ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Story 4 short ] Love...เพราะรักคือรัก (TaeNy)

    ลำดับตอนที่ #1 : Story 1....Breath

    • อัปเดตล่าสุด 7 ส.ค. 57






    Story 1…Breath

    (TaeNy)

     






     



                        ดำ  =   ปัจจุบัน
                  เทา =   อดีต




     

    นุนมูรี อีรอคเคฮึลรอแนรีมยอน

    ตอนที่น้ำตาร่วงหล่น

     

    อากีดอนแนชากึน ชูออกดึลมาชอโดออจอล จุล มลลา

    แม้แต่ความทรงจำเล็กๆแสนล้ำค่า ก็ไม่รู้ต้องทำยังไง

     

    นอมู อาพาซอ ซอโร โนวาจูกิล ยักซกแฮซจีมัน

    เพราะมันเจ็บเหลือเกิน  เราสัญญาว่าจะปล่อยมือกันไป

     

                                 ชาชิน ออบซึลแตคากึมซุมโซรีราโด ทึลรยอจูกิล

    แต่ในยามที่ฉันหมดความมั่นใจ  ก็หวังจะได้ยินเสียงลมหายใจของเธอก็ยังดี

     

                                 Breath(Jonghyun&Taeyeon)

     

     

     

     

    เพราะเสียงเพลงเศร้าๆที่ดังเจื้อยแจ้วออกมาจากรายการวิทยุที่เจ้าตัวเปิดทิ้งไว้ทำให้หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเคร่งเครียดกับงานต้องละสายตาจากกองงานตรงหน้าหันไปมองวิทยุคลาสสิคเครื่องหรูที่อยู่ตรงมุมห้องมือบางเอื้อมไปหมุนเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกเพื่อฟังเพลงให้ชัดขึ้นเสียงเพลงเนื้อหาเศร้าสร้อยยังคงลอยออกมาจากวิทยุเครื่องโปรดทำให้คนที่กำลังฟังอยู่ต้องตกอยู่ในภวังค์  ความทรงจำลอยกลับไปหาใครคนหนึ่ง….ใครบางคนที่ไม่ได้พบเจอกันมาเนิ่นนาน

     

     

    ใครบางคน…….ที่คอยส่งยิ้มให้กันเสมอไม่ว่าเราทั้งคู่จะพบเจอเรื่องทุกข์ใจมากแค่ไหน

     

    ใครบางคน…….ที่คอยอยู่เคียงข้างกันเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด

     

    ใครบางคน…….ที่แม้ไม่ได้เจอกันเกือบจะสองปีแต่ก็ยังคงอยู่ในความฝันและความคิดถึงทุกค่ำคืน 

     

    ใครบางคน……ที่ยังคงเป็นรักเดียวในหัวใจ

     

    และ………

     

     

     

    ใครบางคน…….ที่เป็นเธอเองที่ขอร้องให้เราปล่อยมือจากกันไป…….

     

     

     

    มือบางกำโทรศัพท์แน่นตัวเลขสิบหลักที่จำขึ้นใจไม่เคยลืมโชว์อยู่บนหน้าจอรอเพียงแค่กดโทรออกไปเท่านั้นแต่น่าแปลก

     

     

     

     

    เพียงแค่กดโทรออกไป……แต่ทำไมมันช่างยากเย็นเหลือเกิน

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    เช้าวันนี้ก็คงเป็นวันที่น่าเบื่ออีกวันหนึ่งของคนที่เป็นพนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดาๆอย่างเธอเช้าเข้างานก่อนเวลาแต่เย็นกลับเลิกงานเลยเวลา  หญิงสาวถอนหายใจให้กับความซ้ำซากจำเจของชีวิตที่ต้องทำซ้ำกันทุกวัน

     

     

     

    ชีวิต……ที่เรื่อยเฉื่อย

    ชีวิต……ที่ขาดชีวา  ตั้งแต่ขาดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของใครบางคนไป

     

     

     

    เมื่อนึกถึงใครบางคนรอยยิ้มบางๆกลับปรากฏบนใบหน้าแม้รอยยิ้มนั้นเรียกได้ว่าเกือบจะเศร้าหมอง

     

     

     

     

    ชั้นคิดถึงเธอจัง……..ตอนนี้เธอจะเป็นยังไงทำอะไรอยู่ที่ไหนกันนะ

     

     

     

    คำถามเดิมๆบ่นซ้ำกับตัวเองทุกวันแต่ก็ไม่เคยไม่เคยได้คำตอบ หญิงสาวถอนหายใจก่อนจะยิ้มให้กับตัวเองเบาๆ บางครั้ง……ก็เคยนึกถามตัวเองในใจ

     

     

     

     

    ชั้นคิดผิดไปรึป่าวนะ…….ที่เลือกเธอที่จะปล่อยมือเธอไปในวันนั้น

     

