ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Battleplan - แผนยุทธการ

    ลำดับตอนที่ #2 : การรบแบบกองโจร (Guerilla Warfare)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.พ. 53


    การรบแบบกองโจร (Guerilla Warfare)

    การรบแบบกองโจรมิใช่รูปแบบการทำการรบรูปแบบใหม่ หากแต่เป็นรากฐานของการทำสงครามในยุคปัจจุบันอย่างลึกล้ำ และเมื่อการรบแบบกองโจรกลายมาเป็นแบบแผนการรบที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อต่อกรกับกลุ่มกบฎและภัยคุกคามต่าง ๆ ซึ่งภัยคุกคามเนื่องมาจากสาเหตุสองประการข้างต้นนั้นล้วนทั้งโหดร้ายและอันตราย

    การรบแบบกองโจรเป็นหนึ่งในรูปแบบการรบที่เก่าแก่ที่สุดแบบหนึ่งของโลก เนื่องจากมันเป็นการเข้าต่อสู้ระหว่างกองกำลังฝ่ายหนึ่งซึ่งอ่อนแอทางยุทธศาสตร์กว่าอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งมีความเข้มแข็งกว่าทางยุทธศาสตร์ โดยรูปแบบการรบส่วนใหญ่จะเป็นการลอบโจมตี ซึ่งจะอำนวยให้ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าสามารถบรรลุชัยชนะทางทหารได้

    และสงครามหลายครั้งในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 21 ได้เสนอว่ารูปแบบการรบแบบกองโจรจะถูกใช้บ่อยครั้งในอนาคต ดังที่มันได้ถูกจารึกเอาไว้ในอดีต
     
    องค์ประกอบ/ขั้นตอนของการรบแบบกองโจร
     
    จุดประสงค์

    ผู้บัญชาการซึ่งเริ่มต้นการรบแบบกองโจรและผู้บัญชาการที่ต่อต้านการรบแบบกองโจร จำเป็นจะต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและเจาะจงทั้งในด้านการเมืองและการทหาร 

    โดยจุดประสงค์นั้นจะต้องไม่เพียงแต่มีจุดประสงค์ทางการทหารในระยะสั้นเท่านั้น แต่ต้องรวมไปถึงเป้าหมายทางการเมืองในระยะยาวด้วย

    การสนับสนุนของมวลชน

    ผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายจะต้องได้รับการสนับสนุนจากมวลชนในพื้นที่ที่มีการสู้รบ

    การเสริมสร้าง

    ทั้งสองฝ่ายจะต้องสร้างกองทัพของตน

    ในกรณีของฝ่ายกบฎ กองทัพดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยฝ่ายทหารและฝ่ายพลเรือนด้วย กองทัพดังกล่าวจะต้องสามารถรับมือกับกองกำลังของอีกฝ่ายหนึ่งได้ หรือกองทัพดังกล่าวจะต้องสามารถชักจูงแนวคิดทางการเมืองของตนไปยังแหล่งที่อยู่อาศัยอื่น ๆ ด้วย ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะกลายเป็นกองทัพอันยิ่งใหญ่

    การล้างผลาญ

    ทั้งสองฝ่ายจะต้องใช้ทฤษฎีทางการทหารของตนในการทำลายล้างกองทัพของอีกฝ่ายลง

    ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

    ผู้บัญชาการจะต้องสามารถยกระดับจากการรบแบบกองโจร (ซึ่งเป็นโจมตีแล้วหนี) ให้กลายเป็นการรบตามแบบขนาดใหญ่

    การยึดครอง
    ฝ่ายกบฎจะต้องทำการยึดครองรัฐบาล และทำการยึดอำนาจ
    ฝ่ายผู้ต่อต้านกบฎจะต้องหยุดยั้งการรบแบบกองโจรลง และทำการปราบปรามฝ่ายกบฎ

    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
     
    สงครามเวียดนาม (1962-1975)




    ประเทศเวียดนามถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้

    นายพลเวียดนามเหนือ โว เหงวียน เกี๊ยบ ต้องการยุทธศาสตร์เพื่อการรวมประเทศภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์
    ส่วนทางตอนใต้ นายพลชาวอเมริกัน วิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการต่อต้านนายพลเกี๊ยบและหยุดยั้งการแพร่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์

