนั้นแต่ชั้นก็รู้ดี ว่าพรุ่งนี้คงมีคนของเราไม่ต่ำกว่าสิบกระจายตัวอยู่รอบๆชั้นกับเจสสิก้าแน่ จริงมั๊ย?”     

    พูดแล้วก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงานด้วยท่าทางสบายๆไม่ใช่ว่าแทยอนประมาทแต่เค้ามั่นใจต่างหากว่าในตอนนี้อ๊คแทคยอนคงจะไม่กล้าทำอะไรรุนแรงนอกไปจากพยายามจับตัวเจสสิก้าเท่านั้น

     




     

    คำตัดบทของผู้เป็นนายทำให้สองคนสนิทได้แต่สบตากันด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อแทยอนตัดสินใจไปแล้ว หน้าที่ของเค้าทั้งสองตอนนี้คงทำได้เพียงวางแผนคุ้มครองความปลอดภัยของแทยอนและเจสสิก้าในวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด

     


     

    …………………………………………………………………….

     

     


     

    “แต่งตัวบ้าอะไรของเธอเนี่ย!!


     

    “แล้วคุณหละ แต่งบ้าอะไร!!!

     

     

    “แล้วเธอจะเกี่ยวไอ้นั่นไว้ที่หูทำไม น่าเกลียด!!


     

    เสียงของคนสองคนที่เกือบจะเรียกได้ว่าตะโกนใส่กันดังลั่นออกมาจากห้องอาหาร ทำให้ยูริและยุนอาขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนจะพร้อมใจกันหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเมื่อเห็นต้นตอของปัญหา

     
     

    ภาพคนสองคนที่ยืนจ้องตากันอย่างเอาเป็นเอาตายคงไม่น่าขบขันได้เท่ากับการแต่งตัวที่แตกต่างกันสุดขั้วของคนทั้งสอง

     


     

    คนหนึ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวทับด้วยเสื้อสูทสีดำสนิทและกางเกงสีขาวเข้ารูปที่เนี๊ยบจนไม่มีแม้แต่รอยยับดูหรูหรา  ส่วนอีกคน……..

    เสื้อยืดธรรมดากับกางเกงยีนส์เข้ารูปสีน้ำเงินเข้มที่มีรอยขาดเป็นริ้วๆตามแฟชั่นกับเสื้อแขนยาวตัวโคร่งสีเทาอ่อนมีผ้าพันคอสีแดงสดพันอยู่รอบคอ โดยที่หูข้างหนึ่งของหญิงสาวมีแมสปิดปากเกี่ยวไว้แล้วปล่อยห้อยลงมา

     




    “อ…..เอ่อ ตกลงพี่สองคนจะไปด้วยกันจริงป่าวเนี่ย”        ยุนอาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นว่าคนทั้งคู่ยังคงยืนจ้องตากันโดยไม่สนใจเค้าสองคนที่เดินเข้ามา


    แทยอนมองสบตารุ่นน้องคนสนิทโดยที่ไม่พูดอะไรก่อนที่ดวงตาคมเข้มจะหันไปมองหญิงสาวอีกคนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถอนหายใจออกมา

     

     

    “นี่เธอถ้าจะออกไปข้างนอกกับชั้นก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เอาที่มันดีกว่านี้หน่อยเป็นไอดอลไม่ใช่รึไง”      

     

    คำพูดของคนตรงหน้าทำให้เจสสิก้าต้องเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ คนอะไรแค่จะออกไปข้างนอกแค่นี้ก็แต่งตัวยังกะจะไปงานขนาดเธอเป็นไอดอลเธอยังไม่เยอะเท่าเค้าคนนี้เลย แล้วอีกอย่างจะให้เธอไปเปลี่ยนชุดได้ยังไงเธอไปไอดอลนะ จะออกไปข้างนอกก็ต้องพลางตัวสิจะให้แต่งตัวดูดีเหมือนแฟชั่นสนามบินได้ยังไงกัน

     

     

    “ไม่!! คุณนั่นแหละที่ต้องไปเปลี่ยน”     

     

     

    “นี่เธอ!!!!”        

