คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : แสงและการเห็น
อยากกระโดดกอด จขกท ที่ให้เนื้อหานี้ มากมาย อธิบายซ่ะเข้าใจเลย
v
v
สมบัติของแสง
แสง
แสงเป็นคลื่นจึงมีสมบัติ 4 ประการ คือ
1. การสะท้อน 2. การหักเห
3. การเลี้ยวเบน 4. การแทรกสอด
กระจกเว้า ( ใช้จุด C เป็นหลัก )
เลนส์นูน (ใช้จุด 2F เป็นหลัก )
หลักการจำ
เลนส์นูนและกระจกเว้า ให้ทั้งภาพจริง และภาพเสมือน ภาพจริงมีทั้งขนาดเล็ก และใหญ่กว่าวัตถุ ภาพเสมือน มีแต่ขนาดใหญ่กว่าวัตถุเสมอ
เลนส์เว้าและกระจกนูน ให้ภาพเสมือนหัวตั้ง ขนาดเล็กกว่าวัตถุอย่างเดียวเท่านั้น
1 = 1 + 1 f s s’ **f = R 2 |
หลักการคำนวณกระจกและเลนส์
f คือระยะโฟกัส
s คือระยะวัตถุ
s’ - คือระยะภาพ
กำลังขยาย m = I = S’ O S |
I ขนาดภาพ
O ขนาดวัตถุ
การใช้เครื่องหมายในการคำนวณ
| กระจกเว้าหรือเลนส์นูน | กระจกนูนหรือเลนส์เว้า |
ความยาวโฟกัส (f) | + เพราะรวมแสงมาตัดกันจริง | - เพราะกระจายแสง จึงไม่มีแสงมาตัดกัน |
ระยะวัตถุ (S) | + | + |
ระยะภาพ (S’) | + ถ้าเป็นภาพจริง - ถ้าเป็นภาพเสมือน | - เพราะให้ภาพเสมือนเท่านั้น |
**หมายเหตุ
1. ถ้าเป็นกระจกจะมีสูตร f = R/2 ซึ่งจะเป็นจริงเฉพาะกระจกโค้ง ที่มีความโค้งน้อย และบานเล็ก ๆ เท่านั้น ถ้าเป็นเลนส์ห้ามใช้สูตรนี้ ต้องใช้สูตรคือ
1/f = (n-1)[1/R1 + 1/R2] จึงต้องทราบทั้งค่า n ของแก้ว และ R ของเลนส์ทั้งสองข้างจึงหา f ได้
m = s’- f f |
m = f s - f |
2. ถ้ารวมสูตร m = I/O = S’/ S เข้ากับ 1/f = 1/S+1/S’ จะได้สูตร
3. การแทนค่าในสูตรต้องคิดเครื่องหมาย +,- ด้วย โดยภาพจริงใช้ mเป็นบวก,ภาพเสมือนใช้ m เป็นลบ
การเกิดภาพซ้อนที่เดียวกับวัตถุ
หลัก
1. จะเกิดภาพที่เดียวกับวัตถุได้แสดงว่าแสงต้องเคลื่อนที่ไปตกตั้งฉากกับกระจก
แล้วสะท้อนกลับทางเดิม รังสีของแสงจึงมาตัดกันที่เดิม
2. ควรใช้วัตถุเป็นจุด เพื่อให้เขียนทางเดินแสงได้ง่าย
1. วางวัตถุที่จุดศูนย์กลางความโค้ง ( C ) ของกระจกเว้า
แนวรังสีจะอยู่ในแนวรัศมีวงกลม จึงตกตั้งฉากกับผิวกระจกเว้าแล้วสะท้อนกลับทางเดิม
2. วางวัตถุที่จุดโฟกัสของเลนส์นูน (F) ที่วางหน้ากระจกเงาราบ
เมื่อวางวัตถุไว้ที่จุดโฟกัสของเลนส์นูน จะได้รังสีขนาดซึ่งเมื่อตกตั้งฉากกระจกเงาราบ รังสีจะสะท้อนกลับทางเดิม
