คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่3 can you tell me
เวลาช่วงสายๆนี้แหละเหมาะแก่การนอนและนอนที่สุด แต่เขาจะนอนได้ไง ก็ในเมื่อองค์ชายใหญ่ของฟอริอาร์มาชวนเขาไปกินของว่าง..อีกแล้ว
วันนี้คงเป็นวันที่ อืมมม..สิบสองแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงก็วอแวดงพโยจนถึงวันนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรให้น่าคุยด้วยเขาเองยังไม่รู้เลย
พอย่างก้าวออกมาจากตำหนัก มองไปที่สวนอโณณาก็ยังเหมือนเดิมทุกวัน คือองค์ชายเซนิแอลผู้สง่างามยิ่งกว่าใคร แถมยังแต่งตัวธรรมดาแต่ดูแพ๊งแพงนั่งจิบน้ำชาที่เก้าอี้เหล็กสีขาว
"อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านพี่"
เขาทักทายก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างหน้าองค์ชายใหญ่เหมือนทุกวัน
"อื้ม.. วันนี้มีชาจับเลี้ยงกับเค้กสตอเบอร์รี่นะ"
ท่านพี่จะเลือกอะไรมาให้เขากินมันก็อร่อยหมดนั้นแหละ
...จู่ๆองครักษ์ของท่านพี่เซนิแอลก็วิ่งเข้ามาหาแล้วพูดกล่าวอะไรกันสักอย่างและเดินออกไป
องค์ชายใหญ่วางชาที่จิบอยู่ในมือลง แล้วเงยหน้ามองมาที่เขา..
"มีอันใดหรือขอรับ ทำไมมองข้าแบบนั้น" ใจไม่ดีเลยแฮะ
"ข้าต้องกลับไปหาท่านพ่อของข้าน่ะ พอดีท่านพ่อประชวร ต้องรับการรักษาสักพัก ข้าเลยต้องไปรับราชการแทนสักพัก"
...จะกลับแล้ว งั้นหรือ?
"ว วันไหนหรือขอรับ"
"วันนี้ ตอนนี้"
"..."
"เป็นอะไร อย่าเศร้าไปเลยเดี๋ยวเจ้าก็ได้พบข้า"
มันเป็นแค่คำปลอบใจใครก็รู้ กว่าจะได้พบกันน่ะมันต้องอีกนานแค่ไหน ถ้าท่านพี่เซนิแอลกลับไปเขาก็เหงาสิ คงต้องอยู่คนเดียวอีกแล้วสินะ
มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวดงพโยเบาๆ รู้สึกสงสารเจ้าหมาน้อยตรงหน้าจับใจ เขาว่าวันนี้ชากับเค้กสตอเบอร์รี่พวกนั้นคงเป็นหม้ายซะแล้วล่ะ ดูหน้าหงอยๆนั้นสิช่างไม่เหมาะกับหน้าตาน่ารักนั้นเอาซะเลย คงจะคิดว่าคำที่เขาปลอบไปนั้นเป็นแค่คำพูดที่ไม่ทำให้เศร้าจนเกินไปสินะ
"ข้าพูดจริงๆ เจ้าจะได้พบข้าในเร็วๆนี้ ดงพโย ดงพโย.." เซนิแอลชะงักถึงกับไปต่อไม่เป็น เขาไม่เคยปลอบใครซะด้วยสิ จู่ๆเด็กน้อยตรงหน้าเขากลับน้ำตาตกเม็ดใหญ่ๆ ภาพตรงหน้าช่างน่าเวทนานัก
"ข.. ข้า " ข้าไม่รู้
เขาพูดอะไรไม่ออก ทำได้แค่ปาดน้ำตาที่ไหลลงมาแล้วลงมาเล่า เขาก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงร้องไห้ออกมา
เขาอาจจะขี้ขลาดกลัวความเหงาขึ้นมา กลัวการที่ต้องอยู่คนเดียว กลัวความโดดเดี่ยวที่เขาต้องกลับไปเผชิญมันอีกครั้ง ตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ดงพโยคงจะหลงระเริงกับความรู้สึกที่มีคนคุยเล่นเป็นเพื่อน ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวแล้ว แต่กลับลืมไปว่าเพื่อน(?)ตัวโตคงจะอยู่เล่นกับเขาที่นี่ตลอดไม่ได้
"ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวข้าก็กลับมา.."
