ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก สัญญามาเฟีย (TaeNy x TaengSic)

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 57


     

    Chapter   6

     

     



    “ว่าไงน๊ะ!!”     

     

    เสียงร้องด้วยความตกใจของคนสี่ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อนักร้องสาวสุดสวยของวงเล่าเรื่องราวและเหตุผลที่มือซ้ายคนสนิทของมาเฟียอย่างอิมยุนอามาปรากฏตัวที่หอพักสุดหรูพร้อมกับเธอ

     

     
     

    “เรื่องทั้งหมดมันก็เป็นอย่างที่คุณเจสสิก้าเล่านั่นแหละค่ะ”    

     

    นอกจากจะไม่ทุกข์ร้อนในความตกใจของคนทั้งสี่แล้วคนถูกพาดพิงถึงอย่างยุนอายังช่วยสนับสนุนพร้อมกับส่งยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีตามแบบฉบับของเจ้าตัวมาให้ด้วย

     

     
     

    “อา…..ถึงว่าสิ ตอนแรกชั้นก็แปลกใจว่าทำไมท่านประธานถึงบอกให้ชั้นโทรตามพวกเธอกลับมาที่หอทั้งๆที่วันนี้ก็เป็นวันหยุดของพวกเธอ”      

     

     ชินยองเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจหลังจากที่ต้องแปลกใจอยู่นาน ว่าเหตุใดท่านประธานบริษัทถึงบอกให้เธอโทรตามสาวๆทุกคนกลับหอโดยเร่งด่วนโดยที่ไม่ได้บอกเหตุผลใดๆทั้งที่วันนี้ยังคงเป็นวันหยุดของพวกเธอทุกคน

     

     

     

    “พี่ฮีชอลคงอยากให้คุณเจสสิก้าและชั้นเป็นคนเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้พวกคุณฟังหนะค่ะ เลยไม่ได้บอกพวกคุณก่อน”      ยุนอาอธิบายยิ้มๆอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ก่อนที่จะพูดต่อไป

     
     

    “เอ่อ ไหนๆก็ไหนๆแล้วเรามาทำความรู้จักกันดีกว่านะคะ ชั้นชื่ออิมยุนอาค่ะ คราวก่อนที่เจอกันก็ได้บอกไปแล้ว  แต่ว่าพวกคุณเรียกชั้นว่ายุนอาเฉยๆก็ได้นะคะ หรือจะเรียกยุนเหมือนพี่แทกับพี่ยูลก็ได้  หรือจะเรียก ยุนยุน ก็ได้นะคะน่ารักดีชั้นชอบ อ่อแล้วอีกอย่างชั้นอายุน้อยกว่าพวกคุณ ไหนๆเราก็สนิทกันแล้วชั้นขอเรียกพวกคุณว่าออนนี่แล้วกันนะคะ ^^ ” 

     

    ยุนอาแนะนำตัวเองพร้อมกับส่งยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีให้กับคนฟังที่ยังนั่งอ้าปากค้างกับความสนิทสนมที่พึ่งถูกยัดเยียดให้โดยไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะพากันเริ่มแนะนำตัวอย่างงงๆให้คนที่เอาแต่นั่งยิ้มได้รู้จัก

     

     

     

    “สรุปว่าเราสนิทกันแล้วมีอะไรก็เรียกใช้ยุนได้ตามสบายนะคะไม่ต้องเกรงใจ  เพราะพี่แทบอกว่าให้ยุนดูแลพวกพี่ๆให้ดีที่สุด โดยเฉพาะ…..พี่สิก้า”    

     

     

    ยุนอายังคงพูดด้วยท่าทางและน้ำเสียงสบายๆอย่างไม่ได้คิดอะไรเช่นเคย  หากแต่ประโยคสั้นๆนั้นกลับสะกิดใจคนฟังบางคนให้ใบหน้าสวยๆต้องขึ้นสีแดงระเรื่อจางๆ

     

     
     

    พี่แทบอกว่าให้ยุนดูแลพวกพี่ๆให้ดีที่สุด โดยเฉพาะ…..พี่สิก้า

     

     

    แค่คำสั่งธรรมดาๆ แต่หญิงสาวเจ้าของชื่อกลับอธิบายความรู้สึกของตนเองไม่ได้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงรู้สึกดีเช่นนี้  ทั้งที่คนสั่งอาจจะสั่งไปเพราะเป็นแค่หน้าที่ที่เค้าต้องทำเท่านั้นเอง  มือบางยกขึ้นมาวางทาบที่อกด้านซ้ายโดยไม่รู้ตัว

     
     

     

    เพียงแค่ได้ยินชื่อ

    เพียงแค่เค้าบอกให้ดูแลเธออย่างดี          

    เพียงเท่านี้……หัวใจเธอกลับเต้นแรง

     

     
     

    ในใจหวนคิดถึงเรื่องราวที่พึ่งเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้นพร้อมกับที่ริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มออกมา

     

    .

    .

    .

    .

     
     

    7 โมงครึ่ง!!  

     

    ดวงตาหวานเบิกค้างด้วยความตกใจเมื่อมือบางคว้าโทรศัพท์ที่ส่งเสียงปลุกดังไปทั่วห้องขึ้นมาดู

                    

     

    โอ๊ยตายๆๆ เจสสิก้าตาย  เมื่อวานป้ายองอีก็อุตส่าห์บอกไปแล้วว่าทานข้าวเช้าเจ็ดโมงครึ่ง

                  

     

     ลนลานอยู่ครู่หนึ่งก็คว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปจัดการทำธุระส่วนตัวด้วยความรวดเร็ว เพราะตารางงานที่ไม่แน่นอนทำให้การพักผ่อนของเธอไม่ตรงเวลารวมไปถึงเวลาอาหารเช้าด้วยเช่นกัน แต่เธอก็พยายามจะมีมารยาทพอที่จะปรับตัวเมื่อต้องมาอาศัยอยู่ที่บ้านของคนอื่น แต่เพราะความเคยชินมันก็ต้องมีพลาดกันบ้างเป็นธรรมดาอย่างเช่นเช้าวันแรกวันนี้เป็นต้น

     

     

    ดวงตาสามคู่มองคนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามายังห้องอาหารด้วยความเร่งรีบ  ท่าทางที่ดูน่าตลกขบขันจนไม่เหลือคราบไอดอลสาวทำให้หญิงสาวหน้าคมสองคนที่มองอยู่ต้องหัวเราะออกมาน้อยๆ 

     

     

    “อะ…..เอ่อ ขอโทษคะพอดีชั้นตื่นสาย”          พูดแล้วก็ทำหน้าหงอยๆ อย่างรู้สึกผิดที่ปล่อยให้คนอีกสามคนต้องรอโดยสังเกตได้จากบนโต๊ะอาหารที่ยังคงว่างเปล่า

     
     

     

    “นั่งสิ”         น้ำเสียงเรียบๆไม่แสดงอารมณ์อะไรถูกส่งออกมาจากคนที่นั่งหัวโต๊ะที่ยังคงก้มหน้าก้มตากับหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดในมือโดยไม่สนใจสิ่งใดๆ

     
     

    เจสสิก้าเหลือบมองคนอื่นๆเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มออกมาเมื่ออีกสองคนที่เหลือส่งยิ้มบางๆกลับคืนมาให้เธอ ร่างบางจึงค่อยทิ้งตัวลงนั่งที่ว่างด้านขวามือติดคนนั่งหัวโต๊ะตามที่คุณแม่บ้านขยับเก้าอี้ให้

     

     

     

    “เธอมาสายไปครึ่งชั่วโมง”       ส่งยิ้มยังไม่ทันไรก็ต้องนิ่วหน้า เมื่อได้ยินคำพูดนิ่งๆจากคนที่ยังคงซ่อนใบหน้าอยู่หลังหนังสือพิมพ์เช่นเคย

     
     

     

    “ก็คนมันไม่ชินนี่……คะ คุณก็รู้ว่าชีวิตประจำวันของชั้นมันเหมือนคนอื่นซะที่ไหน”    

                    รู้ว่าตัวเองผิดแต่หญิงสาวก็อดที่จะเถียงขึ้นมาด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ทั้งที่เมื่อคืนกลับทำท่าทางใจดีแท้ๆ แต่พอถึงตอนเช้ามากลับเป็นคนเดิมซะนี่

     

     
     

    เมื่อคืนไม่น่าหลงใจเต้นไปกับคนๆนี้เลย ให้ตายสิ!!