     

     

    “โอ๊ยยยยคุณ ชั้นอยากไปเป็นส่วนตัวแบบไม่มีใครจำได้อะเข้าใจมั๊ย แล้วอีกอย่างนะอีกอย่าง  คุณแน่ใจหรอว่าจะแต่งตัวแบบนี้ออกไปกับชั้นจริงๆ”    


                        พูดไม่พูดป่าวนิ้วเรียวสวยของนักร้องยังจิ้มๆไปที่เสื้อสูทตัวหรูของคนตรงหน้าอีกด้วย




    แทยอนมองใบหน้าหวานๆของหญิงสาวก่อนจะกลอกตาขึ้นฟ้าด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

     
     

    เหอะ!! เค้าผิดสินะที่แต่งตัวแบบนี้ก็จะให้ทำยังไงหละในเมื่อไม่ว่าจะไปไหนเค้าก็ตัวแบบนี้ตลอดทุกครั้ง

     

     
     

    “แล้วตกลงเธอจะไปไหน?”      ตัดสินใจถามออกไปเมื่อเห็นอีกคนไม่ยอมแน่ๆ ก่อนที่ตัวเองจะรู้สึกว่าคิดผิดมหันต์ในการตัดสินใจชั่ววูบของตัวเอง

     

     

    ริมฝีปากเรียวสวยของนักร้องสาวคลี่ยิ้มทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากคนตรงหน้าก่อนจะเอ่ยคำตอบชัดถ้อยชัดคำให้คนฟังอยู่ทุกคนต้องอ้าปากค้าง

     

     

     



     

    “สวนสนุก ^^ ”     

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     
     

    คิมแทยอนนั่งฮึดฮัดอย่างขัดใจทั้งที่ตัวเองยังทำหน้าที่ขับรถไปด้วย  รอยยิ้มล้อเลียนของสองคนสนิทและท่าทางอ้าปากค้างอย่างตกใจสุดขีดของยองอีและคนในบ้านเมื่อเห็นเค้าเปลี่ยนชุดออกมาเค้ายังจำได้ดี ใบหน้าใสอ่อนวัยขึ้นสีระเรื่อด้วยความเขินอายเมื่อต้องแต่งตัวในชุดที่ไม่คุ้นชิน(ที่ถูกยัดเยียดโดยยุนอา) ไหนจะท่าทางการตบมือหัวเราะอย่างชอบใจของหญิงสาวที่นั่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ข้างๆนี่อีก แทบจะทำให้มาเฟียอย่างคิมแทยอนอยากจะมุดดินหนี

     

     

    “โหวววววว พี่แท แต่งตัวแบบนี้แล้วดูเท่มุ้งมิ้งแบบพวกไอดอลเลยอะ”       แทยอนแทบอยากจะเขกกะโหลกรุ่นน้องคนสนิทแรงๆเมื่อได้ยอนคำชมแบบแปลกๆจากยุนอา

     

     

    “แต่งตัวแบบนี้ดูแปลกตาดีนะ ไม่เหมือนแทยอนที่ชั้นรู้จัก”     ไหนจะคำพูดกึ่งล้อเลียนของเพื่อนสนิทอีก

     

     

    “โอ๊ยยยยย คุณหนูคะ น่ารักมากเลยค่ะป้าชอบ”    แล้วก็ปิดท้ายด้วยป้ายองอีที่พูดพร้อมกับทำตาเป็นประกายตื้นตันใจให้คนถูกมองต้องหน้าขึ้นสี ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดบทโดยการลากแขนหญิงสาวที่เอาแต่หัวเราะขึ้นรถไป

     

     

     

    “นี่จะยิ้มอีกนานมั๊ย”    น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กๆทำให้คนที่เอาแต่นั่งยิ้มต้องหัวเราะออกมา

     

    ไม่ใช่เพราะแทยอนดูไม่ดีแต่เพราะแทยอนดูดีมากต่างหากจนเธอยังเผลอใจเต้นแรงตอนที่เค้าเดินออกมาจากห้องของยุนอา 

     

     

    เสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์เข้ารูปสีเดียวกันกับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีเข้มและเสื้อคลุมถักไหมพรมสีขาวทำให้แทยอนดูแปลกตา ภาพลักษณ์ที่เคยดูน่าเกรงขามตามแบบฉบับของมาเฟียดูอ่อนโยนและซอฟลงเมื่อเจ้าตัวอยู่ในชุดสบายๆเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นคิมแทยอนก็ยังดูเท่ห์และดูดีกว่าคนปกติทั่วไปอยู่ดีในสายตาของเธอ

     

    .

    .

    .

    .                     

