คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่2
หนังสือเล่มที่4ของวันแล้วที่อ่านจบ ดงพโยเดินเอาหนังสือไปเก็บเข้าชั้นหนังสือที่เดิมของมัน ที่นี่มันช่างน่าเบื่อ การที่ต้องอยู่ในตำหนักคนเดียวเนี่ยเป็นอะไรที่น่าเบื่อที่สุด เพื่อนคุยก็ไม่มี มีแต่หนังสือพวกนี้ที่แก้เหงาได้ดีที่สุด หากท่านแม่ยังอยู่ด้วยคงจะดีเป็นไหนๆ กี่ปีกันแล้วนะที่ท่านแม่ไปอยู่บนฟ้า อืม.. เจ็ดปีแล้ว เวลานี่ผ่านไปเร็วจริงๆ ทุกวันที่ตื่นมา รอยยิ้มที่สดใสที่สุดในโลกยังคงลอยเข้ามาในหัวตลอด เขามองไปที่รูปถ่ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ยังเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยล่ะ
ก็อกๆ
“องค์ชายสี่”
ใครกัน ..อ้อ ท่านพี่อาเบลบอกว่าจะให้คนมารับไปทานข้าวเย็นนี่นา มันก็แปลกๆอยู่หรอก แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ
“มาแล้วๆ”
แอ๊ดด
“..องค์ชายเซนิแอล” พระเจ้า ลมอะไรหอบองค์ชายใหญ่มาถึงตำหนักเขา
“เรียกท่านพี่ก็ได้ ว่าแต่เป็นอะไร ทำหน้าเหมือนเห็นผี”
ผีบ้าผีบออะไรใครจะกล้าว่า หากเปลี่ยนเป็นคิดว่าเทวดาตกสวรรค์ยังดูเป็นไปได้มากกว่าเป็นไหนๆ
“มิบังอาจขอรับ ว่าแต่มีธุระอะไรหรือเปล่าขอรับ”
“ยุนกิให้ข้ามารับเจ้าไปทานข้าวเย็นน่ะ”
“..ทีหลังไม่ต้องก็ได้นะขอรับ ข้าเดินไปเองได้” ท่านพี่อาเบลก็ว่าเถอะ เกรงใจองค์ชายจะแย่ เป็นเจ้าบ้าน ใช้แขกเดินไปนั่นนี่ ใช้ได้ที่ไหน
“ได้ แต่ตอนนี้เราไปกันเถอะ" องค์ชายว่าจบก็เดินนำไป ก็ได้แต่เดินตามไปอย่างขัดไม่ได้แต่ยิ่งเดินไปองค์ชายใหญ่ก็ยิ่งเดินช้าลง ดงพโยก็ต้องช้าลงเช่นกัน จะให้ไปเดินเคียงองค์ชายแบบนั้นได้ยังไงกัน ต่างคนต่างยิ่งเดินช้าลงจนสุดท้ายก็หยุดเดินกันไปเลยทั้งข้าและองค์ชายใหญ่
"เจ้าหยุดเดินทำไมองค์ชายคาริน"
"เรียกดงพโยเฉยๆก็ได้ขอรับ"
"งั้นเจ้าก็ต้องเรียกข้าว่าท่านพี่เช่นกันนะ ดงพโย"
"จะเรียกท่านพี่เซนิแอลหรือพี่ซึงอูดีล่ะ" องค์ชายใหญ่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆพร้อมทำแววตาเจ้าเล่ห์เห็นทีว่าถ้าไม่ยอมตอบ วันนี้คงไม่ทันได้ร่วมโต๊ะอาหารเป็นแน่
"ท่านพี่เซนิแอลขอรับ"
"หืมมม ว่าไง"องค์ชายใหญ่ยิ้มออกมาก่อนจะดึงหน้ากลับไปพร้อมกับตอบรับอย่างอารมณ์ดี
"คืออออ ท่านพี่หยุดเดินทำไมหรือขอรับ"
"ก็เจ้าเดินช้า ข้าก็จะเดินให้มันพร้อมเพรียงกับเจ้าแต่เจ้าก็ยิ่งเดินช้าลงเรื่อยๆจนข้าได้หยุดเดินนี่แหล่ะ"
"จะมาเดินพร้อมข้าทำไมล่ะขอรับ ท่านพี่เดินนำหน้าก็ถูกแล้วมิใช่หรือขอรับ"
"ข้าก็อยากจะทำความรู้จักกับเจ้าไง เจ้าเป็นน้องยุนกิข้าไม่เคยเห็น ครั้งก่อนที่ข้ามาเจ้าก็ยังไม่ทันเกิดด้วยซ้ำ"
"อ่ะฮ่าๆ ข้าไม่มีอะไรให้อยากรู้จักหรอกขอรับ"
