ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตรัก สัญญามาเฟีย (TaeNy x TaengSic)

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ค. 57


    Chapter 2

     

     

    “ห๊ะ!!  ยัยสิก้าหายไป”          

                       สองไอดอลสาวร้องดังลั่นห้องเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของลีดเดอร์สาวตัวเล็กที่จู่ๆก็วิ่งหน้าตื่นๆเข้าในห้อง

     
     

    “หายไปได้ยังไง คนทั้งคนนะแกไม่ใช่ลูกหมาลูกแมวที่ไหนจะได้หายกันง่ายๆ”    

                       ไอดอลสาวขาแดนซ์ประจำวงพูดพลางส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เพื่อนสาวตัวเล็กเล่าให้ฟัง

     
     

    “หายสิ หายจริงๆ อยู่ๆก็โดนใครก็ไม่รู้ลากติดมือวิ่งหายไปเฉยเลย”      

     

    คนตัวเล็กยังคงตอบเพื่อนด้วยสีหน้าตื่นๆอย่างตกใจไม่หาย  ก็จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงเธอยืนรออาหารที่กำลังเวฟอยู่ดีๆพอหันมาจะเรียกให้เพื่อนเข้ามาช่วยถือสักหน่อยกลับเห็นเพื่อนถูกใครก็ไม่รู้วิ่งลากไปด้วยเฉยเลย แล้วแถมกำลังจะวิ่งตามออกไปก็โดนผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ตั้งสี่ห้าคนวิ่งชนจนล้มหมดสภาพเกิลร์กรุ๊ปแห่งชาติเกาหลีเลยทีเดียว

     

    คำตอบของลีดเดอร์ตัวเล็กทำให้ซูยองและฮโยยอนนิ่งอึ้งอ้าปากค้างทันที เพื่อนหาย!!  โดนใครก็ไม่รู้ลากติดมือไป!! แล้วยัยบ้านั่นก็ยังบ้าจี้วิ่งไปกับเค้าอีก!!  โอ๊ยอยากจะบ้าตายแค่พวกเธอหิวข้าวแล้วลงไปหาซื้ออะไรแค่นี้แถมร้านก็ยังอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมอีก เพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเพื่อนสาวสุดสวยก็หายไปกับใครก็ไม่รู้

     
     

    ซูกับฮโยอยากจะบ้า



    “ทำไงดีอ่า ไอ้คนลากไปเป็นใครก็ไม่รู้รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ จะเป็นพวกแฟนคลับบ้าคลั่งรึป่าว หรือจะเป็นพวกแอนตี้หรือหรือโจรโรคจิตชอบลากสาวๆไปทำมิดีมิร้ายตอนดึกๆ หรือ……

    ไม่ทันที่ลีดเดอร์ตัวเล็กจะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดจบก็ต้องหยุดพูดซะก่อนเมื่อโดนสาวขาแดนซ์ยกมือขึ้นเบรกพร้อมกับพูดตัดบทด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจัง

     
     

    “พอเลยๆ ซันนี่ หยุดพูดหยุดคิด เพราะยิ่งเธอพูดยิ่งทำให้เราเครียด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาหาคำตอบว่าใครที่ลากยัยสิก้าไป แต่เราสิ่งที่เราต้องทำในตอนนี้คือไปหาพี่ชินยองที่ห้องซะก่อน”    

    พูดจบก็หันไปสบตาเพื่อนสาวสองคนที่พยักหน้ารับอย่างรัวๆด้วยความเห็นด้วยทันที


    .

    .

    .


    คิมชินยองเปิดระตูห้องพักด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นสาวๆในความดูแลสามคนยืนทำหน้าอึ้งอยู่ที่หน้าประตูห้อง ก่อนใบหน้าอวบๆจะขึ้นสีเมื่อเจ้าตัวนึกบางอย่างขึ้นมาได้ว่าตัวเองกำลังใส่ชุดนอนซีทรูสีชมพูแปร๋นบางเบา มือป้อมปิดประตูทันทีก่อนจะเปิดออกมาใหม่ภายในเวลาไม่ถึงนาทีด้วยสภาพที่ดูดีขึ้นมากว่าเดิมเพราะเสื้อคลุมตัวหนาที่คลุมอยู่รอบกาย

     
     

    “เอ้า ว่าไงหละยะมีอะไร มายืนทำหน้าสลอนกันที่หน้าห้องชั้นทำไมเนี่ย”    

                        พอตั้งสติกลบความอายได้วิญญาณผู้จัดการอันแรงกล้าก็เข้าสิงทันที  ให้สามสาวที่ยืนอึ้งๆอยู่ต้องมองหน้ากันตาปริบๆอย่างไม่ได้นัดหมาย

     
     

    “ค….คือ”

     
     

    “คืออะไร อ้ำอึ้งอยู่ได้ หรือพวกเธอหิว ก็แน่หละสิเล่นหลับเป็นตายจนไม่ได้ลงมากินข้าวเย็นกันนี่”     

                        คนมีอายุมากกว่าพูดขึ้นด้วยความขบขันเล็กๆก่อนจะทำหน้างงๆเมื่อสามสาวพากันส่ายหน้าปฏิเสธรัวๆ

     
     

    “ไม่หิว แล้วมีอะไรหละ?  อย่าบอกนะว่าพวกเธอไปก่อนเรื่องอะไรอีก”     

                        น้ำเสียงจริงจังพร้อมกับดวงตาตี่ๆของเจ้าตัวหรี่มองใบหน้าสวยๆของหญิงสาวทั้งสาวคนอย่างจับผิด


    สาวสาวที่ยืนออกันอยู่หน้าประตูกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอก่อนจะมองหน้ากันไปมาอย่างเกี่ยงกันว่าใครจะเป็นพูดเรื่องที่ เอ่อ….ไม่ค่อยน่ายินดีนี้ดี สุดท้ายผลก็มาตกที่ลีดเดอร์ตัวเล็กเมื่อศอกแหลมๆของคนรักร่างสูงของตัวเองกระทุ้งเข้าที่สีข้างน้อยๆ

     
     

    “เอ้าว่าไง ถ้าไม่มีอะไรก็กลับห้องไปนอนได้แล้ว รู้มั๊ยเนี่ยว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

    ผู้จัดการร่างท้วมเริ่มจะหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อเห็นสาวๆที่ยืนหน้าตื่นอยู่หน้าห้องไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที เอาแต่มองหน้ากันไปมาอยู่ได้เสียเวลานอนอุตส่าห์ฝันถึง Exo อปป้าอยู่แท้ๆ

     
     

    “ค….คือ ว่า เอ่อ คือว่า”

     
     

    “ว่า!!