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    “นั่งเหม่ออีกแล้วนะเธอนี่  ชั้นบอกแล้วใช่มั๊ยว่าให้ลองหาใครสักคนคุยๆดู จะได้ลืมๆอะไรไปซะบ้าง”     

     

    คำพูดของเพื่อนสนิทที่ฟังจนขึ้นใจเพราะต้องฟังคำแนะนำกึ่งบ่นๆแบบนี้เกือบทุกวันทำให้คนฟังต้องยกยิ้มบางๆ

     

     

     

     

    “ไม่หละ ชั้นยังไม่อยากรักใคร”      คำตอบเดิมๆตอบกลับให้คนแนะนำต้องทำหน้าเหนื่อยใจ

     

     

     

    “เธอก็เป็นซะแบบนี้  ถ้ารักมากแล้วจะเลิกทำไม”         คำถามไม่จริงจังนักถูกส่งกลับมาให้คนถูกถามต้องย้อนกลับมาถามตัวเองในใจอีกครั้ง

     

     

     

     

    นั่นสินะ ทำไม?

     


     

     

    ทั้งๆที่ตลอดระยะเวลาที่เราคบกัน……เราก็มีความสุขกันดี

     

     

     

    ……………………………………………..

     

     

    เช้าเข้างานเย็นเลิกงานกลางคืนนั่งมองโทรศัพท์  ชีวิตของเธอคงวนเวียนอยู่แค่นี้…….

     

    ทั้งที่การจะติดต่อใครสักคนมันก็ง่ายแสนง่ายในชีวิตยุคปัจจุบันเช่นนี้แต่แปลก…..กับเธอมันไม่ใช่เลย

     

     

     

    เพียงแค่กดปุ่มสีเขียวบนหน้าจอ……เธอยังทำไม่ได้

     

     

    ……..ทั้งที่คิดถึงใจแทบขาด

     

     

     

    หมอนใบเดิม แก้วคู่ใบเดิม รูปถ่ายคู่กันรูปเดิม…….ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม

     

    จะเปลี่ยนไปก็คงเป็นไม่มีใครบางคนคอยอยู่เคียงข้างกันเหมือนเดิม………….

     

     

    เฮ้อ……..ชั้นคิดถึงเธอจัง

     

     

     

    คิดถึงรอยยิ้มของเธอ

     

    คิดถึงเสียงหัวเราะของเธอ

     

    คิดถึงคำปลอบโยนและท่าทางตลกๆของเธอเวลาที่ชั้นมีเรื่องไม่สบายใจ

     

    คิดถึงอ้อมกอด

     

    คิดถึงมืออบอุ่น

     

     

     

    คิดถึง…….คิดถึงจริงๆ

     

    .

    .

    .

     

     

    ตัวเลขสิบหลังที่จำขึ้นใจยังคงโชว์อยู่ที่หน้าจอมือถือ  เพียงแค่กดโทรออกเท่านั้น

     

     

    แค่กดโทรออกไป……ก็จะได้ยินเสียงที่คุ้ยเคย เสียงที่คิดถึง

     

     

    แต่แปลก……ที่สมองกลับสั่งให้ทำสิ่งที่ตรงข้ามกับหัวใจ 

     

     

     

    นิ้วเรียวตัดสินใจลบตัวเลขสิบหลักที่โชว์อยู่หน้าจอก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ เป็นอีกครั้งแล้วสินะที่เธอต้องกลับมานั่งถอนหายใจอยู่แบบนี้  ทั้งที่จิตใจกลับโทรไปหาใครอีกคนใจแทบขาด แต่สมองกลับมักทำตรงกันข้ามเสมอ…..

     

     

     

     

    แต่คนเรา……ก็มักเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่หรือ?

     

     

    ………………………………………………….

     

     

    วันหยุดที่แสนน่าเบื่อของคนที่ใช้ชีวิตคนเดียวคงไม่มีอะไรทำได้ดีไปกว่าการออกไปเดินห้างซื้อของช๊อปปิ้งวันนี้คงจะเป็นวันหยุดที่น่าเบื่อธรรมดาๆหากว่าสายตาไม่ไปพบกับใครบางคน

     

     

    คนที่คุ้นเคย……

     

     

    คนที่แม้อยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเธอก็ยังจำเค้าได้

     

    คนที่คิดถึงและโหยหามาตลอดไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด

     

    คนๆเดียวที่ยังคงอยู่ในใจเสมอ……..ไม่เคยลบเลือน

     

     

     

    ดวงตาของเราทั้งคู่สบกันโดยบังเอิญเมื่อเค้าคนนั้นหันมา  ดูเหมือน….ใครคนนั้นชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะส่งยิ้มบางๆออกมา……รอยยิ้มที่เธอไม่เคยลืมแม้แต่นาทีเดียว