ท่านจะมาอยากรู้จักอะไรข้าล่ะ ไม่มีอะไรให้ท่านอยากรู้เลยจริงๆ แค่เด็กขี้เกียจตัวเป็นขน วันๆเอาแต่กินกับนอน จืดชืดยิ่งกว่าแกงจืดที่เหมือนใส่แค่น้ำเปล่า ที่ครัวหลวงทำให้กิรด้วยซ้ำ
"มาเดินมาพร้อมข้าเถอะ เดินช้าๆก็ได้ไม่ต้องรีบข้าจะได้ทำความรู้จักเจ้าเยอะๆไง"
"แล้วท่านพี่อยากรู้ะไรหรือขอรับ"
"อืมมม งั้นข้าถามเจ้าหน่อยว่าเวลาว่างเจ้าชอบทำอะไร ชอบหนีเที่ยวไปล่าสัตว์ในป่าเหมือนพี่เจ้าหรือไม่"
"ฮ่าๆนั่นคงไม่ใช่ทางข้าหรอกขอรับ ข้าล่าสัตว์ไม่เป็นหรอก เวลาว่างข้าชอบกินแล้วก็อ่านหนังสือแล้วกินน่ะขอรับ"
"เป็นงานอดิเรกที่น่ารักเสียจริงนะดงพโย"
น่าเบื่อล่ะสิไม่ว่า ทั้งนั่งก่ายนอนก่ายหน้าผากแทบจะตีลังกาอยู่รอบตำหนัก ออกไปเดินเล่นจนขาลากก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหายเหงา ทุกวันนี้ก็แทบจะนั่งคุยกับกำแพงแล้ว หลายคนมองว่าดงพโยเป็นคนสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ใครจะรู้แล้วจริงๆเขาอยากมีเพื่อนยิ่งกว่าอะไร แต่ก็อดด้อยค่าตัวเองไปไม่ได้ว่าาเป็นแค่เด็กที่โดนทิ้งไว้หลังวัง มีเพียงข้าวของเครื่องใช้และทรัพย์สินที่ไม่ขาดมือเท่านั้น ที่ทำให้ดงพโยรู้สึกเหมือนตัวเองยังเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์เรนเดลอยู่ แม้กระทั่งลูกข้าหลวงในวังสักคนเขายังไม่กล้าเอ่ยเรียกให้มาเล่นด้วยเลย ไม่รู้ทำไมถึงไม่ชินกับการอยู่คนเดียวแบบนี้สักที แต่ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ชินไปเองแหละ ดงพโยยักไหล่กับตัวเองเบาๆแล้วเดินเสวนาทำความรู้จักกับองค์ชายใหญ่แห่งฟอริอาร์ได้อย่างรวดเร็วและเพลินจิตเพลินใจ จนถึงตัววังใหญ่อย่างรวดเร็วจนคนทั้งสองงง แต่คงเป็นเขารู้สึกไปเอง ก็คุยกันจนเพลินซะขนาดนี้ แทบจะลืมดูทางด้วยซ้ำ
พอดงพโยกับองค์ชายเซนิแอลเดินเข้ามาในห้องอาหารพระราชาฮยองซอบก็เดินเข้ามาพอดี ฮยองซอบตวัดสายตามาทางดงพโยพร้อมกับยิ้มออกมา
"คารินดรีมเจ้าไม่ได้มาร่วมมื้ออาหารกับพ่อนานเท่าไหร่แล้วนะ"
"ก็เจ็ดปีได้ขอรับ"
ดงพโยสามารถมาร่วมมื้ออาหารได้ทุกเมื่อ แต่ตั้งแต่ที่เสียแม่ผู้เป็นที่รักไปก็เศร้าจนไม่อยากจะออกไปไหน จนเริ่มติดเป็นนิสัยชอบหมกตัวอยู่ในตำหนัก จนผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับเขาน้อยลงเรื่อยๆ เพราะตอนนั้นเขาก็เป็นแค่เด็ก10ขวบ แถมยังเป็นลูกสนมปลายแถวอีก พอนานวันตัวตนของดงพโยก็ยิ่งเลือนลางในความทรงจำของข้าหลวงหลายๆคน แต่ราชาฮยองซอบก็ยังคงเอ็นดูและแวะไปเล่นด้วยอยู่เป็นครั้งคราว แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา พอเริ่มโตมาอีกหน่อยถึงเริ่มรู้สึกเหงาและเบื่อนี่แหละ และเขาก็ลืมวิธีตีสนิทกับคนอื่นไปแล้ว จะชวนใครมาเล่นด้วยก็ลำบากใจจะเอ่ย เพราะไม่รู้จะเริ่มยังไง