    จริงอยู่ที่สหรัฐอเมริกามีเทคโนโลยีทางการทหารที่ทรงอานุภาพ และยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ อีกทั้งขีดความสามารถในการทำลายอีกฝ่ายลงได้อย่างง่ายดาย แต่ในเวียดนาม กองทัพอเมริกันจะถูกบีบทำให้ไม่สามารถทำการรบตามแบบสมัยใหม่ได้ แต่ถูกบีบบังคับให้ต้องรบตามรูปแบบโบราณซึ่งมีมาแล้วหลายพันปี
     
    ในปี ค.ศ. 1961 คณะที่ปรึกษาทหารชาวอเมริกันชุดแรกที่ส่งไปยังเวียดนามใต้โดยประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคเนดี โดยมีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้ในความพยายามที่จะต่อต้านการแพร่ขยายของเวียดนามเหนือ

    ทว่านับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1945 กองโจรคอมมิวนิสต์ เวียดมินห์ ได้ทำการรบเพื่อปลดแอกเวียดนามจากฝรั่งเศส โดยมีจุดประสงค์ในการขับไล่ทหารฝรั่งเศส รวมประเทศเวียดนามและจัดตั้งการปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ และในปี ค.ศ. 1954 กองโจรเวียดมินห์ภายใต้การบัญชาการของนายพลโว เหงวียน เกี๊ยบได้ทำลายกองทัพฝรั่งเศสอย่างราบคาบที่ค่ายเดียนเบียนฟู



    เมื่อฝรั่งเศสออกไปจากคาบสมุทรอินโดจีน สหรัฐอเมริกาก็เข้ามาสนับสนุนรัฐบาลเวียดนามใต้แทนฝรั่งเศส ซึ่งได้ขยายตัวกลายเป็นการทำสงครามอย่างรวดเร็ว

    โดยสำหรับฝ่ายเวียดนามเหนือ นายพลโว เหงวียน เกี๊ยบ ศัตรูของเขาเป็นพวกใหม่ แต่จุดประสงค์ยังคงเดิม คือ ขับไล่ทหารจากต่างชาติ และรวมประเทศภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์

    แต่สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับปัญหาอันยุ่งยากซับซ้อน ฝรั่งเศสไม่อาจควบคุมการขยายตัวของระบอบคอมมิวนิสต์ในเวียดนามเหนือได้ และขณะนี้กำลังขยายตัวลงไปทางใต้

    สหรัฐอเมริกาไม่อาจทนความขมขื่นที่จะยอมให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นได้ โดยพวกเขาได้เข้ามามีส่วนพัวพันมากขึ้นเรื่อย ๆ และในช่วงทศวรรษ 1960 สหรัฐอเมริกาก็เข้าสู่ปลักโคลนนี้อย่างเต็มตัว
    แม้ว่าเหล่าที่ปรึกษาทหารชาวอเมริกันเพิ่งจะใหม่ต่อการเข้าร่วมในสงครามเวียดนาม แต่พวกเขาก็ทราบถึงรูปแบบการรบที่พวกเขาต้องเผชิญ



    ในปี ค.ศ. 1964 นายพลชาวอเมริกันคนใหม่เดินทางมาถึงเวียดนาม คือ นายพลวิลเลียม เวสต์มอร์แลนด์ เขามีเป้าหมายที่ชัดเจน นั่นคือ ทำลายฝ่ายกบฎลงอย่างราบคาบ โดยใช้วิธีค้นหาศัตรูแล้วสังหารด้วยยุทโธปกรณ์อันทันสมัยกว่า

    ส่วนทางด้านนายพลเวียดนามเหนือ โว เหงวียน เกี๊ยบ มีเป้าหมายที่ชัดเจนเช่นกัน นั่นคือ ใช้กำลังทั้งหมดในการขับไล่ทหารอเมริกันออกไป 

    นอกเหนือจากนั้น
    ในเวียดนาม นายพลเกี๊ยบและผู้มีอำนาจทางการเมือง และนายพลเวสต์มอร์แลนด์และผู้มีอำนาจทางการเมือง ต่างก็มีวัตถุประสงค์ทางทหารของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว

