ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก สัญญามาเฟีย (TaeNy x TaengSic)

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ค. 57




    Chapter 3

     

     

    ประตูห้องพักภายในโรงแรมสุดหรูถูกเปิดเบาๆพร้อมกับร่างบอบบางของใครคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา  ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้องดวงตาเรียวสวยของนักร้องสาวก็ต้องเบิกโพลงด้วยความตกใจปนขบขันกับภาพที่เห็น  ผู้จัดการสาวร่างท้วมของตนเองนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงโดยที่ท่อนขาอันใหญ่โตมโหฬารนั้นกำลังพาดอยู่กับลำตัวเกือบจะถึงคอเล็กๆของเพื่อนสาวขาแดนซ์ของเธอ  ส่วนที่พื้นห้องก็มีสภาพที่น่าตลกขบขันไม่แตกต่างกันเมื่อเพื่อนสนิทคู่รักต่างไซส์กำลังนอนกอดกันกลมพร้อมกับผ้าห่มผืนหนาที่พันอยู่รอบตัวดูท่าน่าจะหายใจลำบาก เจสสิก้ายืนหัวเราะภาพที่น่าขบนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนมือบางจะตัดสินใจเขย่าแขนเล็กๆของเพื่อนสนิทตัวเล็กกว่าเบาๆ 

     

    เพราะแรงเขย่าที่ต้นแขนทำให้คนที่พึ่งจะได้นอนไม่ถึงชั่วโมงต้องงัวเงียขึ้นมา  ลีดเดอร์ตัวเล็กของวงปรือตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความหงุดหงิด  ก่อนดวงตากลมนั้นจะเบิกกว้างด้วยความตกใจทันทีที่มองเห็นใบหน้าหวานๆของหญิงสาวตรงหน้า

     

     

    “สิก้า!!   เจสสิก้า!!  แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่แกเป็นยังไงบ้างแล้วแกหายไปไหนมา โอ๊ยยยยยย แกรู้มั๊ยว่าพวกชั้นเป็นห่วงแล้วก็ออกตามหาแกตลอดทั้งคืนเลยเนี่ย”      

     

     ทันทีที่ตื่นเต็มตาเพื่อนสนิทตัวเล็กของเธอก็ร้องโวยวายลั่นห้องทันที  และผลของการโวยวายนั้นทำให้คนสามคนที่นอนสลบไสลอยู่ต้องสะดุ้งตื่นพร้อมกับเด้งตัวออกจากที่นอนมายืนทำหน้าเหรอหรากอดกันกลมข้างเตียงด้วยความตกใจทันทีเดียวเช่นกัน

     

     

    “อะไรๆ ซันนี่ แกเป็นอะไรใครมาๆ ค…..…….สิก้า  เจสสิก้านี่แกจริงๆใช่มั๊ย โฮ้ววววววว ในที่สุดแกก็กลับมา  ฮือๆ”     

     

    หญิงสาวขาแดนซ์ของวงร้องถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นร้องไห้โฮออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสวยที่หายไปทั้งคืนมายืนยิ้มแฉ่งอยู่ตรงหน้า

    มือบางของนักร้องสาวคนสวยกอดตอบเพื่อนสนิทที่กำลังร้องไห้โฮเบาๆพร้อมกับหันไปส่งยิ้มแหยๆให้กับคนอีกสองคนที่ยืนทำตาโตอ้าปากหวอด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

    .

    .

    .

    .


    “ตกลงเธอหายไปไหนมาเจสสิก้า แล้วเธอปลอดภัยรึป่าว แล้วเรื่องมันเป็นไงมาไงเล่ามาให้หมด  เดี๋ยว-นี้”     

     
     

    หลังจากผ่านช่วงแห่งความยินดีปรีดาเมื่อได้พบหน้าราวกับว่าคนทั้งหมดได้ห่างหายจากกันเป็นเวลาหลายปีนักร้องสาวสุดสวยก็ต้องมายืนส่งยิ้มแหยๆทำหน้าแห้งๆให้กับคนสามคนที่กำลังจ้องหน้าเธอเขม็ง

     


     

    “ค….คือ……..

     

    เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นที่เธอถูกมาเฟียขี้เก็กคนนั้นลากติดมือไปจนถึงเหตุการณ์สุดท้ายที่เค้ามาส่งเธอที่หน้าโรงแรมถูกถ่ายทอดออกจากริมฝีปากบางของนักร้องสาว  สลับกับการอ้าปากค้างพร้อมกับพยักหน้ารับของคนสามคนด้วยความอึ้งปนเข้าใจเป็นระยะๆ และสุดท้ายเจ้าของเรื่องคนสวยก็ถอนหายใจยาวออกมาเมื่อการเล่าเรื่องทั้งหมดจบลง

     

     

    “สรุปว่าแกแค่โดนเค้าลากติดมือไปแล้วแกเองก็บ้าจี้วิ่งตามไปด้วย  แล้วแถมที่แกหายไปทั้งคืนไม่ใช่เพราะถูกจับตัวไป แต่เป็นเพราะแกเป็นลมเค้าเลยต้องแบกแกกลับไปด้วยเพราะไม่รู้จะไปส่งแกที่ไหน อ่อแล้วอีกอย่างไอ้คนที่ลากแกเป็นใครก็ไม่รู้แกรู้แต่ว่าน่าจะเป็นพวกมาเฟีย ที่ชั้นพูดมาทั้งหมดเนี่ย ถูกมั๊ย?

     

    นักร้องสาวคนสวยพยักหน้ารับรัวๆพร้อมกับส่งยิ้มหวานทันทีที่เพื่อนสนิทตัวเล็กสรุปเหตุการณ์ที่เธอเล่ามาทั้งหมดจบ  ก่อนจะแก้ต่างข้อมูลอะไรเล็กน้อยเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง

     

     

    “ทำไมชั้นจะไม่รู้ว่าไอ้พวกนั้นเป็นใคร อย่างน้อยชั้นก็รู้แหละว่าไอ้มาเฟียตัวเตี้ยขี้เก๊กนั่นชื่อแท    อ่อแล้วอีกอย่างที่แกบอกว่าแบกหนะไม่ใช่ย่ะ  อุ้มต่างหาก”

     

    ทันทีที่คำสุดท้ายออกจากปากเรียวสวยคนสี่คนที่นั่งฟังอยู่ถึงกับมองตากันด้วยความรู้สึกยากจะอธิบายทันที พวกเธอทุกคนรู้ว่ายัยนักร้องสาวคนสวยคนนี้เป็นคนที่ซื่อและมึนๆเป็นนิสัยขัดกับภาพลักษณ์ที่ราวกับเจ้าหญิงอยู่แล้วแต่ครั้งนี้มันเอ่อ……..ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยมั๊ย?