     
     

    “ค คือว่าจู่ๆ ยัยสิก้าก็โดนใครก็ไม่รู้ลากติดมือไป แล้วตอนนี้ก็หายไปไหนก็ไม่รู้ อ่า”    

    ลีดเดอร์ตัวเล็กพูดขึ้นมาก่อนที่จะใช่นิ้วชี้ทั้งสองข้างของตัวเองจิ้มกันไปมาด้วยสีหน้าแหยๆ อย่างพยายามให้ดูน่ารัก  หากวิธีแอ๊บแบ๊วของตัวเองแต่คงจะไม่ได้ผลในเมื่อตอนนี้ใบหน้าบวมๆของผู้จัดการกำลังขึ้นสีพร้อมกับปากกว้างๆอ้าค้างอย่างคนที่ช๊อคไปแล้ว

     

     

    “อ..ออนนี่ๆ  ฟังอยู่รึป่าว ออนนี่   อ๊ะ!!”      

                        ซูยองใช้นิ้วเรียวเรียวของตัวเองจิ้มไปที่ต้นแขนอวบๆของผู้จัดการเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อจู่ๆผู้จัดการของตัวเองก็แหกปากร้องดังลั่นขึ้นมา

     
     

    “โอ๊ยยยย ออนนี่จะเสียงดังทำไมเล่าเดี๋ยวเค้าก็ตื่นกันทั้งโรงแรมหรอก”  

                       หากแต่คำพูดประท้วงเบาๆของคิมฮโยยอนไม่เป็นผลเมื่อตอนนี้ผู้จัดการสาวร่างท้วมกำลังจะกลายร่างเป็นนางยักษ์ขมูขีให้สามสาวต้องต้องหัวหดด้วยความหวาดกลัว

     

     

    “เข้าห้องเดี๋ยวนี้ แล้วเล่าให้ชั้นฟังใหม่ซิ ยัยสิก้า อะ-ไร-ยัง-ไง-นะ”      

                        คำพูดสุดท้ายเน้นย้ำเสียงเข้มให้คนฟังต้องหน้าเหยเกด้วยความกลัว


       เรื่องราวทั้งหมดถูกถ่ายทอดผู้จัดการวงได้ฟังอีกครั้งจากปากของลีดเดอร์สาวตัวเล็ก หากแต่คราวนี้ปฏิกิริยากลับแตกต่างกัน  เพราะแทนที่คิมชินยองจะแหกปากโวยวายลั่นห้องเหมือนกับเพื่อนๆของเธอแต่กลับไม่เป็นเพราะทันทีที่พูดจบผู้จัดการสาวร่างท้วมก็ตาค้างหงายหลังลงไปเลย ให้พวกเธอทั้งสาวคนต้องตกใจอ้าปากค้างไปตามๆกัน

    .

    .

    .

    กว่าคนที่สลบไปจะฟื้นขึ้นมาก็เกือบครึ่งชั่วโมง หญิงสาวสามคนที่ได้แต่นั่งมองหน้ากันเงียบๆอยู่ในห้องรีบกรูกันเข้ามาล้อมรอบเตียงทันทีที่ผู้เป็นที่พึ่งสุดท้ายลืมตาขึ้นมา

    คิมชินยองมองใบหน้าของคนสามคนรอบเตียงสลับไปมาก่อนเรื่องราวสุดท้ายที่ได้ฟังจะผุดขึ้นมาในความทรงจำ  ร่างอวบๆเด้งขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วให้คนที่นั่งรายรอบอยู่ต้องสะดุ้งอย่างตกใจ

     
     

    “นั่นออนนี่จะไปไหนหนะ ออนนี่ๆ”

                        มือเรียวสามคู่ฉุดดึงรั้งคนที่จู่ๆก็ลุกขึ้นและทำท่าจะไปไหนก็ไม่รู้โดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลยทันที ก่อนร่างบางของทั้งสามคนจะออกแรงดึงคนที่ตัวใหญ่กว่าให้นั่งลงบนเตียงอีกครั้ง

     
     

    “นี่  ออนนี่ จะไปไหนคุยกันก่อน”

     
     

    “ไปตามหายัยสิก้าสิถามได้ โอ๊ยยยตายๆๆๆ มันเกิดเรื่องแบบนนี้ขึ้นได้ยังไงกันเนี่ย ชั้นอยากจะบ้า”     

                        ร่างท้วมหันมาตอบศิลปินในความดูแลของตัวเองก่อนจะทึ้งหัวตัวเองไปมาอย่างคนสติแตก กว่าจะรวบรวมสติกลับมาได้ก็กินเวลาหลายนาทีคิมชินยองถอนหายใจยาวๆอย่างตั้งสติอีกครั้งก่อนจะไล่มองไปยังใบหน้าของสามสาวที่อยู่ตรงหน้าทีละคนๆ

     

     

    “สรุป ยัยสิก้าถูกใครก็ไม่รู้ ลากไป”     

                      ทันทีที่พูดจบใบหน้างามๆของหญิงสาวทั้งสามคนก็พยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียงกันทันที

     

     

    “แล้วยัยนั่นก็บ้าจี้วิ่งตามเค้าไป”      เป็นอีกครั้งใบหน้างามๆของคนทั้งสามพยักหน้ารับพร้อมกัน

     

     

    “และตอนนี้ ก็หายไปไหนไม่รู้ หาตัวไม่เจอ”   

     
     

     ทันทีที่ปฏิกิริยาของสามคนตรงหน้าตอบกับมาเหมือนเดิมคิมชินยองแทบอยากจะเป็นลมไปอีกรอบทันที   นักร้องสาวชื่อดังถูกใครก็ไม่รู้ลากไป แล้วป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้  โฮ๊ยยยยยยยยยยอยากจะร้องไห้ออกมาให้น้ำตาเป็นสายเลือด

     
     

    “ล….แล้วเราจะทำยังกันดีอ่าออนนี่”      

     

    แล้วก็เป็นเสียงหงอยของลีดเดอร์สาวตัวเล็กที่ดังขึ้นมา คนที่สติหลุดไปแล้วรวบรวมสติกลับคืนมาพร้อมกับเปลี่ยนท่าทางให้เคร่งขรึมขึ้นมาทันทีทันที  ถึงแม้อยากจะบ้าตายหรืออยากจะกรีดร้องแค่ไหนแต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือตั้งสติและเป็นที่พึ่งให้กับทุกคน 

     

     

    “แล้วสิก้าได้เอามือถือออกไปรึป่าว มีใครลองโทรหายัยนั่นรึยัง”     

                        น้ำเสียงนิ่งๆถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งอย่างคนที่เริ่มควบคุมตัวเองได้

     

     

    “ลองโทรแล้วค่ะ แต่ว่า….สิก้าไม่ได้เอามือถือไปด้วย”   