    สำหรับด้านการเมือง เวียดนามเหนือมีเป้าหมายระยะยาว คือ การรวมประเทศ แต่เป้าหมายของสหรัฐอเมริกาภายหลังจากการปราบการคุกคามของภัยคอมมิวนิสต์แล้วยังคลุมเครืออยู่

    เมื่อมาถึงขั้นนี้จึงจำเป็นจะต้องเข้าสู่องค์ประกอบต่อไปของการทำการรบแบบกองโจร นั่นคือ การสนับสนุนของมวลชน
    ในเวียดนาม หลังจากที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาพัวพันเพิ่มมากขึ้น นายพลอย่างเช่น เวสต์มอร์แลนด์ ประสบกับปัญหาอย่างหนึ่ง คือ พวกเขาไม่ได้เริ่มจากจุดเริ่มต้น แต่ประสบกับสถานการณ์ซึ่งฝรั่งเศสสมัยอาณานิคมเคยประสบมาแล้ว
    แต่ทางด้านคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือได้ใช้เวลาหลายปีเพื่อชนะใจและควบคุมจิตใจของชาวเวียดนามใต้ โดยมีการปลุกระดมให้เกิดความรักชาติของชาวเวียดนาม โดยสร้างภาพว่าสหรัฐอเมริกาเป็นผู้รุกรานและสนับสนุนรัฐบาลหุ่นเชิดของตน ซึ่งทำให้ชาวเวียดนามใต้มีแนวโน้มจะถูกชักจูงโดยเงาคอมมิวนิสต์

    เพื่อที่จะหักล้างแนวความคิดดังกล่าว รัฐบาลเวียดนามใต้และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาผู้หนุนหลังจะต้องกระทำบางสิ่งบางอย่างโดยการมอบความปลอดภัยจากการแทรกซึมของระบอบคอมมิวนิสต์ เพื่อที่พวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าระบอบประชาธิปไตยมีเสถียรภาพและจะเจริญยิ่งขึ้นไป

    แต่ทหารคอมมิวนิสต์นั้นค่อนข้างจะเหี้ยมโหด และเมื่อพวกเขาสามารถยึดครองหมู่บ้านหรือพื้นที่ต่าง ๆ ก็จะเกิดความหวาดกลัวตามมา ตรงจุดนี้เองที่รัฐบาลเวียดนามใต้และสหรัฐอเมริกาไม่สามารถแก้ไขได้อย่างได้ผล

    อีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญที่สหรัฐอเมริกาไม่ประสบความสำเร็จในด้านการสนับสนุนจากปวงชน นั่นคือ นายพลเวสต์มอร์แลนด์ไม่ใส่ใจถึงความจำเป็นของการสนับสนุนดังกล่าว เขาเห็นว่าปฏิบัติการทางทหารมีความสำคัญมากกว่าการเอาชนะใจมวลชน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่งของการรบแบบกองโจร แต่ตรงกันข้ามกับทางด้านเวียดนามเหนือ

     
    ในเวลาต่อมา นายพลทั้งสองฝ่ายจะต้องบรรลุขั้นตอนต่อไปของการทำการรบแบบกองโจร นั่นคือ การเสริมสร้าง

    นายพลเกี๊ยบมีกองกำลังสองแบบในการทำการรบกับสหรัฐอเมริกา โดยมี กองกำลังปกติ คือ กองทัพเวียดนามเหนือ ซึ่งเขาได้ส่งกองกำลังแทรกซึมเข้าไปทางใต้ และกองโจรเวียดกง ซึ่งเป็นทหารเกณฑ์มาจากเวียดนามใต้

    ระหว่างที่ได้มีการเสริมสร้างกองกำลังทั้งสอง เวียดนามเหนือยังได้ประโยชน์จากการถอนตัวของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการสร้างความเสียหายให้กับสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้ในขณะเดียวกัน ระหว่างการสู้รบทางการเมืองเพื่อชิงเอาการสนับสนุนจากปวงชนกำลังดำเนินไป

    ในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสถอนตัวออกจากเวียดนามกับช่วงที่สหรัฐอเมริกาเข้ามาพัวพันอย่างเต็มตัว เวียดนามเหนือได้เพิ่มการแทรกซึมระบอบคอมมิวนิสต์ไปทั่วประเทศ ดังนั้น เมื่อสหรัฐอเมริกาใช้กำลังเข้าปราบปราม พวกเขาก็ได้ต่อสู้กับทหารกว่าหมื่นคนซึ่งเพิ่งจะถูกชักจูงไปในทางคอมมิวนิสต์ ความได้เปรียบทางการทหารดังกล่าวทำให้นายพลเกี๊ยบสามารถสนับสนุนแนวทางทางการเมืองได้

    เวียดนามเหนือได้ส่งนักปรัชญา ซึ่งได้ขยายแนวความคิดดังกล่าวไปยังหมู่บ้านและเมืองอื่นต่อ ๆ กันไป พวกเขานั้นได้เป็นส่วนที่ละเอียดอ่อนสำหรับคนในพื้นที่เป็นอย่างมาก อันเป็นผลให้การเสริมสร้างกองทัพของเวียดนามเหนือประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

    ส่วนทางด้านนายพลเวสต์มอร์แลนด์เองก็มีกองทัพอยู่สองกองทัพเช่นกัน นั่นคือ กองทัพอเมริกันและกองทัพเวียดนามใต้ เริ่มต้นในปี ค.ศ. 1966 กองบัญชาการของเวสต์มอร์แลนด์ได้ให้กองทัพดังกล่าวมีการดำเนินการออกเป็นสองทาง คือ
    กองทัพอเมริกันจะมอบโล่กำบังเบื้องหลังกองทัพเวียดนามใต้ในการผนึกกำลังกันมอบความมั่นคงให้กับพื้นที่อยู่อาศัยเพื่อจะได้รับการสนับสนุนจากมวลชน

    กำลังผสมดังกล่าว ประกอบด้วยยุทโธปกรณ์อันทันสมัยของสหรัฐอเมริกา และการมอบความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในถิ่นชนบท ว่าจะสามารถหยุดยั้งภัยคอมมิวนิสต์ได้ เช่นเดียวกับเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลเวียดนามใต้ในสายตาประชาชนด้วยเช่นกัน

    ในการตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ของนายพลเวสต์มอร์แลนด์ เขาจำเป็นจะต้องรับมือกับกองกำลังทั้งสองประเภทของนายพลเกี๊ยบ ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับสหรัฐอเมริกาและเวียดนามใต้

    ในทางหนึ่ง พวกเขาจะต้องรับมือกับการรบตามแบบกับกองทัพเวียดนามเหนือ
    และอีกทางหนึ่ง พวกเขาจะต้องต่อต้านการรบแบบกองโจรของเวียดกง

    เวสต์มอร์แลนด์มีทางเลือกรูปแบบการรบเพื่อจะต่อกรอยู่สามแบบ คือ
    1. การรบตามแบบ
    2. การต่อต้านการรบแบบกองโจร
    3. รูปแบบสมดุลระหว่างทั้งสอง

    ซึ่งจากความเชื่อที่ว่ากองทัพเวียดนามเหนือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ ดังนั้น เขาจึงได้เลือกยุทธวิธีการรบตามแบบ ซึ่งทำให้ยุทโธปกรณ์และทรัพยากรในการต่อต้านการรบแบบกองโจรนั้นไม่เพียงพอ และสหรัฐฮเมริกายังได้ส่งกองกำลังทหารของตนเข้าไปเพิ่มในเวียดนามใต้อย่างมาก (จาก 2,000 นายในปี 1962 เป็น 500,000 นายในปี 1969)



    สหรัฐอเมริกาคงกองกำลังทั้งหมดนี้ในเวียดนามใต้ ในพื้นที่ซึ่งมีความจำเป็นต้องเรียกใช้ และเมื่อการรบเป็นไปอย่างโหดร้ายมากกว่าการสนับสนุนจากปวงชน ซึ่งวิธีการของกองทัพอเมริกันได้เลือกที่จะปฏิบัติ โดยการใช้ความรุนแรงทางทหาร
    ดังนั้น วิธีการของเวสต์มอร์แลนด์ในเวียดนาม จึงเหมือนกับการรบตามแบบ มิใช่การต่อต้านการรบแบบกองโจร
    เมื่อถึงขั้นตอนดังกล่าว ทั้งนายพลเกี๊ยบและนายพลเวสต์มอร์แลนด์จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป นั่นคือ การกวาดล้างกองกำลังของอีกฝ่าย ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ให้ความหมายที่แตกต่างกัน