     

     

     

    รอยยิ้ม……ที่อบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนวันแรกที่เราสองคนได้พบกัน

     

     

     

     

    “ไม่เจอกันนานเลยนะคะ………

    เค้าคนนั้นเอ่ยออกมาเบาๆ

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    ในสวนสาธารณะที่คนไม่พลุกพล่านกับความเงียบระหว่างคนสองคน  คนหนึ่งนั่งเงียบแต่ยังคงส่งยิ้มบางๆ  แต่อีกคน…….เงียบและไม่อาจตอบตัวเองได้ว่าตอนนี้รู้สึกเช่นไร

     

     

    คิดถึง

     

    ดีใจ

     

    ตื่นเต้น

     

    หรือ…..เสียใจ

     

     

    ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เราไม่ได้นั่งข้างกันแบบนี้  นานแค่ไหนที่ไม่ได้ใกล้จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายซึ่งกันและกัน  นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงของลมหายใจ  นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยที่คุ้นเคยของอีกคน

     

     

     

    นานแค่ไหนกันนะที่เธอโหยหาสัมผัสที่คุ้นเคยและช่วงเวลาเก่าๆเหล่านั้น

     

     

     

    คิดแล้วก็อดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้

     

     

     

    แต่จะให้ทำยังไงได้ในเมื่อทุกอย่าง……เธอเป็นคนเลือกที่จะให้เป็นอย่างนั้นเอง

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    “หนาวมั๊ยคะ”       

     

    คำถามเดิมๆพร้อมรอยยิ้มแต่รู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้ฟังทำให้คนนั่งหน้านิ่วอย่างคนใช้ความคิดอยู่กับงานต้องหันหน้ามามองพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธไปมา

     

     

     

    “พักผ่อนบ้างนะคะ  คุณเคร่งเครียดกับงานมาหลายวันแล้ว”   

     

    น้ำเสียงเหมือนจะบ่นเล็กๆ หากแต่คนบ่นกลับวางแก้วโกโก้อุ่นๆลงบนโต๊ะให้คนที่กำลังเคร่งเครียดตรงหน้า ก่อนจะเริ่มต้นบ่นอีกครั้งเมื่อเห็นการแต่งกายสบายๆโดยไม่ดูสภาพดินฟ้าอากาศของอีกคน

     

     

     

    “ใส่เสื้อบางขนาดนี้ไม่หนาวหรือไงคะ”     

     

     

     

    “อยู่ในบ้านไม่หนาวหรอกค่ะ  อย่าสืมสิคะว่าบ้านเรามีฮีตเตอร์นะ” 

     

    คนถูกบ่นยกยิ้มด้วยความขบขันเมื่อเห็นคนขี้บ่นนิ่วหน้าน้อยๆเมื่อได้ฟังคำตอบจากตนเอง

     

     

     

    “ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ยังไงอากาศก็ยังเย็นอยู่ดี  คุณควรดูแลตัวเองบ้างนะคะเดี๋ยวจะไม่สบายเอา”    

     

     คนบ่นยังคงยกยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับคำตอบที่ค่อนข้างกวนประสาท ก่อนจะใช้สองมือคล้องผ้าพันคอสีหวานลงบนคอและจัดไปมาให้อีกฝ่ายได้หน้าขึ้นสีเล่นๆ

     

     

     

    “อุ่นขึ้นมั๊ย”   

     

    คนถามยังคงยกยิ้มเมื่อเห็นคนฟังพยักหน้ารัวแทนคำตอบอย่างน่ารักก่อนรอยยิ้มนั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มให้คนฟังต้องหน้าแดงเมื่อได้ยินประโยคที่ตามด้วยการกระทำต่อมา  

     

     

     

     “แต่ถ้าจะให้อุ่นกว่านี้ต้องทำแบบนี้ค่ะ”  

     

     

     

    อ้อมกอดจากด้านหลังให้ความรู้สึกอบอุ่นมาจนถึงด้านหน้า  คนกอดกระชับอ้อมแขนขึ้นพร้อมกับซุกหน้าคลอเคลียที่คอขาวๆของอีกฝ่ายอย่างรักใคร่

     

     

    ระหว่างเราสองคนไม่ต้องมีคำพูดยืดยาวมากมายเพื่อแสดงความรู้สึก 

     

     

    เพียงแค่การกระทำ……การกระทำที่แสดงออกมาแทนคำพูดทั้งหมดระหว่างคนสองคน

     

     

    ถึงแม้ไม่ได้บอกรักกันทุกวัน  ไม่ได้บอกคิดถึงกันตลอด หรือไม่ได้บอกว่าเป็นห่วงสุดหัวใจ…….แต่ทุกการกระทำก็สามารถสื่อถึงกันได้แม้ไม่มีคำพูดใดๆ