     

     

    เจสสิก้าคิดพลางเบะปากอย่างหมั่นไส้ใส่คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ แต่ในขณะเดียวกันคงจะไม่มีใครรู้ว่าคนที่เอาแต่ซ่อนใบหน้าตัวเองอยู่หลังหนังสือพิมพ์ฉบับใหญ่กำลังอมยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี


    .

    .

    .

    .

     
     

    ข้าวต้มร้อนๆที่ส่งกลิ่นหอมยั่วใจถูกเสริฟลงมาทันทีที่ทุกคนพร้อม  เจสสิก้ามองชามข้าวต้มที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความแปลกใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยทานข้าวเช้าหรอกนะ หากแต่ข้าวเช้าเวลาเช้าจริงๆและเป็นข้าวจริงๆเธอแทบจะไม่เคยทานมันเลยตั้งแต่เดบิวส์เป็นต้นมา  เพราะตารางงานที่ไม่เป็นเวลาทำให้ชีวิตในทุกๆของเธอไม่เหมือนคนปกติทั่วไป พอมาใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปถึงจะพึ่งวันเดียวเธอก็อดที่จะรู้สึกแปลกๆไม่ได้

                                                              

     

     

    “ที่นี่ทานข้าวเช้า 7 โมงครึ่ง”     

     

    คำพูดเรียบๆทำให้คนที่นั่งเขี่ยข้าวไปมาอยู่ชะงักเล็กน้อย  ดวงตาหวานที่กำลังจะเอาเรื่องเปลี่ยนเป็นแปลกใจทันทีเมื่อคนที่กำลังจะเอาเรื่องพูดต่อขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆเช่นเดิม

     

     


    “ถึงชั้นจะบอกอย่างนั้นแต่ชั้นก็รู้ว่าวิถีชีวิตของเธอมันไม่เหมือนคนธรรมดา เพราะฉะนั้นกฎของบ้านข้อนี้สำหรับเธอเป็นข้อยกเว้นทั้งอาหารเช้าและเย็น”

     
     

    คำพูดของเจ้าของบ้านทำให้หญิงสาวรู้สึกแปลกใจ เธอไม่คิดว่าคนที่ชอบทำหน้านิ่งเช่นนี้จะสนใจเรื่องของเธอ เธอคิดว่าเค้าจะเป็นคนที่เคร่งครัดในกฎระเบียบเพราะท่าทางของเค้าก็แสดงให้เห็นได้ชัดเจน  คิดแล้วนักร้องสาวก็อดที่จะรู้สึกขอบคุณคนขี้เก๊กปากร้ายคนนี้ไม่ได้

     

     
     

    เป็นคนใจดีเหมือนกันนะเนี่ย

     

     
     

    “แต่………”         คำว่า แต่ ทำให้คนที่กำลังจะเอ่ยปากขอบคุณต้องปิดปากไปทันที

     

     
     

    “แต่?

                         

     

    “ถ้าวันไหนเธอหยุดหรือไม่มีงาน กฎของบ้านข้อนี้ยังเป็นเหมือนเดิม และ……

     

     

    เจสสิก้าแทบจะกัดปากตัวเองทันทีตั้งแต่มีคำว่า แต่ แล้วนี่ยังมี และ มาอีกอยากจะถอนคำชมที่ชมไปเมื่อกี๊จริงๆ

     

     
     

    “และ?

     

     

    “และ…….นอกจากไปทำงานเธอจะไปไหนไม่ได้ถ้าชั้นไม่อนุญาต”

     

     

    นั่นไง!!  เมื่อกี๊แค่อยากจะเฉยๆแต่ตอนนี้ขอถอนคำชมไปเลยแล้วกัน แบบนี้มันไม่ต่างอะไรจากโดนจับมาขังคุกชัดๆ ถึงไม่ใช่ก็ใกล้เคียงจะดีหน่อยก็ตรงคุกที่ว่ามันสวยนี่แหละ  ทำแบบนี้มันจำกัดสิทธิเสรีภาพยิ่งกว่าตอนเดบิวส์ใหม่ๆซะอีก แต่ถึงอย่างนั้นตอนนั้นเธอยังไปไหนมาไหนได้บ้างถึงแม้ว่าจะต้องขออนุญาตจากผู้จัดการก็เถอะ แต่นั่นก็เพราะว่าคิมชินยองเป็นผู้จัดการของเธอ ส่วนคนๆนี้เป็นใครจะมาจำกัดอิสรภาพของเธอได้ยังไง

     

     
     

    “ขอเหตุผล!!”           คำถามห้วนๆแต่ทำให้คนที่พึ่งออกคำสั่งคิ้วกระตุกเล็กๆ

     

     


    “เพราะ……เอ่อ….

     

     
     

    “เพราะ?

     

     

    “เพราะเธอเป็นผู้หญิงของชั้น!!!!!

     

     

    ……………………

     

     

    พูดไปแล้วก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองยิ่งเห็นสองคนสนิทและหนึ่งแม่บ้านแอบอมยิ้มขำๆก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูกยิ่งคนถามยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้นั่งนิ่งอ้าปากค้างไปแล้ว ดวงตาคมเหลือบมองคนข้างๆอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบปฏิเสธอย่างพลันละวันจนลิ้นแทบพันกัน

     

     

    “ม……มะไม่แบบนั้น คือ ชั้นหมายถึง เธอเป็นคนในการดูแลของชั้นเพราะฉะนั้นเธอจะไปไหนไม่ได้ถ้าชั้นไม่อนุญาต ก็แค่นั้นเข้าใจนะอุ๊บ!!!! อ๊ากกกก!! โอ๊ย!!  ร้อนๆๆๆๆๆ”

     

    พูดเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาจ้วงข้าวต้มร้อนๆเข้าปากก่อนที่จะร้องออกมาพร้อมกับน้ำหูน้ำตาที่แทบจะไหลเมื่อโพรงปากบางๆสัมผัสเข้ากับความร้อนของข้าวต้มที่ตัวเองพึ่งตักเข้าไป

     

    เสียงร้องและอาการของคนข้างๆทำให้หญิงสาวตกใจมือบางคว้าแก้วน้ำส่งให้คนที่กำลังเอามือพัดที่ปากอย่างรวดเร็ว ก่อนที่มือข้างที่ว่างจะลูบหลังคนที่กำลังยกแก้วน้ำดื่มอย่างเอาเป็นเอาตายเบาๆพร้อมกับบ่นคนที่น่าจะปากพองไปแล้วด้วยความเป็นห่วง

     

     


    “กินดีๆสิคุณ ไม่รู้รึไงหรอว่าข้าวต้มมันร้อนอยู่”

     

     
     

    “ก็ไม่รู้หนะสิ จะรู้ได้ไงไม่ได้เอามือไปจุ่มมันนี่”      คนถูกบ่นเถียงขึ้นมาทันทีทั้งที่มือก็ยังคงพัดที่ปากตัวเองอยู่

                  
                        

     

    “นี่!! ไม่ต้องถึงขนาดเอามือจุ่มหรอก แค่เห็นควันที่ลอยขึ้นมาใครๆก็รู้แล้วว่ามันร้อน”      หญิงสาวพูดพร้อมกับส่งยิ้มเยาะๆให้คนที่นั่งเป่าปากของตัวอยู่ต้องคิ้วกระตุก

     




     

    “นี่!!!!! เธอว่าชั้นโง่รึไงที่ไม่รู้ว่ามันร้อน ทุกอย่างมันก็เพราะเธอนั่นแหละ!!!!!!!!!