     

     

    “เอาเป็นว่าสรุปว่าเธอปลอดภัยดีทุกอย่างใช่มั๊ย เจสสิก้า”  

                        แล้วก็เป็นผู้จัดการสาวร่างท้วมที่เอ่ยถามย้ำขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าศิลปินในสังกัดปลอดภัยดีหรือไม่ได้รับความเสียหายใดๆหลังจากที่หายไปหนึ่งคืนเต็มๆ

     

     

    “ปลอดภัย 100% ออนนี่ หายห่วงได้”      

                       นักร้องสาวรับรองแข็งขันพร้อมกับส่งยิ้มกว้างกลับคืนมาให้คนถามได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเบาใจ

     

    ปลอดภัยสิปลอดภัยสุดๆ จะไม่ให้ปลอดภัยได้ยังไงในเมื่อขนาดนอนเธอยังต้องนอนที่โซฟากลางบ้านแล้วอีกอย่างแม้แต่ใบหน้าสวยๆของเธอไอ้มาเฟียขี้เก๊กคนนั้นยังไม่สนใจจะมองเลยแม้แต่นิดเดียว ระหว่างเธอและเค้าใกล้กันที่สุดก็ตอนที่นั่งในรถด้วยกันนั่นแหละ  คิดแล้วนักร้องสาวก็ได้เบะปากแต่หมั่นไส้คนขี้เก็กนั่นเบาๆ


     

    “โหหหหหหหห สิก้า เรื่องที่เธอเล่ามันยิ่งกว่าหนังฮอลลีวูดซะอีกนะนี่ โดนพระเอกลากติดมือไปหลบลูกปืนด้วยกัน  แล้วยังไปนอนค้างอ้างแรมด้วยกันซะอีก”    

     แล้วก็เป็นเพื่อนสาวขาแดนซ์ของวงที่พูดขึ้นพร้อมกับทำตาเป็นประกายเพ้อฝันระยิบระยับแซวเพื่อนสนิทสาวคนสวย

     

     

    “หนังฮอลลีวูดบ้าอะไรของแกยิงกันจนหัวพรุนสมองไหล แล้วก็ขอโทษเถอะพระเอกบ้าพระเอกบออะไรของแกเตี้ยก็เตี้ยแถมยังขี้เก๊กน่าหมั่นไส้ชะมัด ถ้าเป็นพระเอกรูปหล่อก้ามโตอย่างคริสอีแวนส์  ละชั้นจะไม่ว่าอะไรเลย”       

    แม้ปากจะพูดกลับไปแบบนั้นแต่ใบหน้าหวานๆกลับเริ่มขึ้นสีน้อยๆเมื่อใจเจ้ากรรมกลับคิดถึงใบหน้าขาวๆใสๆของใครบางคนที่ตัวเองพึ่งด่าเค้าไปหยกๆขึ้นมา

     

     

    “ใครอะคริส อีแวนส์? แล้วนั่นพูดแค่นี้ทำไมแกต้องหน้าแดงด้วยหละ”   

                         คนถูกด่าหรี่ตามองเพื่อนสาวอย่างจับผิดเมื่อเห็นใบหน้าสวยๆของคนเพื่อนสนิทเริ่มจะมีสีแดงจางๆขึ้นมา

     

     

    “พ….พูดบ้าอะไรของแกฮโย ใครหน้าแดง ไม่ได้หน้าแดงซะหน่อย”           

     

    คำพูดเสียงดังช่างขัดกับหน้าตาและอาการเหลือเกินในสายตาคนมอง  เมื่อมือบางๆของคนปากเก่งเผลอยกขึ้นมาแนบแก้มตัวเองทันทีอย่างลืมตัว  ก่อนที่เจ้าตัวจะตะโกนเสียงดังแก้เก้อเมื่อสบสายตากับคนสามคนที่จ้องมองเธอตาเขม็งอย่างจับผิด

     

     

    “อะไร!!  ไม่ต้องมามองชั้นแบบนั้นเลยนะ อย่างชั้นหนะไม่มีทางไปสนใจไอ้มาเฟียตัวเตี้ยขี้เก๊กนั่นแน่ๆ”          

     

     

    “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่   เธอจะร้อนตัวทำไม”      

                        คำตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงและใบหน้ากวนๆของเพื่อนสนิทตัวสูงทำให้เจสสิก้าแทบอยากจะกระโดดบีบคอเพื่อนสนิทของตัวเองทันทีด้วยความหมั่นไส้ปนร้อนตัว ใบหน้าสวยหวานแดงก่ำขึ้นกว่าเดิมเมื่อรู้สึกถึงความร้อนที่กำลังเริ่มเห่อลามขึ้นทั่วใบหน้าอย่างควบคุมไม่ได้

     

     

     “เอ้อจริงสิสิก้า เธอบอกว่าคนที่ลากเธอติดมือไปด้วยน่าจะเป็นพวกมาเฟียใช่มั๊ยแล้วเป็นไงอะ แบบว่า….แบบว่าน่ากลัวเหมือนในหนังรึป่าวแบบโหดๆดุๆ ชอบทำตาขวางๆมีบอดีการ์ดซ้ายขวาเดินขนาบข้างตัวติดกันยังกะตังเมแบบนั้นรึป่าว?    

     

    คำถามของเพื่อนสนิทขาแดนซ์ทำให้นักร้องสาวคนสวยต้องหัวเราะออกมาเมื่อนึกตามสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดแล้วเลยไปนึกถึงใบหน้าของมาเฟียตัวเตี้ยนั่น จะว่าไปสิ่งที่ฮโยยอนพูดก็เกือบจะถูกนะ

    ตาขวางๆ หน้าดุๆ มีบอดีการ์ดเดินตามติดข้างซ้ายขวา  จะผิดไปหน่อยก็ตรงที่มาเฟียที่เธอเจอนั้นไม่ใช่ผู้ชายตัวโตๆหนวดเครารุงรังน่ากลัว แต่เป็นแค่ผู้หญิงหน้าใบหน้าขาวใสดูอ่อนวัยกับตัวเล็กๆแลดูบอบบางคนหนึ่งเท่านั้น  หากแต่ภายใต้รูปลักษณ์ที่แลดูบอบบางน่าทะนุถนอมนั้นหญิงสาวก็อดที่จะยอมรับกับตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่ามันช่างดูแข็งแกร่งน่าเกรงขามและมีเสน่ห์จนน่าค้นหาจริงๆ คิดถึงข้อนี้ริมฝีปากบางสวยก็อดที่จะคลี่ยิ้มหวานออกมาโดยไม่รู้ตัวไม่ได้

     

    ดวงตาสี่คู่หันไปสบตากันอย่างรวดเร็วทันทีที่เห็นคนถูกถามไม่ตอบคำถามใดๆออกมา  และสิ่งนั้นมันคงจะไม่น่าแปลกใจอะไรนักถ้าหากว่าใบหน้าสวยหวานนั่นจู่ๆก็ขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นมาพร้อมกับริมฝีปากเรียวสวยนั่นกำลังคลี่ยิ้มหวานหยดย้อยออกมา

     

     

    อะไรยังไงเกิดอะไรขึ้นกับแม่นักร้องสาวคนสวยนี่แล้วไอ้ท่าทางแปลกๆหน้าแดงๆ กับเสียงดังๆนี่คืออะไร  หมายความว่าอะไรหรือว่า………?