     

     

     

    คนถูกกอดดึงอ้อมแขนของอีกฝ่ายให้กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับลูบแขนนั้นเบาๆความอบอุ่นที่ส่งผ่านระหว่างกันและกันเราสองคนสัมผัสและรับรู้มันได้เสมอ

     

     

     

    “อยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”  

     

     เสียงกระซิบเบาๆของคนที่อยู่ในอ้อมกอดที่ดังขึ้นให้คนที่กอดอยู่ต้องยกยิ้ม ก่อนที่ริมฝีปากบางจะกระซิบลงที่ข้างหูคนในอ้อมกอดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนตามมาด้วยสัมผัสหอมหวานที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ยังไม่เคยรู้เบื่อ

     

     

     

     

    “ค่ะ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป…..ชั้นสัญญา”

     

    .

    .

    .

    .

    .

                                       

     

    “หนาวมั๊ยคะ”       

     

     น้ำเสียงอ่อนโยนและคำถามเดิมๆที่แม้ไม่ได้ยินมานานแต่ก็จำขึ้นใจดังขึ้นให้คนที่กำลังเหม่อลอยตกอยู่ในภวังค์ความคิดต้องสะดุ้งก่อนจะส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธ

     

      คนถามยังคงส่งยิ้มให้เธอรอยยิ้มที่เธอมักได้รับเสมอเมื่อเวลาที่เราอยู่ด้วยกันไม่ใช่แค่เพียงรอยยิ้มเท่านั้น ที่ยังเหมือนเดิม

     

     

    แต่ แววตาคู่นั้นก็เช่นกัน…….แววตาอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยก็ยังคงถูกส่งมาจากดวงตาคู่นั้นเช่นเดียวกัน

     

     

     

    “คุณยังดื้อเหมือนเดิมเลยนะคะ”

    คนพูดเอ่ยด้วยน้ำกลั้วหัวเราะพร้อมกับพยายามกลั้นยิ้มให้คนฟังต้องหันมามองด้วยสายตาไม่เข้าใจ

     

     

     

    “ก็คุณหนะ  ทั้งๆที่ตัวเองก็หนาวแต่ก็ยังชอบปฏิเสธอยู่เรื่อยเลย  คิดว่าตัวเองเป็นคนเหล็กหรือไงคะ”      คำบ่นกลายๆพร้อมกับสีหน้ายิ้มๆทำให้คนถูกบ่นเริ่มหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ

     

    .

    .

    .

    .

     

    “คุณหนะดื้อจังเลยนะคะ  คิดว่าตัวเองเป็นคนเหล็กหรือไงกัน”    

     

    คนที่เธอแอบเรียกลับหลังว่ายัยขี้บ่นเริ่มต้นบ่นเธออีกครั้งเมื่อเห็นเธอหอบกองงานเต็มไม้เต็มมือกลับมาทำที่บ้าน

     

    ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกนะที่เธอโดนบ่นเรื่องนี้ 

     

    เธอหนะโดนยัยขี้บ่นนี่บ่นทุกครั้งที่เธอหอบงานกลับมาทำที่บ้านจนเธอชินซะแล้ว

     

     

    “ก็งานมันเร่งนี่คะ  แล้วอีกอย่างอยากทำให้เสร็จเร็วๆด้วย จะได้มีเวลาว่างอยู่กับคุณเยอะๆไงคะ”    

     

    คนถูกบ่นวางของพะรุงพะรังในมือของตัวเองไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินไปกอดคนที่ยืนกอดอกหน้ามุ่ยอยู่อย่างออดอ้อน

     

     

     

    “นะคะ ขอชั้นทำงานคืนนี้คืนเดียวแล้วต่อไปจะไม่หอบงานกลับมาทำที่บ้านอีก  จริงๆนะ สัญญา”

     

    พูดไปก็ใช้ใบหน้าของตัวเองถูไถกับต้นแขนของอีกคนไปให้คนถูกอ้อนต้องหัวเราะออกมาเบาๆอย่างเขินอาย 

     

     

     

    เธอหนะรู้ดีว่าถ้าถูกบ่นเรื่องงานเมื่อไหร่ก็ต้องใช้ไม้นี้แหละ

    เพราะคนขี้บ่นของเธอหนะ……แพ้ลูกอ้อนของเธอจะตายไป

     

     

    “เลิกใช้ลูกอ้อนของคุณได้แล้วค่ะ  คุณหนะทำงานของคุณไปเลยชั้นจะไปทำอาหารแล้ว”     

     

    คนถูกอ้อนผลักเธอออกเบาๆก่อนจะส่งยิ้มน้อยๆไปให้คนที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดไม่พอใจเมื่อถูกผลักออกมา

     

     

     

    “ ใจร้ายจัง อ้อนหน่อยก็ไม่ได้”    

     