เมื่อมื้ออาหารเริ่มขึ้นฮยองซอบก็เริ่มตรัสถามนั่นถามนี่ไปเรื่อย
"เซนิแอลพ่อของเจ้าสบายดีหรือไม่ ข้าไม่ได้ไปหาซะนาน ชักจะคิดถึง"
"สบายดีขอรับ แต่ลูกสาวลูกชายประจบประแจงเยอะหน่อยก็จะทรงปวดหัวหน่อยขอรับ"
"ฮ่าๆๆมีลูกเยอะมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียแบบนี้ล่ะน้า"
"ขอรับ"
"แต่ว่ายุนกิมันมีคู่หมั้นล่ะนะเจ้าทราบหรือยัง" ยุนกิมีคู่หมั้นแล้วหรือ จะเป็นองค์ชายเมืองอัสโตรฮานาหรือไม่นะ เห็นทีคงจะใช่
"ทราบแล้วขอรับ ยุนกิเล่าให้ฟังเมื่อตอนเช้า"
"ดงพโย พี่เจ้ามีคู่หมั้นแล้วนนะเจ้าไม่สนใจบ้างหรือ"
"แค่กๆ " ดงพโยสำลักทันที เพราะคำล้อเล่นของฮยองซอบถูกปล่อยออกมาแบบไม่ทันให้เขาตั้งตัว
"ขอประทานอภัยขอรับ เสด็จพ่อตรัสอะไรนะขอรับ"
ดงพโยเช็ดปากเรียบร้อยก็เอ่ยปากถาม หลังจากนั่งฟังเงียบๆอยู่พักหนึ่ง
เซนิแอลตวัดสายตาไปมองอาเบลเป็นเชิงรู้กัน อาเบลคงจะบอกราชาฮยองซอบไปแล้วแน่ๆ
"พ่อถามเจ้าว่าไม่อยากมีคู่กับเขาบ้างรึ"
"ข้ายังเด็กนัก ยังดีกว่าขอรับเสด็จพ่อ "
ดงพโยยิ้มแห้ง อย่างเขาน่ะหรืออยากมีคู่ตอนนี้ ยังอายุไม่ถึงวัยเจริญพันธุ์ด้วยซ้ำ เรื่องนี้เขาขอโยกมือหยอยๆก่อนดีกว่า หากมีใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในชีวิตช่วงนี้คงหัวระเบิดเป็นแน่ แต่ถ้าหากเล่นกันในฐานะเพื่อนเขาพร้อมจะกระโดดกอดคอทันที แต่ก็อย่างว่า เขาไม่กล้าชวนใครมาเล่นด้วย และลูกข้าหลวงหรือใครคงไม่อยากเล่นกับคนแปลกๆอย่างเขา พี่ชายแสนดีอย่างอาร์เธอร์ก็ไม่มีเวลาว่างมาเล่นกับเขามากนัก และพี่น้องคนอื่นๆก็โตเกินจะเอาเวลาว่างมาคุยเล่นกับเด็กที่วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ ปลูกดอกไม้ เล่นกับผึ้งกับผีเสื้อที่อยู่ในสวนผลไม้ ทำตัวสันโดษ อย่างเขาหรอก
'เสด็จพ่อนะเสด็จพ่อข้าอยู่ส่วนข้าแท้ๆยังจะโยงมาใส่ข้าอีก แต่เสด็จพ่อก็คงหยอกเล่นเฉยๆแหละนะ'
ได้แต่คิดในใจแล้วนั่งกินอาหารต่อไป
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย เซนิแอลก็ยังอาสาจะไปส่งคนตัวเล็กที่ตำหนัก หากไม่คิดว่าเซนิแอลอยากผูกมิตรกับเขา คงต้องคิดว่าชอบเขาเป็นแน่ ดงพโยคิดแล้วหัวเราะ ก่อนจะโขกหัวตัวเองไปทีนึง เป็นความคิดที่โคตรจะไร้สาระ
"ให้ข้าไปส่งเจ้ามั้ย"
"ไม่เป็นไรขอรับ แค่ท่านพี่มารับข้าไปร่วมโต๊ะก็เกรงใจท่านเกินพอแล้ว"
"เกรงใจอะไรกัน ให้ข้าไปส่งเถอะ"
"แต่ข้าจะแวะไปขอผลไม้ที่ครัวอีก ข้าไม่อยากให้ท่านพี่เสียเวลา ฉนั้นกลับตำหนักท่านพี่ไปเถอะขอรับ"
"ไม่เป็นไรต่อให้เจ้าจะไปเดินรอบวังเล็กวังใหญ่ที่ใดข้าก็ไปกับเจ้าหมดนั่นแหล่ะ"
"ข้าเกรงใจน่ะขอรับ อีกอย่าง ท่านพี่มีนัดกับท่านพี่อาเบลว่าจะแข่งหมากรุกกันนิขอรับ"