ท่านพี่เซนิแอลมานั่งคุกเข่าต่อหน้าเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ คำพูดที่ได้ยินกลับทำให้ร้องไห้หนักกว่าเดิมเสียอีก
"ดงพโย เจ้านี่เด็กจริงๆ.."
ท่านพี่เซนิแอลว่าก่อนจะสวมกอดคนตัวเล็กที่นั่งบนเก้าอี้ แล้วลูบหัวลูบหลังเขาเบาๆเหมือนจะเป็นการปลอบ แต่ทำไมเขาร้องไห้หนักกว่าเดิมอีกล่ะ
"ข้า.. ข้าไม่ อึก"
ทำไมเขาพูดไม่ออกกันนะ เขาไม่เป็นอะไรสักหน่อย ท่านพี่สวมกอดเขาแน่นยิ่งกว่าเดิม เห็นเขาร้องไห้หนักกว่าเดิมล่ะสิ เขายกมือขึ้นโอบแผ่นหลังอันใหญ่โตของเซนิแอลแล้วซบหน้าลงเบาๆที่บ่ากว้าง ข้าไม่คิดว่าทำแบบนี้ แล้วจะ..รู้สึกอบอุ่นแบบนี้
"ข้า..ไม่เป็นอะไรแล้ว ฮึก"
..เขาดันตัวออกจากอ้อมกอดขององค์ชายใหญ่ ก่อนจะปาดน้ำตาลวกๆ ท่านพี่ยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าเขาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือจ้องตาเขา ดวงตาเรียวสีน้ำตาลทองใสคู่นี้สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา สวยจนเขาอดอิจฉาอีกสักรอบไม่ได้จริงๆ
"เอ่อ..ข้าจะไปส่งท่านพี่" เขาตัดสินใจหลบตาคู่สวยตรงหน้าอย่างน่าเสียดาย
"ไปสิ" ท่านพี่ว่าก่อนจะส่งยิ้มละมุนมาให้ และเดินออกไปจากสวนอย่างสบายๆ
"นิ ข้าถามอะไรหน่อย" ท่านพี่เอ่ยปากขึ้นขณะเดินไปที่รถม้าหน้าวังใหญ่หลังจากบอกกล่าวกับราชาฮยองซอบ
"ขอรับ?" เซนิแอลหันลงมามองเขาด้วยสายตาดูจริงจัง
"หากสมมุติว่า เจ้าจะได้แต่งงานกับข้า เจ้าจะคิดว่าอย่างไร"
......ห๊าา! ท่านพี่ถามอะไรนะ นี่เขาหูฝาดหรือเปล่า ..แต่ไม่ฝาดหรอก ได้ยินเต็มสองรูหูเลย
"เอ่อ..เป็นไปไม่ได้หรอกขอรับ คนแบบข้าน่ะไม่คู่ควรและไม่มีทางได้คู่กับท่านพี่หรอกขอรับ" คนฟังเลิกคิ้วเหมือนจะสงสัย
"ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ"
"เด็กที่เป็นลูกนางสนมและยังไม่เป็นที่เชิดหน้าชูตาให้กับพระราชาได้ จะมีอันใดเหมาะสมกับองค์รัชทายาทของราชวงศ์ฟอริอาร์กันล่ะขอรับ"
ท่านพี่หันหน้าลงยิ้มให้ ไม่มีเวลาไหนเลยที่ท่านพี่เซนิแอลจะไม่อบอุ่น
"เจ้าอย่าคิดอย่างนั้นเลย ไม่มีใครมาตัดสินได้หรอกว่าใครคู่ควรไม่คู่ควร คนที่ตัดสินนั้นคือคนที่จะครองคู่กันยังไงล่ะ"
เอาล่ะ ช่างเถิดยังไงก็แค่สมมุติ แต่หากได้เล่นกับท่านพี่เซนิแอลตลอดคงจะหายเหงาและมีสีสันมากแน่ๆ งั้นเขาก็ภาวนาให้ตัวเองได้เจอกับเซนิแอลบ่อยเลย หรือทุกวันเลยจะดีมาก ..
