คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Story 1....Breath
Story 1…Breath
(TaeNy)
ดำ = ปัจจุบัน
เทา = อดีต
นุนมูรี อีรอคเคฮึลรอแนรีมยอน
ตอนที่น้ำตาร่วงหล่น
อากีดอนแนชากึน ชูออกดึลมาชอโดออจอล จุล มลลา
แม้แต่ความทรงจำเล็กๆแสนล้ำค่า ก็ไม่รู้ต้องทำยังไง
นอมู อาพาซอ ซอโร โนวาจูกิล ยักซกแฮซจีมัน
เพราะมันเจ็บเหลือเกิน เราสัญญาว่าจะปล่อยมือกันไป
ชาชิน ออบซึลแตคากึมซุมโซรีราโด ทึลรยอจูกิล
แต่ในยามที่ฉันหมดความมั่นใจ ก็หวังจะได้ยินเสียงลมหายใจของเธอก็ยังดี
Breath(Jonghyun&Taeyeon)
เพราะเสียงเพลงเศร้าๆที่ดังเจื้อยแจ้วออกมาจากรายการวิทยุที่เจ้าตัวเปิดทิ้งไว้ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเคร่งเครียดกับงานต้องละสายตาจากกองงานตรงหน้าหันไปมองวิทยุคลาสสิคเครื่องหรูที่อยู่ตรงมุมห้องมือบางเอื้อมไปหมุนเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกเพื่อฟังเพลงให้ชัดขึ้นเสียงเพลงเนื้อหาเศร้าสร้อยยังคงลอยออกมาจากวิทยุเครื่องโปรดทำให้คนที่กำลังฟังอยู่ต้องตกอยู่ในภวังค์ ความทรงจำลอยกลับไปหาใครคนหนึ่ง….ใครบางคนที่ไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน
ใครบางคน…….ที่คอยส่งยิ้มให้กันเสมอไม่ว่าเราทั้งคู่จะพบเจอเรื่องทุกข์ใจมากแค่ไหน
ใครบางคน…….ที่คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด
ใครบางคน…….ที่แม้ไม่ได้เจอกันเกือบจะสองปีแต่ก็ยังคงอยู่ในความฝันและความคิดถึงทุกค่ำคืน
ใครบางคน……ที่ยังคงเป็นรักเดียวในหัวใจ
และ………
ใครบางคน…….ที่เป็นเธอเองที่ขอร้องให้เราปล่อยมือจากกันไป…….
มือบางกำโทรศัพท์แน่นตัวเลขสิบหลักที่จำขึ้นใจไม่เคยลืมโชว์อยู่บนหน้าจอรอเพียงแค่กดโทรออกไปเท่านั้นแต่น่าแปลก…
เพียงแค่กดโทรออกไป……แต่ทำไมมันช่างยากเย็นเหลือเกิน
.
.
.
.
.
เช้าวันนี้ก็คงเป็นวันที่น่าเบื่ออีกวันหนึ่งของคนที่เป็นพนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดาๆอย่างเธอเช้าเข้างานก่อนเวลาแต่เย็นกลับเลิกงานเลยเวลา หญิงสาวถอนหายใจให้กับความซ้ำซากจำเจของชีวิตที่ต้องทำซ้ำกันทุกวัน
ชีวิต……ที่เรื่อยเฉื่อย
ชีวิต……ที่ขาดชีวา ตั้งแต่ขาดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของใครบางคนไป
เมื่อนึกถึงใครบางคนรอยยิ้มบางๆกลับปรากฏบนใบหน้าแม้รอยยิ้มนั้นเรียกได้ว่าเกือบจะเศร้าหมอง
ชั้นคิดถึงเธอจัง……..ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ
คำถามเดิมๆบ่นซ้ำกับตัวเองทุกวันแต่ก็ไม่เคยไม่เคยได้คำตอบ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ บางครั้ง……ก็เคยนึกถามตัวเองในใจ
ชั้นคิดผิดไปรึป่าวนะ…….ที่เลือกเธอที่จะปล่อยมือเธอไปในวันนั้น
.
.
.
.