                        คิมชินยองแทบอยากจะโขกหัวตัวเองกับกำแพงทันทีเมื่อได้ยินคำตอบที่ได้รับ  หายไปแล้วยังไม่ได้เอามือถือออกไปอีกแล้วจะหายังไงกันหละทีนี้

     

     

    “หรือว่าเรา จะลองออกตามหากันดี เผื่อยัยนั่นจะอยู่แถวๆนี้”      

                       คำพูดของฮโยยอนทำให้ผู้จัดการร่างท้วมฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ทันที ก่อนจะร้องลั่นด้วยความตกใจ 

     

     

    “ซันนี่!!!   เธอบอกว่ายัยสิก้าถูกฉุดไป แล้วป่านนี้จะเป็นยังบ้างหละ ไม่ใช่โดนทำมิดีมิร้ายไปแล้วเรอะ!!  แล้วพวกเธอยังมานั่งใจเย็นเฝ้าชั้นสลบไปเนี่ยนะ โอ๊ยยยยยยยยย”

     

    อาการสติหลุดของผู้จัดการทำให้สาวๆต้องมองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะช่วยกันเบรกผู้จัดการร่างท้วมด้วยข้อเท็จจริงที่เล่ายังไม่หมดทันที

     

     

    “เดี๋ยวออนนี่ใจเย็นก่อน  ซันนี่บอกว่าคนที่ลากยัยสิก้าไปเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนนึง”  

     
     

    “ผู้หญิงตัวเล็ก?”      

                       ทวนคำถามอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจอย่างเบาใจขึ้นมาเปราะหนึ่งเมื่อลีดเดอร์ของวงพยักหน้ารับ  อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ผู้ชายหละนะ

     
     

    “แล้วตกลงเอาไงดีหละออนนี่”      

                       คำถามร้อนรนทำให้ผู้จัดการสาวร่างท้วมต้องนิ่งอย่างใช้ความคิดคงจะมีอยู่แค่ทางเดียวเท่านั้นที่พวกเธอทั้งหมดจะทำได้ในตอนนี้คือออกไปช่วยกันตามหาเท่าที่จะทำได้ และที่สำคัญเรื่องนี้คงจะขอความช่วยเหลือจากทีมงานคนอื่นๆไม่ได้แน่ๆ เพราะหากยิ่งมีคนรู้มากเท่าไหร่ยิ่งจะเป็นปัญหามากขึ้นเท่านั้น

     

     

    “ไปช่วยกันตามหา เท่าที่เราจะทำได้”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     
     

    “พี่แท ตกลงจะให้ผู้หญิงนอนที่ไหนอ่า ยุนหนักแล้วนะ”

     

    ทันที่ประตูเพนท์เฮาส์สุดหรูปิดลงร่างสูงโปร่งของอิมยุนอาก็เอ่ยถามผู้เป็นเจ้านายด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบจะไม่ให้เหนื่อยได้ยังไงก็เธอเล่นเป็นคนอุ้มผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ตั้งแต่ลงรถจนมาถึงในเพนท์เฮาส์นี่  อย่าได้ถามว่าทำไมถึงต้องเป็นหน้าที่ของเธอหนะหรอ

    ก็เพราะพี่ยูริต้องไปอยู่จัดการซากที่นอนตายเกลือนอยู่ตรงนั้นหนะสิ…..ส่วนอีกคนอย่าได้พูดถึง……คนหวงเนื้อหวงตัวอย่างพี่แทยอนไม่ยอมสัมผัสใครและไม่ยอมให้ใครสัมผัสตัวได้ง่ายๆหรอก  ถึงแม้ว่าเธอจะแปลกใจนิดๆเมื่อเห็นพี่แทจับมือผู้หญิงคนนี้ในตอนแรกก็เถอะแต่ก็แค่นั้นแหละ พี่แทอาจจะทำไปเพราะสถานการณ์บังคับก็ได้

     

    ดวงตาคมเข้มเหลือบมองหญิงสาวที่รุ่นน้องคนสนิทอุ้มอยู่อีกครั้ง  จะว่าไปก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ผู้หญิงบ้าหน้าตาจัดว่า เอ่อ…..สวย คนนี้เป็นใครก็ไม่รู้จู่ๆก็ไปคว้าติดมือมาจนได้แถมยังต้องหอบหิ้วกันกลับมาถึงที่นี่อีก คิดแล้วมาเฟียอย่างคิมแทยอนก็ต้องถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ



                       หาเรื่องยุ่งให้กับตัวเองแท้ๆ



    ดวงตาคมเหลือบมองใบหน้าหวานๆนั้นอีกครั้ง


    อะไรบางอย่างลึกๆกำลังบอกให้รู้ว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป……ชีวิตปกติของเค้าจะไม่เหมือนเดิมเพราะผู้หญิงที่กำลังสลบคอพับคออ่อนคนนี้

     

     

    “ให้เธอนอนห้องรับแขกสักห้องมั๊ยพี่แท ยังไงมันก็ว่างอยู่แล้ว”    

                       เสียงของรุ่นน้องคนสนิทที่ดังขึ้นเรียกสติคนที่กำลังเหม่อลอยให้มีสติคืนมา


    ดวงตาคมเข้มเหลือบมองใบหน้าสวยๆที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอีกครั้งก่อนที่ริมฝีปากบางสวยจะกระตุกยิ้มเล็กๆและเอ่ยคำพูดให้คนฟังต้องอ้าปากค้าง

     

     

    “ไม่  เอาผู้หญิงคนนี้ไปวางไว้ที่โซฟานั่นแหละ ห้องรับแขกมันหรูเกินไปสำหรับคนบ้าอย่างยัยนี่”

    .

    .

    .

    เวลาเกือบจะรุ่งสางแล้วหากแต่บุคคลสามคนยังคงปรึกษาหารือถึงที่พึ่งเกิดขึ้นในห้องทำงานหรูอย่างเคร่งเครียด ริมฝีปากบางของผู้เป็นนายกระตุกยิ้มเล็กๆเมื่อได้ข้อสรุปว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นฝีมือของใคร รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้เป็นนายทำให้รุ่นน้องคนสนิทอดที่จะถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจไม่ได้ ทั้งๆที่พึ่งผ่านเรื่องราวเกือบตายมาแต่พอรู้ว่าเป็นฝีมือของใครนายของเธอกลับยกยิ้มซะนี่

     
     

    “พี่แท ยุนถามจริงๆเถอะพี่ยิ้มทำไมอะทั้งๆที่พี่ก็เกือบตาย”    

                       คำถามของรุ่นน้องคนสนิททำให้คิมแทยอนต้องยกยิ้มอีกครั้งและคราวนี้กลับยิ้มกว้างกว่าเดิม และมันคงจะดีกว่านี้ถ้ารอยยิ้มนั้นไม่ทำให้คนมองรู้สึกถึงความน่ากลัวเย็นๆที่แผ่ออกมา

     

     

    “ทำไมชั้นถึงยิ้มหนะหรือ”      น้ำเสียงนิ่งๆถูกส่องออกมาทั้งๆที่ริมฝีปากยังคงแย้มยิ้ม

     
     

    “ก็เพราะ…..”    