เขาขบคิดเรื่องไร้สาระนี้อยู่ไม่นานท่านพวกเขาก็มาถึงรถม้าคันงามซะแล้ว ท่านพี่หันกลับมา ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตรนั่นยิ้มบางๆมาให้
"ข้าไปแล้วนะ เจอกันใหม่" องค์ชายใหญ่โบกมือลาพร้อมยิ้มอ่อนๆให้ทีนึง
เซนิแอลปิดม่านและกลับมานั่งพิงผนัก
รถม้ายังคงเคลื่อนต่อไป
..ใบหน้านิ่งไร้อารมณ์
.. แต่ดวงตาฉายแววถึงความเบื่อหน่าย
ขายาวยกขึ้นไขว้ห้าง เอียงตัวใช้ข้อศอกวางที่ที่วางมือปล่อยท่าทางสบายๆ
"..."
.
.
.
.
น่าเบื่อ.. ใช่ น่าเบื่อ!! อะไรกันนนน จู่ๆนางรับใช้ก็พากันวิ่งแจ้นเต็มตำหนักดงพโยไปหมด พร้อมจับตัวเขาขัดจนหนังจะลอกออกมาเป็นแผลง ซ้ำยังใช้เครื่องบำรุงผิวที่สกัดจากสมุนไพรอะไรต่อมิอะไรทาลงบนใบหน้าและร่างกายเต็มไปหมด เหนี่ยวเหนอะหนะจนอยากจะวิ่งไปล้างออกให้หมด
เขาทำได้เพียงโวยวายในทีแรก แต่นางรับใช้พวกนั้นกลับไม่สนใจคำท้วงติงจากเขาแม้แต่น้อย "นี่มันบ้าอะไรกัน.."
ดงพโยได้แต่ทำหน้าบูดบึ้งในขณะที่นางพวกนั้นก็ยังคงง่วนอยู่กับร่างกายของเขา ..บ้าบอที่สุด
"บอกข้าสักคำสิ ใครให้พวกเจ้ามา" หัวหน้านางรับใช้พวกนั้นเดินออกมาจากห้องนอนของเขาพอดีหลังจากยกผ้ายกผ่อนและเครื่องบำรุงผิวพรรณส่วนหนึ่งไปไว้ในนั้นเรียบร้อย
"ฝ่าบาททรงให้พวกหม่อมฉันมาเพคะ" นางตอบก่อนจะเดินกลับไปในห้องอีกครั้ง.. นี่มันบ้ามาก ใครเขาเดินออกห้องเข้าตำหนักของเขาตามอำเภอใจกันขนาดนี้ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นฝ่าบาทฮยองซอบให้มาทำอะไรแบบนี้ อีกไม่กี่อึดใจเขาคงต้องกลายร่างและตะปบ(?)นางพวกนี้แน่
"เห้อ.. ทำไม ท่านพ่อให้ทำทำไม" เขากรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย และเบื่อหน่ายมากๆ คอยดูนะ หลังจากนางพวกนี้ออกไป เขาจะออกไปนอนคลุกดินที่สวนหลวงให้ดู เอาให้เป็นลมกันไปข้างเลย
"ฝ่าบาททรงตรัสว่าให้มาเตรียมตัวล่วงหน้าให้องค์ชายเพคะ.. " นางรับใช้ผู้หนึ่งตอบ ในขณะที่ทาน้ำยาสมุนไพรกลิ่นฉุนๆลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์ เป็นกลิ่นชวนอ้วกมาก เขาคงต้องเอาไปเททิ้งแล้วล่ะหลังจากนี้
"เตรียมตัวอะไร?" เตรียมอะไร มาผิดตำหนักแล้วมั้ง.. ไม่เห็นมีใครบอกอะไรเขาเลย ที่วังจะจัดงานงั้นหรอ หรือจะพาเขาไปงานแต่งอาเบลหรือใคร หรือจะพาเขาไปขอสาว.. แต่งานไหนๆก็ไม่เคยเห็นจะต้องทำอะไรแบบนี้เลยนิ
"ฝ่าบาทบอกว่า หากเรียบร้อยจากตรงนี้แล้ว ให้องค์ชายเสด็จไปพบฝ่าบาทเพคะ.." คงจะเป็นเรื่องนี้สินะ ที่ท่านพ่อจะคุยกับเขา
พอดีเลย แวะไปขอหนังสือกับท่านพ่อสักสองสามเล่มมาอ่านเล่นด้วยเลย