    สำหรับ นายพลเกี๊ยบ คือ การกระทำเพื่อแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาไม่สามารถเอาชนะตนได้ และหว่านล้อมให้เชื่อว่าสหรัฐอเมริกาควรจะออกจากปลักโคลนนี้

    สำหรับนายพลเวสต์มอร์แลนด์ คือ การทำลายล้างอีกฝ่ายลงทางกายภาพ โดยเชื่อว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายลงได้โดยการสังหารทหารฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    นอกจากนั้น เมื่อต้องเผชิญกับกองทัพทั้งสองแบบของนายพลเกี๊ยบ กองทัพของเวสต์มอร์แลนด์จึงประสบกับปัญหาอีกอย่าง นั่นคือ กองทัพของเขาจำเป็นต้องบังคับให้กองโจรออกมาจากป่า แต่สภาพภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยต่อการรบของทหารอเมริกันมากนัก เมื่ออยู่ในภูมิประเทศซึ่งไม่เป็นมิตร จึงมักจะถูกลอบโจมตีบ่อย ๆ

    ยุทธวิธีของนายพลเกี๊ยบดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จ ทว่าเขาก็ได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในปี ค.ศ.1965

    เมื่อถึงจุดนี้ ทั้งสองฝ่ายจำเป็นจะต้องเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปของการรบแบบกองโจร นั่นคือ การเปลี่ยนจากการรบแบบกองโจรมาเป็นการรบตามแบบ

    ในปี 1965 นายพลเกี๊ยบตัดสินใจที่จะเปลี่ยนจากการรบแบบกองโจรไปเป็นการรบตามแบบ โดยมีเป้าหมายที่จะรับมือกับกองทัพอเมริกันและเวียดนามใต้ในรูปแบบของการรบตามแบบ และพยายามทำลายรัฐบาลเวียดนามใต้อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้กองทัพของเขาเป็นเป้าอย่างง่ายดายสำหรับยุทโธปกรณ์อันทันสมัยกว่าของกองทัพอเมริกัน

    ในช่วงปี 1965-1966 เป็นช่วงที่กองทัพอเมริกันสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับกองโจรของนายพลเกี๊ยบ เขากำลังจะแพ้ 

    ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนยุทธวิธีอีกครั้งหนึ่ง โดยการนำมิติการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทัพของเขา โดยการนำสงครามเวียดนามเข้าไปยังบ้านของชาวอเมริกัน

    ในวันตรุษญวน เขาได้ส่งกองกำลังเวียดนามเหนือเข้าไปยัง 36 หัวเมืองของเวียดนามใต้ทั่วประเทศ ซึ่งเคยคาดกันว่าอยู่นอกเหนือระยะทำการรบของเวียดนามเหนือ กองทัพดังกล่าวรบแบบฆ่าตัวตาย โดยไม่มีอาวุธหนัก และต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่า 

    แต่สถานการณ์กลับดูเหมือนว่า กองทัพเวียดนามเหนือกำลังอาละวาดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
     
    กองทัพของนายพลเกี๊ยบเสียหายอย่างหนักก็จริง แต่ข่าวทางโทรทัศน์ได้ประโคมข่าวการรุกดังกล่าวในสหรัฐอเมริกา และได้มีการเดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม

    นายพลเกี๊ยบอาจจะแพ้ในการรบทางทหาร แต่เขาจะชนะในทางการเมือง



    สหรัฐอเมริกาได้วางแผนจะถอนตัวออกจากเวียดนามใต้ โดยมีปัจจัยทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจ คือ วิกฤตการณ์น้ำมันในช่วงนั้น และความเป็นไปของสงครามเย็นที่ยังคงตึงเครียด แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ การเดินขบวนต่อต้านสงคราม ดังนั้น การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าเป็นการตัดสินใจทางการเมืองมากกว่าทางทหาร