ดงพโยเป็นแค่น้องชายที่ไม่ได้เกิดจากผู้มียศสูงศักดิ์อะไร ไม่มีอะไรที่องค์ชายสูงศักดิ์ผู้นี้จะต้องให้ความใส่ใจ ได้แต่เกรงใจ จะไล่ให้ไปที่อื่นก็ไม่กล้า
"ไปเถอะ"เซนิแอลคว้าข้อมือเล็กและดึงให้เดินตามไปอย่างขัดไม่ได้
"ท่านพี่เซนิแอลปล่อยข้าก่อน อย่าดึงข้าสิ ท่านขายาวข้าขาสั้นเห็นทีข้าจะได้วิ่งแทนเดินเสียแล้ว" เซนิแอลปล่อยข้อมือเล็กออก ก่อนจะเดินให้ช้าลง
"ข้าก็ลืม ขอโทษเจ้านะดงพโย เจ็บหรือไม่ข้าจับแรงไปหรือเปล่า" คนตัวโตถามด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ฟังแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวลหู ใบหน้าที่ก้มลงมาในระยะห่างที่ไม่อึดอัด ใช้ดวงตาคู่สวยนั้นมองอย่างเอ็นดู ก่อนจะยิ้มอ่อนๆให้ทีนึง
"ไม่เป็นไรขอรับ" ดงพโยยิ้มแหยๆ ก่อนจะหันหน้าหนีเพราะแอบอิจฉาใบหน้าหล่อเหลานั่น นี่มันเทพบุตรตกสวรรค์ชัดๆใครชั่งใจร้ายผลักท่านลงมาได้ลงคอกัน
เดินมาสักพักก็มาถึงครัวหลวงที่เดิมที่เก่าที่เขาไม่ค่อยจะชอบ แต่เห็นทีคราวนี้คงจะน่าพึงพอใจกว่าครั้งก่อนๆเพราะพี่ชายของเขา อาเธอร์เปลี่ยนแม่ครัวใหม่แล้ว
"มีผลไม้ให้ข้ากินบ้างมั้ยเอ่ย" ดงพโยกระแอ่มเบา ก่อนยื่นหน้าเข้าไปถาม แม่ครัวที่ยังอยู่ที่ครัวเพียงคนเดียวหันมาส่งยิ้มจางๆ
"องค์ชายเล็ก ตอนนี้ไม่มีผลไม้เหลืออยู่เลยเพคะ แต่เดี๋ยวหม่อมฉันจะเข้าไปเก็บที่สวนหลวงให้นะเพคะ องค์ชายไคร่เสวยผลไม้ชนิดใดเป็นพิเศษหรือเพคะ"
"แล้วพ่อครัวแม่ครัวคนอื่นไปไหนกันหมด"
"เข้าที่พักกันหมดแล้วเพคะ เหลือหม่อมฉันคนเดียวเพคะ" ร่างอวบตอบก่อนจะหยิบตะกร้าเตรียมเข้าสวน
"อ่ะๆ เจ้าไม่ต้อง เจ้าไปพักเถอะ เดี๋ยวข้าจัดการเอง"
ลำพังใช้แม่ครัวมีอายุไปเก็บผลไม้ไม่ใช่ใกล้ๆก็ดูเหมือนคนใจร้ายไปหน่อย
"หม่อมฉันเป็นรองมีหน้าที่รับใช้เจ้านายอยู่แล้ว มิลำบากเลยเพคะ ให้หม่อมฉันไปเถอะเพคะ"
"เจ้าไปพัก เดี๋ยวข้าจัดการเอง" เห็นท่า นี้คงเป็นคำสั่งสินะ แม่ครัวจึงยื่นตะกร้าให้แต่โดยดี ก่อนจะกลับไปรอให้เวรครัวมาเปลี่ยนกะดึกต่อไป
"แม่ครัว ท่านน่ารักมาก ข้าชอบท่านนะ" แม่ครัวเงยหน้ายิ้มให้เขานิดหน่อยก่อนจะหลบออกไปหลังครัวเพื่อที่จะตรวจเช็คความเรียบร้อย
"ข้าจะกลับตำหนักแล้วนะขอรับ เชิญท่านพี่กลับตำหนักของท่านไปเถิด"
"ไหนเจ้าบอกจะไปเก็บผลไม้ เดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน"
"งั้นท่านพี่หลับตาก่อนสิขอรับ"
"ทำไม"
"หลับตาเถิดขอรับ" แค่เซนิแอลหลับตาลงเพียงครู่เดียวเขาก็คงไม่อยู่ตรงนี้แล้วล่ะ ทีนี้ก็จะได้ไม่ลำบากไปส่งเขาที่ตำหนักแล้ว
"ดงพโย ฝันดีนะ" เซนิแอลลืมตาขึ้นพร้อมกับโบกมือให้อากาศ ทำไมองค์ชายอย่างเขาจะไม่รู้ล่ะว่าเจ้าหมาป่าน้อยตัวนั้นแปลงเป็นหมาและวิ่งหนีเขาไปที่สวนผลไม้แล้ว
ดื้อจริงๆ
08.23 น.
