ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF,OS] Story of FanHan [Krislu,Krishan]

    ลำดับตอนที่ #4 : SF ::Dear, Deer .. From Dragon::

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 57







    ::Dear, Deer .. From Dragon::

     

     





     

    ร่างสูงในเสื้อคลุมตัวยาวสีดำสนิทกับแว่นกันแดดสีดำอันโตกำลังยืนกดโทรศัพท์ไปหาเบอร์ปลายทางที่คุ้นเคย  อยู่หน้าร้านขานดอกไม้แสนน่ารักแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของแผ่นดินใหญ่อย่างปักกิ่ง  ระหว่างที่เขากำลังรอเจ้าของร้านเตรียมช่อดอกไม้ให้เขาเหมือนๆ กับหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เขามักแวะมาเอาช่อดอกไม้ทุกครั้งหลังจากที่เขาทำงานเสร็จก่อนที่จะไปหาคนพิเศษของเขา 


    ร่างสูงเดินวนไปทั่วๆ ร้าน  มือหนึ่งถือโทรศัพท์เอาไว้แนบหูเพื่อรอให้คนปลายสายรับสายของเขา  ส่วนอีกมือก็จับดอกไม้สีหวานที่สะดุดตาอย่างเบามือ  แต่แล้วหลังจากรอสายไม่นานเท่าไหร่นัก  เสียงสัญญาณที่ดังเป็นจังหวะก่อนหน้ากลับหยุดลงและกลับกลายเป็นเสียงหวานของคนปลายสายดังขึ้นมาแทน

     

    (ฝานฝานหรอ) เสียงหวานจากทางปลายเอ่ยทักทายคนอีกทางด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างกักเก็บเอาไว้ไม่หมด

    “ใช่ฉันเอง หานหาน” เสียงทุ้มตอบกลับเสียงหวาน  ในขณะที่เขากลั้นยิ้มไปด้วยระหว่างที่กำลังจินตการถึงภาพเจ้าของเสียงหวานที่ตอนนี้คงคล้ายๆ ลูกกวางที่เห็นทุ่งดอกไม้

    (ทำงานเสร็จแล้วหรอ?  เหนื่อยรึเปล่า?  ไหวไหม?  ได้กินข้าวบ้างไหม?) เสียงหวานที่ปลายสายถามคำถามมากมายใส่เขารัวๆ จนร่างสูงไม่รู้เลยว่าควรตอบคำถามไหนก่อน

    “หานหาน ช้าก่อนๆ ทีละคำถามสิ”

    (อืม  ขอโทษ  ฉันแค่ตื่นเต้นไปหน่อย)

    “ไม่เห็นต้องขอโทษเลย  ฉันเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้นายหรอก .. ดีใจจังที่ได้ยินเสียงนาย  เหมือนเสียงดีขึ้นแล้วหนิ” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนปลายสายด้วยเสียงด้วยความเป็นห่วงพร้อมๆ กับที่เขาเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่หน้าเค้าน์เตอร์ 

    (แปปนึงนะ ฝานฝาน  ฉันลงไปส่งเหลาเกาก่อน)

    “ไหวหรอ  จะลงไปส่งเพื่อนหน่ะ”

    (ไหวสิ  รอฉันแปปนะ)

    “อืมม เดี๊ยวฉันรอ” ดวงตาคมภายตาแว่นกันแดดสีดำสอดส่องไปทั่วเค้าน์เตอร์เรื่อยๆ จนไปสะดุดตากับตุ๊กตาเซรามิกรูปกวางตาแป๋วที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก  มือใหญ่เอื้อมไปหยิบมาก่อนจะนั่งจ้องตุ๊กตาในมือระหว่างรอคนปลายสายกลับมา  มือใหญ่พลิกตุ๊กตาในมือไปมายิ่งมองก็ยิ่งทำให้เขานึกถึงเจ้าของเสียงหวานที่อยู่ปลายสายจริงๆ



     