    สหรัฐอเมริกาต้องการออกจากสงคราม

    เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1969 กองกำลังภาคพื้นของอเมริกันเริ่มถอนกำลังออกมา และส่วนมากถอนกำลังออกมาภายในสองปี

    หลังจากนั้น ในเดือนมีนาคม 1972 เวียดนามเหนือเริ่มปฏิบัติการรุกทั่วประเทศอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะได้รับการต่อต้านจากกองทัพเวียดนามใต้ ซึ่งได้รับกำลังสนับสนุนทางอากาศจากสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกจากเวียดนามใต้อย่างสมบูรณ์ในปี 1973 
    หลังจากนั้น ในวันที่ 30 เมษายน 1975 รถถังเวียดนามเหนือเป็นหัวหอกในการยึดกรุงไซ่ง่อน

    เวียดนามเหนือประสบความสำเร็จในขั้นตอนสุดท้ายของการรบแบบกองโจร นั่นคือ การยึดครองอำนาจ


    สรุป
    จุดประสงค์
    นายพลเกี๊ยบมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน - รวมประเทศภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์
    นายพลเวสต์มอร์แลนด์มีจุดประสงค์ทางทหารที่ชัดเจน - หยุดยั้งการขยายตัวของระบอบคอมมิวนิสต์ แต่ไม่มีจุดประสงค์ทางการเมืองที่ชัดเจน
    การสนับสนุนจากมวลชน
    นายพลเกี๊ยบสร้างระบบที่จะเอาชนะใจชาวเวียดนามใต้
    นายพลเวสต์มอร์แลนด์เอาใจใส่ในเรื่องนี้น้อยกว่า แต่พิจารณาว่าทฤษฎีการรบตามแบบจะสามารถเอาชนะใจประชาชนได้
    การเสริมสร้างกำลังทหาร
    นายพลเกี๊ยบมีกองทัพสองแบบ คือ กองทัพเวียดนามเหนือและกองโจรชาวเวียดนามใต้
    นายพลเวสต์มอร์แลนด์มีกองทัพอเมริกันและกองทัพเวียดนามใต้
    การล้างผลาญ
    นายพลเกี๊ยบวางแผนที่จะเอาชนะพวกอเมริกันโดยการบีบบังคับให้ทหารอเมริกันถอนตัวออกไปเอง
    ส่วนนายพลเวสต์มอร์แลนด์วางแผนที่จะสังหารทหารเวียดนามเหนือและเวียดกงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ
    นายพลเกี๊ยบเกือบจะแพ้สงครามเนื่องจากเขาเปลี่ยนมาเป็นการรบตามแบบเร็วเกินไป แต่หลังจากทหารอเมริกันเริ่มถอนตัวออกไป การรุกของเวียดนามเหนือก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กองทัพเวียดนามใต้ไม่อาจตั้งรับได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    การยึดครอง
    ประเทศเวียดนามถูกรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง ภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์

    ----------------------------
    การรบแบบกองโจรเป็นรูปแบบที่พบกันอย่างมากในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 และคาดว่าจะดำเนินต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 21 

    ตราบเท่าที่มีการต่อสู้ระหว่างฝ่ายหนึ่งซึ่งมีความอ่อนแอทางยุทธศาสตร์กว่าอีกฝ่ายหนึ่ง การรบแบบกองโจรก็จะยังคงดำเนินอยู่ต่อไป โดยคำนึงถึงเป้าหมายทางการเมืองของการแทรกซึมอีกฝ่ายมากกว่าการรุกรานทางทหาร

    การรบแบบกองโจรถือว่าเป็นรูปแบบที่เป็นรากฐานของการสู้รบอีกหลายอย่าง

    ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้จะเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยีแล้ว แต่ทว่าความสำคัญของความสามารถของปัจเจกชนกลับมีความสำคัญมากกว่ายุทโธปกรณ์สมัยใหม่อันเลิศหรู

    การรบแบบกองโจรจะเป็นการทำให้ดาวิดสามารถเอาชนะโกไลแอธ
    จากเหตุผลดังกล่าว มันจะยังคงใช้การได้ต่อไป
    และด้วยเหตุผลนี้เอง มันจะอยู่กับเราต่อไปตราบนานเท่านาน
    เรียบเรียงจาก http://say2.org/battleplan-12-guerilla-warfare
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×