     
     

    คิดแล้วก็รีบหันหน้ากลับมาสบตากันอีกครั้งอย่างรวดเร็วพร้อมสายตาที่สื่อความหมายที่ต่างก็เข้าใจได้เองโดยอัตโนมัติ ว่า

     

     

    ชั้นรู้ว่า พวกแกกำลังคิดเหมือนชั้นใช่มั๊ย   B1? 

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    “ยุนว่าคุณเจสสิก้านี่ก็น่ารักดีนะ พี่แทว่ามั๊ย”      

                        คำพูดลอยๆของน้องคนเล็กทำให้คนที่นั่งหน้านิ่งก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในมือของตนเองต้องขมวดคิ้วน้อยๆ

     

     

    “ใครกันเจสสิก้า”      

                        คำถามสั้นๆธรรมดาๆหากแต่ทำให้คนสองคนซึ่งนั่งอยู่ภายในรถด้วยกันต้องหน้าเหวออ้าปากค้างด้วยความแปลกใจ

     

     

    “เอ้าพี่แท  คุณเจสสิก้าก็คือผู้หญิงที่พี่พึ่งไปส่งเธอเมื่อกี๊นี้ไง นี่พี่ไม่รู้หรอว่าเธอชื่ออะไร”

     

     

    “ไม่นี่  แล้วทำไมชั้นต้องรู้”       

     

    คำถามนิ่งๆกับน้ำเสียงเรียบๆไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆถูกส่งออกมาให้คนถามต้องอ้าปากค้างอีกครั้งความจริงยุนอารู้ว่ารุ่นพี่ของเค้าคนนี้เป็นคนเฉยชาและไม่สนใจผู้หญิงคนใดอยู่แล้วเหตุก็เพราะความหลังที่ยังคงฝังใจ  หากแต่เค้าไม่เชื่อว่าแทยอนจะเฉยชาจนไม่สนใจผู้หญิงที่น่ารักและมีนิสัยประหลาดๆอย่างเจสสิก้าคนนี้ เพราะถ้าเค้าตาไม่ฝาดเค้าก็เห็นผู้หญิงที่พี่ของเค้าพึ่งเจอแค่วันเดียวคนนี้นี่แหละที่ทำให้พี่แทของเค้าแสดงอารมณ์มากกว่าปกติ  ถึงแม้ว่าอารมณ์พวกนั้นจะออกไปทางกวนประสาทกันมากกว่าก็ตาม

     

     

    “แต่ยุนว่าเธอน่ารักน๊า พี่จะไม่สนใจหน่อยหรอ”      

     

    ไหนๆก็ไหนๆแล้วเห็นพี่ของตัวเองเป็นโรคเย็นชาตายด้านมานาน พอมีคนน่ารักอย่างเจสสิก้าเข้ามายุนอาก็ขอชงสักหน่อยเถอะถึงแม้จะรู้ว่าเป็นไปได้ยากก็ตามที  แต่ก็นะเรื่องแบบนี้บางทีมันก็พูดยากเกิดชะดีชะร้ายขึ้นมาโชคชะตาทำให้สองคนนี้ต้องมาเจอกันอีกครั้งอะไรๆมันก็เกิดขึ้นได้จริงมั๊ยหละ

     

    แทยอนมองสบตาคนที่กำลังขับรถอยู่ผ่านทางกระจกมองหลังด้วยแววตาเรียบเฉย ทำไมเค้าจะไม่รู้ว่ายุนอาคิดอะไรเค้ารู้ว่ายุนอาหรือแม้แต่กระทั่งยูริเองต่างก็หวังดีและเป็นห่วงเค้าทั้งนั้น   แต่ทั้งนี้แทยอนก็รู้ตัวเองดีหัวใจของเค้าคงจะไม่สามารถรักใครได้อีกความเจ็บปวดและบาดแผลที่เคยเกิดขึ้นในอดีตทำให้เค้าฝังใจ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นทำให้คนอย่างคิมแทยอนกลายเป็นคนเย็นชาและด้านชาต่อความรักจนอาจเรียกได้ว่าไม่มีหัวใจหากแต่ลึกๆแล้วใครเลยจะรู้ไม่ใช่ว่ามาเฟียอย่างคิมแทยอนจะไม่มีหัวใจ…..

     

     

    คิมแทยอนมีหัวใจ…….หัวใจที่ยกให้ผู้หญิงคนหนึ่งไปหมดแล้วตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว

    หัวใจ…………ที่มันยังคงรักอยู่  ถึงแม้ว่าเธอคนนั้นจะขยี้มันจนแหลกสลายไปแล้วก็ตาม

     
     

     

    “พี่แทยุนว่านะ……”       

                        คนเป็นน้องเห็นรุ่นพี่เงียบไปเลยอดที่จะเอ่ยแซวขึ้นครั้งอีกไม่ได้หากแต่ไม่นานก็ต้องเงียบไปและเงียบสนิทไปเลยนับแต่นั้นเมื่อถูกน้ำเสียงเรียบนิ่งของคนเป็นทั้งพี่และนายขัดขึ้นมา

     

     

    “พอเถอะยุนอา  แกก็รู้ว่าหัวใจของชั้นมันรักใครไม่ได้อีกต่อไปแล้ว”

     



     

    ……………………………………………………………..

     

     

     

    หลังจากเหตุการณ์ที่เคยเกือบตายร่วมกันมาจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลาเดือนกว่าแล้วที่คนทั้งคู่ไม่ได้พบเจอกันอีกเลย  ความต่างทั้งวิถีชีวิตสังคมหรือแม้กระทั่งประเทศที่อยู่อาศัยทำให้ไม่มีทางใดเลยเลยที่จะทำให้ทั้งคู่ได้มาบรรจบพบเจอกัน

     
     

    วิถีชีวิตของคนทั้งสองก็ยังคงเป็นเช่นเดิม……..

     
     

    คิมแทยอน…….ก็ยังคงเป็นคิมแทยอนคนเดิม เป็นนายท่านที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลคิม  เป็นมาเฟียที่มีหลายสิ่งหลายอย่างต้องทำในวิถีทางแห่งความดำมืดของเส้นทางที่เลือกเดิน 

     
     

    เช่นเดียวกับหญิงสาวอีกคน…..

     
     

    เจสสิก้า…..ก็ยังเป็นเจสสิก้าคนเดิม  เป็นไอดอลสาวของทุกคนและมีงานมากมายจนล้นมือ  และเป็นที่รักของแฟนคลับและคนทุกคนบนเส้นทางเดินที่สว่างไสว

     
     

    คงจะเป็นไปไม่ได้และคงจะไม่มีทางใดเลยที่จะทำให้คนสองคนที่มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้มาบรรจบและพบเจอกันอีกครั้ง……….

     
     

    คงไม่มี………….