     
     

     

    “อะไร!!!!!!! ชั้นไปทำอะไรคุณ คุณตักของคุณเองชั้นตักไปยัดปากคุณรึก็ป่าว อย่ามาโทษกันนะ!!!

     



    ขณะที่คนสองคนกำลังก่อสงครามย่อยๆกันบนโต๊ะอาหารคนอีกสามคนก็ลอบมองตากันพร้อมกับแอบหัวเราะเบาๆ ด้วยความขบขันปนสุขใจ

     

     
     

    นานแล้วที่บ้านหลังนี้ไม่มีเสียงหัวเราะ

    นานแล้วที่โต๊ะอาหารแห่งนี้ไม่มีรอยยิ้ม

    แต่วันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ

    ค่อยๆเปลี่ยนไปบางครั้งเจ้าตัวอาจจะไม่รู้ตัว……………

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

     
     

    “สิก้า  สิก้า  เจสสิก้าจอง  ย๊าส์!!!!  จองซูยอน!!!!!!”     

     

     เสียงตะโกนลั่นข้างหูทำให้คนที่กำลังเหม่อลอยต้องสะดุ้งสุดตัว  ก่อนจะหันไปตวาดคนที่ตะโกนใส่หูเธอด้วยเสียงอันดังไม่แพ้กัน

     

     

    “เธอจะตะโกนทำไมฮะซูยอง!!  แค่เรียกเบาๆชั้นก็ได้ยินแล้ว!!”       คำพูดของเพื่อนสนิททำให้คนที่พึ่งถูกตวาดไปต้องอ้าปากค้างก่อนจะมองคนอื่นๆที่มาอาการไม่ต่างกันตาปริบๆ

     
     

     

    “จองซูยอน!!  เธอกล้าพูดได้ไงยะว่าเรียกเบาๆก็ได้ยิน นี่ชั้นเรียกเธอจนคอจะแตกอยู่แล้วนะกว่าเธอจะหันมาเนี่ย”     

     
     

     

    “อ้าวหรอขอโทษทีพอดีคิดอะไรเพลินๆเลยไม่ได้ยิน”       คนถูกตะโกนใส่รอบสองได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ เมื่อรู้ว่าตัวเองเองเป็นคนผิด

     


     

    “ว่าแต่……เหม่อๆแบบนี้ คิดถึงใครอยู่หละยะ”      

     

    คำจิกกัดอย่างไม่จริงจังนักของเพื่อนสาวขาแดนซ์ทำให้คนที่ลนลานเหมือนมีชนักติดหลังต้องสะดุ้งอีกครั้ง ก่อนจะรีบปฏิเสธทันควันให้คนอีกคนที่นั่งเงียบๆคอยสังเกตท่าทางอยู่ต้องแอบยิ้มเล็กๆเพราะรู้สาเหตุที่แท้จริง

     

     

     
     

    ………………………………………………………………….

     

     
     

    หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วที่เธอมียุนอามาเป็นผู้จัดการวงอีกคน จะเรียกได้ว่ายุนอามาดูแลเธอก็คงจะไม่ถูกนัก เพราะเมื่อไหร่ที่เธอและเพื่อนๆเข้าบริษัทผู้จัดการเฉพาะกิจคนนี้ก็มักจะแว๊บหายไปยียวนน้องสาวเธอทุกทีจนเธอชักจะแปลกใจ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือทำให้รู้สึกอะไรเพราะเธอรู้อยู่แล้วว่ายุนอาต้องทำหน้าที่ดูแลน้องสาวเธออีกคน

     

    และหลังจากวันนั้นเช่นกันที่เธอแทบจะไม่เห็นใบหน้าขาวๆของใครอีกคนเลย เพราะตารางงานที่อัดแน่นและยาวเป็นหางว่าวทำให้เธอไม่ค่อยจะมีเวลาอยู่บ้าน(ของเค้า)มากนัก แค่เวลาพักผ่อนในแต่ละวันก็แทบจะไม่ค่อยมีแถมเวลาของเธอยังไม่เหมือนคนปกติ กว่าเธอจะกลับเข้ามาใครอีกคนก็หายเข้าห้องไปแล้วและพอเธอตื่นขึ้นมาเค้าก็ออกไปทำงานแล้วเช่นกัน เพราะวิถีชีวิตของเธอและเค้าเป็นเช่นนี้เลยทำให้เราทั้งสองคนแทบจะไม่ได้เจอกันทั้งที่อยู่บ้านเดียวทุกวัน

     

     


    ไม่ใช่ว่าเธอคิดถึงใครอีกคนหรอกนะ เพียงแต่ว่า……เพียงแต่ว่า อยู่บ้านเดียวกันมันก็เจอหน้ากันบ้างไม่ใช่ไม่เห็นหน้ากันเลยแบบนี้จริงมั๊ยหละ?จริงรึป่าว?

     
     

     

    “เอาหละสาวๆ หมดตารางงานวันนี้แล้วพวกเธอได้พักสามวันนะ”     

    เหมือนเสียงสวรรค์หญิงสาวสี่คนที่นอนหมดเรียวหมดแรงอยู่บนโซฟาในหอพักเด้งตัวขึ้นมาพร้อมกันพร้อมกับทำตาเป็นประกายทันที

     
     

     

    “โอ๊ยยยยยย พักสามวัน ชั้นจะไปเล่นสกีให้มันส์ไปเลย”     นักร้องสาวขาแดนซ์ของวงพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางเหมือนกำลังเล่นสกีให้คนที่เหลือต้องหัวเราะด้วยความขบขัน

     

     

     

    “ส่วนชั้นจะไปเดทแบบตะลอนกินๆๆๆๆ ให้พุงกางไปเลย ไปด้วยกันนะที่รัก”  
      

    หญิงสาวตัวสูงของวงพูดพร้อมกับทำตาระยิบระยับออดอ้อนคนข้างๆ ก่อนจะหน้าหันทันทีเมื่อโดนมือเล็กๆของคนที่เป็นที่รักผลักออกด้วยความหมั่นไส้

     
     

     

    “ใครจะไปกับเธอกัน ชั้นจะกลับบ้านย่ะ…….โอ๊ยยย เฮ้อ ก็ได้ๆ แต่แค่วันเดียวนะ อีกสองวันชั้นจะอยู่บ้าน”       ลีดเดอร์ตัวเล็กตอบทันควันก่อนจะใจอ่อนเมื่อเห็นหน้าหงอยๆของคนข้างๆ

     
     

     

    “ส่วนชั้น………..

     
     

     

    “พี่สิก้าต้องอยู่บ้านค่ะ ห้ามไปไหนเพราะพี่แทสั่งไว้”

     

    ยังไม่ทันที่นักร้องสาวคนสุดท้ายจะบอกความปรารถนาของตัวเองออกมาก็ถูกขัดขึ้นซะก่อน  เจสสิก้าตวัดสายตาไปมองคนพูดที่ยังคงส่งยิ้มกว้างด้วยความไม่พอใจ

     

     
     

    ไม่ใช่ไม่พอใจยุนอา แต่เธอ….ไม่พอใจคนที่สั่งมาต่างหาก

     
     

     

    กำลังตั้งท่าจะวีนเต็มที่แต่ก็ต้องเงียบไปเมื่อคนที่กำลังจะถูกวีนทำหน้าน่าสงสารออกมา

     

     

    “โถ่พี่สิก้า ตอนนี้พี่ยังไม่ปลอดภัย แล้วอีกอย่างสามวันที่พี่หยุดนี้ยุนต้องไปดูแลยัยตัวร้ายเอ๊ยน้องสาวพี่นะคะ เชื่อพี่แทเถอะค่ะอยู่บ้านหนะดีแล้ว เผื่อบางคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก”     คำพูดสุดท้ายเบาจนคนฟังแทบจะไม่ได้ยินหากแต่คนฟังกลับได้ยินอยู่ดี

     

     