สังเกต ไม่ว่ากระจกกับเลนส์จะห่างกันเท่าใด จะให้ผลเช่นเดียวกัน
3. วางวัตถุที่จุดใด ๆ หน้าเลนส์นูนที่วางกระจกนูน
วางวัตถุไว้ที่จุดใดก็ตามหน้าเลนส์นูน จะเกิดการรวมแสงให้แคบลงมา ถ้าจัดให้รังสีที่ผ่านเลนส์นูนมีแนวตรงกับจุด C ของกระจกนูน รังสีนั้นจะตกตั้งฉากผิวกระจกนูนทำให้สะท้อนกลับทางเดิม
ช่องคู่และช่องเดี่ยว
ถ้าให้แสงเคลื่อนที่มาพบสิ่งกีดขวางที่มีช่องเปิดเล็ก ๆ 1 ช่อง จะเรียกว่า “ช่องเดี่ยว” และถ้ามีช่องเปิดเล็ก ๆ 2ช่อง จะเรียกว่า “ช่องคู่” ซึ่งแสงที่ผ่านช่องเดี่ยวและช่องคู่จะสามารถเลี้ยวเบนได้ทั้งคู่ แต่จะมีลักษณะการแทรกสอดที่แตกต่างกัน ซึ่งจะสังเกตได้บนฉากที่ไปรับแสงด้านหลังสลิต
ช่องคู่
ช่องคู่ แนวปฏิบัพจะลงตัวเป็น 1λ , 2 λ , 3λ ,
แนวบัพจะลงครึ่งเริ่มจาก 0.5 λ , 1.5 λ , 2.5 λ ,
สูตร S1P - S2P แถบสว่าง
แถบมืด
|
**หมายเหตุ
d ในสูตรช่องคู่ คือ ระยะห่างระหว่างกึ่งกลางช่อง
แถบสว่างทุกแถบมีความกว้างเท่ากัน และแถบที่อยู่ติดกันจะมีความสว่างใกล้เคียงกัน (ถ้าช่องแคบมากและฉากอยู่ไกลถือว่าทุกแถบสว่างเท่ากัน)
ช่องเดี่ยว
ช่องเดี่ยว แนวบัพจะลงตัวเป็น 1 λ , 2 λ , 3 λ ,
แนวปฏิบัพจะลงครึ่งเริ่มจาก 1.5 λ , 2.5 λ , 3.5 λ ,
แถบสว่าง
แถบมืด
**หมายเหตุ
d ในสูตรช่องเดี่ยวคือความกว้างช่อง
แถบสวางกลางกว้างเป็น 2 เท่าของแถบอื่น และมีความสว่างแตกต่างกันมากโดยแถบสว่างกลางสว่างที่สุด แถบอื่นยังเบนจากแนวกลางยิ่งสว่างลดลงเรื่อย ๆ
มุมวิกฤต ( Critical angle, θc ) และการสะท้อนกลับหมด
- เมื่อแสงเดินทางจากตัวกลางที่มี n มากเข้าสู่ตัวกลางที่มี n น้อย รังสีจะเบนออกจากเส้นแนวฉาก
- มุมวิกฤต θc คือ มุมตกกระทบที่ทำให้มุมหักเหเป็น 90 °
จากสูตร n1sinθ1 = n2sin θ
. . . n1sinθc = n2sin 90 °
หมายเหตุ
1. ถ้าไม่กำหนดว่าออกสู่ตัวกลางใด ให้หมายความว่าออกสู่อากาศ(n=1) นั่นคือถ้าทราบมุมวิกฤตจะทราบค่าดรรชนีหักเหของตัวกลางแรกทันที
. . . n1sinθc = nอากาศ sin 90 °
n1sinθc = (1)(1)
n1 = 1
sinθc
2. ถ้ามุมตกกระทบใหญ่กว่ามุมวิกฤตจะไม่มีการหักเห แต่เกิดการสะท้อนกลับหมด ซึ่งจากหลักการดังกล่าวได้นำไปใช้ทำ “เส้นใยนำแสง” โดยให้สารที่มี n มากอยู่ด้านในเคลือบด้วยสารที่มี n น้อยอยู่ด้านนอก เป็นเส้นใยที่บางมากขนาด 0.01-0.1 mm. มามัดรวมกันนับร้อยเส้น