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “โฮยยยย หมดแรง”

     

    เสียงบ่นอย่างเนือยๆของนักร้องสาวคนสวยที่สุดของวงดังขึ้นทันทีที่หญิงสาวทั้งสี่ก้าวเท้าเข้ามายังหอพักสุดหรูก่อนเจ้าตัวจะทิ้งร่างบอบบางลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยอ่อน  ตามมาด้วยร่างบางของหญิงสาวอีกสามคนที่ต่างก็ทิ้งตัวลงมาบนโซฟาตัวโตด้วยท่าทางที่ไม่แตกต่างกัน

     

    คิมชินยองมองสภาพของศิลปินสาวในสังกัดก่อนจะส่ายหัวน้อยๆด้วยความเหนื่อยใจปนเอ็นดู  เธอเองก็ไม่แปลกใจนักเมื่อเห็นบรรดาสาวๆที่เธอรักและเอ็นดูเหมือนน้องสาวแท้ๆจะมีสภาพเช่นนี้ เพราะหลังจากที่กลับมาจากนิวยอร์กคราวนั้นสาวๆทั้งสี่คนก็ต้องเตรียมตัวเพื่อคัมแบคอัลบัมใหม่ทันที  และหลังจากที่ Comeback Stageได้ไม่นานตารางงานที่อัดแน่นจนยาวเป็นหางว่าวของวงก็ตามติดมาทันทีเช่นเดียวกัน

     

     

    “นี่ๆพวกเธออย่าทำเป็นบ่นกันหน่อยเลยน่า พอตอนไม่มีงานละก็ทำเป็นบ่นว่าเหงาบ้างหละว่างบ้างหละแต่พอมีงานหละก็ทำเป็นบ่นว่าเหนื่อย  ถ้าเหนื่อยกันเดี๋ยวมากชั้นบอกท่านประธานลดงานให้พวกเธอดีม๊ย”       

     

    ถึงจะเห็นใจและเข้าใจแต่ผู้จัดการสาวร่างท้วมก็อดที่จะจิกกัดคนที่นอนทำหน้าตาไร้เรี่ยวแรงด้วยความหมั่นไส้เล็กๆไม่ได้

     

     

    “โถ่ออนนี่ ก็เราเหนื่อยจริงๆนี่นา ดูสิตั้งแต่คัมแบคมาเรายังไม่ได้พักเลยอ่าได้นอนก็แค่วันละสองสามชั่วโมงเอง แถมอัดรายการเพลงเสร็จก็ต้องไปถ่ายรายการนั้นรายการนี้ ไหนจะรายการวิทยุอีกนี่ยังไม่รวมงานแฟนไซส์ที่จะถึงอีกนะ โฮ้วววววว”      

    หญิงสาวตัวสูงที่สุดของวงบ่นขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน่าสงสารจับใจให้คนฟังต้องส่ายหน้าน้อยๆ

     

     

    “โอ๊ยยย ไม่ต้องมาทำเสียงน่าสงสารแบบนั้นเลยนะยังไงๆพวกเธอก็ต้องทำงาน แล้วอีกอย่างถ้าอยากจะพักกันมากนักหละก็สองสามวันนี้ก็ตั้งใจทำงานกันให้ดีแล้วอาทิตย์หน้าชั้นจะให้พวกเธอหยุดพัก2วัน”       

    เหมือนเสียงสวรรค์จากนางฟ้าตัวน้อยๆ? ที่ดังก้องอยู่ในหู  คำว่าหยุดพักสองวันทำให้หญิงสาวที่นอนหมดเรี่ยวหมดแรงพร้อมใจกันเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาพร้อมกับประกายตาที่ระยับระยับทันที

     

     

    “จริงนะออนนี่ ไม่หลอกกันนะ”

     

    ผู้จัดการสาวร่างท้วมกระตุกยิ้มเล็กๆก่อนจะตอบหญิงสาวทั้งสี่ด้วยน้ำเสียงและท่าทางใจดีประหนึ่งนางฟ้ากำลังเล่านิทานกล่อม(หลอก)เด็ก   

     

     

    “จริงซี่   ชั้นเคยหลอกพวกเธอรึไงกันพวกเธอทั้งสี่คนก็รู้นี่นาว่าชั้นหนะ รักพวกเธอขนาดไหน”

     

    หญิงสาวสี่คนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียงกันทันทีที่ผู้จัดการสาวอันเป็นที่รักพูดจบชินยองรักพวกเธอเธอรู้แต่ไอ้ที่บอกว่าไม่เคยหลอกกันนี่ไม่อยากจะเชื่อ  บทเรียนจากการทำงานที่นิวยอร์กครั้งที่แล้วทั้งสี่คนยังคงจำได้ดี หลังจากที่ถูกหลอกให้ทำงานอย่างบ้าพลังด้วยเหตุผลลมๆ ว่าหากทำงานเสร็จเร็วจะได้มีเวลาพักผ่อนอย่างเหลือเฟือ แต่หลังจากที่เจสสิก้ากลับมาจากเหตุการณ์ที่รู้ๆกันอยู่ได้แค่วันเดียวผู้จัดการวงที่รักคนนี้ก็จัดการหอบหิ้วสาวๆและทีมงานบินกลับเกาหลีทันทีด้วยเหตุผลที่น่าประทับใจจนน้ำตาแทบไหล

     
     

    ที่เราต้องรีบกลับก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเธอทุกคนนะ ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบเมื่อวานเกิดขึ้นอีกจะทำยังไงที่ชั้นต้องตัดสินใจแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงพวกเธอหรอกนะ

     
     

    หากแต่ในความเป็นจริงก็คือมันครบกำหนดวันที่ทีมงานและสาวๆทุกคนต้องกลับแล้วต่างหากหรือจะให้พูดอีกทีก็คือ   ไม่มีวันว่างให้พักผ่อนอะไรทั้งนั้นแหละเพราะกำหนดการคือ…..

     
     

    รีบทำงานรีบเสร็จรีบกลับจะได้ไม่เปลืองงบประมาณบริษัท

     
     

    ทันทีที่รู้ความจริงน้ำตาก็แทบจะไหลออกมาจริงๆ…..บริษัทก็ออกใหญ่โตแต่ทำไมท่านที่คุณก็รู้ว่าใครถึงได้งกกันจริงๆ

     

     

    “เอาดีๆออนนี่  เราได้พักจริงอ่ะ”      

                        ลีดเดอร์สาวตัวเล็กเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับหรี่ตามองผู้จัดการสาวร่างท้วมอย่างไม่อยากจะเชื่อ

     
     

    “จริงสิชั้นจะหลอกพวกเธอทำไม พักผ่อนสองวันหลังจากที่…….พวกเธอโชว์ตัวแล้วก็ร่วมเปิดงานประมูลเครื่องเพชรเสร็จแล้ว”   

     

    นั่นไงว่าแล้ว……หญิงสาวทั้งสี่คนแทบจะถอนหายใจออกมาพร้อมกันทันที เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเธอจะได้พักสบายๆหลังจากที่คัมแบคได้ไม่นาน แล้วไอ้ที่บอกว่าได้พักนี่ก็พากันคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรแปลกๆ เหอะ!! แล้วพวกเธอก็เดาไม่ผิด ไอ้ที่พักนี่คงจะเป็นการพักหลังหลังจากที่ต้องทำงานด่วนนอกตารางงานอันอัดแน่นแน่ๆ

     

     

    “เอาน่าๆ แค่โชว์ตัวเปิดงาน อยู่ร่วมงาน ยืนสวยๆธรรมดาๆแค่นี้ก็เสร็จแล้วไม่มีอะไรมาก แลกกับการพักผ่อนสบายๆโดยไม่งานสองวันเต็มๆ สนมั๊ย”

    ริมฝีปากหนาๆของผู้จัดการสาวยกยิ้มทันที ไม่ต้องรอคำตอบนานไม่ต้องให้เวลาได้คิดเพราะเธอรู้ดีว่าสาวๆของเธอเป็นอย่างไร

     
     

    “สน!!!”         สี่สาวร้องประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง

     

     

    นั่นไงเห็นมั๊ย……คิมชินยองว่าแล้ว ฮึ ฮึ ฮึ

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .


    “แทยอน วันศุกร์หน้ามีงานประมูลเครื่องเพชรของกลุ่มบริษัท  I.J  กรุ๊ปที่เกาหลี คุณจะเข้าร่วมงานมั๊ย”     

                      ยูริเอ่ยถามเพื่อนสนิทพร้อมกับยื่นการ์ดเชิญสีแดงสดให้คนที่นั่งหน้านิ่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน



    มือบางเอื้อมไปรับก่อนจะเปิดอ่านข้อความในการ์ดนั้นผ่านๆแล้ววางมันลงอย่างไม่สนใจใยดีเท่าใดนัก

     
     

    “หึ!!  ถึงขนาดมีการ์ดเชิญมาขนาดนี้ก็คงต้องไปหละนะ”     

                        น้ำเสียงเรียบๆถูกส่งออกมาจากใบหน้าอ่อนวัยแต่กลับเรียบเฉยจนเกือบจะเรียกได้ว่าเฉยชา

     
     

    “โห ยุนว่าถ้าถึงขนาดส่งเทียบเชิญมาขนาดนี้ก็คงอยากให้พี่แทไปจริงๆนั่นแหละ ว่ามั๊ยพี่ยูล”       

                        ยุนอาพูดพร้อมกับหัวเราะน้อยๆเมื่อได้อ่านการ์ดเชิญสีแดงสดบนโต๊ะทำงานหรูของผู้เป็นเจ้านาย

     
     

    “เห็นทีคราวนี้คงเลี่ยงยากแล้วหละ”      

                        ยูริพูดพร้อมกับส่งยิ้มเล็กๆให้คนที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่กับเอกสารปึกใหญ่หลังโต๊ะทำงาน

     

     

    “ก็คงงั้น”          

     

    ใบหน้าใสอ่อนวัยเงยขึ้นมาจากเอกสารตรงหน้าตอบเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงเรียบๆโดยไม่แสดงอารมณ์เช่นเดิม ก่อนจะวางเอกสารมากมายในมือลงบนโต๊ะแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ

    ทำไมคิมแทยอนจะไม่รู้ว่าประธานกลุ่มอิมจินส่งการ์ดเชิญมาให้เค้าถึงที่เพราะอะไร ทั่วทั้งเอเชียไม่ว่าบริษัทไหนๆก็อยากร่วมทุนหรือขอความช่วยเหลือจากคิมกรุ๊ปของเค้าทั้งนั้น แม้กระทั่ง I.J กรุ๊ปที่เป็นบริษัทที่ใหญ่และมีอิทธิพลไม่น้อยในเกาหลีใต้ แต่จะว่าไปถ้าพูดถึงแค่เรื่องของธุรกิจก็คงจะไม่ถูกนักในเมื่อจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเชิญครั้งนี้ทั้งสามคนต่างก็รู้กันดีว่าเป็นเพราะเหตุใด  หลายต่อหลายครั้งที่ได้พบเจอกันตามงานใหญ่ทางธุรกิจ ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ประธานและคุณนายของอิมจินจะไม่พยายามเข้าหาเค้าเพียงเพื่อต้องการบอกเล่าและแนะนำใครบางคนให้ได้รู้จัก……

     
     

    คุณหนู นานะ แห่งอิมจินกรุ๊ปผู้ที่ใครๆต่างก็กล่าวขานว่างดงาม และเพียบพร้อม

     

    หากแต่เค้าและเธอก็ยังไม่เคยได้พบกันสักครั้งเพราะหญิงสาวที่ถูกเอ่ยถึงนั้นยังคงศึกษาอยู่ที่ต่างประเทศ และถ้าเค้าเดาไม่ผิดการ์ดเชิญที่ได้รับมานี้คงจะไม่พ้นเรื่องนี้อีกเป็นแน่

     

    มาเฟียผู้เคร่งขรึมถอนหายใจยาวออกมาเบาๆด้วยความเบื่อหน่ายและเหนื่อยใจ เกือบสองปีมาแล้วที่ใครต่อใครในตระกูลใหญ่ๆทั้งตระกูลนักธุรกิจและมาเฟียของทั้งเกาะฮ่องกงและแผ่นดินใหญ่รวมไปถึงญี่ปุ่นและเกาหลีต่างก็นำเสนอลูกหลานของตนเองมาให้เค้าได้รู้จักหลังจากที่ข่าวของเค้าและหญิงสาวอีกคนได้แพร่กระจายออกไป  ริมฝีปากบางสวยเหยียดยิ้มแกนๆเมื่อนึกสาเหตุและจุดประสงค์ที่แท้จริงของการกระทำของบุคคลคนเหล่านั้น

     
     

    แนะนำลูกสาวและหลานสาวให้ได้รู้จัก…..เผื่อโชคดีได้เกี่ยวดองกับตระกูลคิมถ้าหากว่าเค้าเกิดสนใจ

     
     

    คิมแทยอนแทบอยากจะหัวเราะดังๆด้วยความสมเพชเวทนากับความคิดตื้นๆเหล่านั้น เค้าเป็นมาเฟียก็จริงอยู่เรื่องนี้เค้ายอมรับ  แต่คนอย่างคิมแทยอนไม่ใช่คนที่จะรักใครง่ายๆเพียงแค่เห็นรูปโฉมภายนอกที่ถูกแต่งแต้มหรือปรุงแต่งอย่างงดงาม

     

     

    หัวใจของมาเฟียคนนี้หนักแน่นและมั่นคงกว่านั้น…..