                        น้ำเสียงขาดช่วงไปเล็กน้อยหากแต่ไม่นานคนพูดก็เอ่ยให้จบประโยคด้วยน้ำเสียงนิ่งๆเช่นเคย 


                       “ชั้นไม่ตายหนะสิยุนอา
    …..และ….การที่ชั้นยังไม่ตายมันคงกำลังทำให้ใครบางคนแทบคลั่ง…..จนควบคุมตัวเองไม่อยู่แล้วละมั๊งตอนนี้”   

                       น้ำเสียงสุดท้ายแผ่รังสีความเยือกเย็นออกมาให้คนฟังต้องรู้สึกขนลุก

     
     

    คงจะจริงอย่างที่ผู้เป็นนายว่า ป่านนี้ตัวการของเรื่องทั้งหมดคงกำลังคับแค้นใจจนแทบคลั่งที่ทำอะไรแทยอนไม่ได้เหมือนเคยแล้วแถมยังต้องสูญเสียคู่ค้าอาวุธที่สำคัญไปอีก แค่นี้ก็คงทำให้ หลางซื่อหมิน คับแค้นจนแทบจะอกแตกตายไปแล้วหละมั๊ง คิดแล้วยุนอาก็อดที่จะยกยิ้มตามผู้เป็นนายไม่ได้ไม่ต้องส่งคนไปถล่มแค่อยู่เฉยๆก็ทำให้ศัตรูอกแตกตายได้

     
     

    “แต่ถึงยังไงก็ต้องระวังตัวไว้หน่อยนะแทยอน ชั้นว่าพวกมันไม่ยอมหยุดแน่ๆ”     

                        คำเตือนของเพื่อนสนิททำให้คนตัวเล็กต้องยกยิ้ม

     
     

    “มันไม่มีทางหยุดอยู่แล้วหละยูริ จนกว่า……”    

                       น้ำเสียงเย็นๆยังคงถูกส่งออกมาอีกครั้งก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มออกมา รอยยิ้ม
    …..ที่ไม่ว่าใครที่เห็นก็ต้องรู้สึกหวั่นเกรง

     

     

    …….ใครสักคนจะต้องตาย”

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     
     

    เฮือก!!!  โอ๊ยยยยยย

     
     

    ร่างบอบบางของคนที่นอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาสะดุ้งสุดตัวก่อนจะตามมาด้วยเสียงร้องดังลั่นเมื่อเจ้าตัวเกิดสะดุ้งแรงไปหน่อยจนพลิกตัวจนตกจากโซฟา  ดวงตาหวานปรือขึ้นเล็กน้อยอย่างงัวเงียก่อนจะพยายามปีนป่ายกลับขึ้นไปนอนยังที่ๆตัวเองตกลงมาอีกครั้งพร้อมกับปิดตาลง อย่างง่วงงุน    หากแต่เพียงไม่ถึงสิบวินาทีดวงตาหวานก็ลืมขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็วและคราวนี้กลับเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อแสงสว่างที่สาดสองเข้ามาทำให้มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ที่ๆไม่คุ้นเคย ห้องที่ไม่คุ้นชินไม่ใช่โรงแรมที่เธอพักอยู่

     
     

    ที่นี่ที่ไหนหนะ!!   แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!!     นักร้องสาวได้แต่ถามตัวเองซ้ำๆก่อนจะพยายามนึกถึงเรื่องบางอย่างอยู่ในใจ

     
     

    ถ่ายหนังเสียงปืนคนตาย?.......คนตาย?.......คนตาย?   ตายจริงๆไม่ใช่ตายปลอมๆ สมองไหลเลย

     
     

    ริมฝีปากบางค่อยๆอ้าค้างน้อยๆหลังจากที่สมองเริ่มจดจำเหตุการณ์ทุกอย่างได้ภาพที่ไม่ควรเห็นยังคงติดตา ไม่น่าอยากรู้อยากเห็นก้มลงไปดูเลยจองเจสหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ  แล้วนี่เธออยู่ไหนละเนี่ย หรือว่า

     

    ชั้นจะโดนจับตัวมาเรียกค่าไถ่……หรือว่า หรือว่า จะโดนจับมาฆ่าปิดปาก ใช่แน่ต้องใช่แน่ๆ ในเมื่อเธอเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและก็เห็นหน้าพวกมันแล้ว ยัยผู้หญิงตัวเล็กๆขาวๆ หน้าตาดีๆ เท่ๆ  เฮ้ย!! ไม่ๆสิก้าอย่าไปชมมัน มันจะฆ่าเธอนะ

     

     

    “ม่ายยยยยยยยยยยยยยย”     



                        คิดแล้วก็กรีดร้องขึ้นมาชีวิตเธอกำลังสดใสใครๆก็รุมล้อมแฟนก็ยังไม่มีแถมยังไม่ได้แต่งงานอีก เธอจะต้องมาตายโดยที่ไม่มีใครรู้ที่นี่ได้ยังไงคิดแล้วก็อยากจะร้องไห้

     
     

    “นี่!! จะแหกปากร้องอีกนานมั๊ย”       

     

     

     น้ำเสียงนิ่งๆเย็นๆกึ่งโมโหที่ดังขึ้นมาทำให้คนที่กำลังแหกปากร้องไห้ฟูมฟายต้องหยุดร้องทันทีมือบางปัดผมเผ้าที่รุงรังปิดบังใบหน้าออกก่อนจะมองไปรอบๆเพื่อหาต้นตอของเสียงที่ได้ยิน

      ดวงตาหวานเบิกกว้างทันทีเมื่อพบบุคคลหน้าตาดีสามคนนั่งอยู่ที่โต๊ะซึ่งน่าจะเป็นโต๊ะอาหารซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล   ดวงตาที่เบิกโพลงค่อยๆจับจ้องไปที่ใบหน้าของคนทั้งสามทีละคนๆ  คนแรกผิวเข้มหน้าคมสวยแต่ดูนิ่งๆ เฉยๆ น่ากลัว   คนที่สองสวยไม่ต่างจากคนแรกและหน้าตาดูคล้ายๆกันแต่ขาวกว่าคนนี้น่าจะใจดีเพราะเธอคนนั้นกำลังฉีกยิ้มกว้างส่งมา ส่วนคนสุดท้าย…….คนสุดท้ายใบหน้าใสๆ ขาวๆ ดูดีไม่รู้จะเรียกว่าหล่อหรือสวยดี ไม่สิๆ เธอจำยัยนี่ได้ดี ทันที่เห็นใบหน้าคนสุดท้ายนักร้องสาวก็ร้องลั่นขึ้นมาทันที