ร่างเล็กใต้ผ้าห่มเนื้อดี พลิกไปมาอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะดีดตัวขึ้นนั่งแล้วขยี้ตาสองสามที
"ข้าลืมปิดผ้าม่านหรอเนี่ยยยย" ว่าแล้วก็ลุกไปปิดม่าน กำจัดแสงแดดที่กวนใจจนนอนต่อไม่ได้ ยกมือขึ้นปิดปากหาว ก่อนจะเดินเข้าสุขาเพื่อชำระร่างกาย
"หนังสือก็อ่านหมดแล้ว จะทำอะไรล่ะทีเนี่ย.. ไปหาอะไรกินดีกว่า" ว่าแล้วก็วิ่งฉับๆออกจากตำหนักเล็กไปยังครัวหลวงทันที เมื่อเดินเข้าใกล้ครัวหลวงจวนจะถึงหน้าประตู ก็แทบจะชนกันกับนางรับใช้ที่ยกสำรับออกมา
"อ๊ะ! ตกใจหมดเลย ขอโทษนะ"
"องค์ชายสี่ เสด็จมาถึงที่นี่มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้เพคะ" ก็มาหาของกินน่ะสิ นี้เป็นสิ่งสำคัญที่เขายกให้เป็นอันดับสองรองจาก.. จากที่นอนเลยยังไงล่ะ
"เปล่าๆ ข้าแค่มาหาอะไรกินน่ะ" เมื่อดงพโยกล่าวเสร็จ นางรับใช้ก็ทำหน้าตาตกใจ รีบลงไปนั่งคุกเข่าพร้อมสำรับในมือ
"หม่อมฉันนำสำรับไปถวายช้าไปหรือเพคะ องค์ชายถึงได้เสด็จมาถึงที่นี่" ว่าแล้วก็ก้มหน้าท่าทีรู้สึกผิด สงสัยเหล่าแม่ครัวใหม่จะไม่รู้สินะว่าแม่ครัวเก่าพวกนั้นปฏิบัติต่อตนอย่างไร
"ลุกๆๆ เจ้าจะนั่งลงไปทำไม เดิมทีข้าก็ต้องมาเอาเองทุกวันอยู่แล้ว ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก" ดงพโยว่าขณะที่พยายามพยุงนางรับใช้ของครัวหลวงให้ลุกขึ้น
"?" สัญลักษณ์คำถามปรากฏขึ้นบนหัวคนตรงหน้า ถ้าเอียงคอหน่อยคงเหมือนน้องหมาที่สงสัยอะไรอยู่แน่
"มันเป็นปกติน่ะ " ดงพโยยกเอาสำรับจากมือนางรับใช้มาไว้ในมือตนเอง
"ไม่ปกตินะเพคะ หากผู้อื่นรู้เข้าว่าพวกกระหม่อมให้องค์ชายมายกสำรับไปเอง มีหวังหัวหลุดแน่เพคะ ให้หม่อมฉันยกไปเถอะนะเพคะ" ดงพโยได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มให้นางรับใช้อย่างเป็นกันเอง
"ได้ๆ ข้าก็เพลียต้องเดินมาถามหาของกินเหมือนกัน งั้นก็เดินตามข้ามาได้เลย อ้อ อีกอย่าง ขอผลไม้ด้วยนะต้องมีทุกวัน เข้าใจมั้ย"
"เข้าใจเพคะ" ว่าแล้วก็เดินกลับไปที่ประตูครัว ก่อนจะพูดอะไรกันบางอย่างแล้วรีบวิ่งตามองค์ชายสี่ไปที่ตำหนัก
อ่าาา กินข้าวอิ่มแล้วว จะทำอะไรต่อไปดี~.. ที่ตำหนักนี่เป็นอะไรที่แสนจะน่าเบื่อที่สุดในโลกเลย แวะไปเดินดูดอกไม้ที่สวนอโณณาหน่อยดีกว่า
เดินไปทั่วสวนรอบแล้วรอบเล่า ดอกไม้ทุกดอกเขาจำได้จนแทบจะตั้งชื่อให้แล้ว น่าเบื่อสุดๆโอ๊ยย.. ..เอ๊ะ นั้นท่านพี่อาเบลกับท่านพี่เซนิแอลนี่นา มาที่นี่ทุกวันไม่เบื่อบ้างหรือ.. ช่างเถอะ ไปนั่งเล่นที่ศาลาดีกว่า ..อากาศที่นี่ร่มรื่นดี บ่ายแก่ๆแบบนี้หากนั่งนานๆมีหวังหลับแหงๆ..
"..อืม อย่ากวนน่าาา" คนเล็กรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมายุ่งย่ามกับหน้าตาตัวเอง ที่สวนนี่มีแมลงด้วยหรือไม่ยักจะเคยเห็น แล้วแมลงบ้าอะไรจะมาจิ้มแก้มเขา
"ที่ตำหนักเจ้าไม่มีที่นอนหรือดงพโย ฮึ" เอ๊ะ เสียงท่านพี่เซนิแอลหนิ พอลืมตาขึ้นมองชัดๆ..ใช่เลย หล่อๆแบบนี้แหละองค์ชายเซนิแอล นั่งคุกเข่าอยู่ตรงพื้นต่อหน้าเขา ตายแล้วว!.. ดงพโยลุกขึ้นนั่งทันทีหลังจากฟุบหลับตรงที่นั่งในศาลา
"เอ่อ ประทานอภัยขอรับ ที่เมื่อครู่เสียมารยาท ข้านึกว่าแมลง" ดงพโยลุกขึ้นนั่งตัวตรงและปิดปากหาวหวอดๆไม่ได้สนใจภาพลักษณ์สักเท่าไหร่
"ไม่เป็นไร แล้วเจ้าทำไมถึงมาฟุบหลับอยู่นี้ได้ล่ะ" คนตัวโตว่าแล้วก็ยกมือขึ้นลูบหัวจนผมกระเซอะกระเซิง อย่างกับลูกหมาแหนะ.. ลืมไป ก็เขาเป็นลูกหมานี่เนอะ
"พอดีเบื่อๆน่ะขอรับ เดินดูนู่นนี่นั้นไปเรื่อย มานั่งเล่นตรงนี้เลยเผลอหลับน่ะขอรับ" ดงพโยตอบเขินๆ
"เบื่องั้นหรือ ตอนนี้อาเบลต้องออกไปทำธุระ ข้าก็ไม่มีเพื่อนคุยเลยจะออกไปเดินเล่นที่ตลาดกับคนของข้าอีกสองสามคนตอนเย็น เจ้าจะไปด้วยหรือไม่" เดินเล่นข้างนอกงั้นหรือออ ไป!