    อะไร……ใครเป็นห่วงเธออย่าบอกนะว่า?  คิดแล้วก็สะบัดหน้าพร้อมกับเบ้ปากน้อยๆ

     

    ไม่จริงหรอกที่คนๆนั้นจะเป็นห่วงเธอ สองอาทิตย์ที่แทบจะไม่เจอกันก็ไม่เห็นจะมาถามไถ่อะไรจะมีก็แต่แม่บ้านยองอีกับเด็กๆในบ้านเท่านั้นที่มาถามไถ่ดูแลเธอด้วยความเป็นห่วงฉะนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกที่เค้าจะมาห่วงเธอ

     

     

     

    “สิก้าเป็นไร ปวดหัวหรอ”       คิมชินยองอดที่จะถามนักร้องสาวในสังกัดไม่ได้เมื่อเห็นคนที่ถูกถามเอาแต่สะบัดหัวไปมา

     
     

    อิมยุนอายกยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นอาการของรุ่นพี่สาวทำไมเธอจะไม่รู้ว่าเจสสิก้าคิดอะไรและมันคงจะไม่แปลกที่เธอจะคิดเช่นนั้น  เพราะทุกครั้งที่เข้าบ้านพี่สาวของเธอคนนี้ต้องแอบมองไปยังห้องข้างๆทุกครั้ง  ก่อนจะทำหน้าหงอยๆและเดินเข้าห้องไปเมื่อเห็นห้องข้างๆของเธอปิดประตูเงียบกริบ

     

     
     

    แต่เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เจสสิก้ากำลังคิดอยู่นั้นผิด

     

     

    ไม่ใช่ว่าคนที่เจสสิก้ากำลังคิดถึงจะไม่สนใจเธอแต่ในทางตรงข้าม คนๆนั้นกลับสนใจหญิงสาวมากกว่าปกติด้วยซ้ำ เพราะทุกๆวันหลังจากที่เจสสิก้าเข้าห้องไปแล้วหน้าที่พิเศษของอิมยุนอาก็คือเข้าไปยังห้องของเจ้านายเพื่อรายงานเรื่องราวของหญิงสาวให้ฟังทุกวัน  ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าเป็นเพราะเห็นว่าเป็นคนที่ต้องปกป้องคุ้มครองไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เกินกว่าปกติจนเค้าและยูริหรือแม้แต่ป้ายองอีเองยังสังเกตได้

                                                                                 

     
     

    คงจะมีก็แต่เจ้าตัวและพี่สาวที่กำลังทำหน้างอคนนี้สินะที่ยังคงไม่รู้ตัว………..

     

     

     

    ……………………………………………………………………

     

     

    เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ที่ตั้งไว้แผดร้องดังไปทั่วห้อง มือบางของหญิงสาวที่กำลังหลับอยู่ควานหาต้นตอของเสียงแล้วปิดมันทันทีด้วยความเคยชินก่อนที่ดวงตาหวานจะเบิกกว้างด้วยความตกใจ

     

     

    07.15 .

     

    ร่างบางเด้งตัวลงจากเตียงพร้อมกับวิ่งเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวอย่างรวดเร็ว  เพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเธอและตามกฎของบ้านที่เจ้าของบ้านเคยบอกเอาไว้

     

     

    “ถ้าวันไหนเธอหยุดหรือไม่มีงาน กฎของบ้านข้อนี้ยังเป็นเหมือนเดิม”         

     

    .

    .

    .

     

    หญิงสาวมาถึงโต๊ะอาหารด้วยอาการหอบเล็กน้อยก่อนที่จะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นว่าที่โต๊ะอาหารมีคนเพียงแค่คนเดียวและใครคนนั้นก็กำลังนั่งตีหน้านิ่งอยู่ที่หัวโต๊ะ

     
     

     

    “เธอมาสาย”       คำพูดนิ่งถูกส่งออกมาพร้อมกับที่คนฟังสวนขึ้นทันทีเช่นกัน

     

     
     

    “แค่ห้านาที!!

     
     

     

    “ห้านาทีก็ถือว่าสาย!!!

     

     

    “นี่!!  แค่ห้านาทีพยาธิในท้องคุณคงไม่ก่อม๊อบประท้วงหรอกมั๊ง!!!”   

     
     

    คิมแทยอนกระตุกคิ้วเล็กๆเมื่อโดนสวนทันควัน ไม่เจอกันสองอาทิตย์ผู้หญิงคนนี้ยังคงกวนโมโหเหมือนเคย แต่ก็แปลกดีที่เค้าเองกลับไม่ได้หงุดหงิดอะไรกลับรู้สึกตลกดีด้วยซ้ำเมื่อเห็นท่าทางกอดอกเบะปากเหมือนเด็กๆจากผู้หญิงคนนี้

     

     
     

    “เอาหละค่ะๆ  คุณหนูแทยอนคุณหนูสิก้าคะ เลิกเถียงกันได้แล้วค่ะวันนี้ป้าทำโจ๊กฮ่องเต้เชียวนะคะลองชิมดูๆ”     

     

    แล้วก็เป็นคิมยองอีที่ต้องเข้ามาห้ามศึกหลังจากที่ลอบมองคนทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มอยู่นานด้วยความเอ็นดู

     

     
     

    นานแล้วที่ไม่เคยมีใครกล้าเถียงคุณหนูของเธอ

    นานแล้วที่ไม่เห็นความมีชีวิตชีวาของคุณหนูของเธอ

    นานแล้วสินะ…….นับจากคุณหนูคนนั้นทิ้งไป

     

     
     

    เมื่อคิดถึงหญิงสาวอีกคนที่เคยทำให้คุณหนูแทยอนของเธอและบ้านหลังนี้มีชีวิตชีวา คิมยองอีก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ  บางครั้งโชคชะตาก็เล่นตลกกับชีวิตคน  บางทีคนที่คิดว่าจะใช่และสมควรได้เป็นกลับไม่ได้เป็น แต่บางคนที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีท่าหรือมีโอกาสกลับใช่หรือได้เป็นก็ได้ใครจะรู้    ริมฝีปากของแม่บ้านวัยชราคลี่ยิ้มน้อยๆพร้อมกับจับจ้องไปที่คนสองคนที่กำลังทำท่าทางจะกินเลือดกินเนื้อกันอยู่

     

    .

    .

    .

    .

     
     

    “นี่คุณ วันนี้ไม่ไปทำงานรึไง”     เจสสิก้าเอ่ยถามด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นอีกคนยังคงนั่นจิบชาด้วยท่าทีสบายๆหลังจากที่ทั้งคู่ทานโจ๊กหมดไปแล้ว

     

     
     

    “ไม่ วันนี้ชั้นให้ยูริเข้าบริษัทแทนแล้ว”      คนตอบๆพร้อมกับยังคงจิบชาและนั่งเช็คข้อมูลบางอย่างจากไอแพดในมือ  เจสสิก้าพยักหน้ารับเบาๆอย่างเข้าใจมิน่าหละวันนี้ถึงมีแค่เธอและเค้า 

     

     
     

    งั้นวันนี้เธอและเค้าก็อยู่บ้านกันแค่สองคนหนะสิ   คิดแล้วก็อดที่จะประหม่าขึ้นมาไม่ได้

     

     

    ถึงอยู่บ้านหลังนี้มาสองอาทิตย์กว่าๆแล้วแต่ใช่ว่าเธอและเค้าจะได้อยู่ใกล้กันนอกจากคืนนั้น  แค่คืนนั้นเธอก็เหมือนโรคหัวใจจะกำเริบแล้วนี่ยังต้องมาอยู่ด้วยกันทั้งวันอีกแล้วเธอจะไม่แย่หรอกหรือ

     

     

    ไม่ได้แล้วๆ ถ้าเป็นแบบนี้เธอต้องแย่แน่ๆ เพราะฉะนั้นเธอต้องหาทางชิ่ง

     

     

    ไวเท่าความคิดหญิงสาวตัดสินใจเอ่ยปากกับคนข้างๆทันที

     

     

    “เอ่อคุณ วันนี้วันหยุดชั้นขอออกไปช๊อปปิ้งได้มั๊ย”

     
     

     

    “ไม่ได้”    

     

     และดูเหมือนใครอีกคนก็ตอบกลับมาทันทีเช่นเดียวกัน คำตอบของอีกคนทำให้คนถามถึงกับหน้าเหวอหากแต่ยังคงไม่ยอมแพ้

     
     

     

    “งั้นชั้นไปหาเพื่อนได้มั๊ย!!