     
     

    Mercedes-benz สปอร์ตคันหรูสองที่นั่งสีดำสนิทจอดนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถของสวนสนุกขนาดใหญ่ของกรุงโซล ร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่งก้าวลงจากรถด้วยความร่าเริงก่อนที่ใบหน้าหวานๆจะงอง้ำเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกคนยังไม่มีท่าทีจะลงจากรถ  เรียวขางามก้าวยาวๆไปทางที่นั่งคนขับก่อนจะเปิดประตูรถอย่างรวดเร็วให้คนที่นั่งทำหน้ายุ่งอยู่ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจ

     

     

    “ลงมาได้แล้ว!! คุณจะนั่งอยู่ในนั้นตลอดไปเลยรึไงห๊า”    

    เจ้าของใบหน้างามแหวขึ้นด้วยความหงุดหงิดก่อนจะมุดตัวเข้าไปปลดเบลท์แล้วทำท่าจะดึงคนที่นั่งหน้ายุ่งอยู่ด้านในให้ออกมา

     
     

     

    การกระทำของเจสสิก้าที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้คนถูกดึงได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ ไม่ใช่การขืนตัวไว้เพราะไม่อยากจะลงรถหากแต่เพราะใบหน้าหวานๆกับกลิ่นหอมจางๆที่ออกมาจากตัวของใครบางคนที่พึ่งจะมุดตัวเองเข้ามาในรถจนใบหน้าของเค้าและเธอแทบจะชนกันต่างหาก   ที่ทำให้มาเฟียชื่อดังอย่างคิมแทยอนไม่กล้าขยับไปไหน

     

     

    ……………

     

    ……………

     
     

    ความเงียบงันขึ้นมาทันทีเมื่อดวงตาสองดวงสบกันในระยะที่ใกล้ชิดในรถที่แคบจนแทบขยับตัวไม่ได้ทำให้  เจสสิก้าอ้าปากค้างด้วยความตกใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เธอและเค้าอยู่ในท่าทางที่หมิ่นเหม่ต่อความเข้าใจผิดแก่ผู้ที่พบเห็น แต่ถึงอย่างนั้นกลับเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างจากดวงตาคมนั้นที่สะกดเธอไว้ไม่ให้ไปไหนใบหน้าสวยหวานนั้นจึงทำได้แต่เพียงนิ่งค้างอยู่ในท่านั้นพร้อมกับหัวใจที่กำลังเต้นแรง

     
     

    คงไม่ต่างจากอีกคน…..แทยอนมองใบหน้าหวานๆที่ขึ้นสีของหญิงสาวตรงหน้าอย่างนิ่งงัน  ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆหรือประกายวูบไหวบางอย่างในดวงตากลมใสนั่นกันแน่ที่ดึงดูดสายตาของเค้าไม่ไห้มองไปทางไหน ดวงตาคมเข้มค่อยๆมองสำรวจใบหน้าสวยหวานนั้นอย่างเผลอไผลก่อนที่สายตาจะไปหยุดนิ่งอยู่ที่ริมฝีปากบางสวยที่กำลังอ้าค้างน้อยๆ ให้หัวใจที่เคยแข็งแกร่งดุจหินผาต้องเต้นระรัว

     

    เกิดความเงียบที่น่าอึดอัดแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกแปลกๆระหว่างคนสองคนก่อนที่คนที่ถูกค่อมอยู่จะรู้สึกตัวแล้วกระแอมขึ้นเบาๆ พร้อมกับปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วพูดขึ้นให้คนฟังต้องหน้าขึ้นสีด้วยความเขินอาย

     

     

    “เธอ….เอ่อ จะอยู่ท่านี้อีกนานมั๊ย”                     

     

    เสียงที่ดังเตือนสติทำให้หญิงสาวรู้สึกตัวร่างบางมุดออกจากรถอย่างรวดเร็วก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อศีรษะมนๆนั้นไปโขกกับรถเต็มแรง

     
     

    คิมแทยอนหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นนักร้องสาวคนสวยของวงการลงไปนั่งจุมปุ๊กเอามือกุมหัวหัวเองด้วยใบหน้าเหยเก  หากแต่ยังไม่วายตวัดสายตาอาฆาตใส่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากเค้า

     


     

    ผู้หญิงอะไรโง่จริงออกจารถยังไงให้หัวโขก แล้วดูท่าทางจะเจ็บมากนะนั่นดังโป๊กซะขนาดนั้น

     

     

     