"ไปได้หรือขอรับ" ตอนนี้ดงพโยตื่นเต้นมาก จนไม่รู้ว่าตอนนี้สีหน้ามันออกขนาดไหน เห็นแต่เซนิแอลมองหน้าเขาอย่าง..เอ่อ เอ็นดู ดูสายตาอบอุ่นนั้นสิ ..บ้าไปแล้วดงพโย ...อิจฉาใบหน้าหล่อเหลานั่นอีกแล้ว
"อื้ม ถ้าเจ้าอยากไป ตอนเย็นข้าจะให้คนมารับ ตอนนี้เจ้ากลับไปนอนต่อเถิด" เซนิแอลยิ้มอ่อนๆให้ทีนึงก่อนจะลุกเดินออกไปจากสวน
นอนไม่หลับแล้ว เล่นมากวนกันขนาดนี้ ใครมันจะหลับลงอีกล่ะ
"แล้วเจอกันตอนเย็นขอรับ" มือเล็กโบกลา ก่อนจะเดินออกจากสวนอโณณาอย่างตื่นเต้นกับการทีจะได้ไปเดินเล่นที่ตลาด เขาไม่ได้ไปข้างนอกวังนานเท่าไหร่แล้วนะ อ้อ เจ็ดปีอีกเช่นเคย ตั้งแต่ท่านแม่ไปอยู่บนฟ้า ชีวิตดงพโยเหมือนจะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเทาเรื่อยๆ จากฝีมือของการเวลา ก็ไม่รู้ว่าวันไหนชีวิตเขาจะมีสีสันสดใสแบบคนอื่นสักที.. คงต้องทำตัวเองให้ดีกว่านี้ซะหน่อยแล้ว
นี่ ข้านั่งมองพระอาทิตย์มานานแค่ไหนแล้วนะ เมื่อไหร่ท่านพี่เซนิแอลจะส่งคนมารับข้ากันนะ อ้อ ตรงนั้นไม่ใช่ปัญหา มันอยู่ที่ว่าจะไปตอนไหนนนนนน
ข้านั่งรอจนเสื้อกันหนาวสีขาวแขนยาวของข้ามันจะย้อมเข้ากับสีส้มของพระาทิตย์แล้วเนี่ย
ก็อกๆๆ
"องค์ชายคารินขอรับ"
มันต้องแบบนี้สิ!
"ข้ามาแล้วววๆ" เขาคว้าถุงเงินที่แทบจะไม่ได้แตะมานาน และเรียกได้ว่าแทบจะกระโดดออกจากตำหนักกันเลยทีเดียว ช่วยไม่ได้ก็มันตื่นเต้นนี่
"ระวังหกล้มนะขอรับ องค์ชายของกระหม่อมไม่หนีไปไหนหรอกขอรับ" ทำได้แค่หันไปยิ้มแหยๆให้ ก็มันตื่นเต้นนี่นา
เมื่อเดินมาถึงหน้าวังก็พบท่านพี่เซนิแอลแต่งตัวด้วยเสื้อฮู้ดแขนยาว กับกางเกงขายาวสีดำทรงกระบอก ให้ความรู้สึกเป็นกันเองมาก และที่สำคัญดูอบอุ่นยิ่งกว่าพระอาทิตย์ยามเช้าเสียอีก สมแล้วที่เป็นราชวงศ์ฟอริอาร์ แห่งเมืองพระอาทิตย์ ที่ใส่อะไรก็ดูดีจนน่าหมั่นไส้ขนาดนี้
ดงพโยหันหน้าไปหาเซนิแอลด้วยใบหน้าแบบไหนก็ไม่รู้อีกเช่นเคย องค์ชายหัวเราะเบาๆเหมือนจะเอ็นดู และเดินไปเปิดประตูรถม้าเป็นทรงห้องขนาดกลาง ดูเรียบง่าย แต่ให้ความรู้สึกสบายตา คงเป็นเพราะไม่ได้ตกแต่งด้วยอะไรมากมาย ด้านนอกทาด้วยสีขาวขอบดำและมีผ้าม่านบางๆสีขาว ภายใน ตรงหน้าต่าง
"เชิญเจ้าก่อนเลยเด็กน้อย" องค์ชายใหญ่ให้เกียรติแขกรับเชิญก่อนจะผายมือให้ดงพโยขึ้นเป็นคนแรก
"เชิญท่านพี่ก่อนเถิดขอรับ" คนตัวเล็กทำหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย เพราะการที่ไม่ได้ออกไปไหนมานาน เขาทั้งตื่นเต้นและเกร็งในเวลาเดียวกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนี่คือรถม้าขององค์ชายฟอริอาร์ หรือไม่เคยขึ้นรถม้ากันแน่