     

    “ย๊าส์!!!    ยัยบ้าฆาตกร”      

                       คำเรียกไม่ใช่สิคำแรกที่ยัยผู้หญิงบ้าเอ่ยทักทายขึ้นมาทำให้คิ้วบางๆของคนถูกทักและชี้หน้ากระตุกเล็กน้อย ผิดกับอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเมื่อได้ยินก็หัวเราะพรืดออกมาทันทีไม่เว้นแม้แต่คนเคร่งขรึมอย่างควอนยูริก็ยังต้องหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้กำลังชี้หน้าด่าเจ้านายของตัวเองไม่ใช่บ้าอย่างเดียวแถมยังเป็นฆาตกรอีกต่างหาก

     

     

    “ยัยบ้าฆาตกรรึ”       

                        น้ำเสียงเย็นๆถูกส่งออกมาทันที ไม่เคยมีใครเรียกเค้าแบบนี้และไม่เคยมีใครชี้หน้าเค้าแบบนี้เช่นกันแล้วยัยผู้หญิงบ้านี่เป็นใครตื่นมาก็ชี้หน้าด่าเธอทันที

     
     

    ฮึ!!  สงสัยยัยนี่อยากตายจริงๆ

     
     

    “พวกแกจับชั้นมาทำไมจะฆ่าปิดปากรึไง ชชั้นเป็นไอดอลนะแถมยังเป็นนางฟ้าแห่งชาติด้วยพวกแกฆ่าชั้นไม่ได้นะ นะ  นะ  นะ   อย่าฆ่าชั้นเลยนะ ชั้นขอร้อง ฮือ”       

     

    จากที่ทำปากเก่งโวยวายตอนแรกสุดท้ายก็ต้องมานั่งปาดน้ำตาป้อยๆขอร้องคนที่ตัวเองชี้หน้าด่าป่าวๆเมื่อเห็นใบหน้าใสๆนั้นเกิดบึ้งตึงทำท่าจะเอาจริงขึ้นมา  เธอลืมไปเลยว่าคนที่เธอพึ่งด่าไปคือคนที่ยิงผู้ชายที่วิ่งตามเธอพวกนั้นตายอย่างหน้าตาเฉย และถ้าเธอเดาไม่ผิดผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆคงจะเป็นคนจัดการพวกที่นอนเกลื่อนกลาดอะไรๆไหลออกมาแน่ๆเลย

     

    ท่าทางตลกๆหมดสภาพนักร้องสาวแสนสวยทำให้คนที่มองอยู่ต้องหัวเราะออกมาดังๆ ไม่เว้นแม้แต่คนที่นั่งหน้าตายยังเผลอกระตุกยิ้มเล็กๆ ก่อนคนหน้านิ่งจะรู้สึกตัวแล้วรีบหุบยิ้มกลับมาปั้นหน้านิ่งเหมือนเดิมทันที

     
     

    ฮึ!!  ไอดอลหรือ ไอดอลอะไรผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอย่างกับคนบ้าแล้วยังไอ้เสื้อโค๊ดตัวหนาสีหวานๆที่มีคราบโกโก้หกใส่เป็นดวงๆนั่นอีก ใครเชื่อยัยนี่ก็บ้าแล้ว

     

     

    “นี่เธอ ไม่มีใครเค้าจะฆ่าเธอหรอกนะเลิกร้องได้แล้ว”    

                        น้ำเสียงสบายๆแต่ยังคงกลั้วหัวเราะถูกส่งออกมาจากหญิงสาวสวยผิวขาวคนที่ส่งยิ้มกว้างให้เธอ



    นักร้องสาวคนสวยหยุดร้องไห้ทันทีก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามคนที่ยังหัวเราะอยู่อีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆและถามย้ำๆอีกครั้งเมื่อคนหน้าสวยพยักหน้ายิ้มๆ

     
     

    “มไม่ฆ่าชั้นจริงๆนะ พูดจริงๆนะ”   

     
     

    “ฮึ ยัยบ้า เธอนี่คงจะบ้าจริงๆสินะ”    

                        แล้วก็เป็นคนหน้าตายที่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวหากแต่ขัดหูคนฟัง โดยเฉพาะคนฟังอย่างเจสสิก้าจอง

     

     

    “ฮึ้ย เธอหนะสิบ้าๆๆๆ ทำให้ชั้นต้องมาเจอเรื่องบ้าๆ”      เ

                        มื่อได้ยินน้ำเสียงและคำเรียกที่ขัดหูก็ทำต่อมไม่ยอมใครที่มีอยู่เต็มร้อยของไอดอลสาวทำงานขึ้นทันที ตอนแรกก็กลัวอยู่หรอกแต่พอเค้าบอกว่าจะไม่ฆ่าก็ทำเก่งทันที

     
     

     คนอะไรก็ไม่รู้หน้าตาก็ดีแต่ขี้เก๊กน่าโมโหชะมัดชาตินี้เคยยิ้มกับเค้าบ้างรึป่าวก็ไม่รู้ใครได้เป็นแฟนคงอกแตกตาย

     
     

    ริมฝีปากบางของคนที่ถูกแอบด่าว่าขี้เก็กกระตุกเล็กน้อยก่อนจะยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มด้วยท่าทางที่คนมองอยู่เห็นแล้วอยากจะเบ้หน้าใส่ด้วยความหมั่นไส้

     
     

    คนบ้าอะไร แค่กินกาแฟยังต้องเก๊ก

     
     

    คนคิ้วบางหน้าขาวหรี่ตามองผู้หญิงที่ยืนจ้องหน้าตัวเองเล็กน้อยอย่างรู้ทันก่อนจะเอ่ยคำพูดนิ่งๆสบายๆหากแต่ทำให้คนฟังต้องอึ้งด้วยความตกใจ

     

     

    “นี่ยัยบ้า ชั้นรู้นะว่าเธอกำลังนินทาชั้นในใจอยู่  เลิกคิดซะ ถ้า-ยัง-ไม่-อยากตาย

     

    พูดจบก็หันไปดื่มกาแฟในแก้วต่ออย่างไม่สนใจคนที่กำลังฮึดฮัดอย่างขัดใจ แต่นักร้องสาวก็ทำได้เพียงเท่านั้นก่อนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อคนที่พึ่งขู่ว่าจะฆ่าเธอจู่ๆก็ลุกขึ้นมา  มือบางกำหมัดพร้อมกับตั้งการ์ดอย่างเงอะงะแบบเตรียมป้องกันตัวทันทีที่คนตัวเล็กๆนั่นพุ่งเข้ามา หากแต่นักร้องสาวสุดสวยก็ต้องนิ่งค้างและหน้าแตกยับเมื่อคนที่กำลังเดินเข้ามากลับเดินผ่านเธอไปเฉยเลยอย่างไม่สนใจ แต่อะไรก็ไม่สามารถทำให้เจสสิก้าจองรู้สึกหน้าเสียและอับอายได้เท่ากับ

     

    ไอ้ริมฝีปากบางๆบนใบหน้าขาวๆนั่นกำลังกระตุกยิ้มให้เธออย่างสมเพชเวทนาพร้อมกับกระซิบเอ่ยคำพูดเบาๆให้คนได้ยินต้องอ้าปากค้างและหน้าขึ้นสีไม่รู้ว่าด้วยความโกรธหรือเป็นเพราะเจ้าตัวกำลัง……อับอาย

     

     

    “ฮึ!!  ชั้นไม่ฆ่าเธอหรอกยัยบ้า…..แต่ถ้า ทำอย่างอื่นละก็ ไม่-แน่

     

    ……………!!!"