“นั่งเหม่ออีกแล้วนะเธอนี่ ชั้นบอกแล้วใช่มั๊ยว่าให้ลองหาใครสักคนคุยๆดู จะได้ลืมๆอะไรไปซะบ้าง”
คำพูดของเพื่อนสนิทที่ฟังจนขึ้นใจเพราะต้องฟังคำแนะนำกึ่งบ่นๆแบบนี้เกือบทุกวันทำให้คนฟังต้องยกยิ้มบางๆ
“ไม่หละ ชั้นยังไม่อยากรักใคร” คำตอบเดิมๆตอบกลับให้คนแนะนำต้องทำหน้าเหนื่อยใจ
“เธอก็เป็นซะแบบนี้ ถ้ารักมากแล้วจะเลิกทำไม” คำถามไม่จริงจังนักถูกส่งกลับมาให้คนถูกถามต้องย้อนกลับมาถามตัวเองในใจอีกครั้ง
นั่นสินะ ทำไม?
ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาที่เราคบกัน……เราก็มีความสุขกันดี
……………………………………………..
เช้าเข้างานเย็นเลิกงานกลางคืนนั่งมองโทรศัพท์ ชีวิตของเธอคงวนเวียนอยู่แค่นี้…….
ทั้งที่การจะติดต่อใครสักคนมันก็ง่ายแสนง่ายในชีวิตยุคปัจจุบันเช่นนี้แต่แปลก…..กับเธอมันไม่ใช่เลย
เพียงแค่กดปุ่มสีเขียวบนหน้าจอ……เธอยังทำไม่ได้
……..ทั้งที่คิดถึงใจแทบขาด
หมอนใบเดิม แก้วคู่ใบเดิม รูปถ่ายคู่กันรูปเดิม…….ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม
จะเปลี่ยนไปก็คงเป็นไม่มีใครบางคนคอยอยู่เคียงข้างกันเหมือนเดิม………….
เฮ้อ……..ชั้นคิดถึงเธอจัง
คิดถึงรอยยิ้มของเธอ
คิดถึงเสียงหัวเราะของเธอ
คิดถึงคำปลอบโยนและท่าทางตลกๆของเธอเวลาที่ชั้นมีเรื่องไม่สบายใจ
คิดถึงอ้อมกอด
คิดถึงมืออบอุ่น
คิดถึง…….คิดถึงจริงๆ
.
.
.
ตัวเลขสิบหลังที่จำขึ้นใจยังคงโชว์อยู่ที่หน้าจอมือถือ เพียงแค่กดโทรออกเท่านั้น
แค่กดโทรออกไป……ก็จะได้ยินเสียงที่คุ้ยเคย เสียงที่คิดถึง
แต่แปลก……ที่สมองกลับสั่งให้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจ
นิ้วเรียวตัดสินใจลบตัวเลขสิบหลักที่โชว์อยู่หน้าจอก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ เป็นอีกครั้งแล้วสินะที่เธอต้องกลับมานั่งถอนหายใจอยู่แบบนี้ ทั้งที่จิตใจกลับโทรไปหาใครอีกคนใจแทบขาด แต่สมองกลับมักทำตรงกันข้ามเสมอ…..
แต่คนเรา……ก็มักเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หรือ?
………………………………………………….
วันหยุดที่แสนน่าเบื่อของคนที่ใช้ชีวิตคนเดียวคงไม่มีอะไรทำได้ดีไปกว่าการออกไปเดินห้างซื้อของช๊อปปิ้งวันนี้คงจะเป็นวันหยุดที่น่าเบื่อธรรมดาๆหากว่าสายตาไม่ไปพบกับใครบางคน
คนที่คุ้นเคย……
คนที่แม้อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเธอก็ยังจำเค้าได้
คนที่คิดถึงและโหยหามาตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
คนๆเดียวที่ยังคงอยู่ในใจเสมอ……..ไม่เคยลบเลือน
ดวงตาของเราทั้งคู่สบกันโดยบังเอิญเมื่อเค้าคนนั้นหันมา ดูเหมือน….ใครคนนั้นชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่งยิ้มบางๆออกมา……รอยยิ้มที่เธอไม่เคยลืมแม้แต่นาทีเดียว
รอยยิ้ม……ที่อบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน
“ไม่เจอกันนานเลยนะคะ………”
เค้าคนนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ
.