    คนถูกผลักบ่นเบาๆก่อนที่จะทำหน้างอง้ำกว่าเดิมเมื่อเห็นคนที่ตัวเองอยากอ้อนแทนที่จะสนใจเธอกลับหัวเราะออกมาซะงั้น

     

     

    “อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิคะ  เดี๋ยวชั้นไปทำอะไรอร่อยๆให้คุณทานนะ วันนี้มีของที่คุณชอบเยอะแยะเลย”     

     

     คนถูกงอนยังคงพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้คนนั่งหน้างออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

     

     

     

    “เฮ้อ  ให้มันได้อย่างนี้สิ……ชั้นแพ้คุณทุกที”      คนขี้งอนบึนปากก่อนบ่นเบาๆอย่างขัดใจ

     

     

     

     

    ถ้าคนขี้บ่นแพ้ลูกอ้อนของเธอ…….เธอก็แพ้ความอบอุ่นอ่อนโยนของเค้านี่แหละ

     

     

     

    อ้อ  ก่อนลงมาทานข้าวยังไงก็อาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนนะคะ  ชั้นไม่อยากให้คุณอาบน้ำดึกๆ  ช่วงนี้อากาศเย็นเดี๋ยวคุณจะไม่สบายเอา”     

     

     

     

    “ค่า รู้แล้วค่าคุณแม่”    

     

     

    คนขี้บ่นส่ายหน้าเบาๆสองสามทีและหัวเราะออกมาด้วยความเอ็นดูกับคำประชดนั้นก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมทำมื้อเย็นต่อ  หญิงสาวมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ  ทั้งๆที่เราทั้งคู่ก็มีงานที่ยุ่งและรัดตัวแต่เมื่อไหร่ที่เธอกลับถึงบ้านในตอนเย็นก็จะพบกับรอยยิ้มและอ้อมกอดที่อบอุ่นจากรอรับอยู่เสมอ

     

     

     

    มีคนที่รักอยู่ด้วยกัน ดูแลกันในทุกๆวัน……..แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตของคนๆนึง  

     

     

    แค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ………

     

     

    …………………………………………..

     

     

     

    “นอกจากจะดื้อแล้วยังชอบเหม่อเหมือนเดิมด้วยนะคะ”       

     

    เสียงล้อเลียนกลั้วหัวเราะให้คนที่นั่งเหม่อลอยอยู่หันหน้ากลับไปมองคนพูดอย่างไม่พอใจ

     

     

    “คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ ยังขี้บ่นเหมือนเดิมว่าแต่ชั้น”     

     

    คำตอบกลับและท่าทางกอดอกและยู่ปากเหมือนเด็กๆทำให้คนที่กลั้นหัวเราะอยู่อดที่จะหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้   ไม่นานบรรยากาศที่เงียบเชียบเต็มไปด้วยความน่าอึดอัดในตอนแรกก็ผ่อนคลายลงเมื่อคนสองคนเริ่มแสดงออกระหว่างกันและกันด้วยความคุ้นเคยที่เคยชิน

     

    หญิงสาวหัวเราะเบาๆ  ให้กับท่าทางของคนที่กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว  ในตอนนี้เธอไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความบังเอิญที่ทำให้เราได้เจอกัน  ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เธอพยายามที่จะหักห้ามใจไม่ให้ติดต่อกับอีกฝ่ายแทบตาย

     

     

     

    พยายามหักห้ามใจ…..ทั้งๆที่อยากได้ยินเสียงหัวเราะ  เสียงพูดคุยถามไถ่  อยากเห็นหน้าเห็นแววตา


     

    อยากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไรในช่วงเวลาที่เราสองคนไม่ได้พบกัน

     

     

    พยายามหักห้ามใจ….เพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนจนไม่สามารถที่จะปล่อยมืออีกคนไปได้ทั้งๆที่เป็นความต้องการของตัวเองแท้ๆ

     

     

    แต่ก็นั่นแหละโชคชะตามักจะชอบเล่นตลกอยู่เสมอ 

     

     

    ทั้งๆที่พยายามแทบตายแต่จู่ๆฟ้าหรืออะไรก็ตามแต่กลับทำให้เราบังเอิญต้องเจอกัน

     

     

    และทั้งๆที่พยายามแทบตาย แต่ดูเหมือนความพยายามทั้งหมดที่ทำมาตลอดระยะเวลาเกือบสองปีจะพังทลายลงเมื่อมาคนๆนั้นกลับมาอยู่ต่อหน้าของเธอ……..

     

    .

    .

    .

    .

     

    “เรา…..ไม่เจอกันนานเลย”

     

    จู่ๆคนที่หัวเราะอยู่ก็ถามคำถามขึ้นมาเบาๆทั้งที่ปลายเสียงยังเจือเสียงหัวเราะน้อยๆ “คุณ……สบายดีนะคะ”

     

     

    สบายดีมั๊ยหรือ……..จะตอบยังไงดีหละ?