     
     

    “ยย๊าส์ๆๆๆ ไอ้บ้าไอ้เตี้ย ไอ้ๆๆ กลับมาเดี๋ยวนี้นะ ฮึ่ยๆๆๆ พูดบ้าอะไรเนี่ย ไอ้บ้า ไอ้ลามก ไอ้โรคจิต ย๊าส์”        กว่านักร้องสาวจะหาเสียงตัวเองเจอได้คนถูกด่าก็หัวเราะหึๆเดินเข้าห้องหายไปซะแล้ว

    .

    .

    .

    .

     

    เงียบสนิทและน่าอึดอัดเป็นที่สุด…..เจสสิก้าได้แต่นั่งนิ่งและมองหน้าหญิงชราที่ดูน่าจะเป็นเมดคนเดียวของบ้านด้วยใบหน้าแหยๆ  เกือบสามชั่วโมงแล้วที่ผู้หญิงน่ากลัวสามคนนั้นหายเงียบเข้าไปในห้องซึ่งนักร้องสาวคิดเอาเองว่าน่าจะเป็นห้องทำงานแล้วปล่อยทิ้งให้เธอนั่งโดดเดียวเคว้งคว้างอยู่คนเดียวในห้องรับแขกหรูนาดใหญ่  อ่อ!! จะว่าคนเดียวก็ไม่ได้สิเพราะมีเมดแก่ๆท่าทางใจดีคนนี้นั่งอยู่ด้วยอีกคน และบรรยากาศมันคงจะดีกว่านี้ถ้าคุณยายคนนั้นไม่มานั่งจ้องหน้าและส่งยิ้มให้เธอ…..เฮ้อ เจสสิก้าอยากจะบ้าตายถามอะไรไปคุณยายก็ไม่เคยตอบเอาแต่ส่ายหน้ายิ้มๆอย่างเดียว

     

    น่าเบื่อๆๆๆๆๆ หญิงสาวได้แต่คิดในใจ ทำอะไรก็ไม่ได้เดินไปไหนก็ไม่ได้ขยับตัวทีคุณยายนี่ก็ขยับตามทันที โอ๊ยยยยยย อยากจะบ้าตาย ถ้าจะจับเธอมาแล้วปล่อยให้เธอมานั่งๆนอนแบบนี้หละก็ ปล่อยเธอกลับไปเถอะ  อย่างน้อยๆเธอจะได้ไปนั่นไปนี่กับพวกเพื่อนๆให้สมกับที่อดทนทำงานอย่างบ้าพลังตั้งสองสามวัน

    พูดถึงเพื่อนๆดวงตาหวานก็เบิกกว้างทันทีป่านนี้พวกนั้นจะรู้รึยังว่าเธอหายไป แล้วจะออกตามหากันรึป่าวหรือเป็นข่าวใหญ่ไปแล้วหรือยัง นักร้องสาวไอดอลสุดสวยหายไปทั้งคนคงเป็นเรื่องใหญ่วุ่นวายแน่ๆ

     

    ทำไงดีสิก้า คิดสิๆ  หรือจะไปเคาะประตูห้องแล้วทำท่าหน้าตาหน้าสงสารออดอ้อนให้เค้าเห็นใจแล้วปล่อยไปดีหละ แต่หน้าโหดๆอย่างยัยเตี้ยนั่นจะเห็นใจเธอหรอดีไม่ดีอาจโดนยัยบ้าโรคจิตลามกนั่นทำมิดีมิร้ายเหมือนที่มันพูดจริงๆ  โฮ้ววววว คิดแล้วก็อยากจะร้องไห้

    ใบหน้าหวานกำลังจะร้องไห้ออกมาจริงแต่ก็ต้องหยุดไว้ก่อนเมื่อประตูที่ปิดเงียบไปตั้งสามชั่วโมงจู่ๆก็เปิดออกมาพร้อมกับหญิงสาวหน้าสวยคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับส่งยิ้มอย่างใจดี

    .

    .

    .

    .

    ดวงตาหวานของนักร้องสาวมองใบหน้าสวยที่กำลังส่งยิ้มอย่างอารมณ์ดีด้วยความแปลกใจ จะไม่ให้นักร้องสาวแปลกใจได้ยังไงในเมื่อจู่ๆผู้หญิงน่าสวยคนนี้ก็เดินส่งยิ้มเข้ามาหา

     

    “คุณชื่ออะไรอะ?   คำถามสั้นๆที่น่าจะเข้าใจง่ายแต่คนฟังกลับขมวดคิ้วอย่างงงๆ

     
     

    “จ….จองเจสสิก้า ถถามทำไม?

                                                    

    “โอ๊ะจำชื่อตัวเองได้  งั้นคุณก็ไม่ใช่คนบ้าอย่างที่พี่แทบอกสินะ”   

     

    หือคนบ้านักร้องสาวเลิกคิ้วด้วยความงุนงงเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากค้าเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้   คนบ้า!!   ยัยเตี้ยขี้เก๊กโรคจิตนั่นเรียกไอดอลสาวสวยที่ใครๆต่างก็ยกให้เป็นเจ้าหญิงของวงการว่าคนบ้า แถมยังบอกคนอื่นอีกว่าเธอบ้า  โอ๊ยยยยย เจสสิก้าอยากจะกรี๊ด อย่าโผล่หน้าออกมาจากห้องนะแม่จะข่วนให้หน้าใสๆนั่นลายจนเป็นรอยเลย ฮึ่ย!!