.
.
.
ในสวนสาธารณะที่คนไม่พลุกพล่านกับความเงียบระหว่างคนสองคน คนหนึ่งนั่งเงียบแต่ยังคงส่งยิ้มบางๆ แต่อีกคน…….เงียบและไม่อาจตอบตัวเองได้ว่าตอนนี้รู้สึกเช่นไร
คิดถึง
ดีใจ
ตื่นเต้น
หรือ…..เสียใจ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เราไม่ได้นั่งข้างกันแบบนี้ นานแค่ไหนที่ไม่ได้ใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายซึ่งกันและกัน นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงของลมหายใจ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยที่คุ้นเคยของอีกคน
นานแค่ไหนกันนะที่เธอโหยหาสัมผัสที่คุ้นเคยและช่วงเวลาเก่าๆเหล่านั้น
คิดแล้วก็อดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้
แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อทุกอย่าง……เธอเป็นคนเลือกที่จะให้เป็นอย่างนั้นเอง
.
.
.
.
.
“หนาวมั๊ยคะ”
คำถามเดิมๆพร้อมรอยยิ้มแต่รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ฟังทำให้คนนั่งหน้านิ่วอย่างคนใช้ความคิดอยู่กับงานต้องหันหน้ามามองพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธไปมา
“พักผ่อนบ้างนะคะ คุณเคร่งเครียดกับงานมาหลายวันแล้ว”
น้ำเสียงเหมือนจะบ่นเล็กๆ หากแต่คนบ่นกลับวางแก้วโกโก้อุ่นๆลงบนโต๊ะให้คนที่กำลังเคร่งเครียดตรงหน้า ก่อนจะเริ่มต้นบ่นอีกครั้งเมื่อเห็นการแต่งกายสบายๆโดยไม่ดูสภาพดินฟ้าอากาศของอีกคน
“ใส่เสื้อบางขนาดนี้ไม่หนาวหรือไงคะ”
“อยู่ในบ้านไม่หนาวหรอกค่ะ อย่าสืมสิคะว่าบ้านเรามีฮีตเตอร์นะ”
คนถูกบ่นยกยิ้มด้วยความขบขันเมื่อเห็นคนขี้บ่นนิ่วหน้าน้อยๆเมื่อได้ฟังคำตอบจากตนเอง
“ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ยังไงอากาศก็ยังเย็นอยู่ดี คุณควรดูแลตัวเองบ้างนะคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”
คนบ่นยังคงยกยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคำตอบที่ค่อนข้างกวนประสาท ก่อนจะใช้สองมือคล้องผ้าพันคอสีหวานลงบนคอและจัดไปมาให้อีกฝ่ายได้หน้าขึ้นสีเล่นๆ
“อุ่นขึ้นมั๊ย…”
คนถามยังคงยกยิ้มเมื่อเห็นคนฟังพยักหน้ารัวแทนคำตอบอย่างน่ารักก่อนรอยยิ้มนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนฟังต้องหน้าแดงเมื่อได้ยินประโยคที่ตามด้วยการกระทำต่อมา
“แต่ถ้าจะให้อุ่นกว่านี้ต้องทำแบบนี้ค่ะ”
อ้อมกอดจากด้านหลังให้ความรู้สึกอบอุ่นมาจนถึงด้านหน้า คนกอดกระชับอ้อมแขนขึ้นพร้อมกับซุกหน้าคลอเคลียที่คอขาวๆของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่
ระหว่างเราสองคนไม่ต้องมีคำพูดยืดยาวมากมายเพื่อแสดงความรู้สึก
เพียงแค่การกระทำ……การกระทำที่แสดงออกมาแทนคำพูดทั้งหมดระหว่างคนสองคน
ถึงแม้ไม่ได้บอกรักกันทุกวัน ไม่ได้บอกคิดถึงกันตลอด หรือไม่ได้บอกว่าเป็นห่วงสุดหัวใจ…….แต่ทุกการกระทำก็สามารถสื่อถึงกันได้แม้ไม่มีคำพูดใดๆ
คนถูกกอดดึงอ้อมแขนของอีกฝ่ายให้กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับลูบแขนนั้นเบาๆความอบอุ่นที่ส่งผ่านระหว่างกันและกันเราสองคนสัมผัสและรับรู้มันได้เสมอ
“อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”
เสียงกระซิบเบาๆของคนที่อยู่ในอ้อมกอดที่ดังขึ้นให้คนที่กอดอยู่ต้องยกยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกระซิบลงที่ข้างหูคนในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนตามมาด้วยสัมผัสหอมหวานที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังไม่เคยรู้เบื่อ
“ค่ะ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป…..ชั้นสัญญา”
.