    ในระหว่างที่เขากำลังถือสายรอกวางโง่ที่อยู่ปลายสายมาตอบเขา  แต่แล้วในระหว่างนั้นเองเจ้าของร้านสาวก็เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมช่อดอกไม้สีขาวสะอาดในมือของเธอ  และทันทีที่เห็นว่าช่อดอกไม้ของเขาในวันนี้ได้ออกมาให้ยลโฉมแล้วร่างสูงจึงมอบความสนใจทั้งหมดไปยังช่อดอกไม้ตรงหน้าของตน  ช่อดอกไม้สีขาวแสนบริสุทธิ์ที่ถูกจัดด้วยบรรดาดอกไม้สีขาวนานาชนิด  ถูกห่อด้วยกระดาษห่อสีชมพูอ่อนที่มาพร้อมกับพลาสติกใสที่หุ้มด้านนอกกระดาษอีกที


    “ชอบไหมคะ?” เจ้าของร้านเอ่ยถามระหว่างที่เธอกำลังกลั้นยิ้ม  เมื่อเห็นลูกค้าประจำหนุ่มร่างสูงคนนี้กำลังจ้องช่อดอกไม้ในมือของเธออย่างไม่วางตาพร้อมๆ กับที่ลดแว่นลงเพื่อให้เขาได้เห็นภาพนี้ได้อย่างชัดเจน  และนั่นเองก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าแสนหล่อเหลาที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำนั้น

    “ชอบมากเลยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

    “ถ้าชอบฉันก็ดีใจคะ  นี่คะดอกไม้ของคุณ” เจ้าของร้านสาวพูดพร้อมยื่นช่อดอกไม้ส่งมาให้ลูกค้าหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามของเค้าน์เตอร์

    “ขอบคุณครับ  นี่ครับค่าดอกไม้” ชายหนุ่มร่างสูงเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้สีขาวมาไว้ในอ้อมกอดของตน  ก่อนที่จะหยิบเงินที่เป็นค่าดอกไม้ส่งไปให้คนที่เป็นเจ้าของร้าน

    “แล้วก็  เอ่อ.. ตุ๊กตากวางตัวนี้ขายไหมครับ?”

    “ค่ะ?” หญิงสาวเจ้าของร้านเงยหน้ามองตามมือของชายหนุ่มจนเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือชายหนุ่มคนนี้คือตุ๊กตากวางที่เธอมีไว้ประดับเค้าน์เตอร์เฉยๆ

    “ขอโทษนะคะ  พอดีตัวนี้ไม่ได้ขายคะ “ พอพูดจบเจ้าของร้ายสาวก็เห็นใบหน้าของลูกค้าหนามสลดลงไปเล็กๆ พร้อมกับค่อยๆ วางตุ๊กตาคืนที่เดิม  ซึ่งท่าทางแบบนั้นของลูกค้าหนุ่มทำให้เธออดที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้

    “ไม่ได้ขาย  แต่ถ้าคุณชอบฉันจะให้คุณถือว่าเป็นของแถมเล็กๆ ล่ะกันคะ”

    “จริงหรอครับ”

    “ค่ะ  จริงสิคะ”

    “งั้นขอบคุณนะครับ  ไว้อาทิตย์หน้าผมจะมาเอาดอกไม้อีกนะครับ” ร่างสูงพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง   มือใหญ่นั้นจับตุ๊กตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างทะนุถนอม  ก่อนที่จะโค้งให้เจ้าของร้านสาวเล็กๆ แล้วค่อยเดินออกจากร้านไปในที่สุด




    “เจ้าของช่อดอกไม้นั้นน่าอิจฉาจังนะ” เจ้าของร้านสาวบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่ลูกค้าหนุ่มนั้นเดินออกไปจนลับสายตา 



    เธอได้เห็นลูกค้าหนุ่มคนนี้ครั้งแรกเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน  เขาเข้ามาในร้านของเธอด้วยท่าทีเก้งก้างและดูสับสนไปกับทุกๆ อย่างในร้านของเธอไปซะหมด  พอเธอเห็นแบบนั้นเธอก็เลยถามจนได้ความมาว่าเขาต้องการดอกไม้สำหรับคนพิเศษของเขาที่กำลังไม่สบายอยู่  ในตอนแรกเธอแนะนำให้เขาให้เอาดอกไม้สีสันสดใสไป  แต่ว่าระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆ ร้านเธอก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังสนใจดอกไม้สีขาวต่างหาก  ดังนั้นเธอจึงเสนอให้เขาเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีขาวแทนก็ได้หากว่าเขาชอบ  ซึ่งทันทีที่เขาได้ยินแบบนั้นก็เลยยิ้มกว้างเป็นคำตอบกลับมาให้เธอ  จนสุดท้ายที่เธอจัดช่อดอกไม้จนเสร็จ  ด้วยความสงสัยเธอจึงเอ่ยถามออกไปว่าทำไมเขาถึงเลือกดอกไม้สีขาว  และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ยังคงฝังใจเธอจนมาถึงในวันนี้