    “นี่เจ็บมากรึไง ไหนมาดูซิว่าหัวแตกรึป่าว”      

    พูดพร้อมกับยังคงหัวเราะน้อยๆ ถึงจะคิดอย่างนั้นแต่ก็อดที่จะสงสารไม่ได้มือเล็กค่อยลูบหัวคนที่นั่งอยู่เบาๆ ก่อนที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าศีรษะมนๆนั้นไม่มีแผลแตกอะไรนอกจากปูดโนขึ้นเล็กๆ

                            

     

    …..การกระทำและคำพูดที่อ่อนโยนของคนข้างๆทำให้คนนั่งกุมหัวตัวเองอยู่ต้องนิ่งงัน เพียงแค่มือนั้นลูบที่ศีรษะของเธอเบาๆความเจ็บปวดที่เคยมีกลับหายไป หัวใจดวงน้อยๆที่เคยสงบนิ่งไปแล้วกลับเต้นแรงและรัวขึ้นกว่าเดิม

     


     

    ก่อนที่โรคหัวจะกำเริบ ก่อนที่หัวใจเธอจะวายแล้วตายไปโดยที่ยังไม่แต่งงาน…..

     

     

    มือบางปัดมือแกร่งนั้นออกทันทีพร้อมกับยืดตัวขึ้นเต็มความสูง แต่………เจสสิก้าคงจะลืมว่าใครอีกคนกำลังก้มอยู่ข้างหลังของเธอ ศีรษะมนๆนั้นจึงกระแทกเข้ากับปลายคางของอีกคนอย่างแรงทันที

     

     

     

    ปึ๊ก!!!!!  โอ๊ยยยยย!!!!!!

     
     

    สองเสียงร้องขึ้นประสานกันพร้อมกับที่คนสองคนทรุดลงนั่งจุมปุ๊กที่พื้น


     

    คนหนึ่งนั่งกุมหัวที่คงจะซ้ำรอยเดิมพร้อมกับเบ้ปากอย่างจะร้องไห้

    ส่วนอีกคนนั่นกุมปลายคางของตัวเองกับน้ำตาที่เริ่มจะเล็ด

     

     
     

    “ย๊าส์!!! ยัยบ้า เธอทำอะไรของเธอกันห๊ะ”      


    คนกุมปลายคางตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความหงุดหงิด เพราะความแรงของการกระแทกทำให้หัวของแทยอนถึงกับสะเทือน  นี่ยังไม่รวมเสียงฟันที่กระทบกันจนน่ากลัวว่าจะร้าวหมดทั้งปาก

     

     

    “ก…..ก็ ทำไมไม่หลบหละ ก็เห็นอยู่ว่าคนจะยืนขึ้นอะ”     

     

    คนผิดเถียงข้างๆคูทั้งที่ยังกุมหัวของตัวเอง ความจริงเธอไม่ผิดนะ แทยอนต่างหากที่ผิด…….

     

     

     

    ผิดที่ทำให้เธอใจเต้นแรงจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

     

     
     

    “เธอนี่มัน…..”       

     

     

    “โอ๊ย เลิกพูดได้แล้วน่าไปเถอะเห็นมั๊ยคนเข้าแถวซื้อบัตรยาวแล้วนั่น”    
     

    พูดแล้วก็รีบจ้ำออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังคงลูบหัวตัวเองป้อยๆ ไม่ใช่กลัวซื้อบัตรไม่ทันหรอกเพียงแค่กลัวว่าถ้าตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นนานหัวใจเจ้ากรรมจะเต้นแรงให้เป็นเรื่องอีก หนะสิ

     

     
     

    “ฮเฮ้ อ้าว!! แล้วนั่นจะไปไหนหละยัยบ้า”    

     

    เมื่อเห็นหญิงสาวอีกคนรีบจ้ำยาวๆคิมแทยอนก็ได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะรีบจัดการล๊อครถอย่างรวดเร็วแล้วเดินตามคนที่เอาแต่จ้ำไปข้างหน้าด้วยความไม่เข้าใจ

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ท่าทางตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กๆของคนข้างทำให้แทยอนอดที่จะยกยิ้มออกมาไม่ได้    ตั้งแต่เข้ามาภายในสวนสนุกหญิงสาวข้างกายของเค้าก็เอาแต่วิ่งวุ่นไม่หยุดเหมือนคนที่ไม่เคยมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกหงุดหงิดหรือรำคาญแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้เค้าอารมณ์ดีด้วยซ้ำ (ถ้าไม่รวมเหตุการณ์หัวโขกปลายคางจนเกือบน๊อคที่ลานจอดรถนั่นหละนะ)