.
.
.
.
“หนาวมั๊ยคะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนและคำถามเดิมๆที่แม้ไม่ได้ยินมานานแต่ก็จำขึ้นใจดังขึ้นให้คนที่กำลังเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์ความคิดต้องสะดุ้งก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธ
คนถามยังคงส่งยิ้มให้เธอรอยยิ้มที่เธอมักได้รับเสมอเมื่อเวลาที่เราอยู่ด้วยกันไม่ใช่แค่เพียงรอยยิ้มเท่านั้น ที่ยังเหมือนเดิม
แต่ แววตาคู่นั้นก็เช่นกัน…….แววตาอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยก็ยังคงถูกส่งมาจากดวงตาคู่นั้นเช่นเดียวกัน
“คุณยังดื้อเหมือนเดิมเลยนะคะ”
คนพูดเอ่ยด้วยน้ำกลั้วหัวเราะพร้อมกับพยายามกลั้นยิ้มให้คนฟังต้องหันมามองด้วยสายตาไม่เข้าใจ
“ก็คุณหนะ ทั้งๆที่ตัวเองก็หนาวแต่ก็ยังชอบปฏิเสธอยู่เรื่อยเลย คิดว่าตัวเองเป็นคนเหล็กหรือไงคะ” คำบ่นกลายๆพร้อมกับสีหน้ายิ้มๆทำให้คนถูกบ่นเริ่มหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
.
.
.
.
“คุณหนะดื้อจังเลยนะคะ คิดว่าตัวเองเป็นคนเหล็กหรือไงกัน”
คนที่เธอแอบเรียกลับหลังว่ายัยขี้บ่นเริ่มต้นบ่นเธออีกครั้งเมื่อเห็นเธอหอบกองงานเต็มไม้เต็มมือกลับมาทำที่บ้าน
ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่เธอโดนบ่นเรื่องนี้
เธอหนะโดนยัยขี้บ่นนี่บ่นทุกครั้งที่เธอหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนเธอชินซะแล้ว
“ก็งานมันเร่งนี่คะ แล้วอีกอย่างอยากทำให้เสร็จเร็วๆด้วย จะได้มีเวลาว่างอยู่กับคุณเยอะๆไงคะ”
คนถูกบ่นวางของพะรุงพะรังในมือของตัวเองไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปกอดคนที่ยืนกอดอกหน้ามุ่ยอยู่อย่างออดอ้อน
“นะคะ ขอชั้นทำงานคืนนี้คืนเดียวแล้วต่อไปจะไม่หอบงานกลับมาทำที่บ้านอีก จริงๆนะ สัญญา”
พูดไปก็ใช้ใบหน้าของตัวเองถูไถกับต้นแขนของอีกคนไปให้คนถูกอ้อนต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างเขินอาย
เธอหนะรู้ดีว่าถ้าถูกบ่นเรื่องงานเมื่อไหร่ก็ต้องใช้ไม้นี้แหละ
เพราะคนขี้บ่นของเธอหนะ……แพ้ลูกอ้อนของเธอจะตายไป
“เลิกใช้ลูกอ้อนของคุณได้แล้วค่ะ คุณหนะทำงานของคุณไปเลยชั้นจะไปทำอาหารแล้ว”
คนถูกอ้อนผลักเธอออกเบาๆก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆไปให้คนที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อถูกผลักออกมา
“ ใจร้ายจัง อ้อนหน่อยก็ไม่ได้”
คนถูกผลักบ่นเบาๆก่อนที่จะทำหน้างอง้ำกว่าเดิมเมื่อเห็นคนที่ตัวเองอยากอ้อนแทนที่จะสนใจเธอกลับหัวเราะออกมาซะงั้น
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ เดี๋ยวชั้นไปทำอะไรอร่อยๆให้คุณทานนะ วันนี้มีของที่คุณชอบเยอะแยะเลย”
คนถูกงอนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้คนนั่งหน้างออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ……ชั้นแพ้คุณทุกที” คนขี้งอนบึนปากก่อนบ่นเบาๆอย่างขัดใจ
ถ้าคนขี้บ่นแพ้ลูกอ้อนของเธอ…….เธอก็แพ้ความอบอุ่นอ่อนโยนของเค้านี่แหละ