              “ผมอยากได้ดอกไม้สีขาว  เพราะว่าสีขาวพวกนี้มันดูบริสุทธิ์.. เหมือนกับเขา”











    หลังจากเดินออกมาจากร้านร่างสูงยกช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือขึ้นมาดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของบรรดาดอกไม้ในช่อสวย  ก่อนยกยิ้มอบอุ่นขึ้นมาพลางขึ้นนึกสีหน้าของกวางโง่ของเขายามที่จะได้รับดอกไม้พวกนี้อีกครั้งในวันนี้  พอนึกแล้วก็ชวนทำให้นึกไปถึงในครั้งแรกที่เขาซื้อดอกไม้ไปให้แล้วอีกคนโวยวายใส่เขาแทบตาย  แต่ถึงโดนวายวายใส่แต่เขาก็ยังชอบที่จะเห็นดอกไม้พวกนี้ไปอยู่ในมือของกวางโง่ของเขา  ทำให้เขายังคงดึงดันซื้อไปอยู่เรื่อยๆ  จนกระทั่งเป็นกวางโง่ของเขาซะเองที่กลายเป็นว่าจะรอคอยดอกไม้จากเขาเสมอแทน


    (ฝานฝาน  ยังอยู่ไหม?) เสียงหวานดังมาจากปลายสาย  หลังจากที่เงียบหายไปนาน

    “ยังอยู่ครับหานหาน”

    (รอนานรึเปล่า)

    “ไม่เลย  แล้วนี่เกาซูเหยาเขากลับไปแล้วหรอ”

    (อืม  เห็นว่าวันนี้มีงานเข้าก็เลยต้องกลับไปก่อนหน่ะ) เสียงหวานเอ่ยตอบเขาเจื้อยแจ้ว  นี่แสดงว่ากวางโง่ของเขาดีขึ้นมากแล้วจริงๆ สินะ

    “งั้นหรอ”

    (นายอยู่ไหนหน่ะฝานฝาน  งานเสร็จแล้วหรอ)

    “เสร็จแล้วหล่ะ  แล้วก็ฉันกำลังจะไปหานายนะหานหาน” ร่างสูงตอบคนปลายสายไปพร้อมกับที่กำลังเดินอยู่ริมทางเดินในค่ำคืนของเดือนตุลาคมที่อากาศเริ่มจะเย็นขึ้นมานิดๆ แล้ว 



    ตอนนี้ฟ้าในปักกิ่งมืดลงจนดำมืดไปหมด  แต่ถึงท้องฟ้าจะมืดสนิทแต่ทว่าถนนในยามค่ำคืนของเมืองหลวงแห่งนี้กลับยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงจากรถรามากมายที่วิ่งขับสวนกันไปมาบนถนน  แสงสีสวยมากมายจากร้านค้า  หรือรวมไปถึงแสงไฟจากไฟตามข้างทาง  ผู้คนมากมายยังคงเดินกันขวักไขว่จนไม่รู้สึกเงียบเหงา  มือใหญ่กระชับเสื้อโค้ทตัวยาวของตนกับแว่นให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้งเพราะว่าเขาไม่อยากจะเสี่ยงกับผู้คนที่อาจจะจำเขาได้


    “นายกินอะไรรึยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถามเจ้าของเสียงหวานปลายสาย  เมื่อสายตาของเขาไปสะดุดตากับร้านอาหารข้างทาง

    (ฉันกินแล้วเหลาเกาซื้อมาให้  แล้วนายกินอะไรรึยัง .. ถ้ายังละก็อย่าเพิ่งกินอะไรมานะ  ฉันมีอะไรดีๆ ให้กินแหละ”)

    “เอ๋?  อะไรคือของดีๆ ที่ว่างั้นหรอ”