     

     

    อยากจะตอบว่าชั้นไม่สบายเลย……เพราะชั้นคิดถึงคุณทุกวัน คิดถึงเสียงหัวเราะของคุณ  คิดถึงรอยยิ้มของคุณอ้อมกอดของคุณ  คิดถึงวันเวลาเก่าๆระหว่างชั้นและคุณ  ถ้าตอบออกไปแบบนั้นจะได้มั๊ย

     

     

    จะตอบแบบนั้นออกไปได้รึป่าว?

     

     

     

    “สบายดีค่ะ แล้วคุณหละ”

     

    แต่ก็นั่นแหละสมองมักจะสวนทางกับจิตใจเสมอเมื่อจิตใจคิดอีกอย่างแต่สมองกลับสั่งให้ตอบอีกอย่าง

     

     

    คนถูกถามกลับไม่ตอบคำถามใดๆนอกจากส่งยิ้มบางๆกลับมาพร้อมคำพูดที่ทำให้หัวใจคนฟังต้องกระตุก

     

     

    “ชั้นดีใจนะคะที่รู้ว่าคุณสบายดี……

    รอยยิ้มบางๆยังคงประดับอยู่บนใบหน้า หากเธอดูไม่ผิดเธอสังเกตเห็นความหมองเศร้าในแววตาคู่นั้น  แต่มันก็เป็นเพียงแค่ครู่เดียวก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นแววตาอ่อนโยนตามเดิม

     

    เกิดความเงียบน่าอึดอัดขึ้นระหว่างสองเราเมื่อต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง แม้ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาแต่สายตาที่ส่งออกมามันทำให้รู้ได้ว่าในตอนนี้เราต่างก็คิดในเรื่องเดียวกัน 

     

     

     

    คิด……แต่ก็ไม่สามารถที่จะพูดมันออกมาได้

     

    มีเพียงแววตาเท่านั้น…..ที่สื่อความหมายและความรู้สึกทั้งหมดของกันและกัน

     

     

     

    มันจะสายเกินไปรึป่าวนะ…….หากชั้นจะพูดคำนั้นออกมา?

     

    .

    .

    .

    .

     

    “ชั้น……….      

     

     

    RRRRRRRRR---

     

    เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะทำให้เราทั้งคู่สะดุ้งด้วยความตกใจ  มือบางของคนที่นั่งข้างๆคว้ามันขึ้นมาดูก่อนจะเหลือบมองเธอด้วยสีหน้าลำบากใจ

     

     

     

    “รับโทรศัพท์ของคุณเถอะค่ะ  ชั้นไม่แอบฟังหรอก”     

    น้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อยถูกส่งออกไปเพื่อไม่ให้อีกคนต้องคิดมาก  เธอเห็นคนข้างๆส่งยิ้มกลับมาก่อนจะรับโทรศัพท์ด้วยเสียงอันแผ่วเบา

     

     

     

    “ค่ะจง…..คุณมาถึงแล้วหรือคะ  ค่ะ  แล้วเดี๋ยวชั้นจะออกไป”

     

     

    เบาของเค้า……..

     

    แต่ดัง…….ในความรู้สึกของเธอ

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    “ชั้น……คงต้องไปแล้วค่ะ”      

     

    คำพูดเบาๆทำให้เธอต้องกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอก่อนจะพยายามส่งยิ้มฝืนๆกลับไป

     

     

    “ไปเถอะค่ะ……เดี๋ยว…..คนของคุณ จะคอย”        

     

    ไม่รู้ว่าพูดออกไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอย่างไรคนที่มองเธออยู่ถึงมองกลับมาด้วยแววตาเช่นนั้น  แววตาที่ไม่รู้จะตีความว่าอย่างไร

     

     

    ระหว่างเศร้าหมอง…..ตัดพ้อ……หรือเสียใจ

     

    .

    .

    .

    .

     

    เธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเฝ้ามองตามแผ่นหลังบอบบางที่คุ้นเคยซึ่งกำลังเดินห่างออกไปหาใครบางคน  คนทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันก่อนที่ฝ่ายชายจะถอดผ้าพันคอออกจากคอของเค้าและคล้องให้กับเธอคนนั้นอย่างอ่อนโยน  เธอเห็นหญิงสาวคนนั้นเหลือบมองมาที่เธอก่อนจะส่งยิ้มบางๆอย่างลำบากใจให้ฝ่ายชายและเดินออกไปพร้อมกัน…….

     

     

    ไกลออกไป……จนเธอเอื้อมไม่ถึง

     

    ไกลออกไป……จนเธอตัดสินใจรั้งไว้ไม่ทันทั้งที่ห่างกันแค่เอื้อมมือ

     

    แค่เอื้อมมือ

     

    เหมือนวันนั้น……..