“อ้อ ก่อนลงมาทานข้าวยังไงก็อาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนนะคะ ชั้นไม่อยากให้คุณอาบน้ำดึกๆ ช่วงนี้อากาศเย็นเดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”
“ค่า รู้แล้วค่าคุณแม่”
คนขี้บ่นส่ายหน้าเบาๆสองสามทีและหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูกับคำประชดนั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำมื้อเย็นต่อ หญิงสาวมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ ทั้งๆที่เราทั้งคู่ก็มีงานที่ยุ่งและรัดตัวแต่เมื่อไหร่ที่เธอกลับถึงบ้านในตอนเย็นก็จะพบกับรอยยิ้มและอ้อมกอดที่อบอุ่นจากรอรับอยู่เสมอ
มีคนที่รักอยู่ด้วยกัน ดูแลกันในทุกๆวัน……..แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของคนๆนึง
แค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ………
…………………………………………..
“นอกจากจะดื้อแล้วยังชอบเหม่อเหมือนเดิมด้วยนะคะ”
เสียงล้อเลียนกลั้วหัวเราะให้คนที่นั่งเหม่อลอยอยู่หันหน้ากลับไปมองคนพูดอย่างไม่พอใจ
“คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังขี้บ่นเหมือนเดิมว่าแต่ชั้น”
คำตอบกลับและท่าทางกอดอกและยู่ปากเหมือนเด็กๆทำให้คนที่กลั้นหัวเราะอยู่อดที่จะหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ ไม่นานบรรยากาศที่เงียบเชียบเต็มไปด้วยความน่าอึดอัดในตอนแรกก็ผ่อนคลายลงเมื่อคนสองคนเริ่มแสดงออกระหว่างกันและกันด้วยความคุ้นเคยที่เคยชิน
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ให้กับท่าทางของคนที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความบังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกัน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามที่จะหักห้ามใจไม่ให้ติดต่อกับอีกฝ่ายแทบตาย
พยายามหักห้ามใจ…..ทั้งๆที่อยากได้ยินเสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยถามไถ่ อยากเห็นหน้าเห็นแววตา
อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไรในช่วงเวลาที่เราสองคนไม่ได้พบกัน
พยายามหักห้ามใจ….เพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนจนไม่สามารถที่จะปล่อยมืออีกคนไปได้ทั้งๆที่เป็นความต้องการของตัวเองแท้ๆ
แต่ก็นั่นแหละโชคชะตามักจะชอบเล่นตลกอยู่เสมอ
ทั้งๆที่พยายามแทบตายแต่จู่ๆฟ้าหรืออะไรก็ตามแต่กลับทำให้เราบังเอิญต้องเจอกัน
และทั้งๆที่พยายามแทบตาย แต่ดูเหมือนความพยายามทั้งหมดที่ทำมาตลอดระยะเวลาเกือบสองปีจะพังทลายลงเมื่อมาคนๆนั้นกลับมาอยู่ต่อหน้าของเธอ……..
.
.
.
.
“เรา…..ไม่เจอกันนานเลย”
จู่ๆคนที่หัวเราะอยู่ก็ถามคำถามขึ้นมาเบาๆทั้งที่ปลายเสียงยังเจือเสียงหัวเราะน้อยๆ “คุณ……สบายดีนะคะ”
สบายดีมั๊ยหรือ……..จะตอบยังไงดีหละ?
อยากจะตอบว่าชั้นไม่สบายเลย……เพราะชั้นคิดถึงคุณทุกวัน คิดถึงเสียงหัวเราะของคุณ คิดถึงรอยยิ้มของคุณอ้อมกอดของคุณ คิดถึงวันเวลาเก่าๆระหว่างชั้นและคุณ ถ้าตอบออกไปแบบนั้นจะได้มั๊ย
จะตอบแบบนั้นออกไปได้รึป่าว?