    ………..ไม่อย่างนั้นเค้าคงรักใครต่อใครไปแล้วตั้งแต่หัวใจโดนผู้หญิงที่รักที่สุดคนนั้นทำร้าย

     
     

    เมื่อคิดถึงใครบางคนริมฝีปากบางที่เคยเหยียดยิ้มกลับเม้มแน่นสนิททันที ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปเกือบสองปีแต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงมีอิทธิพลต่อหัวใจของมาเฟียอย่างเค้าคนนี้อยู่ไม่เสื่อมคลาย  เหมือนเชือกที่คอยรัดเหมือนบ่วงที่ไม่มีวันคลายที่พันธนาการหัวใจของเค้าไม่ให้ไปไหน  แต่จะโทษเธอคนนั้นคนเดียวก็คงจะไม่ถูกหากจะโทษหรือมีใครสักคนที่ผิดก็คงจะเป็นตัวเค้าเอง

     

     

    ผิด…….ที่ยินยอมพันธนาการหัวใจตัวเองไม่ให้ไปจากใครอีกคน ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีวันที่จะเป็นเหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม

     

     

    ………………………………………………………….

     

     
     

    ห้องโถงกว้างใหญ่ของโรงแรมหรูชื่อดังใจกลางกรุงโซลถูกจัดตกแต่งไว้อย่างหรูหราสมกับที่เป็นงานใหญ่ของบริษัทที่ใหญ่โตมีคนนับหน้าถือตามากมายอย่าง I.J กรุ๊ป  บรรดาแขกภายในงานต่างก็คือเหล่าดาราไฮโซเซเลปจากตระกูลใหญ่ๆและนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงทั่วทั้งเอเชีย  ความน่าสนใจในงานนอกจากจะเป็นการเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่คุณหนูคนเดียวของตระกูลที่พึ่งจะกลับมาจากอังกฤษแล้ว  คงหนีไม่พ้นแขกรับเชิญพิเศษสุดที่ตอบรับคำเชิญมาร่วมงานในฐานะศิลปินสาวที่ดังที่สุดของเอเชียอย่างเกิลร์กรุ๊ปสาววง Girl

    .

    .

    .

    .

    .

      เสียงรัวชัตเตอร์และแสงจากแฟรชกล้องรัวกระหน่ำขึ้นทันทีร่างบางของหญิงสาวสี่คนก้าวลงจากรถลีมูซีนคันหรู  ถึงแม้จะเป็นงานในแวดวงธุรกิจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่างานนี้จุดเด่นอยู่ที่เหล่าดารานางแบบและเซเลปที่ต่างก็แต่งตัวประชันกันสุดฤทธิ์เพื่อมาร่วมงาน  และที่สำคัญคือการปรากฏตัวของกลุ่มนักร้องสาวสุดสวยซึ่งโด่งดังไปทั่วเอเชียและกำลังแพร่กระจายไปยังยุโรปอย่างวง Girl เกิลร์กรุ๊ปซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนางฟ้าแห่งชาติเกาหลี  ดังนั้นคงจะไม่แปลกอะไรนักหากบรรดาสำนักข่าวที่มาในวันนี้จะไม่ได้มีเพียงนักข่าวสายธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียวหากแต่ยังมีนักข่าวสายบันเทิงจากสำนักต่างๆรวมอยู่ด้วย นั่นยังไม่นับเหล่าบรรดาแฟนคลับหลายร้อยคนที่มาเฝ้ารอกลุ่มไอดอลสาวในดวงใจอยู่เต็มบริเวณด้านหน้าของโรงแรมหญิงสาวทั้งสี่ในชุดออกงานหรูหราต่างก็ส่งยิ้มและโบกมือให้กับเหล่าแฟนคลับก่อนจะยืนให้นักข่าวถ่ายรูปอยู่สักครู่แล้วจึงเดินเข้าไปในงาน

    ไม่นานหลักจากที่เข้าไปภายในงานหญิงสาวทั้งสี่ก็ถูกเหล่าทีมงานและผู้จัดการสาวร่างท้วมนำเข้าไปในห้องรับรองพิเศษทันทีเพื่อเตรียมตัวที่จะขึ้นเป็นนางแบบกิตติมาศักดิ์โชว์เครื่องเพชรที่จะทำการประมูลเมื่องานได้เริ่มขึ้น

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    หลังจากที่พิธีกรบนเวทีกล่าวเปิดงานและแนะนำเปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ของบริษัทเสร็จสิ้นลงการประมูลที่เรียกว่าเป็นจุดเด่นของงานก็เริ่มในทันที  นางแบบคนแล้วคนเล่าต่างก็เดินออกบนเวทีเพื่อไปทำหน้าที่ของตนเอง  เสียงประมูลเพิ่มราคาของเหล่านักธุรกิจและเหล่าไฮโซชื่อดังยังคงดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายเรียกความตื่นเต้นเล็กๆให้กับไอดอลสาวที่อยู่หลังเวที   ถึงแม้ว่าจะผ่านงานในลักษณะแบบนี้มาแทบจะนับไม่ถ้วนหากแต่นักร้องสาวคนสวยก็ยังคงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้

    เสียงพิธีกรบนเวทีกล่าวถึงเครื่องเพชรสี่ชุดสุดท้ายสุดพิเศษของค่ำคืนนี้บ่งบอกให้รู้ว่าถึงเวลาแล้วที่นางแบบกิติมาศักดิ์ทั้งสี่ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง นักร้องสาวชื่อดังค่อยๆก้าวออกไปยังหน้าเวทีทันที่ได้ยินการเอ่ยแนะนำชื่อของตน จนกระทั่งถึงหญิงสาวคนสุดท้าย……..

     

    หญิงสาวใบหน้าสวยหวานหยดย้อยกับผมสีน้ำตาลประกายทองที่ปล่อยยาวแต่ปัดมารวมกันข้างหนึ่งในชุดเกาะอกสีขาวที่ข้างหน้าสั้นเหนือเข่าแต่ข้างหลังปล่อยยาวด้วยผ้าลูกไม้ระบายยาวสีเดียวกัน ที่เผยให้เห็นผิวขาวราวกับน้ำนมกับสร้อยเพชรบลูไดมอนด์เม็ดโตที่ประดับอยู่บนลำคองามระหงค่อยๆย่างกายออกมาด้วยท่าทีที่สง่างาม  แสงไฟในงานที่สาดส่องลงมาจับจ้องอยู่ที่หญิงสาวคนเดียวทำให้ร่างบางที่เด่นอยู่แล้วกลับยิ่งดูโดดเด่นเข้าไปใหญ่  ริมฝีปากเรียวสวยคลี่ยิ้มหวานน้อยๆเมื่อเจ้าตัวเดินเข้าไปถึงจุดที่ได้กำหนดเอาไว้

    .

    .

    .

    .