     

     

    “นี่ๆ แทยอนไปขึ้นอันนั้นเถอะ”

     

     พูดพร้อมกับยิ้มกว้างแล้วดึงแขนอีกคนให้เดินไปยังจุดๆหนึ่งที่มีคนหนุ่มสาวกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ไม่ไกล แทยอนมองไปยังจุดที่หญิงสาวข้างกายชี้ให้ดูพร้อมกับอ้าปากค้าง ใบหน้าอ่อนกว่าวัยซีดเผือดลงพร้อมกับส่ายไปมาทันทีเมื่อเห็นแล้วว่าไอ้เครื่องเล่นที่เจสสิก้าพยายามจะลากเค้าไปคืออะไร

    รถไฟเหาะT-Expressรางทำจากไม้แห่งแรกในเอเชียและเป็นรถไฟเหาะที่เร็วสุดที่ใช้เวลาเพียง 3 นาที ปรากฏอยู่ตรงหน้าพร้อมกับเสียงที่กรีดร้องอย่างโหยหวนของคนที่อยู่บนรถไฟ มาเฟียชื่อดังส่ายหน้าถี่ๆพร้อมกับขืนตัวอย่างสุดแรงเพื่อไม่ให้เขยื้อนตามแรงดึงของหญิงสาวข้างกาย

     

     

    คนอย่างคิมแทยอนไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น มีด ดาบ หรือว่าปืน…….แต่รถไฟเหาะนี่ ขอบาย แทยอนยังไม่อยากตายบนท้องฟ้าเกาหลี ==”

     
     

    อาการขัดขืนของคนข้างๆทำให้คนที่พยายามจะดึงอยู่ต้องหยุดชะงักลง เจสสิก้าหันกลับมามองคนข้างๆพร้อมกับขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนริมฝีปากบางสวยจะคลี่ยิ้มออกมาด้วยความชอบใจเมื่อเดาได้ว่าคนข้างๆเป็นอะไร

     
     

    ไม่อยากจะเชื่อ มาเฟียที่ยิงคนตายอย่างหน้าตาเฉยอย่างคิมแทยอน จะกลัวรถไฟเหาะ!!  คิดแล้วก็เจสสิก้าก็ข้อมูลใหม่นี้เมมเอาไว้ในความทรงจำอย่างรวดเร็ว (เผื่อเอาไว้ล้อวันหลัง 5555)

     

     

    “อะไร มาเฟียอย่างคุณกลัวรถไฟเหาะรึไง”     ถามพร้อมกับยิ้มเยาะเย้ยให้คนข้างต้องตวัดสายมามองด้วยความไม่ชอบใจ

     

     
     

    “ป…..ป่าว ไม่ได้กลัว แค่ไม่ชอบ”       ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ปากก็ยังสั่นนิดๆ ไหนจะใบหน้าที่ซีดเผือดนั่นอีก

    เจสสิก้าหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำปฏิเสธแต่สีหน้าและท่าทางกลับตรงกันข้ามของคนข้างกาย ยิ่งแทยอนเป็นแบบนี้เท่าไหร่เจสสิก้าก็ยิ่งอยากแกล้งเท่านั้น

     

     
     

    “ถ้าไม่กลัวก็ไปสิ หรือว่าคุณป๊อด”       

     

    คำพูดของหญิงสาวทำให้คนฟังหน้าขึ้นสีทันที ริมฝีปากบางของมาเฟียชื่อดังเม้มสนิท ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่าเจสสิก้ากำลังท้าทายเค้า

     

     

    ฮึ!!  ในเมื่อกล้าท้าเค้าก็กล้ารับ

     

     มือแข็งดึงมือบางของอีกคนให้เดินไปที่จุดรอเครื่องเล่นที่หน้าหวาดเสียวนั้นทันที

     

     

     

     

    เธอท้าผิดคนซะแล้วเจสสิก้า  คนอย่างคิมแทยอนฆ่าได้หยามไม่ได้…….