    (ไม่บอกแหละ  รอนายมาถึงก็รู้เอง)

    “อย่าทำให้อยากรู้แล้วไม่บอกแบบนี้สิหานหาน  ใจร้ายจัง”

    (ไม่ได้ใจร้าย  แต่ถ้านายอยากรู้จะได้รีบๆ มาหาฉันไง) เสียงหวานพูดด้วยน้ำเสียงติดซน  ซึ่งบางครั้งที่กวางโง่ของเขาพูดจาน่ารักๆ แบบนี้ก็เกือบทำเอาเขาลืมไปว่าอีกคนแก่กว่าเขา

    “กลายเป็นจอมวางแผนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เสียงทุ้มพูดพร้อมพยายามกลั้นยิ้มไม่ให้ออกหน้าออกตาจนเกินไป  ก่อนที่จะโบกเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมา

    (เปล่านะ  ไม่รู้แหละ.. รีบๆ มาหล่ะกัน  ฉันจะรอนะ) เสียงหวานพูดจบก็วางสายในทันที  เหลือทิ้งไว้แค่ร่างสูงปลายสายที่ทำได้แค่นั่งยิ้มไม่หุบกับอาการน่ารักที่ชักน่ารักขึ้นทุกวันๆ ของอีกคนอยู่บนเบาะหลังของแท็กซี่











     

    เจ้าของห้องหน้าหวานที่เพิ่งวางสายใส่เจ้าของร่างสูงอยู่อีกทางของสาย  ในตอนนี้ได้ถลาตัวลงไปซุกลงกับหมอนใบนิ่มที่อยู่บนเตียงของตน  เพื่อซ่อนใบหน้าที่กำลังขึ้นสีด้วยความเขินอายหลังจากที่เขาดันพูดประโยคหน้าอายใส่อีกคนไปเมื่อครู่  ยิ่งคิดคนหน้าหวานก็ยิ่งเขิน  แล้วพอยิ่งเขินมือเล็กๆ นั่นก็ทุบเตียงเอาๆ เหมือนเพื่อเป็นการระบายความเขินของตน  ก่อนที่จะพลิกเงยหน้ากลับขึ้นมา  เผยให้เห็นถึงใบหน้าหวานที่ถูกฉาบด้วยรอยยิ้มกว้าง  ใบหน้าที่ตอนนี้ดูดีขึ้นมาถ้าเทียบกลับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน


    คนหน้าหวานนอนยิ้มกับตัวเองได้สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่ง  แล้วกระโดดลงจากเตียงเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อให้ดูดีขึ้นเพื่อที่จะพบกับอีกคน  เซทเสื้อและกางเกงบอลลายแมนยูที่เขาใส่อยู่ก่อนหน้าถูกถอดออกไปใส่ในตะกร้า  ก่อนที่เขาจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบสเวตเตอร์ถักสีครีมหม่นกับกางเกงขายาวสีเทามาใส่แทน  เจ้าของห้องหน้าหวานยืนหมุนไปมาอยู่หน้ากระจกสองสามที  หลังจากมั่นใจกับชดที่เลือกแล้ว  ร่างบางก็เดินออกจากห้องและตรงไปยังบันไดเพื่อลงไปยังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่าง


     

    “อยู่ไหนนะๆ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะที่เขากำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหาบางสิ่งอยู่

    “อ๊ะ  เจอแล้ว”


    เสียงหวานเผลอพูดออกมาด้วยความดีใจ  มือเล็กเอื้อมไปหยิบถ้วยสีเหลืองที่มีฝาสีฟ้าปิดอยู่ออกมาจากชั้นในตู้เย็น  ถ้วยสีสดใสนั้นถูกเอามาวางบนโต๊ะที่อยู่ถัดออกมา  เจ้าของใบหน้าหวานค่อยๆ เปิดฝาออกและทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ในถ้วยนั้นก็ทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้าหวานอีกครั้ง

     











     