    การปรากฏตัวของหญิงสาวคนสุดท้ายบนเวทีเรียกเสียงฮือฮาและสะกดสายตาทุกคู่ของแขกผู้มีเกียรติทุกคนในงานไม่เว้นแม้แต่แขกพิเศษที่สุดที่นั่งอยู่แถวหน้าร่วมกับเจ้าภาพของงาน

    ดวงตาคมเข้มเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อนางแบบคนสุดท้ายได้ก้าวออกมาจากหลัวเวที ความจริงคิมแทยอนแทบจะไม่สนใจใครเลยด้วยซ้ำตั้งแต่เริ่มเข้างานมา หากแต่ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูและได้รับการอบรมส่งสอนมาอย่างดีในเรื่องมารยาทของการเข้าสังคมของชนชั้นสูง ทำให้คนที่เฉยชากับทุกสิ่งรอบกายอย่างคิมแทยอนยังคงรักษาท่าทีและมารยาทได้อย่างดีเยี่ยมถึงแม้ว่าภายในจะรู้สึกเบื่อหน่ายก็ตาม 

     

    เจ้าของดวงตาคมยังคงจับจ้องที่ร่างบอบบางของหญิงสาวบนเวทีอย่างไม่วางตาด้วยความแปลกใจตัวเอง  ทั้งๆที่ไม่เคยคิดจะสนใจหรือจดจำผู้หญิงคนไหนแต่กับหญิงสาวร่างบอบบางที่กำลังยืนส่งยิ้มหวานอยู่บนเวทีคนนี้เค้ากลับจำเธอได้ดี…….ถึงแม้จะพบกันแค่เพียงวันเดียว

     
     

    ผู้หญิงบ้าที่เค้าลากติดมือไปด้วยเมื่อครั้งที่ไปนิวยอร์กคราวที่แล้ว…….ผู้หญิงบ้าที่ชี้หน้าด่าเค้าว่าเป็นยัยบ้าฆาตกร


     

    ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มเล็กๆเมื่อจำได้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใคร

     
     

    จองเจสสิก้างั้นหรือ

     
     

    เดินเฉิดฉายออกมาขนาดนี้สงสัยยัยบ้านั่นจะเป็นนักร้องไอดอลอย่างที่เคยโม้ไว้จริงๆ

    .

    .

    .

    ดวงตาหวานกวาดมองไปทั่วบริเวณงานอย่างมืออาชีพก่อนจะสะดุดกึกทันทีเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมเข้มของใครบางคนที่นั่งอยู่แถวหน้าสุดร่วมกับเจ้าของงาน  ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงจะเป็นแขกวีไอพีสุดๆเห็นได้จากสายตาและท่าทางเอาอกเอาใจเป็นพิเศษจากหญิงสาวใบหน้างดงามที่นั่งอยู่ข้างกายซึ่งเดาได้ไม่ยากว่าคงจะเป็นคุณนานะดาวเด่นของงานแน่แท้

    เจสสิก้าเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อดวงตาสองคู่สบกันพอดี นักร้องสาวจำได้ทันทีว่าเจ้าของใบหน้าขาวๆใสๆดูอ่อนวัยแต่เย่อหยิ่งในชุดสูทเข้ารูปสีเทาอ่อนๆนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก

     

     

    ไอ้บ้ามาเฟียโรคจิต!!ที่เธอเคยเจอที่นิวยอร์กเมื่อเดือนที่แล้ว

     
     

    ดวงตาหวานเบิกค้างเล็กน้อยอย่างลืมตัวก่อนที่เจ้าตัวจะพยายามปรับให้เป็นปกติเมื่อรู้ตัวว่าเกือบหลุดท่าทีไม่เหมาะสมออกไปเมื่อเห็นคนที่นั่งตรงหน้าริมฝีปากบางๆกระตุกยิ้มและยักคิ้วด้วยท่าทีกวนๆใส่เธอ   การกระทำเรียกโมโหจากคนข้างล่างทำให้นักร้องสาวพยายามเต็มที่ที่จะไม่สนใจเจ้าของใบหน้าขาวๆใสๆที่อยู่ตรงหน้าหากแต่ก็ทำได้ยากเหลือเกินเพราะเมื่อเผลอตัวทีไรดวงตาเจ้ากรรมของเธอก็ยังคงแอบมองไปที่คนๆนั้นอยู่ดี 

     
     

    ไม่ได้เจสสิก้าอย่าไปมองๆ ยิ่งมองเดี๋ยวไอ้บ้านั่นจะยิ่งได้ใจหาว่าเราชอบมัน เย็นไว้สิก้าเย็นไว้อีกแป๊บเดียวเดี๋ยวงานก็จบ…….

     
     

    ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ห้ามสายตาตัวเองก็ไม่ได้นักร้องสาวสวยเลยจัดการสะกดจิตตัวเองซะเลย  อย่างน้อยๆก็ทำให้เธอไม่ฟุ้งซ่านเพราะสายตาคมๆของใครบางคนที่กำลังจ้องมองมา

     
     

    “เอาหละครับมาถึงเพชรชุดสุดท้ายแล้ว  สร้อยเพชรบลูไดมอนด์น้ำงามล้ำเลิศเพียงชิ้นเดียวของโลกซึ่งได้รับเกียรติโชว์โดยนักร้องสาวผู้ได้รับฉายาว่าเจ้าหญิงแห่งวงการบันเทิง คุณจองเจสสิก้า    บลูไดมอนด์น้ำงามที่ถูกสวมใส่โดยหญิงสาวที่งดงามไม่แพ้กันเม็ดนี้ราคาเริ่มต้นที่ 50 ล้านวอนครับ”

     

    100  ล้านวอน”   

     
     

    150  ล้านวอน”

     
     

    200ล้านวอน”

     
     

    200ล้านวอนครับ มีใครจะเสนอมากกว่านี้มั๊ยครับ”

     
     

    300ล้านวอน”    

     
     

    300ล้านวอนแล้วครับมีมากกว่านี้มั๊ยครับ  มีหรือไม่ครับ”

     
     

    ไม่นานการประมูลราคาที่ดุเดือดก็เริ่มต้นขึ้นไม่รู้ว่าเป็นเพราะความงามของเพชรหรือเป็นเพราะความงามของหญิงสาวที่สวมใส่มันกันแน่  หากแต่เพียงไม่นานเช่นเดียวกันการประมูลก็สิ้นสุดลงเมื่อน้ำเสียงเรียบๆนิ่งๆด้วยภาษาเกาหลีที่ชัดเจนฟังดูทรงอำนาจของใครบางคนดังขึ้น

     
     

    คนที่ทำให้หัวใจดวงน้อยของนักร้องสาวคนสวยต้องเต้นระรัว………เพียงแค่สบตา

     

    1000  ล้านวอน”

     

    เสียงฮือฮาดังขึ้นทันทีเมื่อการเคาะราคาครั้งสุดท้ายจบลงดวงตาหลายคู่ของแขกผู้มีเกียรติภายในงานต่างก็สอดส่ายมองหาเจ้าของเสียงที่ยอมทุ่มเงินถึง 1000 ล้านวอน เพื่อเพชรเม็ดงามที่สวมอยู่บนลำคอระหงของนักร้องสาวคนสวย ก่อนที่เสียงฮือฮาที่ดังเซ่งแซ่นั้นจะเงียบลงทันทีพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่กำลังเดินขึ้นไปบนเวที

     

    หญิงสาวหน้าตาดีกับผมที่ปล่อยยาวสีเข้มในชุดสูทสีเทาอ่อนเข้ารูปดูสง่าและน่าเกรงขาม  ที่กำลังเดินขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับหญิงสาวสวยสองคนในชุดสูทเข้ารูปสีเข้มดึงดูดสายตาทุกคู่ของคนภายในงานได้เป็นอย่างดี

     การปรากฏตัวของบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนายท่านสูงสุดของตระกูลมาเฟียชื่อดังอย่างคิมแทยอนทำให้คนหลายคนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เหตุเพราะไม่บ่อยนักที่บุคลที่มีชื่อเสียงอย่างคิมแทยอนจะปรากฏตัวร่วมงานใดๆหากว่างานนั้นไม่ใช่งานที่สำคัญและไม่ใช่งานที่ใหญ่โตจริงๆ

    มาเฟียชื่อดังเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทีสบายๆหากแต่ยังคงรักษาไว้ซึ่งท่าทีที่สง่างามและถือตัว ดวงตาคมเข้มมองดูแขกเหรื่อภายในงานด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยก่อนจะหันมาสบและหยุดนิ่งกับดวงตาหวานของนักร้องสาวคนสวยซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล

     

     

    “อ…..อ่า ขอแสดงความยินดีกับคุณ คิมแทยอน ด้วยนะครับที่ได้เป็นผู้ครอบครองเพชรน้ำงามชิ้นนี้ไป ทาง I.J กรุ๊ปของเรารู้สึกเป็นเกียรติและยินดีมากที่คนดังอย่างคุณคิมแทยอนเข้าร่วมงานและให้เกียรติประมูลเพชรน้ำงามของบริษัทเราในครั้งนี้ และเพื่อเป็นการให้เกียรติและขอบคุณทาง I.J กรุ๊ปของเราขอเชิญคุณคิมแทยอนเป็นผู้ปลดเพชรชิ้นนี้ออกจากนางแบบกิติมาศักดิ์ของเราด้วยตัวคุณเองครับ”

     
     

    ……ห๊า อะไรนะเดี๋ยวก่อน  ถ้าเจสสิก้าฟังไม่ผิดไอ้พิธีกรคนนั้นมันบอกว่ายังไงนะให้ไอ้บ้ามาเฟียนั่นมาถอดเพชรออกจากคอของเธอด้วยตัวเองอย่างนั้นเรอะ


     ม่ายยยยยยย บ้าไปแล้วเป็นอย่างนี้ได้ยังไง   นักร้องสาวได้แต่กรีดร้องในใจ


    ทีคนอื่นหละมียัยป้าแก่ๆที่ไหนก็ไม่รู้มาถอดให้แล้วพอถึงตาเธอกลับให้ไอ้บ้านั่นมาถอดเอง

    แต่ถึงจะบ่นฉอดๆในใจไปอย่างนั้นร่างบางก็อดที่จะตื่นเต้นและตัวสั่นเล็กๆไม่ได้เห็นว่าใครบางคนกำลังขยับตัวใกล้เข้ามา

    .

    .

    .


    ดวงตาสองคู่สบกันและต่างคนต่างก็นิ่งค้างไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเป็นดวงตาหวานๆของนักร้องสาวคนสวยที่เสหลบไปทางอื่นซะก่อนด้วยความรู้สึกแปลกๆที่เจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจ

     

    เพียงแค่สบตา…..เพียงแค่อยู่ใกล้ และเพียงแค่จมูกได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ออกมาจากตัวของคนตรงหน้า  เพียงแค่เท่านั้นหัวใจดวงน้อยก็เต้นระรัวจนหญิงสาวกลัวว่าคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลจะได้ยิน

     

     

    อีกแล้วเจสสิก้าเธอเป็นแบบนี้อีกแล้ว นี่เธอกำลังเป็นอะไรไปเนี่ย?

     

     

    หรือว่าเธอกำลังจะเป็นโรคหัวใจ?  

     
     

    ไม่สิๆ พ่อก็ไม่ได้เป็นแม่ก็ไม่ได้เป็นปู่ย่าตายายลุงป้าน้าอาญาติพี่น้องก็ไม่มีใครเป็นแล้วเธอจะเป็นได้ยังไงคิดแล้วก็อดที่จะแปลกใจตัวเองไม่ได้    ไม่เป็นไรๆ อย่าพึ่งคิดมากเจสสิก้า เอาไว้เสร็จงานก่อนแล้วค่อยไปถามยัยพวกนั้นก็ได้ ดีไม่ดีจะได้ให้พวกนั้นไปเป็นเพื่อนเวลาที่เธอไปหาหมอซะเลย

     

    มัวแต่คิดอะไรเพลินๆจนนักร้องสาวไม่ได้รู้ตัวเลยว่าใครบางคนที่ทำให้หัวใจเต้นแรงกำลังยื่นหน้าใสๆนั้นเข้ามาใกล้ๆ  ร่างบางของนักร้องสาวสะดุ้งสุดตัวและตัวแข็งทื่อทันทีเมื่อพบว่าคนตรงหน้ากำลังเอื้อมมือไปปลดตะขอสร้อยคอที่อยู่ทางด้านหลังของตัวเธอ

     

    เพราะใบหน้าใสๆที่คลอเคลียอยู่ไม่ไกลจากลำคอขาวๆ และเพราะท่าทีที่หมิ่นเหม่คล้ายกับว่าเราทั้งเธอกำลังอยู่ในอ้อมกอดของเค้าอยู่…….ทำให้ใบหน้าสวยหวานของนักร้องสาวอดที่จะขึ้นสีแดงระเรื่อด้วยความเขินอายไม่ได้ 

     

    ก่อนที่ความเขินอายจะพุ่งไปถึงขีดสุดจนแทบจะเป็นลมเมื่อเจ้าของใบหน้าใสๆนั้นกระซิบบางอย่างที่ข้างหูเธอเบาๆให้ได้ยินเพียงแค่สองคนด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่กลับนุ่มทุ้ม



    คำพูดธรรมดาๆ แต่พาให้หัวใจเต้นแรง………….

     



     

    “เราพบกันอีกแล้วนะยัยบ้า  ไม่สิ……..จอง เจสสิก้า”

     

     

    TBC.






    TALK:



                 จริงๆไรท์เตอร์ก็คิดว่าจะไม่ลงฟิคเรื่องนี้ในเด็กดีอีกแล้วตามที่บอกไว้ในตอนที่ 2 ค่ะ แต่เพราะยังมีรีดเดอร์ที่คอยเม้นให้กันอยู่และต้องการอ่านฟิคเรื่องนี้ต่อจริงๆ ทำให้ไรท์มีกำลังใจที่จะลงต่อไป ยังไงก็ต้องขอขอบคุณรีดเดอร์ที่ยังคงเม้นให้กันเสมอนะคะ แต่ยังไงไรท์เตอร์ก็อยากให้รีดเดอร์คนอื่นๆคอมเม้นให้กันบ้างนะคะ (เพื่อที่ไรท์จะได้รู้ข้อติชม คำแนะนำ และความรู้สึกของรีดเดอร์ที่มีต่อฟิคเรื่องนี้    ไรท์จะได้นำไปปรับปรุงและแก้ไขต่อไป)  ยังไงอ่านแล้วก็คอมเม้นให้กันบ้างนะคะ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×