“สบายดีค่ะ แล้วคุณหละ”
แต่ก็นั่นแหละสมองมักจะสวนทางกับจิตใจเสมอ…เมื่อจิตใจคิดอีกอย่างแต่สมองกลับสั่งให้ตอบอีกอย่าง
คนถูกถามกลับไม่ตอบคำถามใดๆนอกจากส่งยิ้มบางๆกลับมาพร้อมคำพูดที่ทำให้หัวใจคนฟังต้องกระตุก
“ชั้นดีใจนะคะที่รู้ว่าคุณสบายดี……”
รอยยิ้มบางๆยังคงประดับอยู่บนใบหน้า หากเธอดูไม่ผิดเธอสังเกตเห็นความหมองเศร้าในแววตาคู่นั้น แต่มันก็เป็นเพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นแววตาอ่อนโยนตามเดิม
เกิดความเงียบน่าอึดอัดขึ้นระหว่างสองเราเมื่อต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง แม้ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาแต่สายตาที่ส่งออกมามันทำให้รู้ได้ว่าในตอนนี้เราต่างก็คิดในเรื่องเดียวกัน
คิด……แต่ก็ไม่สามารถที่จะพูดมันออกมาได้
มีเพียงแววตาเท่านั้น…..ที่สื่อความหมายและความรู้สึกทั้งหมดของกันและกัน
มันจะสายเกินไปรึป่าวนะ…….หากชั้นจะพูดคำนั้นออกมา?
.
.
.
.
“ชั้น……….”
RRRRRRRRR---
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะทำให้เราทั้งคู่สะดุ้งด้วยความตกใจ มือบางของคนที่นั่งข้างๆคว้ามันขึ้นมาดูก่อนจะเหลือบมองเธอด้วยสีหน้าลำบากใจ
“รับโทรศัพท์ของคุณเถอะค่ะ ชั้นไม่แอบฟังหรอก”
น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อยถูกส่งออกไปเพื่อไม่ให้อีกคนต้องคิดมาก เธอเห็นคนข้างๆส่งยิ้มกลับมาก่อนจะรับโทรศัพท์ด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ค่ะจง…..คุณมาถึงแล้วหรือคะ ค่ะ แล้วเดี๋ยวชั้นจะออกไป”
เบาของเค้า……..
แต่ดัง…….ในความรู้สึกของเธอ
.
.
.
.
“ชั้น……คงต้องไปแล้วค่ะ”
คำพูดเบาๆทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนจะพยายามส่งยิ้มฝืนๆกลับไป
“ไปเถอะค่ะ……เดี๋ยว…..คนของคุณ จะคอย”
ไม่รู้ว่าพูดออกไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอย่างไรคนที่มองเธออยู่ถึงมองกลับมาด้วยแววตาเช่นนั้น แววตาที่ไม่รู้จะตีความว่าอย่างไร
ระหว่างเศร้าหมอง…..ตัดพ้อ……หรือเสียใจ
.
.
.
.
เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเฝ้ามองตามแผ่นหลังบอบบางที่คุ้นเคยซึ่งกำลังเดินห่างออกไปหาใครบางคน คนทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันก่อนที่ฝ่ายชายจะถอดผ้าพันคอออกจากคอของเค้าและคล้องให้กับเธอคนนั้นอย่างอ่อนโยน เธอเห็นหญิงสาวคนนั้นเหลือบมองมาที่เธอก่อนจะส่งยิ้มบางๆอย่างลำบากใจให้ฝ่ายชายและเดินออกไปพร้อมกัน…….
ไกลออกไป……จนเธอเอื้อมไม่ถึง
ไกลออกไป……จนเธอตัดสินใจรั้งไว้ไม่ทันทั้งที่ห่างกันแค่เอื้อมมือ
แค่เอื้อมมือ
เหมือนวันนั้น……..
.
.
.
.
.