    ร่างสูงเดินลงมาจากรถแท็กซี่หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว  มือใหญ่กระชับมือที่ถือช่อดอกไม้ในมั่นคงมากขึ้น  สายตาหลังเลนต์แว่นมองไปที่ตัวบ้านตะกูลลู่อย่างพิจารณาอีกครั้ง  แม้ว่าช่วงนี้เขาจะมาบ้านของกวางโง่ของเขาบ่อยแค่ไหน  แต่นี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาโดยที่บ้านตระกูลลู่นี้จะไม่มีคนอื่นนอกจากเขาและเจ้าของบ้านหน้าบ้านอย่าง ลู่หาน กวางโง่ของเขา  เพราะว่าเหมือนลู่หานบอกว่าวันนี้ป๊าม๊าของลู่หานต้องไปออกงานที่ต่างเมือง  ส่วนเกาซูเหยาเพื่อนของลู่หานเองก็เพิ่งกลับไปเมือก่อนหน้านี้ไม่นานด้วย


    ร่างสูงค่อยๆ ถอดแว่นของตนออกแล้วเอามาเหน็บไว้กับเสื้อในของตน  ก่อนที่จะทำใจให้พร้อมและเดินตรงไปกดกริ่งในที่สุด  และหลังจากที่เขากดกริ่งไปไม่นานนัก  ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของเจ้าของบ้านหน้าหวาน กวางโง่ของเขานั่นเอง  ร่างบางกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางเขาอย่างร้อนรนจนเขาห่วงว่าอีกคนจะไม่ระวังจนเผลอสะดุดอะไรเข้า  แต่แล้วก็โชคดีที่กวางโง่ของเขาเดินมาถึงประตูรั้วที่เขายืนอยู่อย่างปลอดภัย



    “รอนานไหม” เสียงหวานเปล่งออกมาจากใบหน้าหวานๆ ของคนตรงหน้า 

     

    เขาคิดถึงคนหน้าหวานตรงหน้าเขาเหลือเกิน  แม้ว่าความจริงเขาก็ได้เจอกันอยู่ทุกอาทิตย์แท้ๆ แต่ทำใมกัน.. ทำไมวันนี้เขาถึงรู้สึกโหยหาคนตรงหน้าเหลือเกิน 



    “ฝานฝาน?” เสียงหวานเรียกชื่อร่างสูงที่กำลังเหม่ออีกครั้ง

    “ไม่เลย  วันหลังไม่ต้องรีบแบบนี้ก็ได้นะ” ร่างสูงที่เพิ่งตั้งสติได้ตอบกลับอีกคน  ก่อนที่จะจูงมือของเจ้าของเสียงหวานนั้นเดินตรงกันเข้ามาในบริเวณบ้าน  ประตูรั้วหน้าบ้านถูกปิดลงและตอนนี้ทั้งสองเดินยังไม่ทันถึงประตูหน้าบ้าน  แต่แล้วในตอนนั้นเองคนตัวสูงกว่าก็ดึงร่างบางของเจ้าของบ้านหน้าหวานเข้ามาในอ้อมกอดของตนด้วยความโหยหาที่มากจนเอ่อล้นทะลักออกมา

    “คิดถึง” แค่ประโยคสั้นๆ ของเสียงทุ้มก็สามารถบรรยายความรู้สึกของเขาออกมาได้จนหมดจริงๆ

    “ฉันก็คิดถึงนายฝานฝาน  คิดถึงมากเหลือเกิน” แขนเล็กๆ ของร่างบางถูกยกขึ้นมากอดคนที่สูงกว่าตอบ  พร้อมกับเอยถ้อยคำที่แทนความรู้สึกของเขาในช่วงเวลาตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา

    “ฉันอยากเจอนายทุกวันจริงๆ นะหานหาน” เสียงทุ้มค่อยๆ พูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาออกมาเรื่อยๆ

    “เหมือนกัน  ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันไม่อยากเจอนาย  ฉันอยากเห็นหน้านายทุกวันเลย”

     

    ว่าไปแล้วมันก็เหมือนตลกร้ายซะเหลือเกิน  ที่จู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาดลใจให้พวกเขาทั้งสองรับรู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคน  และทำให้ในที่สุดพวกเขาก็พูดมันออกไป  ทำให้ความสัมพันธ์นั้นถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาอีกระดับ  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าต่อให้ไม่เจอกันนานแค่ไหน  พวกเขาก็ยังทนมันมาได้เรื่อยๆ แม้ไม่ได้เจอหน้าแต่แค่ได้คิดถึงอีกฝ่ายมันก็เพียงพอแล้ว  แต่ก็นั้นแหละ พอหลายๆ สิ่งเปลี่ยนไป  มันก็เลยเหมือนกับว่ามันทำให้ความคิดถึงระหว่างพวกทั้งสองมันมากขึ้นไปอีก  มากจนบางทีเหมือนกับความคิดถึง ความโหยหาที่เอ่อล้นออกมานั้นมันแทบจะรัดจนเขาหายใจไม่ออกเลยทีเดียว