     

     

    “เอ้าคุณเป็นไรรึป่าวอะ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นหละ”    

                        ยุนอาถามขึ้นอย่างงงๆเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าทำท่าเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกับโกรธแค้นใคร

     
     

    “ป่าว!!  แล้วพวกคุณมีไรหละ แล้วจับชั้นมาไว้ที่นี่ทำไม”     

                        คำตอบและคำถามห้วนๆสั้นๆทำให้คนฟังต้องหัวเราะน้อยๆด้วยความตลกขบขัน

     
     

    “จับหรอไม่มีใครจับคุณซะหน่อยก็เมื่อคืนคุณหนะสลบไปแล้วเราก็ไม่รู้ว่าจะไปส่งที่ไหนพี่แทก็เลยบอกให้พากลับมาที่นี่

     
     

    พี่แทว่าแต่ไอ้เตี้ยโรคจิตนั่นชื่อแทหรอ แทอะไร แทแท แทแท้ หรือแทเฉยๆ   โอ๊ยแล้วเธอจะสนใจทำไม คิดแล้วก็สะบัดหัวแรงๆอยู่คนเดียวแต่จะชื่ออะไรก็ช่างเถอะอย่างน้อยๆ ยัยบ้านั่นก็เป็นคนดีเหมือนกันแฮะ  นึกว่าจะทิ้งให้เธอเป็นลมล้มพับอยู่กับพวกผู้ชายพวกนั้นแล้วชิ่งหนีไปซะอีก  

    หากแต่นักร้องสาวนึกชมคนที่ถูกด่าว่าเป็นโรคจิตได้ไม่ทันไรก็แทบจะถอนคำพูดคืนแทบไม่ทันเมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากหญิงสาวอารมณ์ดีตรงหน้า

     

     

    “อ้อ แล้วความจริงต้องขอโทษคุณด้วยจริงๆนะที่ต้องให้นอนที่โซฟา  พอดีพี่แทบอกว่าห้องรับแขกมันหรูเกินสำหรับคนบ้าอย่างคุณหนะ   เนี่ยถ้าชั้นรู้ว่าคุณไม่ได้บ้านะชั้นคงขอพี่แทให้คุณได้นอนในห้องรับแขกสบายๆไปแล้ว 5555555

     
     

    ………………….”   

                      ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ อึ้งค่ะอึ้ง เป็นคนบ้าแล้วยังต้องมานอนหลังขดหลังแข็งที่โซฟาอีก โอ๊ยยยยยย เจสสิก้าอยากจะกรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด

     
     

    “อ้อจริงสิ มัวแต่คุยกับคุณเพลินๆลืมไปเลยว่าพี่แทฝากให้มาบอกคุณว่า ให้คุณเตรียมตัวได้แล้ว อีกเดี๋ยวเราจะไปส่งคุณ^^  ”  

     
     

    …………………….”     อึ้งรอบสองค่ะ ไม่มีอะไรจะพูดทีเรื่องสำคัญยัยผู้หญิงอารมณ์ดีคนนี้กลับลืมแล้วแถมยังมาชวนเธอพูดคุยเรื่องบ้าๆอยู่ได้ เหอะ


    .

    .

    .

    .


    อีกเดี๋ยว!!  ในความคิดของคนทั่วไปอาจจะเป็นเวลาไม่นานแต่นี่ชั่วโมงกว่าเข้าไปแล้วที่ผู้หญิงคนนั้นเดินมาบอกให้เธอเตรียมตัวชั่วโมงกว่าที่หญิงสาวต้องนั่งรอ  เดี๋ยวบ้าเดี๋ยวบออะไรคิดแล้วก็ให้หงุดหงิดขึ้นมาคอยดูนะออกมาเมื่อไหร่แม่จะด่าให้หูดับเลยนักร้องสาวได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่คนเดียว ไม่สิ!!  สองคนกับคุณยายแม่บ้านแก่ๆที่ยังคงนั่งอยู่อีกคน

     

    เสียงประตูที่เปิดเบาๆทำให้คนที่นั่งอารมณ์เสียอยู่ต้องหันไปมอง ใบหน้าเหวี่ยงๆและคำพูดแรงๆที่เตรียมจะหลุดออกมานิ่งค้างอึ้งไปทันทีเมื่อดวงตาหวานๆหันไปพบกับใครบางคนที่กำลังเดินออกมาด้วยท่าทางนิ่งๆหากแต่ดึงดูดสายตา

     
     

    คนตัวเล็กแลดูบอบบางแต่กลับดูมีอำนาจและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกันในชุดสูทสีดำสนิทเข้ารูปดูเรียบหรู  ใบหน้าขาวใสอ่อนวัยที่ดูเคร่งขรึมค่อนไปทางหล่อมากกว่าสวยกับผมยาวๆสีน้ำตาลเข้มขับให้เจ้าตัวดูดีจนแทบจะหาที่ติไม่ได้

     
     

    ไอดอลสาวจ้องมองผู้ที่กำลังเดินเข้ามาหาอย่างไม่อาจละสายตาได้พร้อมกับที่หัวใจดวงน้อยๆเริ่มเต้นรัว มือบางยกขึ้นมาทาบที่หน้าอกด้านซ้ายของตนเองอย่างลืมตัว

     

     

    นี่เธอกำลังเป็นอะไรไปเพียงแค่ไอ้บ้าโรคจิตน่ากลัวคนนั้นเดินเข้ามาหัวใจที่เคยสงบนิ่งก็กลับเต้นรัว……….

    .

    .

    .

    .

     

    “นี่ยัยบ้า  เป็นโรคจิตรึไงยืนจ้องหน้ากันอยู่ได้?”    

                       คำถามเรียบๆนิ่งๆฟังดูธรรมดาแต่กลับทำให้คนที่กำลังใจลอยสะดุ้งขึ้นมาทันที นักร้องสาวคนสวยหันไปส่งค้อนวงโตให้คนพูดหน้าตายๆอย่างหมั่นไส้ด้วยใบหน้าขึ้นสีน้อยๆ

     

    เกือบไปแล้วเจสสิก้า…..เกือบหลงไปกับภาพลวงตาที่ไอ้บ้านั่นสร้างขึ้นแล้วมั๊ยหละ ดีนะที่ถอนตัวทัน

     
     

    “จะกลับรึป่าวบ้านหนะ  แต่จะว่าไป ความจริงชั้นไม่ได้อยากจะให้เธออยู่ที่นี่นานหรอกนะ แค่ลากเอาเธอติดมือมาด้วยนี่ ก็เป็นภาระจะแย่”     

     คำพูดเย็นชาพร้อมกับริมฝีปากบางนั่นที่กระตุกยิ้มเล็กๆ ทำให้นักร้องสาวต้องหันกลับมามองคนพูดด้วยสายตาเอาเรื่องทันทีก่อนจะเอ่ยคำพูดให้คิ้วบางๆของคนฟังต้องกระตุกน้อยๆ

     
     

    “ฮึ!!   ใครเค้าอยากจะอยู่ที่นี่นานกัน น่าอึดอัดยังกับอยู่กับผีดิบดูดเลือดร้อยวันพันปีคงไม่เคยยิ้มเลยมั๊ง แล้วอีกอย่างนะถ้าไม่ใช่เพราะคุณเป็นคนลากชั้นมาชั้นก็คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอก”

     

    ทันทีที่นักร้องสวนพูดจบก็เหมือนมีกระแสสายฟ้าฟาดฟันระหว่างสองสายตาที่ยังคงจับจ้องกันอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร  และมันคงจะเป็นเช่นนั้นอยู่อีกนานถ้าไม่ได้คนสองคนที่ยืนมองอยู่เข้ามาห้ามศึกเสียก่อน

    .