" ฝึกไว้เดี๋ยวก็ชิน" เหมือนองค์ชายใหญ่จะดูคนตัวเล็กออก หรือมันอาจแสดงออกมาทางสีหน้าหมดแล้วก็ได้ ขายาวๆจึงก้าวขึ้นรถ ว่าแล้วก็ยื่นมือออกมาให้ดงพโยจับแล้วค่อยก้าวขึ้นไปนั่งในรถ ด้านในรถม้าทาด้วยสีครีม มีที่นั่งติดผนังทั้งสองฝั่ง กว้างพอให้นอนเหยียดขาได้สบายๆ และมีหน้าต่างสองฝั่ง และบรรยากาศที่กำลังจะพลบค่ำในตอนนี้มีแสงอาทิตย์กำลังจะอัสดง สาดส่องเข้ามา ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
ดงพโยมองรอบๆก่อนจะยิ้มออกมาอย่างชอบใจ เซนิแอลนั่งมองอยู่เงียบก็ยิ้มอ่อนเอ็นดูคนเป็นน้องก่อนจะหันมองออกไปหน้าต่าง
"เดี๋ยวเจ้าจะได้นั่งบ่อยจนเบื่อเลยล่ะ" ดงพโยหันมององค์ชายใหญ่ เพียงแค่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมา ดงพโยไม่อยากจะถามอะไรมาก เพียงแค่เก็บความสงสัยนั้นไว้ ก่อนจะหันออกไปสนใจบรรยากาศที่กำลังเลื่อนไปด้านหลังนั่นบ้าง
เมื่อมาถึงตลาดก็พลบค่ำจนพระอาทิตย์ตกดิน พอลงจากรถแล้วมองไปข้างหน้า.. นี่มันใช่ผู้คนจริงๆหรือ เยอะยิ่งกว่าค้างคาวในถ้ำที่เขาคาอึลซะอีก
"ข้าเข้าไป ข้าจะรอดกลับมามั้ยขอรับท่านพี่ " ดูความสูงของเขาสิ เข้าไปมีหวังไม่โดนเหยียบตายก็หลงทางแน่นอน เขาก็ไม่อยากจะโทษความสูงตัวเองหรอก แต่เขามันเกิดมาเตี้ยจริงๆนั้นแหละ ไม่สิ คนอื่นสิเกิดมาสูง สูงเกินหน้าเกินตา เขาไม่ผิดซะหน่อย ...พอคิดเข้าข้างตัวเองก็ค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย ดงพโยหัวเราะกับตัวเองในใจ
"ถ้าเจ้าจับมือข้าไว้ ข้ารับรองไม่มีอันตรายแน่นอน"
เซนิแอลหันหน้าลงมองเด็กตัวเล็กแล้วยิ้ม ดงพโยยิ้มตอบกลับจนตาปิด ถ้างั้นงานนี้ท่านได้เดินจนขาลากแน่ท่านองค์ชายใหญ่
ยิ้มตอบกลับไปแล้วยื่นมือไปจับมือเซนิแอลไว้ นี่มือคนหรือมือหมีวะเนี่ย ใหญ่กว่ามือเขาสองข้างรวมกันอีกมั้ง
เมื่อเดินนานเข้า เขาก็หยิบนั้นหยิบนี่มาจนเต็มมือ สงสัยจะต้องพอแค่นี้ก่อนแล้วล่ะ ไม่งั้นคงต้องลำบากท่านพี่เซนิแอลช่วยถือแน่ คิดยังไม่ทันจบ องค์ชายใหญ่ก็ถือโอกาสคว้าของในมือเด็กน้อยมาถือไว้เอง ดงพโยอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็โดนคนโตขัดซะก่อน
"ข้าไม่เป็นไร เจ้าซื้อไปเถอะ ข้าไม่มีอะไรจะซื้ออยู่แล้ว"
องค์ชายใหญ่พูดก่อนจะยิ้ม ใช่ ยิ้มอีกแล้ว ช่างไม่คีพลุค(?)จริงๆเลยองค์ชายท่านนี้ ดงพโยเลยยิ้มกลับ งั้นก็ถือไปเถิดท่าน ข้ามีของที่สนใจอีกมากมายเชียว
"หิวมั้ย"
อืม.. จะว่าไปก็หิวแหละ นี่มันก็สักสองทุ่มได้แล้วมั้ง
"ก็...หิวขอรับ " ยิ้มแห้งให้ทีนึง ก่อนจะรู้สึกถึงท้องน้อยๆที่กำลังจะร้องประท้วงในอีกไม่ช้า
จะยิ้มอะไรกันนักกันหนา รู้แล้วว่าหล่อ ..เลิกยิ้มซะที ยิ้มให้ข้าทีไรมีแต่สาวๆมอง มันหงุดหงิดนะท่านพี่ นึกทีไรก็อดอิจฉาใบหน้านั่นไม่ได้เลยย
"งั้นเราไปร้านนั้นกัน มานี่ข้าถือให้" ว่าแล้วก็แย่งของจากมือเขาไปต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง แล้วเดินฉิวเหมือนของที่ถือเป็นแค่อากาศ แล้วที่เขายกแขนแทบหลุดเมื่อครู่คืออะไร
กริ้ง กริ้ง