“ทำไม คุณบอกเหตุผลมาสิว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนี้”
คำพูดตัดพ้อพร้อมน้ำตาทำให้เธอต้องเบือนหน้าหนีอย่างพยายามหักใจ
“เพราะชั้นเบื่อหนะสิ เบื่อมาก”
ปากก็บอกว่าเบื่อแต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม คนฟังอยู่ส่ายหัวไปมาเหมือนไม่เชื่อถือในเหตุผลที่เธอพูดมันออกมา
“ไม่จริงคุณไม่ใช่คนแบบนั้น ชั้นไม่เชื่อ คุณใจเย็นๆก่อนนะคะแล้วเราค่อยๆคุยกัน ไหนคุณเคยบอกว่าถ้าเรามีปัญหาอะไรเราจะช่วยกันแก้ไง”
น้ำเสียงเว้าวอนยังคงถูกส่งออกมาให้คนฟังต้องใจสลายหากแต่เจ้าตัวกลับพยายามซ่อนมันไว้
“ชั้นบอกว่าเบื่อก็เบื่อสิ ชั้นเบื่อคุณแล้ว เบื่อที่ต้องอยู่แบบนี้ทุกๆวัน เบื่ออะไรที่ซ้ำซากจำเจ คุณเข้าใจมั๊ยว่าชั้นเบื่อ!!”
น้ำเสียงตวาดที่เธอไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใช้พูดกับคนตรงหน้าถูกส่งออกไปให้คนฟังต้องนิ่งอึ้ง หากแต่คนที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่กลับพยายามทำใจเย็นทั้งที่ดูก็รู้ว่าเค้าตกใจและหวาดกลัวเธอแค่ไหน
“คุณเบื่ออะไรคุณบอกชั้นนะคะ แล้วชั้นจะพยายามปรับเปลี่ยนให้ถูกใจคุณ ขอแค่คุณใจเย็นๆ”
น้ำเสียงและคำอ้อนวอนเกือบจะทำให้เธอต้องใจอ่อนหากแต่เธอต้องอดทนเข้าไว้ถ้าไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่เธอทำมาจะต้องสูญเปล่า
“คุณไปซะเถอะ”
“ไม่ชั้นไม่ไป” คนขอร้องยังคงขอร้องทั้งน้ำตา “ถ้าชั้นไป……แล้วใครจะดูแลคุณ คุณทำอาหารไม่เป็น คุณไม่ดูแลตัวเองทั้งที่คุณป่วยง่าย แล้วเวลาที่คุณทำงานดึกๆใครจะคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณรู้มั๊ยว่าชั้นเป็นห่วงคุณแค่ไหน คุณรู้มั๊ยว่าชั้นรักคุณ…….”
น้ำเสียงสุดท้ายแผ่วเบาและเจือไปด้วยเสียงสะอื้นให้คนใจแข็งต้องหัวใจแตกสลาย
“แต่ชั้นไม่ได้รักคุณแล้ว”
น้ำเสียงเรียบเย็นทำให้คนฟังต้องหัวใจสลายออกเป็นเสี่ยงๆ หญิงสาวตรงหน้ามองเธออีกครั้งด้วยแววตาตื่นตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อและ…….เสียใจ
.
.
.
.
เงียบและว่างเปล่า เธอคนนั้นจากไปแล้วจากไปอย่างที่เธอต้องการ
หญิงสาวฟุบหน้าลงกับมือของตนเองและเริ่มต้นร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ใช่แค่เค้าที่หัวใจแตกสลายเธอเองก็ไม่ต่างกัน ไม่ใช่ว่าเธอไม่รัก ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป เธอรักผู้หญิงคนนี้มากเหลือเกิน มากจนยอมทำทุกอย่างได้เพื่อให้เค้ามีความสุข มากจนยอมที่จะปล่อยมือจากเค้าไป
ทุกสิ่งทุกอย่างก็เพราะเธอรัก…….และรักมาก
ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากทำแบบนี้เลย ไม่อยากตัดสินใจแบบนี้เลย……..