"เร่งมือหน่อย ตอนเย็นข้าจะออกไปเก็บผลไม้ที่สวน ข้าไม่มีเวลาให้พวกเจ้าทั้งวันนะ"
หัวหน้านางรับใช้โผล่หน้าออกมาจากประตูห้องทันทีด้วยหูที่ผึ่งเหมือนหมา ก่อนจะพูดด้วยหน้าดุๆ สายตาเหมือนจะเอ็ดเขาอยู่กลายๆ
"ไม่ได้เพคะ ประเดี๋ยวยุงจะกัด เนื้อตัวจะเป็นตุ่มแดงนะเพคะ ไปไม่ได้เด็ดขาด หากองค์ชายอยากเสวยอันใดให้แจ้งเด็กที่หม่อมฉันเตรียมไว้ให้นะเพคะ ฝ่าบาททรงให้หม่อมฉันหาคนที่จะมาอำนวยความสะดวกให้องค์ชาย" หาเด็กรับใช้มาว่างั้นเถอะ ยุ่งวุ่นวายจริงๆ เคยเอ่ยปากหรอว่าอยากได้ ..ไม่เลย
"สำคัญอันใดนัก น่าเบื่อน่ารำคาญจริงๆ พวกเจ้าช่วยเร่งรีบและออกจากตำหนักข้าให้เร็วที่สุด เข้าใจมั้ย" ดงพโยพูดอย่างข่มอารมณ์หงุดหงิด ค่อยดูนะ ดึกๆจะแอบออกไปให้ยุงกัดเล่นที่สวนผลไม้ เอาให้หายามาทาให้วุ่นเลย
และจะไปถามท่านพ่อให้รู้เรื่องว่านี้มันเกิดอะไรขึ้น..
.
.
.
.
ดงพโยเดินเล่นไปเรื่อยในเวลาเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว ไม่แวะเข้าที่ตัววังใหญ่สักที
ก็ช่วยไม่ได้ เขายังอยากแวะไปเก็บผลไม้มากินเล่นสักสองสามผล ยังอยากไปเล่นที่สวนหลวง ยังอยากแวะไปหาของหวานกินที่ครัวหลวง แต่ติดที่ว่าต้องแวะไปคุยกับฮยองซอบก่อน ทั้งขี้เกียจ ทั้งเบื่อ เลยเดินเอื่อยๆลากขาอย่างช้าๆไปจนกว่าจะถึงตัววังใหญ่
และในที่สุดก็มาถึงห้องทำงานใหญ่ของราชาแห่งเมืองเพชรรัตติกาล องครักษ์ยุนจีซองยังคงมีรอยยิ้มแสดงถึงความใจดีและเอ็นดูดงพโยอยู่บนใบหน้าเสมอ เชิญให้เขาเข้าห้องและยังคงยืนตรวจความเรียบร้อยและเอกสารก่อนจะถึงมือพระราชา
"ท่านพ่อ มีอันใดจะพูดกับลูกหรือ" ฮยองซอบผายมือที่ชุดโซฟาตัวใหญ่ จัดเตรียมขนมที่องค์ชายสี่ชอบมากไว้ให้บนโต๊ะตัวแพง
"วันนี้พ่อมีเรื่องจะแจ้งให้เจ้าทราบ เจ้าอาจจะไม่พอใจพ่อไปบ้าง แต่เรื่องนี้เจ้าต้องฟังรายละเอียดก่อนจะโวยวาย.. เข้าใจไหม" ราชาฮยองซอบยังคงยิ้มเอ็นดูลูกชายคนเล็กอยู่เสมอ เขาอยากดูแลให้ดีกว่านี้ แต่ติดที่ตัวดงพโยเองเคยเอ่ยบอกว่าชอบอยู่คนเดียวและไม่ชอบให้ใครไปยุ่งวุ่นวาย เขาก็ทำตามที่เจ้าตัวต้องการมาตลอด
"ขอรับ" สายตาดงพโยเริ่มจริงจัง และคิดไปในใจต่างๆนาๆว่าเรื่องที่ท่านพ่อจะพูดคืออะไร ฮยองซอบนั่งลงตรงข้ามเขา ก่อนจะหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมาและดันมันมาตรงหน้าเขา
สารแจ้งว่าต้องการสู่ขอองค์ชายสี่แห่งเมืองเพชรรัติกาล จากเมืองซันไชน์ไลท์
ดงพโยนิ่งค้างอ่านสารที่ฮยองซอบส่งให้อยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาไม่ไหวติง แต่ในหัวมีความคิดมากมายวิ่งวุ่นตีกันไปหมด
หากปฏิเสธไปจะมีปัญหากันมั้ยนะ..