3. มุมวิกฤตของน้ำ = 49 °
มุมวิกฤตของแก้ว = 42 °
มุมวิกฤตของเพชร = 24 °
ความผิดปกติของตา
หลัก
1. คนปกติจะมองเห็นภาพได้ชัดเจนเมื่อแสงมารวมกันตกที่เรตินาพอดี
2. คนปกติเห็นได้ใกล้ที่สุดประมาณ 25 เซนติเมตร จากตาเรียกว่า“จุดใกล้” และมองเห็นไกลสุดที่ ∞ เรียกว่า ”จุดไกล”
สายตาสั้น
T มองเห็นแค่ระยะใกล้ ๆ ระยะไกล ๆ จะเห็นไม่ชัด (นั่นคือ จุดใกล้เท่าเดิม แต่จุดไกลไม่ใช่ คือจะอยู่ใกล้ตาเข้ามา)
T สายตาสั้น เพราะแสงตกสั้นเกินไป คือ ตกก่อนถึงเรตินา
T แก้ไขโดยใช้เลนส์เว้า ช่วยถ่างแสง ให้ตกที่เรตินาพอดี
สายตายาว
T มองเห็นแค่ระยะยาว ๆ ระยะใกล้ ๆ จะมองไม่เห็น (นั่นคือ จุดไกลเท่าเดิม แต่จุดใกล้ไม่ใช่ 25 เซนติเมตร แต่จะไกลตาออกไปอีก)
T สายตายาว เพราะแสงตายาวเกินไป คือ ตกเลยเรตินา
T แก้ไขโดย ใช้เลนส์นูนช่วงรวมแสง ให้ตกที่เรตินาพอดี
แบบฝึกหัด
1.แสงความยาวคลื่นในสุญญากาศ 525 นาโนเมตร เมื่อเคลื่อนที่ผ่านไปในแก้วที่มีดัชนีหักเห 1.50 ความยาวคลื่นแสงในแก้วจะเป็นกี่นาโนเมตร
2.มีเลนส์นูน 2 อัน โดยเลนส์แรกมีทางยาวโฟกัส 15 เซนติเมตร และเลนส์ที่สองมีทางยาวโฟกัส 12.5 เซนติเมตร เลนส์ที่สองนี้วางห่างจากเลนส์แรกไปทางขวาเป็นระยะ 40 เซนติเมตร ถ้าวางวัตถุ A ไว้ด้านหน้าเลนส์แรกห่างจสกเลนส์แรกไปทางซ้ายเป็นระยะ 30 เซนติเมตร ระยะห่างระหว่างภาพสุดท้ายที่เกิดเนื่องจากการหักเหผ่านเลนส์ทั้งสองกับวุตถุ A นี้เป็นกี่เซนติเมตร
3.คนมองปลาในสระน้ำในแนวทำมุม 30 องศา กันแนวราบ จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้ว่าข้อใดถูก
1. คนเห็นปลาตื้นกว่าที่เป็นจริง 2. คนเห็นปลาลึกกว่าที่เป็นจริง
3. คนเห็นปลาตามตำแหน่งที่เป็นจริง 4. คนเห็นปลากลับซ้าย-ขวา
4.แสงสีแดงผสมกับแสงสีเขียว ได้สี
1. แดงม่วง 2. แดงขาว 3. น้ำเงิน 4. เหลือง
5.เมื่อให้แสงที่มีค่าความยาวคลื่น 440 นาโนเมตร ผ่านสลิตคู่ที่มีระยะห่างระหว่างช่องทั้งสอง 200 ไมโครเมตร จะเกิดการแทรกสอดบนฉากที่อยู่ห่างออกไป 1.20 เมตร จงหาระยะระหว่างแถบสว่างที่อยู่ติดกันในหน่วยมิลลิเมตร
6. แสงเคลื่อนที่จากใต้น้ำ (ดัชนีหักเห = n1 ) ตกกระทบที่ผิวรอยต่อกับอากาศ (ดัชนีหักเห = 1) ด้วยมุมวิกฤติ ถ้าเผอิญมีน้ำมัน (ดัชนีหักเห = n2 ) ลอยมาอยู่เหนือผิวน้ำพอดี มุมหักเหของแสงนี้ในน้ำมันเป็นเท่าใด