     






     

     

     “ได้กินข้าวบ้างรึเปล่าฝานฝาน  ทำไมผอมลงไปขนาดนี้หล่ะ” เสียงหวานเอ่ยถามร่างสูงเพราะตอนที่กอดกันทำให้เขารับรู้ได้ว่าอีกคนเหมือนจะผอมลงไปจากครั้งล่าสุดที่เจอ  ในขณะที่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองได้พากันมาจนถึงห้องครัวภายในบ้าน

    “กินนะ  เยอะด้วย  แต่สงสัยคงไม่พอละมั๊ง” เสียงทุ้มตอบติดตลก

    “แล้วนายหล่ะ  กินข้าวครบทุกม้อแล้วใช่ไหม”

    “อือ  ตอนนี้กินได้แล้วหล่ะ  แถมกินจนหมดจานเลยทุกครั้งด้วย” เจ้าชองดวงตากลมใสเหมือนลูกกวางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ  ราวกับเด็กๆ ที่กำลังพูดอวดคนเป็นพ่อแม่ว่าวันนี้ตนกินข้าวหมดจานแล้ว

    “เก่งมากเลยครับ  หานหาน”

    “อ่ะ! ใช่แล้ว  นายยังไม่ได้กินอะไรนี่หน่า  งั้นรอแปปนะ เดี๊ยวฉันหยิบให้”




    และแล้วก็เหมือนกับว่าร่างบางเพิ่งนึกได้ว่าอีกคนยังไม่ได้กินข้าว  ดังนั้นเขาจึงเนตรงไปยังเตาแก๊ส  ก่อนที่จะหยิบถ้วยสีเหลืองใบเดิมที่เขาหยิบออกมาจากในตู้เย็นก่อนหน้าที่บัดนนี้ตั้งอุ่นอยู่บนเตาออกมาอย่างระมัดระวัง  ไม่นานนักถ้วยสีเหลืองสดใสที่ถูกปิดด้วยฝาสีฟ้าก็ถูกยกมาเสริ์ฟอยู่ตรงหน้าของร่างสูง


    ใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงมองถ้วยสีน่ารักที่คนหน้าหวานยกมาให้อย่างสงสัย  เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่สมควรและแล้วร่างบางจึงค่อยๆ เปิดฝาถ้วยออก  ควันอุ่นๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรยาจีนลอยขึ้นมาปะทะกับใบหน้าของร่างสูงที่นั่งอยู่  จนเหมือนกับว่าไออุ่นนี้กำลังทำลายความหนาวที่คั่งค้างมาจากการที่เขาอยู่ข้างนอกมาได้อย่างสิ้นเชิง  แต่แล้วพอควันจางลงไปก็เผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในถ้วยนั้น  และนั่นก็คือ ขาหมูสีน้ำตาลสวยที่ถูกตุ๋นในเครื่องยาจีนจนหอมฉุยแบบนี้


    “หานหาน”

    “ฉันลองค้นสูตรในอินเตอร์เน็ตแล้วลองทำดูหน่ะ  แต่ไม่ต้องห่วงกินได้แน่นอนเพราะนี่เป็นหม้อที่ห้าแล้ว  ฉันกับเหลาเกาลองกินกันจนแน่ใจแล้วว่ามันอร่อย” เสียงหวานใสกำลังเอ่ยแนะนำอาหารที่ตนทำขึ้นมาอย่างภูมิใจ  จนร่างสูงอดที่จะยิ้มไม่ได้

    “ฉันมั่นใจในฝีมือนายอยู่แล้ว” พูดจบร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มก็เริ่มกินขาหมูตุ๋นยาจีนที่กวางโง่ตรงหน้าของเขาอุตส่าห์ลงมือหัดทำเพื่อเขา  ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของคนทำ  แต่แล้วทันทีที่ขาหมูนั้นเข้าปากของเขาไป  ตาเรียวบนใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ถึงกับเบิกกว้างขึ้นมาในทันใด