"ยินดีตอนรับครับคุณลูกค้า(?)" เมื่อเดินเข้ามาก็พบชายผมทองตัวอวบกล่าวทักทาย ข้าเพิ่งจะสังเกตแฮะว่านี่มันร้านอาหารต่างถิ่นเหมือนจะเป็นเมืองที่ไกลออกไปมาก ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปถิ่นนั้นเรียกว่าเมืองเวทส์แลนด์ มีอ่านศึกษาจากหนังสือมาบ้างแต่เขายังไม่ค่อยจะคล่องภาษาเวทส์แลนซะด้วยสิ
ท่านพี่เซนิแอลเลือกเดินไปนั่งโต๊ะกลางๆ ก่อนที่พนักงานจะเดินเข้ามาถามด้วยสำเนียงแปล่งๆเหมือนคนที่ยังพูดภาษาบ้านเมืองเขาไม่ถนัด องค์ชายใหญ่ตอบกลับเป็นภาษาเวทส์แลนอย่างคล่องปาก ส่วนเขาเพียงยิ้มแล้วชี้ที่เมนูที่ต้องการ แล้วะนักงานก็เดินออกจากข้างโต๊ะไป
เอ้ะ.. เหมือนลืมอะไรไป
"อ่ะ ค.. ขอของหวานด้วยนะครับ อะไรก็ได้" สำเนียงแปล่งๆถูกเอ่ยออกไปจนพนักงานชะงักค้างไปสักครู่.. ก่อนจะยิ้มแล้วโค้งตัวทีนึงแล้วเดินออกไป ตายแล้ววว เขินชะมัดด อายเขามั้ยละดงพโย เขาทำได้เพียงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น คิดว่าเซนิแอลต้องหัวเราะตัวเองแน่ๆ..
แต่เมื่อหันกลับมาก็พบท่านพี่นั่งมองหน้าเขายิ้มๆ หน้าเขามีอะไรติดงั้นหรือ หรือจะล้อกันจริงๆ โอ้ยจะบ้าตาย
"มีอะไรหรือขอรับ"
"เปล่า ข้าว่าตอนเจ้าพูดเวทส์แลนก็น่ารักดี เจ้าไม่คล่องภาษาใช่มั้ยล่ะ" รู้ไปซะหมดนะขอรับ จะไม่รู้ได้ยังไง เขาทั้งเลิ่กลั่กและสำเนียงแปลกซะขนาดนั้น
"ก็ใช่ขอรับ" ขำตัวเองจริงๆเลย
"ทีหลังถ้าเจ้าลำบากใจมาก บอกข้าก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ"
"ขอบคุณมากขอรับ " ดงพโยปาดเหงื่อแล้วยิ้มแห้งๆ เมื่อนั่งรอสักพัก อาหารและของหวานที่สั่งก็มาเสริ์ฟ หน้าตามันดูดีไม่แพ้หน้าร้านเลยเชียวล่ะ
"เป็นยังไง ถูกปากมั้ย"
"ก็อร่อยดีขอรับ" ท่านพี่เซนิแอลมองเขายิ้มๆอีกแล้ว พอแล้วว เขารู้สึกเหนื่อยกับรอยยิ้มของเซนิแอลจริงๆ เห็นแล้วเมื่อยแก้มเมื่อยปากแทน
"ที่เมืองข้า ทำอร่อยกว่านี้อีกนะ เจ้าอยากไปชิมดูมั้ยล่ะ ถ้าเจ้าอยากไปข้ารับรองเจ้ากินจนเบื่อแน่" ของหวานพวกนี้ ที่ไหนอร่อย ที่นั้นแหละคือที่สุด
"อยากไปสิขอรับ"
"โอเค เจ้าได้ไปแน่เด็กน้อย ตอนนี้รีบกินดีกว่า"
มือใหญ่ยั่งกะหมี ลูบเบาๆที่ผมนิ่มๆของเขา ก่อนจะชักมือกลับแล้วทานอาหารต่อไปอย่างชิลล์ๆ
100%
ฟิคเรื่องนี้ถึงชื่อจะเป็นเกาหลีก็จริงแต่ภูมิประเทศจะคล้ายๆฝั่งยุโรปนะคะ และจะมีความไฮเทคอยู่บ้างอาจจะเรื่องข้าวของเครื่องใช้ก็อาจจะมีความทันสมัยแต่ยังอยู่ในยุคโบราณ ไรท์เองก็ข้อมูลน้อยมาก แต่พยายามสื่อออกมาให้ดีที่สุด และๆๆๆเรื่องนี้ไม่ได้อิงตามยุคจริงๆนะคะ เป็นแค่การประมานเอาเท่านั้น และหากมีข้าวของหรือสถานที่ไหนที่อาจดูล้ำสมัยไปบ้างก็ถือว่านั้นเป็นข้าวของที่ค่อนข้างหายากและแพงพอตัว
ง่ายๆก็คืออออออแต่งสนองนีดตัวเอวตามความคิดเองเลยค้าา ขอให้เอ็นจอยกันนะคะ
ความคิดเห็น