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    “ทำไม  คุณบอกเหตุผลมาสิว่าทำไมคุณถึงพูดแบบนี้”     

    คำพูดตัดพ้อพร้อมน้ำตาทำให้เธอต้องเบือนหน้าหนีอย่างพยายามหักใจ

     

     

    “เพราะชั้นเบื่อหนะสิ เบื่อมาก”   

     

    ปากก็บอกว่าเบื่อแต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม คนฟังอยู่ส่ายหัวไปมาเหมือนไม่เชื่อถือในเหตุผลที่เธอพูดมันออกมา

     

     

    “ไม่จริงคุณไม่ใช่คนแบบนั้น  ชั้นไม่เชื่อ คุณใจเย็นๆก่อนนะคะแล้วเราค่อยๆคุยกัน  ไหนคุณเคยบอกว่าถ้าเรามีปัญหาอะไรเราจะช่วยกันแก้ไง”      

     

    น้ำเสียงเว้าวอนยังคงถูกส่งออกมาให้คนฟังต้องใจสลายหากแต่เจ้าตัวกลับพยายามซ่อนมันไว้

     

     

    “ชั้นบอกว่าเบื่อก็เบื่อสิ  ชั้นเบื่อคุณแล้ว  เบื่อที่ต้องอยู่แบบนี้ทุกๆวัน เบื่ออะไรที่ซ้ำซากจำเจ คุณเข้าใจมั๊ยว่าชั้นเบื่อ!!”     

     

    น้ำเสียงตวาดที่เธอไม่เคยเลยสักครั้งที่จะใช้พูดกับคนตรงหน้าถูกส่งออกไปให้คนฟังต้องนิ่งอึ้ง  หากแต่คนที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่กลับพยายามทำใจเย็นทั้งที่ดูก็รู้ว่าเค้าตกใจและหวาดกลัวเธอแค่ไหน

     

     

    “คุณเบื่ออะไรคุณบอกชั้นนะคะ  แล้วชั้นจะพยายามปรับเปลี่ยนให้ถูกใจคุณ ขอแค่คุณใจเย็นๆ”    

     

    น้ำเสียงและคำอ้อนวอนเกือบจะทำให้เธอต้องใจอ่อนหากแต่เธอต้องอดทนเข้าไว้ถ้าไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่เธอทำมาจะต้องสูญเปล่า

     

     

    “คุณไปซะเถอะ”    

     

     

    “ไม่ชั้นไม่ไป”      คนขอร้องยังคงขอร้องทั้งน้ำตา    “ถ้าชั้นไป……แล้วใครจะดูแลคุณ  คุณทำอาหารไม่เป็น  คุณไม่ดูแลตัวเองทั้งที่คุณป่วยง่าย  แล้วเวลาที่คุณทำงานดึกๆใครจะคอยอยู่เป็นเพื่อนคุณ คุณรู้มั๊ยว่าชั้นเป็นห่วงคุณแค่ไหน คุณรู้มั๊ยว่าชั้นรักคุณ…….”      

     

     

    น้ำเสียงสุดท้ายแผ่วเบาและเจือไปด้วยเสียงสะอื้นให้คนใจแข็งต้องหัวใจแตกสลาย

     

     

    “แต่ชั้นไม่ได้รักคุณแล้ว”    

     

    น้ำเสียงเรียบเย็นทำให้คนฟังต้องหัวใจสลายออกเป็นเสี่ยงๆ  หญิงสาวตรงหน้ามองเธออีกครั้งด้วยแววตาตื่นตกใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อและ…….เสียใจ

     

    .

    .

    .

    .

     

    เงียบและว่างเปล่า  เธอคนนั้นจากไปแล้วจากไปอย่างที่เธอต้องการ 

     

    หญิงสาวฟุบหน้าลงกับมือของตนเองและเริ่มต้นร้องไห้ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ใช่แค่เค้าที่หัวใจแตกสลายเธอเองก็ไม่ต่างกัน  ไม่ใช่ว่าเธอไม่รัก  ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป  เธอรักผู้หญิงคนนี้มากเหลือเกิน มากจนยอมทำทุกอย่างได้เพื่อให้เค้ามีความสุข มากจนยอมที่จะปล่อยมือจากเค้าไป

     

     

    ทุกสิ่งทุกอย่างก็เพราะเธอรัก…….และรักมาก

     

    ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากทำแบบนี้เลย ไม่อยากตัดสินใจแบบนี้เลย……..