     

     

    “ไม่ได้!!

     

     

    “งั้นชั้นไปหาคริสที่บริษัทได้มั๊ย!!

     

     

    “ไม่ได้!!!

     

     

    คำตอบนิ่งๆพร้อมกับที่คนตอบยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากไอแพดในมือทำให้หญิงสาวเริ่มมีอารมณ์โมโหเล็กๆจนต้องสะกดจิตตัวเองเอาไว้เพื่อไม่ให้ปรี๊ดแตกใส่หน้าใครอีกคน ก่อนที่จะกัดฟันเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงพยายามให้ฟังดูอ่อนหวาน(เท่าที่จะทำได้)

     

     

    “งั้น ชั้นขอกลับบ้าน”

     

     

    “ไม่ได้”

     

     

     

    ผึ่ง!!!!!  

     

    เหมือนได้ยินเสียงบางอย่างขาดออกจากกันแต่หญิงสาวไม่สนใจ ริมฝีปากบางอ้าค้างน้อยๆก่อนที่สมองจะสรรหาคำมาพ่นใส่คนที่ยังคงก้มหน้าก้มตากับสิ่งในมือโดยไม่สนใจสิ่งใด  ไม่สนใจแม้กระทั่งว่ามีระเบิดปรมาณูลูกใหญ่กำลังจ่ออยู่และเตรียมจะระเบิดอยู่ตรงหน้า

     

     
     

    “ย๊าส์!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”        

     

    คิมแทยอนสะดุ้งสุดตัวจนแทบจะทำไอแพดหลุดมือเมื่อได้ยินเสียงแหลมปรี๊ดเหมือนโลมาดังขึ้นใกล้ๆหู มาเฟียชื่อดังเอามือตบหูตัวเองสองสามทีอย่างมึนงงก่อนจะตวัดสายตาไปหาอีกคนด้วยท่าทางเอาเรื่อง

                       
              

     

    “นี่ยัยบ้า!!!!  เป็นบ้ารึไงห๊ะมาร้องใส่หูคน!!!!”  

     

     
     

    “ตอนนี้ไม่!!!  แต่ต่อไปไม่แน่ถ้าคุณยังขังชั้นไว้ในบ้านแบบนี้!!!!!!”    เจสสิก้าตอบอีกคนด้วยน้ำเสียงและท่าทางเอาเรื่องไม่ต่างกัน

     



     

    “นี่!!! ใครขังเธอ เธอจะไปไหนจะทำอะไรก็ไปสิ ใครห้ามเธอกันหละ!!!!

     

     
     

    “ก็คุณนั่นแหละที่ห้ามชั้น!!!!  ชั้นขอไปไหนก็มีแต่บอกว่าไม่ได้ๆ แล้วไหนไอ้ที่บอกว่าไปได้ไม่เห็นจะไปได้สักที่เลย!!!!!”  

     
     

     เมื่อเห็นอีกคนขึ้นเสียงมีหรือที่เธอจะยอมริมฝีปากบางยกยิ้มเยาะๆเมื่อเห็นอีกคนนิ่งค้างไป

     

     

     

    เพราะเสียงที่ดังกว่าและท่าทางที่ไม่ยอมใครทำให้คิมแทยอนต้องอ้าปากค้าง ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนเลยทำกับเค้าแบบนี้ เจสสิก้าคือคนแรกและน่าจะเป็นคนเดียว

     

     
     

    “ใครบอกให้เธอขึ้นเสียง พูดดีๆก็ได้ไม่ต้องตะโกน”     

     

    คำพูดของคนข้างๆทำให้หญิงสาวต้องเบ้ปากน้อยๆ ว่าแต่คนอื่นตัวเองก็พึ่งตะโกนเหมือนกันแหละ 

     
     

     

    “เอาหละๆ เลิกตะโกนใส่กันสักทีหูชั้นคงจะหนวกถ้าเรายังคงคุยกันแบบนี้”    

     

    แทยอนพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ใจเย็นเพื่อหวังให้อีกคนได้เย็นลงเช่นกัน ก่อนจะเริ่มอธิบายข้อมูลบางอย่างให้หญิงสาวได้เข้าใจ

     

     
     

    “ที่ชั้นไม่ให้เธอไปไหนเพราะเธอยังไม่ปลอดภัย เธอคงไม่รู้ว่าทางฝ่ายนั้นยังคงไม่เลิกรามันยังคงหาโอกาสทุกครั้งถึงแม้จะรู้ว่าชั้นส่งยุนอาไปดูแลเธอก็ตาม  เพราะเหตุนี้ชั้นจึงให้เธอไปไหนไม่ได้แม้แต่กลับบ้านของเธอเองโดยที่ชั้นหรือยุนอาหรือยูริไม่ไปด้วย เธอเข้าใจใช่มั๊ย”

     

    คำอธิบายนิ่งๆด้วยน้ำเสียงเรียบๆทำให้คนที่ตั้งท่าจะเหวี่ยงต้องใจเย็นลง คำอธิบายของเค้าทำให้เธอเข้าใจถึงเหตุผลแต่มันก็อดที่จะเบื่อไม่ได้เมื่อวันหยุดทั้งทีแต่กลับต้องนั่งๆนอนๆอยู่ในบ้านของเค้าโดยที่ไม่ได้ทำอะไร แต่เพียงไม่นานริมฝีปากบางของนักร้องสาวก็ยกยิ้มขึ้นมาให้คนมองต้องรู้สึกขนลุกแปลกๆ

                                           

     

    “งั้น…….คุณก็พาชั้นไปสิ ก็คุณบอกเองนี่นาว่าชั้นจะไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีพวกคุณคนใดคนหนึ่งไปด้วย นะๆวันนี้คุณหยุดคุณก็พาชั้นไปหน่อยนะ”   

     
     

    พูดพร้อมกับทำตาเป็นประกายและเขย่าแขนอีกคนด้วยท่าทีออดอ้อนสุดฤทธิ์ให้คนถูกอ้อนต้องหน้าขึ้นสีจางๆก่อนที่เจ้าตัวจะข่มความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่เกิดขึ้นแล้วตีหน้าเคร่งขรึมเช่นเคย


     

     

    “ไม่ได้ บอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้ไง”        คำตอบของคนข้างๆทำให้เจสสิก้าต้องเบ้ปากน้อยๆ พร้อมกับปล่อยแขนอีกคนทันทีด้วยความขัดใจ

     

     
     

    “เหอะ!! ใจร้าย!!

     

     

    คิมแทยอนกระตุกคิ้วเล็กๆเมื่อเห็นท่าทางของคนข้างๆ ริมฝีปากบางกำลังจะพูดบางคำออกมา แต่ก็ต้องปิดลงเสียก่อนเมื่อมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

     

     
     

    “เอ่อเอาอย่างนี้มั๊ยคะ  ถ้าวันนี้คุณหนูสิก้าเบื่อเดี๋ยวป้าสอนทำอาหารดีมั๊ย หรือจะทำขนมก็ได้รับรองคุณหนูสิก้าหายเบื่อแน่นอนค่ะ”      

     


    คำพูดกลั้วหัวเราะเบาๆที่แทรกขึ้นมาทำให้คนทั้งคู่ต้องหันไปมองยังต้นเสียงทันทีก่อนจะพบว่าคิมยองอีกำลังยืนส่งยิ้มบางๆให้กับคุณหนูทั้งคู่

     




     

    “ป้ายองอีคะคิดผิดคิดใหม่ได้นะแทว่าแทนที่จะได้ทำอาหาร ยัยนี่กลับจะพังครัวเราซะมากกว่า”

     

     

    จากที่มองคุณแม่บ้านใจดีอย่างชั่งใจตอนนี้หญิงสาวแทบจะตอบตกลงทันทีเมื่อได้ยินคำสบประมาทจากคนข้างๆ

     

     

    ดูถูกกันเกินไปแล้วนะคิมแทยอน ไม่รู้จักเจสสิก้าจองซะแล้ว เธอหนะเจ้าแม่แห่งข้าวผัดกิมจิเลยนะขอบอก

     

     

     

    “ตกลงค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะคะว่าชั้นหนะทำอาหารเป็น  ไม่เหมือนคุณหนูของป้าบางคนหรอกค่ะ”    

     
     

    พูดแล้วก็ทิ้งสายตาเหยียดหยามใส่คนบางคนที่นั่งหน้าตายแต่ริมฝีปากกระตุกยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินตามคุณแม่บ้านเข้าครัวไป

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    เพล๊ง!!!!  