"หากลูกบอกว่าไม่ล่ะท่านพ่อ" น้ำเสียงดงพโยเรียบนิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ถูก ฮยองซอบได้เพียงยิ้มอ่อนแล้วถอนหายใจเบาๆ
"คือแบบนี้ ...เจ้ามีเวลาสามเดือนหลังจากนี้ ข้าจะส่งเจ้าไปที่เมืองนั่น แล้วหลังจากสามเดือน เจ้ายังคงปฏิเสธ พ่อก็จะไม่บังคับเจ้า"
"แล้วเหตุใดต้องเป็นลูกด้วยล่ะท่านพ่อ ลูกยังไม่อยากมีใคร ลูกแค่อยากมีเพื่อนเล่นตามประสาเด็กกำลังโต" ดงพโยพูดด้วยอารมณ์หงุดหงิด หงุดหงิดที่ทำไมเมืองนั้นต้องสู่ขอเขา ยังมีพี่สาวต่างแม่ของเขา ทั้งสวยทั้งเก่งแบบ ยูนิก้า ทำไมจะต้องสู่ขอเขา
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
"เอาน่ะลูก นี่เป็นการเชื่อมไมตรีให้สองเมืองเราแน่นแฟ้นกว่าเดิมนะ อีกสามเดือนหากลูกยังปฏิเสธจริงๆ ต่อให้ต้องระคายเคืองกันบ้าง พ่อก็จะไม่ให้เจ้าแต่ง"
ฮยองซอบยื่นมือมาลูบหัวฟูๆของดงพโย
"ลูกข้าน่าเอ็นดูขนาดนี้ใครก็อยากแต่งเข้าบ้านเข้าเมือง" ดงพโยได้เพียงแค่ทำหน้าเบื่อหน่าย ก่อนจะเดินอ้อมไปหลังโซฟาตัวใหญ่และสวมกอดฮยองซอบ
"เพราะมีท่านพ่อที่หล่อเหลาและท่านแม่ที่น่ารัก ข้าถึงน่ารักขนาดนี้ไงท่านพ่อ ฮ่าๆ"
ฮยองซอบแนบหัวเข้ากับองค์ชายเล็กอย่างผ่อนคลาย ดงพโยยิ้มจนเห็นเขี้ยว เป็นภาพที่อบอุ่นและหาดูได้ยากจากพ่อลูกคู่นี้
และองครักษ์ยุนจีซอง ไม่พลาดที่จะบันทึกภาพนั้นและทำให้มันออกมาเป็นรูปภาพด้วยเวทย์มนต์ของตัวเองด้วยความภูมิใจ
องค์ชายเล็กละตัวออกจากฮยองซอบ เพราะเขาเริ่มหิวอีกแล้ว ต้องออกจากที่นี่ไปหาอะไรประทังท้องแล้วจริงๆ
"ท่านพ่อ ลูกหิวแล้ว ลูกต้องลาแล้ว" ฮยองซอบพยักหน้าเข้าใจ เขาเองก็ต้องทำงานต่อเช่นกัน
"ส่วนจะไปวันไหนพ่อจะแจ้งเจ้าอีกที ระหว่างนี้ก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ" ดงพโยพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะโค้งตัวให้ทีนึงและเดินออกไป องครักษ์หน้าหวานไม่ลืมยื่นใบรูปถ่ายให้เขา
เขาหยิบรูป มองมันอย่างแปลกใจ และยิ้มจนตาปิด
"ขอบคุณท่านมาก"
.
.
.
.
ดงพโยเดินกลับมาที่ตำหนักเล็กของตนในเวลาจวนจะค่ำ ก็พบกับชายวัยรุ่นรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวดีนั่งแกว่งขาอยู่ที่ชิงช้าไม้โยกข้างตำหนักเขา ดงพโยเอ่ยปากถามทันที
"เจ้าเป็นใคร มีอันใดกับข้า" เด็กหนุ่มหันมามองเขานิ่งๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง และโค้งตัวให้ทีนึง
"ข้าคือคนที่ฝ่าบาทส่งมาให้ดูแลองค์ชายต่อจากนี้.. ข้าชื่อ อี อึนซังหรือ " องครักษ์? ..ดงพโยมองเด็กคนนั้นด้วยสายตานิ่งๆ ก่อนจะเปิดประตูและกวักเรียกอีกคนเข้าไป
"เข้ามานี่"
.