    “มันแย่มากเลยหรอ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ของร่างสูงก็ทำเอาคนทำเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาทันที

    “เปล่าสักหน่อย  อร่อยจะตายไป”

    “จริงหรอ” ดวงตากลมโตบนในหน้ากว้างกำลังสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นกับคำชมที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า

    “จริงสิ  นี่สารภาพมานะหานหานว่านายทำเอง  หรือซื้อมาแล้วแอบบอกว่าทำเองกัน” และแน่นอนว่าท่าทีที่คนหน้าหวานทำมันน่ารักมาก  มากจนร่างสูงอดที่จะแซวเล่นไม่ได้

    “ทำเองๆๆๆ ฉันทำเอง” เสียงหวานพูดย้ำอย่างมีความสุข  พร้อมกับดวงตาที่ตอนนี้กลายเป็นรอยยิ้มตามริมฝีปากสวยไปแล้วด้วย

     
     

    ในระหว่างที่เขากำลังกินอยู่เขาก็ได้คุยกับเจ้าของตากลมไปด้วย  จนนั้นทำให้เขารู้ว่าในวันนี้หากเขาแยกตัวกลับไปก็แปลว่ากวางโง่ของเขาจะต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นี้เพียงคนเดียว  แถมในวันพรุ่งนี้ยังเป็นสำคัญที่สุดอีกวันของร่างบางตรงหน้าเขาด้วย  ฉะนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกคนต้องอยู่รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงคนเดียว  ดังนั้นร่างสูงจึงเลือกที่จะโทรไปหาผู้จัดการสาวของตนเพื่อขออนุญาติว่าจะนอนค้างบ้านเพื่อนในวันนี้  และบอกว่าจะไปทำงานให้ทันตามเวลา  เมื่อได้ยินคำสัญญาว่าจะรับผิดชอบและจะมาให้ตรงเวลาแบบนี้ทำให้ผู้จัดการสาวจึงยอมร่างสูงที่เป็นเด็กในปกครองในที่สุด 






    พอร่างสูงกินขาหมูที่กวางโง่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้จนหมด  เจ้าของบ้านหน้าหวานจึงเอ่ยปากบอกให้ร่างสูงไปอาบน้ำก่อนหลังจากที่พวกเขาสรุปกันได้แล้วว่าร่างสูงจะอยู่เป็นเพื่อนกับเขาจนกระทั่งเหลาเกามาหาเขาในวันพรุ่งนี้  และหลังจากร่างสูงแยกไปอาบน้ำไม่นานนักเขาก็โผล่กลับมาในห้องครัวอีกครั้งด้วยหน้าตาที่ดูสดชื่นขึ้นมาก


    “ง่วงแล้วหรอ ” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่ทำหน้าเหมือนจะหลับแหล่ไปหลับแหล่อยู่บนโต๊ะพลางใช้มือใหญ่ของตนลูบหัวอีกคนอย่างเบามือ

    “ไม่ได้ง่วง  ฮ้าวว” แม้ปากจะปฏิเสธไป  แต่เสียงหาวที่ตามหลังมาก็ทำเอาคำปฏิเสธก่อนหน้านั้นหมดความน่าเชื่อถือไปในทีเดียวเลย

    “ไม่ง่วงอะไรกัน  หาวซะกว้างขนาดนี้อ่านะ”

    “ก็ฉันอยากจะอยู่กับนายให้นานที่สุดนี่หน่า”

    “ยังไงวันนี้ฉันก็อยู่กับนายทั้งคืนอยู่แล้ว  ฉะนั้นไปนอนก่อนเถอะนะ  ถึงนายจะดีขึ้นแล้วยังไงแต่ก็ยังไม่หายสนิทอยู่ดีนี่หน่า”

    “แต่ว่า”

    “ไม่มีแต่นะหานหาน”