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    “แทยอน ไหวรึป่าว”    

     เจสสิก้าถามพร้อมกับยืนลูบหลังคนที่นั่งอาเจียนอยู่ข้างถังขยะรูปมิกกี้เม้าส์ตัวโตด้วยความเป็นห่วง

     

     

    โถ่!! แล้วก็ทำปากเก่งลากเธอเดินดุ่มๆขึ้นรถไฟ รู้อย่างนี้ซื้แผ่นแปะกันอาเจียนให้ซะตั้งแต่แรกดีกว่า

     

    คิดแล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ดูสิหมดสภาพมาเฟียที่น่ากลัว  แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากเรียวสวยกลับคลี่ยิ้มไม้หุบเมื่อเห็นมุมที่น่ารักของอีกคน

     

     

    “เธอ….อย่า….บอก….เรื่องนี้…..กับใครนะ โดยเฉพาะสองคน….นั่น  ถ้าเล่า เธอ-ตาย”  

         

    คนที่นั่งหน้าซีดหน้าเซียวหันมาบอกหญิงสาวด้วยน้ำเสียงยานคางน่าเป็นห่วงแต่ยังไม่วายชี้นิ้วขู่เธอโดยไม่ได้ดูสภาพของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะหันกลับไปตั้งท่าอ้วกต่ออีกครั้งให้คนถูกขู่ต้องหัวเราะออกมา

     

    .

    .

    .

    .

     
     

    ตลอดทั้งวันที่ทั้งคู่อยู่ในสวนสนุกที่ไม่สนุกอย่างชื่อ แทยอนก็แทบจะหมดแรงไปซะหลายหน เพราะหลังจากที่เค้าเริ่มดีขึ้นจากรถไฟเหาะมรณะหญิงสาวก็ลากเค้าขึ้นนั้นขึ้นนี่ และเครื่องเล่นทุกชนิดที่เจสสิก้าเลือกก็เรียกได้ว่ากระชากตับไตไส้พุงของเค้าให้กองออกมาข้างนอกทั้งนั้น จนมาเฟียชื่อดังต้องแอบนินทาหญิงสาวในใจ

     

     
     

     ผู้หญิงบ้าอะไรหน้าตาก็ออกสวยแต่กลับซาดิสต์ชะมัด….

     

     

    เทียวขึ้นเครื่องเล่นนั้นเครื่องเล่นนี้จนเลยเที่ยงวันมาเกือบชั่วโมงถ้าไม่ได้เบอร์เกอรชิ้นโตช่วยชีวิตเค้าคงหมดแรงแน่แท้ แต่ถึงอย่างนั้นแทยอนก็ไม่คิดจะบังคับให้อีกคนกลับบ้าน อาจจะเป็นเพราะท่าทางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่มีความสุขเหมือนเด็กตัวเล็กๆของคนข้างๆก็เป็นได้

     

    ดวงตาคมเข้มเหลือบมองใบหน้าหน้าสวยหวานของหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตากัดเบอร์เกอรชิ้นโตด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือของตัวเองเช็ดมุมปากบางๆของอีกคนเบาๆอย่างลืมตัวเมื่อเห็นซอสเลอะติดริมฝีปากเรียวสวยนั่น

     

    เจสสิก้าชะงักไปทันทีเมื่ออยู่ๆริมฝีปากของตนเองก็ถูกอีกคนสัมผัสเบาๆ ดวงตาหวานเบิกค้างด้วยความตกใจพร้อมกับใบหน้าเริ่มจะขึ้นสีน้อยๆ สัมผัสบางเบาแต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยนกำลังทำให้หัวใจดวงน้อยของเธอต้องทำงานหนักอีกครั้ง

     


     

    “อ…..เอ่อ ซอสมันเลอะหนะ เลยเช็ดให้”          

    แทยอนพูดพร้อมกับเกาท้ายทอยของตัวเองอย่างเก้อๆ ด้วยใบหน้าที่จะขึ้นสีระเรื่อและความไม่เข้าใจตัวเอง  หลายครั้งแล้วที่เจสสิก้าทำให้เค้าเป็นแบบนี้

     

     
     

    เค้าก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่……เจสสิก้ากำลังทำให้เค้าไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

     
     

    “ขอบคุณค่ะ”       นักร้องสาวเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับเหลือบมองใบหน้าอ่อนวัยที่กำลังขึ้นสีจางๆของคนตรงข้าม

    ริมฝีปากเรียวคลี่ยิ้มหวานอย่างปิดไม่มิด ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เธอมีอาการเช่นนี้ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เอาแต่คอยเหลือบมองใบหน้าใสๆของคนข้างๆคนนี้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หัวใจของเธอเอาแต่เต้นแรงเมื่ออยู่กับเค้า……

     


     

    มาเฟียขี้เก๊กปากร้ายที่เธอเคยรู้สึกหมั่นไส้เมื่อแรกเจอแต่ก็ทำให้หัวใจของเธออบอุ่นได้เสมอเมื่อเราทั้งคู่อยู่ใกล้กัน

     

    .