.
.
"สรุปว่าเจ้าคือลูกชายคนเดียวขององครักษ์อึนบีที่เสียไปหลายปีแล้ว?" ดงพโยแอบแปลกใจอยู่ไม่น้อย ว่าเด็กตรงหน้าคือลูกขององครักษ์เก่าของราชินีเฉวียนยูริด้า หรือเรียกง่ายๆก็คือเมียหลวงของท่านพ่อนั้นเอง
"ใช่แล้วพะยะค่ะ ก่อนท่านแม่เสียไป ท่านแม่ก็ไม่อยากให้มายุ่งกับการงานที่อันตรายแบบนี้ เพราะสมบัติของท่านแม่ก็เยอะพอให้กินอยู่ได้ทั้งชาติ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรต่อไป กระหม่อมจึงกลับมาฝากตัวเป็นกองทหารองครักษ์"
ดงพโยพยักหน้าเข้าใจ ไม่น่าล่ะ การแต่งตัว ผิวพรรณ ดูมีความเป็นผู้ดี ที่แท้ก็เศรษฐีชาติทองนี้เอง
"ได้ แล้วอายุเท่าไหร่แล้ว"
"สิบเจ็ดแล้วพะยะค่ะ"
"ทำไมถึงได้ส่งองครักษ์ที่เด็กขนาดนี้มานะ ..เจ้าอายุเท่าข้า งั้นเจ้าก็คุยกับข้าให้เหมือนเพื่อนละกัน ข้าไม่ถืออะไรหรอก มาตีสนิทกันไว้ก็ดี " จะมีเพื่อนคุยแล้วล่ะทีนี้ ดงพโยรอบยิ้มในใจ
"อ้อ.. พะยะค่ะ กระหม่อมจะพยายาม"
.
.
.
.
ค่ำคืนผ่านไป แทนที่ด้วยดวงอาทิตย์ ดงพโยมีองครักษ์เหมือนกับคนอื่นๆแล้ว และดูเหมือนจะได้เพื่อนด้วย เพราะอึนซังอายุเท่ากันกับเขาและยังเป็นลูกครึ่งแวร์วูฟกับแวมไพร์เหมือนกันอีก
ในตอนเช้าพวกนางรับใช้ก็ยังคงวิ่งวุ่นอยู่ในตำหนักเขาเช่นเดิม และเขารู้สึกเหมือนหนังของเขาจะหลุดลอกออกมาจริงๆ พวกนางไม่เบามือเลยแม้แต่น้อย
"นิ พวกเจ้าคิดว่าทำไมเมืองของท่านพี่เซนิแอลถึงอยากมาสู่ขอข้า"
ดงพโยนั่งค้ำคาง ใบหน้าเบื่อหน่าย ในขณะที่นางพวกนั้นยังคงขัดผิวและประทินน้ำยาสมุนไพรต่างๆนาๆลงบนใบหน้าและผิวตัวของเขา
"หากไม่ใช่ผูกมิตร.. ก็คงมีจุดประสงค์บางอย่างเป็นแน่ องค์ชายคิดว่ายังไงล่ะ" อึนซังตอบหน้านิ่งในขณะที่นั่งฝนสมุนไพรบางส่วนให้นางรับใช้เหล่านั้น
"อืม.. ก็น่าคิดนะ เมืองนั้นคิดอยากใช้ประโยชน์อะไรจากเมืองเราหรือเปล่านะ" แล้วที่ท่านพี่เซนิแอลมาเล่นที่เมืองนี้ มาตีสนิทกับเขานี่.. จะใช่จุดประสงค์เพื่อให้เขาใจอ่อนหรือเปล่านะ เขาไม่ตกหลุมพรางง่ายๆหรอก หากเป็นเช่นนั้น เขาชักจะคิดมากแล้วสิ พี่ชายแสนดีคนนั้นจะมาเพื่อจุดประสงค์อะไรมั้ยนะ
ดงพโยไม่ได้ใสซื่อแบบที่คิดหรอกนะ..
#คารินดรีมวาจายาพิษ
มาแล้วจ้าา คิดถึงน้องมั้ยยย รออ่านตอนต่อไปเลยจ้าา ไม่มีเวลาก็หาเวลามาอัพอยู่ดี จุ้บๆค้าาา
ความคิดเห็น