7. ในการทดลองเพื่อหาความยาวคลื่นของแสงโดยใช้เกรตติง เมื่อใช้แสงสีเดียวส่องผ่านเกรตติง จะสังเกตเห็นแถบสว่างลำดับที่ 1 อยู่ ณ ตำแหน่ง 10 และ 90 เซนติเมตรบนไม้เมตร แถบสว่างทั้งสองต่างก็อยู่ห่างจากเกรตติงเป็นระยะ 1เมตร ถ้าเกรตติงที่ใช้มีจำนวน 104 ช่องต่อความยาว 1 เซนติเมตร จงหาความยาวคลื่นของแสง
8. ถ้าต้องการให้ตำแหน่งมืดแรกของการเลี้ยวเบนผ่านสลิตเดี่ยวเกิดตรงกับตำแหน่งมืดที่สามของริ้วจากการแทรกสอดของสลิตคู่ อยากทราบว่าจะต้องให้ระยะห่างระหว่างช่องสลิตคู่เป็นกี่เท่าของความกว้างของสลิตเดี่ยว
9. นำวัตถุมาวางด้านหน้าของกระจกเว้าที่มีรัศมีความโค้ง 35.0 เซนติเมตร โดยวางห่างจากกระจกเป็นระยะ ที่ทำให้เกิดภาพจริงขนาดใหญ่เป็น 2.5 เท่าของวัตถุ อยากทราบว่าวัตถุห่างจากกระจกเป็นระยะเท่าใด
10. ข้อความต่อไปนี้ข้อใดถูก
1. ภาพเสมือนจะเกิดขึ้นเสมอ หากวัตถุอยู่ด้านหน้ากระจกนูน
2. ภาพที่เกิดจากกระจกเงาราบ เป็นภาพจริงเสมอ
3. ภาพที่เกิดจากกระจกเว้ามีได้กรณีเดียวคือ วัตถุจะต้องอยู่ห่างจากผิวกระจกน้อยกว่าความยาวโฟกัสของกระจก
4. ภาพที่เกิดจากเลนส์เว้า เป็นได้ทั้งภาพจริงและภาพเสมือน
เฉลย
1. nสλส = nnλn
1(525) = 1.50λn
. . . = 350 นาโนเมตร
2.
คิดเลนส์ f1
1 = 1 + 1
f1 S1 S’
1 = 1 + 1
15 30 S’
S’ = 30
. . . ระยะวัตถุ S2 = 40 30 = 10 เซนติเมตร
คิดเลนส์ f2
1 = 1 + 1
f2 S2 S’2
1 = 1 + 1
12.5 10 S’2
S’2 = -50 ซม.
. . . ภาพสุดท้ายอยู่ห่างจากวัตถุ A = (30 + 40) 50 ซม.
= 20 ซม.
3.
เฉลยข้อ 1
แสงจากปลาออกสู่อากาศ (เข้าตาคน) จะเบนออกจากเส้นแนวฉาก
ทำให้ θ2 > θ1
เมื่อแสงเข้าตา ตาจะมองเห็นเป็นแนวเส้นตรง ทำให้เห็นปลาตื้นขึ้นมาจากความเป็นจริง
4.
เฉลยข้อ 4
จากรูปจะเห็นว่า ถ้าผสมแสงสีแดงกับสีเขียว จะได้สีเหลือง
5.
คิด A1 จากแนวกลาง
d X = 1 λ
L
200 X 106 ( X ) = 440 X 10-9
1.20
X = 2.64 X 10-3 เมตร
= 2.64 มิลลิเมตร
6.
เดิมจากน้ำสู่อากาศ (ทำมุมวิกฤต)
. . . nน sin θc = nอากาศ sin 90°
n1 sin θc = 1
sin θc
credit http://ylsc.igetweb.com/index.php?mo=3&art=277305
http://www.icphysics.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=50
ความคิดเห็น