    .

    .

     

     

    หลังจากที่ทานข้างกลางวันเสร็จแทยอนต้องแปลกใจอีกครั้ง  ดูเหมือนว่าหญิงสาวข้างกายของเค้าจะมีแรงขึ้นมา มหกรรมลากไปหาเครื่องเล่นจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างแทยอนเมื่อเค้าจับสังเกตอาการบางอย่างของหญิงสาวข้างกายได้ มือแข็งคว้าหมับเอามือบางของใครอีกคนแล้วลากเดินตรงไปยังจุดที่เค้าเล็งไว้ทันทีโดยไม่ฟังเสียงร้องทัดทานหรือคำอุทธรณ์ใดๆของคนที่ถูกลากเลยแม้แต่น้อย

     

    ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสดใสซีดเผือดลงทันทีเมื่อถูกลากมายังจุดที่ตัวเองพยายามเลี่ยงที่สุด  ดวงตาเว้าวอนถูกส่งออกมาออดอ้อนคนข้างกายด้วยแววตาออดอ้อนสุดฤทธิ์หากแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลอะไรเมื่อคนข้างๆกลับยกยิ้มขึ้นมา

     

     
     

    “อะไร เธอกลัวหรอ”   

     

    เหมือนจะนึกได้ลางๆว่าเคยได้ยินคำถามนี้ที่ไหนแต่คำถามก็ได้รับคำตอบทันทีเมื่ออีกคนเอ่ยคำพูดต่อมา

     

     
     

    “ถ้าไม่กลัวก็ไปสิ หรือว่าเธอป๊อด”

     

    นั่นไง!! ชัดเป๊ะ!!  ประโยคนี้เธอเคยใช้พูดกับเค้าแต่ไม่นึกเลยยังไม่ทันข้ามวันเธอจะโดนเอาคืนซะแล้ว ดวงตาหวานเหลือบมองไปยังตัวอาคารขนาดใหญ่ที่มองยังไงก็คือบ้านผีสิงชัดๆ

     

     

    “โอ๊ะ เธอป๊อดจริงๆด้วย”         

     

     
     

    ผึ่ง!!!!  

     

     

    ไม่ใช่แค่คิมแทยอนคนเดียวที่ฆ่าได้หยามไม่ได้ จองเจสสิก้าก็เช่นกัน มือบางคว้ามือคนที่ยืนยกยิ้มกวนๆพร้อมกับลากเข้าไปในตัวอาคารนั้นอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีมาดมั่น

                                       

                                                                 

     

    รู้จักเจสสิก้าจองน้อยไปซะแล้ว คิมแทยอน………

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    กรี๊ดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

     

    เสียงแหลมปรี๊ดดังออกมาให้คนที่ต่อแถวรออยู่ภายนอกต้องสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

     

    ส่วนคนที่อยู่ข้างในหนะหรือ?

     
     

     

    “กรี๊ดดดดดด !!!! แทยอนนนนนนนนนนน ช่วยด้วย”

     

     

    “ฮ…..เฮ้ เจสสิก้าเธออย่าไปเตะเค้าสิ นั่นคนนะไม่ใช่ผีจริง”

     
     

    “เฮ้ยสิก้า เจสสิก้า อย่าไปบีบคอเค้าเดี๋ยวเค้าก็ได้ตายจริงๆพอดี”

     

     

    ไม่รู้ว่าเค้าคิดถูกหรือคิดผิดกันแน่ที่แกล้งเจสสิก้าแบบนี้ แต่ตอนนี้แทยอนคงคิดว่าตัวเองคิดผิดมหันต์จริงๆนั่นแหละ  นอกจากแม่นักร้องสาวคนนี้จะกรี๊ดจนเค้ายกมือสองข้างขึ้นมาตบหูตัวเองเพราะได้ยินเสียงโลมากรี๊ดใส่ข้างหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วเค้ายังต้องคอยดึงเธอออกจากนักแสดงที่แต่งตัวเป็นผีนั่นอีก