     

    ว๊ายยยยย!!!             

     

    ไม่ใช่คะคุณหนู ไม่ใช่แบบนั้น!!!!!

     

    อย่าใส่น้ำมันครึ่งกระทะสิคะคุณหนู เราแค่ทำข้าวผัดนะคะไม่ใช่จะทำไก่ทอด!!!!

     

     

    คิมแทยอนขมวดคิ้วน้อยๆเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆที่ดังออกมาจากห้องครัว เกือบสองชั่วโมงแล้วที่คนทำอาหารเป็นบอกว่าจะเข้าครัวแต่เท่าที่เค้าได้ยินมันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น  เพราะเสียงแปลกๆที่ดังออกไปทำให้เค้าอดที่จะเดินมาดูไม่ได้  และมาเฟียชื่อดังก็ต้องหัวเราะออกมาทันทีเมื่อพบกับภาพที่เห็น

                                       

     

    เจสสิก้าจอง นักร้องสาวสวยที่ใครๆก็ยกให้เป็นเจ้าหญิงของวงการ กำลังกรีดร้องกระโดดหยองแหยงไปมาโดยที่มือข้างหนึ่งถือตะหลิวส่วนอีกข้างยกฝาหม้อขึ้นมาเพื่อหลบและกั้นน้ำมันในกระทะ ผมสีน้ำตาลทองที่ยาวสลวยพันกันอย่างยุ่งเหยิงและหน้าที่เคยสวยหวานนั้นกำลังเริ่มจะมันเยิ้ม   ข้างๆกันคือคุณแม่บ้านยองอีและลูกมือสองสามคนที่กำลังช่วยกันลดไฟในเตาพร้อมกับหลบตะหลิวในมือหญิงสาวในคราวเดียวกัน

     

     

    เสียงหัวเราะทำให้คนที่กำลังวุ่นวายในครัวต้องหันหลังกลับไปมอง  ใบหน้าสวยหวานขึ้นสีน้อยๆเมื่อเห็นใครบางคนยืนหัวเราะอยู่ที่หน้าประตู

     

     

     

    “แอบดูคนอื่นเสียมารยาท”        เจ้าของใบหน้าหวานที่เริ่มจะมันเยิ้มเอ่ยปากบอกคนหน้าประตูด้วยน้ำเสียงสะบัดเล็กน้อยอย่างไม่พอใจ

     

     
     

    “แอบดูที่ไหน บ้านก็บ้านของชั้นครัวก็ครัวของชั้น แบบนี้เธอจะมาว่าชั้นแอบดูเธอได้ยังไง”        คนถูกว่าตอบด้วยน้ำเสียงพร้อมกับส่งยิ้มยียวนก่อนจะหันไปหาแม่บ้านชราแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อยให้ใครอีกคนได้ยิน

     

     
     

    “เป็นไงคะป้ายองอี แทบอกแล้วว่ายัยนี่หนะจะพังครัวเรามากกว่าจะทำอาหาร”

     

    คำพูดลอยๆแต่ขัดหูคนได้ยินอย่างมหันต์ ดวงตาคู่หวานของนักร้องสาวตวัดสายตาเอาเรื่องไปหาคนที่ยืนทำหน้าเฉยคุยกับแม่บ้านอยู่

              
                                                             

     

    “ย๊าส์ๆๆ!!! คิมแทยอน ว่าแต่คนอื่นแล้วตัวเองทำอาหารเป็นรึไง ตั้งแต่เกิดมาเคยจับตะหลิวรึป่าวยังไม่รู้เลย”    พูดไม่พูดป่าวมือบางๆของนักร้องสาวยกตะหลิวขึ้นมาชี้หน้าอีกคนด้วย

     

     

    คนถูกกล่าวถึงกระตุกยิ้มเล็กๆโดยไม่ได้พูดอะไรพร้อมกับเดินเข้าในห้องครัว  มือเล็กคว้าปลายตะหลิวของอีกคนแล้วออกแรงดึงเข้าหาตัว  แรงดึงทำให้คนที่จับด้ามตะหลิวอยู่ถลาเข้าหาคนดึงทันทีจนหน้าใบหน้าของทั้งคู่แทบจะชนกัน

     

     
     

    “อ๊ะ!!!”     

     

    เจสสิก้าร้องออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับใบหน้าเริ่มจะขึ้นสีจางๆเมื่อหน้าของเธอและเค้าใกล้ชิดกัน

     

     
     

    “ป……ปล่อย จจะทำอะไรหนะ”      หญิงสาวตัวแข็งและเบือนหน้าหนีด้วยความประหม่าเมื่อใบหน้าของใครอีกคนกำลังยื่นเข้ามาใกล้ๆ

     
     

     

    “ไม่ปล่อย!!  เธอพูดเองไม่ใช่หรอว่าชั้นทำอาหารไม่เป็นตอนนี้ชั้นก็จะทำให้เธอดูหนะสิ ว่าคนอย่างชั้นทำได้ทุกอย่าง”  

     

    พูดจบก็ปล่อยตะหลิวอีกด้านทันทีพร้อมกับเดินไปรับผ้ากันเปื้อนจากคุณแม่บ้านมาสวมและเริ่มลงมือทำอาหารอาหารอย่างรวดเร็วด้วยความชำนาญ

     

    เจสสิก้าอ้าปากค้างด้วยความนิ่งอึ้งและแปลกใจเมื่อเห็นมาเฟียหน้าตายอย่างคิมแทยอนกำลังลงมือทำอาหารเหมือนคนที่เคยทำจนคุ้นชิน ทั้งหั่นผัก คนและชิมซุปที่ตั้งอยู่บนเตา รวมไปถึงเตรียมเครื่องทำข้าวผัด หญิงสาวไม่อาจที่จะละสายตาจากแผ่นหลังและใบหน้าที่เคร่งขรึมแต่กลับยกยิ้มบางๆเมื่อได้รสชาดที่พอใจได้เลย 

     

     
     

    แม้ในมุมหนึ่งเค้าดูเย็นชาเงียบขรึม หรือบางทีกลับปากร้ายจนทำให้เธอต้องโมโห

    แต่ในบางมุมกลับอบอุ่นอ่อนโยนจนทำให้หัวใจของเธอต้องทำงานหนัก

    แต่ไม่ว่ามุมไหน…………..

     

     

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นคิมแทยอนกำลังทำให้เธอไม่เป็นตัวของตัวเอง

     

     

     

     

    โป๊ก!! 

     

    โอ๊ย!!