     

    ถ้าเพียงแต่เธอเข้มแข็งพอ

     

     

     

    หากแต่เสียงคำพูดของใครบางคนยังคงก้องสะท้อนอยู่ในความทรงจำ……คำพูดที่ทำให้เรื่องราวทุกอย่างต้องลงเอยเช่นนี้

     

    “เลิกกับแทยอนซะเถอะถ้าเธอรักเค้าจริง  ลูกสาวของชั้นต้องมีอนาคตที่ดีกว่านี้  หรือเธออยากให้คนในสังคมมองคนที่เธอรักว่าเป็นพวกผิดปกติรึไง  ถึงเธอทนได้ แต่ชั้นทนไม่ได้หรอกนะที่จะเห็นลูกสาวของตัวเองเป็นที่รังเกียจของสังคม

     

     

     

    อ่อแล้วหวังว่า แทยอน จะไม่รู้เรื่องนี้ เธอทำได้ใช่มั๊ย”

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ทิฟฟานี่ยังคงนั่งอยู่ตรงนี้น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกมาจนหยดเลอะซองกระดาษสีฟ้าอ่อนๆ ซึ่งเป็นสีที่คนที่ให้เธอไว้ชอบ  เธอไม่รู้ว่าน้ำตาที่ไหลตอนนี้เป็นเพราะเรื่องราวในอดีตหรือเพราะเรื่องราวในปัจจุบันกันแน่  กระดาษสีหวานข้างในซองถูกกางไว้บนตักแสดงให้เห็นว่าคนที่กำลังร้องไห้อยู่ได้รับรู้และอ่านมันแล้ว

     

     

    เนื้อหาในกระดาษที่เธออ่านเพียงรอบเดียวก็เข้าใจ……..

     

     

     

    ขอเชิญร่วมงานมงคลสมรส

    ระหว่าง

    Kim taeyeon&  KimJonghyun

     

     

     

    ……………………………………………..

     

    ไม่รู้ว่าพาตัวเองมาถึงสถานที่แห่งนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกที่ก็มายืนอยู่หน้าสถานที่แห่งนี้แล้ว

     

     

    โบสถ์เก่าแก่ที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้โทนสีฟ้าและขาวดูสวยงามและอ่อนหวานในคราวเดียวกัน

     

     

    หญิงสาวเลือกเดินไปยังที่นั่งหลังสุดซึ่งไม่สะดุดตาคนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งพลางยกยิ้มบางๆให้กับตนเอง ไม่นานเวลาที่ทุกคนรอคอยคงยกเว้นแต่เธอก็มาถึง

     

     

    เจ้าบ่าวหล่อเหลาในชุดทักสิโด้สีขาวดูดีเดินเข้ามาในพิธีด้วยรอยยิ้ม เพียงไม่นานเสียงดนตรีคลาสิคก็เริ่มบรรเลงขึ้นพร้อมๆกับการปรากฏตัวของเจ้าสาวในชุดสีขาวดูอ่อนหวานพร้อมกับรอยยิ้มให้บรรดาแขกในงานต้องยิ้มตาม

     

     

    รอยยิ้ม....ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเธอ

     

     

    มือบางของเจ้าสาวถูกกอบกุมด้วยมือหนาของผู้เป็นบิดาผู้ที่กำลังจะส่งมอบบุตรสาวอันเป็นที่รักของตนเองให้กับชายหนุ่มที่ยืนรออยู่ตรงหน้าให้ดูแล

     

    ทิฟฟานี่มองภาพนั้นผ่านม่านน้ำตา……แทยอนวันนี้ดูสวยอ่อนหวานและน่าทะนุถนอมเหลือเกิน เธอกำลังส่งยิ้มและก้าวเดินช้าๆเพื่อไปหาผู้ชายที่โชคดีคนนั้น

     

     

    ผู้ชาย….ที่กำลังเอื้อมมือมารับมือของคนที่เธอรักไป

     

     

    ผู้ชาย…..ที่กำลังจะกลายเป็นคนที่ปกป้องและดูแลคนที่เป็นเสมือนหัวใจของเธอ

     

     

    ผู้ชาย……ที่เธออิจฉาเค้าจนสุดหัวใจ

     

     

     

    ……………………………………….

     

     

    ชั้นรักเธอนะแทยอน

     

    หญิงสาวกระซิบเบาๆ ก่อนที่จะลุกเดินออกไปจากพิธีที่กำลังดำเนินอยู่

     

    ออกไป…..โดยที่ไม่รู้ว่าในวินาทีสุดท้ายที่ตนเองก้าวพ้นไปจากประตูโบสถ์แล้ว

    ผู้ที่เป็นเจ้าสาวกำลังหันหลังกลับมามอง……

     

     

     

     

    มองโดยที่ไม่พบอะไร………..

     

     

     

    END.







    จบ  story  1   อ่านแล้วคอมเม้นให้กันบ้างนะคะ  แล้ว  Story 2  จะตามมาในไม่ช้า

    ปล. Story ทั้ง 4 ตอน เป็นเรื่องเดียวกันนะคะ



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×