     

     

    เพราะคุณเธอเล่นตกใจทีไรก็พุ่งเข้าไปทำร้ายผีปลอมพวกนั้นโดยไม่รู้ตัวทุกที

     

     

    “ก…..ก็คนมันกลัวนี่ ฮึก”       


    น้ำเสียงสั่นๆเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อของคนข้างทำให้แทยอนอดที่จะสงสารขึ้นมาไม่ได้ สงสัยเค้าจะแกล้งเจสสิก้าแรงไปเพราะดูท่าว่าเธอจะกลัวจริงๆ

     

    มือแข็งแกร่งข้างหนึ่งค่อยๆโอบรอบเอวบางของอีกคนก่อนจะดึงเข้ามาหาตัวเองพร้อมกับที่มืออีกข้างเกลี่ยซับน้ำตาออกจากแก้มใสเบาๆอย่างทะนุถนอม ดวงตาคมเข้มมองสบกับดวงตาหวานที่กำลังมองมาอย่างไม่เข้าใจในการกระทำของเค้า แม้ภายในจะค่อนข้างมืดมีแค่เพียงแสงสลัวของแสงไฟแต่คนทั้งคู่กลับมองเห็นใบหน้าของกันและกันได้อย่างชัดเจน

     
     

     

    “ไม่ต้องกลัวนะ ตราบใดที่ชั้นยังอยู่ เธอจะไม่เป็นอะไร”     

    น้ำเสียงนุ่มทุ้มที่ดังขึ้นกับแววตาแน่วแน่มันคงที่สะท้อนเพียงเงาของเธอทำให้หัวใจของเจสสิก้าต้องรู้สึกสะท้าน

     

     

    ดวงตาของคนทั้งสองที่ต่างก็สะท้อนเงาของอีกคนยังคงสบกันเนิ่นนานอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหากแต่หัวใจของทั้งแทยอนและเจสสิก้ากลับรู้สึกอบอุ่น เพียงแค่มีคนๆนี้ยืนอยู่ข้างกันความกลัว ความเศร้า ความเจ็บปวดก็กลับจางลงไป

     

     

    เพียงแค่มีแทยอนยืนอยู่ข้างเจสสิก้า………

    และเพียงแค่มีเจสสิก้ายืนอยู่ข้างแทยอน…………

     

     
     

    มือแกร่งของแทยอนค่อยๆไล้ไปบนใบหน้าสวยหวานของเจสสิก้าอย่างทะนุถนอม พร้อมๆกับที่ดวงตาหวานของนักร้องสาวค่อยๆปิดลงเมื่อใบหน้าของใครอีกคนค่อยๆเคลื่อนเข้ามา


     

    เข้ามา…..หากันที่ละนิดๆ จนใกล้……..

     

    ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน……..

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     


     

    แฮ่!!!!!


    กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

                                                                               

     
     

    หมด!!  หมดกัน!!!!   หายไปหมดอารมณ์โรแมนติกของคนสองคนเมื่อจู่ๆไอ้ผีบ้าที่ไหนก็ไม่รู้กลับโผล่เข้ามา เป็นครั้งแรกที่แทยอนไม่คิดจะห้ามเจสสิก้าเมื่อเห็นหญิงสาวกำลังทำร้ายร่างกายผีที่น่าสงสารตัวนั้น จะว่าไปนอกจากไม่คิดจะห้ามแล้วแทยอนยังอยากที่จะเป็นคนลงมือทำร้ายเองด้วยซ้ำ  

     

     

    แต่ติดอยู่แค่นิดเดียวถ้าหากเค้าทำไอ้ผีบ้าไม่รู้จักการะเทศะคนนี้คงได้ตายไปเป็นผีจริงๆแน่แท้

     

     

     


     

    TBC.

     

     

    ขอโทษที่หายไปนานนะคะ (ยังไงก็อย่าพึ่งลืมกัน) วันนี้มาลงตอนที่ 7 ให้อ่านยาวๆ เป็นการไถ่โทษ 5555 ใครที่รอฟานี่อยู่ก็รอก่อนนะคะ อีกไม่นานก็จะมาแล้วหละ(หรือยังไม่อยากให้มา55555)   ยังไงอ่านแล้วคอมเม้นเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ แล้วพบกันตอนหน้าวัน….วันไหนดีอะ  ไม่เสาร์ก็อาทิตย์แล้วกันเนอะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×