     

    เสียงบางอย่างที่กระทบกับหน้าผากทำให้คนที่ตกอยู่ในภวังค์ต้องสะดุ้งและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและตกใจ มือบางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆพร้อมกับหันไปตีหน้ายักษ์อย่างเอาเรื่องใส่คนที่พึ่งเอาแครอทแข็งๆเคาะหน้าผากของเธอ

     

     


    “เห็นเธอเหม่อเลยเตือนสติ”       คำพูดสั้นๆแต่ทำให้เจสสิก้าแทบอยากเอาตะหลิวในมือฟาดหัวคนพูดที่ยังตีหน้าเฉยๆด้วยความหมั่นไส้

     

     

    มีอย่างที่ไหนเอาแครอทมาตีหน้าผากเธอแล้วยังจะมาพูดหน้าตายอีก ขอโทษสักคำก็ไม่มี

     

     

    มือบางยกขึ้นเตรียมจะฟาดตะหลิวใส่คนที่ยืนหันหลังอยู่แต่กลับต้องยกค้าง และต้องทำหน้าเก้อๆแปลกๆออกมาเมื่อคนที่ถูกลอบทำร้ายหันกลับมาเหมือนจะรู้ตัว

     

     

    “จะทำอะไร!!

     

     

    “ป…..ป่าวนี่!! แค่เห็นแมงวันเกาะหัวคุณชั้นก็เลยจะไล่ให้แค่นั้นเอง”    

     

    แทยอนกระตุกยิ้มเล็กๆเมื่อเห็นท่าทางแปลกๆของหญิงสาวด้านหลังทำไมเค้าจะไม่รู้ว่าเจสสิก้ากำลังจะทำอะไร  เค้ารู้ดีว่าเจสสิก้าดื้อและพยศกว่าที่เค้าคิดมากนักเธออาจฟาดหัวเค้าจริงๆก็ได้และถ้าเค้าไม่หันกลับไปหัวเค้าอาจจะต้องโนเล็กๆเป็นแน่

     


     

    “งั้นหรอ!! ถ้าไล่เสร็จแล้วก็มาช่วยชั้นทำด้วย ทำอาหารเป็นไม่ใช่หรือ”

     

    คำพูดกลายๆแต่เหมือนคำดูถูกเล็กๆทำให้คนฟังฮึดฮัดมือบางแย่งแครอทออกจากมือของอีกคนแล้วตั้งท่าจะหั่นแครอทด้วยท่าทีเก้ๆกังๆอย่างน่าหวาดเสียว ให้คนมองอยู่ต้องส่ายหน้าน้อยๆ

     

     
     

    “ใครเค้าให้เธอหั่นแบบนั้นกัน”       เสียงที่ดังขึ้นข้างหูยังไม่ทำให้เจสสิก้าตัวแข็งทื่อได้เท่ากับที่ใครอีกคนเอื้อมมือจากทางด้านหลังอ้อมมาจับมือของเธอ

     

     
     

    “เค้าหั่นแบบนี้ต่างหาก”    

     

    พูดพร้อมกับจับมือที่ถือมีดอยู่ของอีกคนหั่นลงไปบนแครอทชิ้นนั้นอย่างช้าๆ  ใบหน้าหวานๆของเจสสิก้าขึ้นสีแดงระเรื่อๆกับท่าทางการสอนที่หมิ่นเหม่เช่นนี้

     
     

     

    เหมือนกับว่าเค้ากำลังโอบกอดเธอ…….จากทางด้านหลัง(อีกแล้ว)

     

     
     

    คิมยองอีและเด็กรับใช้อีกสองสามคนอมยิ้มด้วยความเขินอายกับท่าทางของเจ้านายและคุณหนูอีกคน  แค่คุณแทยอนลงมือทำครัวก็น่าแปลกใจแล้วแต่การที่เจ้านายของพวกเธอที่เอาแต่ทำหน้านิ่งกลับยิ้มและหัวเราะแล้วไหนจะท่าทางหวานๆ?กับคุณหนูเจสสิก้าอีก  จากที่เคยเชื่อ 50% ว่าคุณเจสสิก้าคือว่าที่นายหญิงคนใหม่ตอนนี้พวกเธอเชื่อเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่านายหญิงคนใหม่ของบ้านต้องเป็นคุณหนูเจสสิก้าคนนี้แน่นอน ถึงแม้ว่าท่าทางของทั้งสองคนจะออกแนวยั่วโมโหกันมากกว่าที่จะหวานใส่กัน


     

     

    “น….นี่ ปล่อยได้แล้ว ชั้นเข้าใจแล้วหละ”

     

    เพราะน้ำเสียงเบาๆของคนในกอดทำให้แทยอนรู้สึกตัว มือแกร่งปล่อยมือบางของอีกคนทันทีด้วยท่าทางเงอะงะเล็กๆ จะว่าไปความจริงเค้าก็เผลอตัวไปเหมือนกันเพราะกลิ่นหอมจางๆจากตัวของใครบางคน…….

     

     
     

    กลิ่นหอมที่ทำให้หัวใจเต้นแปลกๆโดยไม่รู้ตัว

     

     

    “อ…..เอ่อ ถ้าเข้าใจแล้วก็หั่นแครอทไปแล้วกันส่วนชั้นจะไปเตรียมข้าวก่อน”   แทยอนเอ่ยบอกหญิงสาวด้วยท่าทางเก้อๆก่อนที่จะหันไปทำตาดุใส่คนที่เหลือที่พากันยืนอมยิ้มเงียบๆอยู่ในห้องครัว

     

     

    “อ……อืม”       หญิงสาวอีกคนก็ตอบรับด้วยท่าทางแปลกๆไม่แพ้กันพร้อมกับหลบตาคนที่เหลือและตั้งหน้าตั้งตาหั่นแครอทในมืออย่างตั้งใจเกินเหตุเพื่อกลบอาการประหม่าและเขินอาย

     

    .

    .

    .

    .

     

    “ย๊าส์!!  เธอจะบ้ารึไงเจสสิก้าข้าวผัดกิมจิบ้านไหนเค้าใส่มายองเนสกัน”

     

     

    “ทำไมเค้าไม่ใส่กันรึไง?”       

     

    คำตอบของอีกคนทำให้แทยอนแทบอยากจะเอาหน้ามุดหม้อน้ำซุป ความจริงเค้าก็ปักใจเชื่อตั้งแต่แรกแล้วหละว่าเจสสิก้าทำอาหารไม่เป็นเพียงแต่เค้าไม่คิดว่าเธอจะทำไม่เป็นถึงขนาดนี้

     

     

    “นี่ๆไหนว่าเธอทำอาหารเป็นไง ไหนบอกว่าซิว่าข้าวผัดกิมจิที่เธอคุยนักคุยหนาว่าทำเป็นหนะทำยังไง”

     

     

    “ทำยังไงถามได้? ก็โยนๆทุกอย่างลงไปแล้วก็คนๆ แค่นี้เอง”       

     

    เจสสิก้าตอบพร้อมกับทำท่าทางยืดอกอย่างภาคภูมิใจแต่ทำให้คนฟังกลับอ้าปากค้างคิ้วบางๆของแทยอนกระตุกน้อยๆก่อนที่เจ้าตัวจะร้องห้ามเสียงหลงแล้วถลาไปดึงมือของอีกคนไว้อย่างรวดเร็ว  เมื่อเห็นหญิงสาวกำบางอย่างไว้ในมือพร้อมกับทำท่าจะโยนสิ่งนั้นลงไปในกระทะ

     

    ยองอีมองภาพคุณหนูของเธอที่กำลังโวยวายและสาละวนดึงมือคุณหนูอีกคนที่กำลังจะโยนชีสก้อนใหญ่และแฮมที่หั่นเป็นชิ้นอย่างหนาซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าเป็นฝีมือใครใส่ในกระทะข้าวผัด   ภาพความวุ่นวายย่อมๆทำให้แม่บ้านวัยชราต้องยิ้มออกมาพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆด้วยความเอ็นดู

     

     

    หวังว่าคุณหนูของเธอจะยิ้มแบบนี้ตลอดไป

    หวังว่าคุณหนูสิก้าจะทำให้ความเจ็บปวดและบาดแผลภายในใจของคุณหนูแทยอนจางหาย

    หวังว่าบ้านที่เคยเงียบเหงาหลังนี้จะมีเสียงหัวเราะและรอยยิ้มตลอดไป

    หวังว่า……….คงจะไม่เรื่องร้ายใดๆเข้ามาอีก

     

     

    แม่บ้านชราก็ได้แต่หวัง……….