ถ้าเพียงแต่เธอเข้มแข็งพอ
หากแต่เสียงคำพูดของใครบางคนยังคงก้องสะท้อนอยู่ในความทรงจำ……คำพูดที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างต้องลงเอยเช่นนี้
“เลิกกับแทยอนซะเถอะถ้าเธอรักเค้าจริง ลูกสาวของชั้นต้องมีอนาคตที่ดีกว่านี้ หรือเธออยากให้คนในสังคมมองคนที่เธอรักว่าเป็นพวกผิดปกติรึไง ถึงเธอทนได้ แต่ชั้นทนไม่ได้หรอกนะที่จะเห็นลูกสาวของตัวเองเป็นที่รังเกียจของสังคม
อ่อแล้วหวังว่า แทยอน จะไม่รู้เรื่องนี้ เธอทำได้ใช่มั๊ย”
.
.
.
.
.
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ทิฟฟานี่ยังคงนั่งอยู่ตรงนี้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาจนหยดเลอะซองกระดาษสีฟ้าอ่อนๆ ซึ่งเป็นสีที่คนที่ให้เธอไว้ชอบ เธอไม่รู้ว่าน้ำตาที่ไหลตอนนี้เป็นเพราะเรื่องราวในอดีตหรือเพราะเรื่องราวในปัจจุบันกันแน่ กระดาษสีหวานข้างในซองถูกกางไว้บนตักแสดงให้เห็นว่าคนที่กำลังร้องไห้อยู่ได้รับรู้และอ่านมันแล้ว
เนื้อหาในกระดาษที่เธออ่านเพียงรอบเดียวก็เข้าใจ……..
ขอเชิญร่วมงานมงคลสมรส
ระหว่าง
Kim taeyeon& KimJonghyun
……………………………………………..
ไม่รู้ว่าพาตัวเองมาถึงสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที่ก็มายืนอยู่หน้าสถานที่แห่งนี้แล้ว
โบสถ์เก่าแก่ที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้โทนสีฟ้าและขาวดูสวยงามและอ่อนหวานในคราวเดียวกัน
หญิงสาวเลือกเดินไปยังที่นั่งหลังสุดซึ่งไม่สะดุดตาคนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพลางยกยิ้มบางๆให้กับตนเอง ไม่นานเวลาที่ทุกคนรอคอยคงยกเว้นแต่เธอก็มาถึง
เจ้าบ่าวหล่อเหลาในชุดทักสิโด้สีขาวดูดีเดินเข้ามาในพิธีด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่นานเสียงดนตรีคลาสิคก็เริ่มบรรเลงขึ้นพร้อมๆกับการปรากฏตัวของเจ้าสาวในชุดสีขาวดูอ่อนหวานพร้อมกับรอยยิ้มให้บรรดาแขกในงานต้องยิ้มตาม
รอยยิ้ม....ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเธอ
มือบางของเจ้าสาวถูกกอบกุมด้วยมือหนาของผู้เป็นบิดาผู้ที่กำลังจะส่งมอบบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนเองให้กับชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงหน้าให้ดูแล
ทิฟฟานี่มองภาพนั้นผ่านม่านน้ำตา……แทยอนวันนี้ดูสวยอ่อนหวานและน่าทะนุถนอมเหลือเกิน เธอกำลังส่งยิ้มและก้าวเดินช้าๆเพื่อไปหาผู้ชายที่โชคดีคนนั้น
ผู้ชาย….ที่กำลังเอื้อมมือมารับมือของคนที่เธอรักไป
ผู้ชาย…..ที่กำลังจะกลายเป็นคนที่ปกป้องและดูแลคนที่เป็นเสมือนหัวใจของเธอ
ผู้ชาย……ที่เธออิจฉาเค้าจนสุดหัวใจ
……………………………………….
“ชั้นรักเธอนะแทยอน”
หญิงสาวกระซิบเบาๆ ก่อนที่จะลุกเดินออกไปจากพิธีที่กำลังดำเนินอยู่
ออกไป…..โดยที่ไม่รู้ว่าในวินาทีสุดท้ายที่ตนเองก้าวพ้นไปจากประตูโบสถ์แล้ว
ผู้ที่เป็นเจ้าสาวกำลังหันหลังกลับมามอง……
มองโดยที่ไม่พบอะไร………..
END.
จบ story 1 อ่านแล้วคอมเม้นให้กันบ้างนะคะ แล้ว Story 2 จะตามมาในไม่ช้า
ปล. Story ทั้ง 4 ตอน เป็นเรื่องเดียวกันนะคะ
ความคิดเห็น