    .

    .

    .

     

    ขาเรียวงามชะงักไปเล็กน้อยเมื่อก้าวพ้นออกมาจากตัวลิฟท์แล้วพบกับห้องโถงหรูหราซึ่งถูกจัดตกแต่งไว้อย่างดูดี ดวงตาหวานกวาดมองไปรอบๆก่อนจะอ้าปากค้างน้อยเมื่อกลุ่มชายหนุ่มหลายสิบคนในชุดสีดำสนิทโค้งศีรษะให้คนตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างเธอด้วยความเคารพ หญิงสาวอดที่จะเหลือบมองคนที่เดินอยู่ข้างๆไม่ได้ ใบหน้าใสอ่อนวัยแต่แฝงไว้ซึ่งความมีอำนาจทำให้อดคิดไม่ได้ว่าคนๆนี้คงไม่ใช่นักธุรกิจที่มีฐานะร่ำรวยธรรมดาๆ  คงเป็นเพราะเหตุการณ์เมื่อคืนที่ถึงขนาดมีคนตายเกิดขึ้นแต่กลับไม่มีสำนักข่าวใดรายงานข่าวออกมา  ไหนจะผู้หญิงตัวสูงสองคนในชุดสูทหรูที่ยืนขนาบข้างซ้ายขวายังกับบอดีการ์ดรวมไปถึงกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยืนเรียงรายหลายสิบคนนี่อีก

     

    ถ้าไม่ใช่ผู้มีอิทธิพล…...ก็คงเป็นพวกมาเฟียแน่แท้

     
     

    มือบางๆยกขึ้นมาปาดเหงื่อที่เริ่มไหลซึมออกมาบนใบหน้าอย่างลืมตัวเมื่อความกลัวเริ่มเข้าครอบงำ ทำปากเก่งด่าเค้าไว้ซะเยอะพอลงมาแล้วเจอลูกน้องเค้าเป็นสิบ…….นักร้องสาวก็อดที่จะขาสั่นขึ้นมาไม่ได้

    .

    .

     

    ภาพมาเฟียชื่อดังที่น่าเกรงขามในชุดสูทสีดำสนิทเรียบหรูดูดีกับผู้หญิงสาวสวยใบหน้าใสๆไร้เครื่องสำอางในชุดเสื้อโค๊ดตัวโตสีหวานมีร่อยรอยดำๆเหมือนอะไรบางอย่างหกใส่เป็นรอยด่างดวง   ที่กำลังเดินคู่กันมาพร้อมกับหญิงสาวหน้าตาดีเดินขนาบข้างซ้ายขวาเพื่อไปขึ้นรถหรูที่จอดรอรับอยู่ด้านหน้าตึกดึงดูดสายตาของผู้ที่ได้พบเห็นได้ไม่น้อย เจสสิก้าอดที่จะประหม่าขึ้นมาไม่ได้เมื่อพบกับดวงตาหลายสิบกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยความสนใจ  ถึงแม้จะเป็นนักร้องชื่อดังที่ถูกจ้องมองเป็นกิจวัตรอยู่แล้วแต่ในตอนนี้กลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แววตาที่มองมาในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความชื่นชมหรือรักใคร่หากแต่เป็นแววตาที่แสดงถึงความแปลกใจไม่ไว้วางใจและดูเหมือนจะคอยระแวดระวังภัยให้คนที่เดินอยู่ข้างๆเธอในตอนนี้มากกว่า

     
     

    “จะให้ไปส่งที่ไหน”     

     

    ทันที่ที่ประตูรถปิดลงน้ำเสียงนิ่งๆเย่อหยิ่งของคนข้างๆก็เอ่ยขึ้นมา โดยที่ใบหน้าใสอ่อนวัยนั้นไม่ได้เหลือบมามองคนถูกถามเลยแม้น้อย  นักร้องสาวเหลือบตามองคนข้างด้วยความหมั่นไส้ก่อนที่จะเอ่ยชื่อโรงแรมที่พักให้คนถามได้ฟังพร้อมกันกับรถหรูค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปยังจุดมุ่งหมายปลายทาง

    เงียบ…..ไม่มีคำพูดใดๆระหว่างคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน เจสสิก้าอดที่จะชำเลืองมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตากับเอกสารในมือโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างไม่ได้  คิ้วบางของคนข้างๆขมวดมุ่นน้อยๆอย่างคนที่กำลังใช้ความคิดพอๆกับใบหน้าใสอ่อนวัยที่ดูเคร่งเครียด  ดวงตาหวานไล่จับจ้องไปยังทุกส่วนบนใบหน้าขาวๆนั้นอย่างลืมตัวก่อนริมฝีปากบางจะแอบคลี่ยิ้มน้อยๆ

     



     

    คนบ้าอะไรหน้าตาดีแต่ขี้เก๊กชะมัด

     

     
     

     

     

    TBC.

     

     

    มาลงตอนที่สองให้แล้วนะคะ  ดูเหมือนว่าจะมีคนอ่านอยู่แต่คอมเม้นค่อนข้างน้อยจริงๆ ตอนที่แล้วมีคอมเม้นเพื่มมาแค่หนึ่งหรือสองคอมเม้นเอง (บางทีฟิคเรื่องนี้คงไม่ค่อยถูกใจรีดเดอร์เท่าไหร่) 

               แต่ยังไงไรท์เตอร์ขอขอบคุณมากนะคะสำหรับคอมเม้นที่เม้นให้กัน  แต่ถึงอย่างนั้นอ่านกันเยอะแต่คอมเม้นน้อยแบบนี้ก็ทำให้ไรท์เสียกำลังใจนะคะ   ถ้าหากว่ายังเป็นแบบนี้ต่อไปไรท์เตอร์ก็ขออนุญาตลงตอนนี้ในเด็กดีเป็นตอนสุดท้ายแล้วขอลงฟิคเรื่องนี้แค่ในบอร์ดอย่างเดียว ยังไงรีดเดอร์ก็อย่าว่ากันเลยนะคะเพราะเห็นคอมเม้นน้อยๆแบบนี้แล้วไรท์เตอร์ท้อใจจริงๆ 

    ปล.สำหรับคนที่ติดตามชื่นชอบ และคอมเม้นให้อยู่บ่อยๆ ไรท์ต้องขอโทษและขอบคุณจริงๆนะคะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×