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    อาหารกลางวันที่กว่าจะได้กินก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ ถูกจัดไว้อย่างสวยงามบนโต๊ะอาหารเล็กๆที่สวนกลางบ้าน  แทยอนมองข้าวผัดกิมจิที่ใส่มายองเนสและแฮมชิ้นหนาที่เยิ้มไปด้วยชีสสลับกับซุปทะเลที่ท่าทางจะปลอดภัยเพราะเค้าเฝ้าระวังเป็นอย่างดีก่อนจะถอนหายใจออกมา   ตรงข้ามของเค้าคือหญิงสาวหน้าตางดงามที่มัดผมเผ้าและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้วกำลังทำตาโตด้วยความตื้นตันใจอยู่

                                              

     

    “ว้าวๆๆๆ ข้าวผัดกิมจิฝีมือของชั้น เห็นมั๊ยชั้นบอกแล้วแค่โยนทุกอย่างลงไปแล้วก็คนๆ แค่นี้ก็เสร็จแล้วไม่เห็นจะยาก”

     
     

    แทยอนเหลือบมองข้าวผัดกิมจิที่หยาดเยิ้มไปด้วยชีสก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากไอ้หิวมันก็หิวอยู่หรอกแต่จะให้กินข้าวผัดกิมจิจานนี้มันก็จะยังไงๆอยู่  เกิดมายังไม่เคยกินข้าวผัดใส่มายองเนสจนชุ่มเลยสักที

     

     

    “เอ้าคุณทานสิ มานี่ๆชั้นตักให้”       พูดไม่พูดป่าวมือเรียวของนักร้องสาวคนสวยแย่งจานที่อยู่ในมือของเค้ามาตักข้าวผัดใส่ให้จนพูนจาน

     

     

    “ทานเยอะๆนะคะไม่ต้องเกรงใจ”        

     

     เพราะท่าทีและรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจทำให้อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ มาเฟียชื่อดังมองข้าวผัดในจานก่อนที่จะกลั้นหายใจตักมันเข้าปากคำโต แต่เพียงไม่นานดวงตาคมเข้มก็เบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงรสสัมผัสในปาก

     

     

    ข้าวผัดเยิ้มๆจานนี้มันอร่อยจนไม่อยากจะเชื่อ!!!!!!

     

     

    เจสสิก้ายิ้มกว้างทันทีเมื่อเห็นมือเล็กของใครอีกคนจ้วงข้าวผัดอีกคำเข้าปากเมื่อกลืนคำก่อนหน้านั้นลงคอ

     

     

    เห็นมั๊ยบอกแล้วว่าเธอหนะ เจ้าแม่แห่งข้าวผัดกิมจิเลยนะจะบอกให้ ถึงหน้าตาจะไม่น่าโสภาแต่รสชาติอร่อยล้ำแน่นอนรับรองโดยเพื่อนๆในวงของเธอเอง(ถึงแม้ในตอนแรกพวกนั้นจะโวยวายแล้วทำสีหน้าไม่สุภาพใส่ข้าวผัดในกระทะของเธอก็เถอะ)

     

     

    แทยอนมองคนที่นั่งก้มหน้าก้มตากินอาหารฝีมือตัวเองด้วยความสุขแล้วอดที่จะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวไม่ได้ 

     

     

    นานเท่าไหร่กันนะที่เค้าไม่ได้หัวเราะ

     

    นานเท่าไหร่กันนะที่เค้าไม่ได้โวยวายเสียงดังที่ไม่ใช่เพราะความกราดเกรี้ยวแต่เป็นเพราะความสนุกสนาน

     

    และนานเท่าไหร่กันนะที่เค้าเป็นแบบนี้……

                                                              

     

    ดวงตาคมเข้มเหม่อมองไปยังต้นดอกโบตั๋นที่ปลูกรายล้อมไปทั่วสวนเล็กๆแห่งนี้ด้วยแววตาเศร้าหมอง……..

     

     

    มันคงจะนานพอๆกับที่คนที่ปลูกมันเอาไว้ทิ้งไป…….

     

     

    เมื่อคิดถึงใครบางคนริมฝีปากบางกลับเม้นแน่นสนิทก่อนที่เจ้าตัวจะสะดุ้งเล็กๆเมื่อคนตรงข้ามยื่นช้อนที่มีปลาหมึกชิ้นโตๆเข้ามา แทยอนมองช้อนนั้นสลับกับใบหน้าสวยหวานที่กำลังส่งยิ้มน้อยๆก่อนที่จะขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

     

     

    “เพื่อนของชั้นเคยบอกว่าเวลาที่เราเหนื่อยหรือมีเรื่องไม่สบายใจ การกินของอร่อยๆจะช่วยให้เราผ่อนคลายได้นะ ตอนแรกชั้นก็ไม่เชื่อหรอกแต่พอกลับมาจากทำงานเหนื่อยๆแล้วได้กินอะไรอร่อยๆแล้วมันก็ช่วยได้จริงๆ คุณก็ลองดูสิคะ”     

     

    เจสสิก้าบอกคนที่ทำหน้างงอยู่ด้วยใบหน้าที่เริ่มจะขึ้นสีแดงน้อยๆ ความจริงเธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องทำแบบนี้ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นอีกคนเงียบไปพร้อมกับดวงตาคมเข้มนั้นฉายแววเศร้าๆเมื่อมองไปยังต้นดอกไม้ที่เธอไม่รู้จัก  เพียงแค่นี้เธอก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาจนพาลไปทำอะไรแปลกๆแบบนี้ออกไปเช่นเดียวกัน

     
     

        แทยอนมองช้อนที่มีปลาหมึกคำโตก่อนจะยกยิ้มแล้วงับช้อนนั้นเข้าปากให้คนที่กลายเป็นคนป้อนโดยอัตโนมัติต้องหน้าขึ้นสีอยู่แล้วต้องขึ้นสีมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าคำที่นักร้องสาวคนนี้บอกจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกแต่อย่างน้อยเค้าก็เชื่อว่า………เจสสิก้าพูดถูก

     

     
     

    …..เพราะเพียงแค่กินปลาหมึกในช้อนนั้นอารมณ์เค้ากลับดีขึ้นมา สงสัยเวลาที่เค้าเครียดๆเค้าต้องหาอะไรอร่อยๆกินซะแล้ว

     

     

    ริมฝีปากบางยกยิ้มเล็กๆออกมาด้วยความพอใจก่อนจะตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่คิดขึ้นมาได้ชั่ววูบออกมาทันที

     

     



     

     “เพื่อเป็นการขอบคุณเธอที่ทำข้าวผัดอร่อยๆให้ชั้นกิน พรุ่งนี้ชั้นจะพาเธออกไปข้างนอกก็แล้วกัน”

     




     

    TBC.



     

    HBD  TIFFANY  หมูน้อยสีชมพูของโซวอน (ถึงจะ HBD แต่ฟานี่ก็ยังไม่ออกอยู่ดี 55555)   สำหรับคำถามนะคะที่ว่ามาเฟียคิมคู่ใคร และใครที่ทิ้งหรือขโมยหัวใจแทไป  ไรท์ว่าในตอนนี้รีดเดอร์หลายคนคงรู้คำตอบกันแล้วใช่มั๊ยคะ  คำตอบก็คือ…..ตามนั้นเลยค่ะ  ^^  แต่ถึงอย่างนั้นเชื่อว่ารีดเดอร์คงอาจจะยังไม่แน่ใจ  แต่เชื่อว่าอีกตอนสองตอนคงมั่นใจกันได้แล้วค่ะ ยังไงอ่านแล้วก็คอมเม้นให้กันบ้างนะคะ ไรท์ยังรอคอมเม้นของรีดเดอร์อยู่เสมอ  เม้นเยอะลงเร็วนะคะ 5555  แต่ถ้าใครยังมีคำถามสามารถถามได้ตลอดนะคะ ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×