    “ก็ได้” ในที่สุดก็เป็นเจ้าของดวงตากลมโตที่กำลังตาเยิ้มที่ต้องยอมฟังร่างสูง

    “ดีแล้ว  งั้นมานี่เดี๊ยวฉันพานายไปนอนนะ” เจ้าของเสียงเสียงทุ้มพูดไปพร้อมๆ กับที่ช้อนตัวร่างบางขึ้นมาให้อยู่ในท่าอุ้มเจ้าสาว  ก่อนที่เขาจะค่อยๆ พาร่างบางนี่เดินขึ้นไปส่งยังห้องนอนของเจ้าตัว  


    แต่แล้วพอมาหน้าห้องที่อยู่สุดทางเดินซึ่งก็คือห้องนอนของร่างบางที่กำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา  ร่างสูงจึงต้องเอามือข้างหนึ่งไปบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูห้องออก  และทันทีที่เข้ามาได้ร่างสูงก็ใช้ขายาวของตนในการช่วยปิดประตู  ก่อนที่จะพาร่างบางมายังเตียงและค่อยๆ วางอีกคนลงบนเตียงอย่างเบามือ  เพื่อพยายามไม่ทำให้อีกคนหลุดออกจากห้วงนิทราอันแสนสุข

     
     

    “ราตรีสวัสดิ์นะ หานหาน” ร่างสูงก้มลงกระซิบเสียงทุ้มของตนลงที่ข้างหูของคนที่หลับอยู่  แล้วค่อยเลื่อนใบหน้าของตนมายังหน้าผากกว้าง  นิ้วเรียวยาวปัดผมที่ปกคลุมหน้าผากสวยให้เปิดออก  ก่อนที่เขาจะได้ประทับจุมพิตเบาๆ ลงบนหน้าผากสวยนั้น

    “อย่าไปไหนนะ ฝานฝาน” ในขณะที่เขากำลังจะเดินแยกไปนอนที่โซฟาที่อยู่อีกฝั่งของห้อง  แต่แล้วเขากลับต้องชะงักขาลงเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงดึงเบาๆ ที่ปลายเสื้อของตน  และเมื่อหันไปก็พบว่าแรงดึงนั้นมาจากมือเล็กๆ ของคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วมาพร้อมกับเสียงหวานที่พึมพำเหมือนคนละเมอ



    “ฉันไม่ได้ไปไหน หานหาน  แค่ไปนอนตรงโซฟาตรงนั้นเอง”

    “อย่าไปได้ไหม”

    “?”

    “นอนกับฉันนะ”



    เสียงหวานเอ่ยเหมือนคนละเมอ  แต่หากดวงตากลมโตนั้นกลับเปิดกว้างอยู่เป็นการบอกว่าอีกคนยังตื่นอยู่จริงๆ  ความจริงเขาเองก็ไม่อยากจะทำตามคำขอของคนขี้อ้อนในเรื่องนี้หรอกนะ  เพราะว่ายังไงเขาก็เป็นผู้ชายที่มีเส้นความอดทนที่ไม่ลึกเท่าไหร่  แต่พอจะหันกลับไปปฏิเสธแล้วได้เห็นดวงตาที่น่าสงสารนั้น  ก็ทำเอาเขาเองนี่แหละที่กลืนคำปฏิเสธทั้งหลายลงคอไปอย่างรวดเร็ว


    และในที่สุดตอนนี้เขาก็ลงมานอนอยู่ข้างๆ กับร่างบางบนเตียงใหญ่นี่จนได้  โดยที่ร่างบางๆ ของกวางโง่ของเขาเขยิบของมาซะชิดเขาพร้อมกับซุกหัวเล็กๆ ไว้ที่อกของเขาอีกต่างหาก  ตอนแรกเขาคิดว่าแบบนี้มันคงไม่ดี.. แต่ทว่าพอตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน



         “พรุ่งนี้แล้วสินะ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง  และค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง  วงแขนกว้างยืดออกไปก่อนจะวาดเอาร่างบางให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง  ใบหน้าหล่อเหลาซุกลงกับเส้นผมสีน้ำตาลของคนในอ้อมกอด  ก่อนที่เขาจะร่วงหล่นไปในห้วงนิทราแล้วเช่นกัน





              ไม่ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม  ต่อให้เวลาจะหยุดหมุนหรือต่อให้คนทั้งโลกจะหันหลังให้นาย  ไม่ว่ายังไงฉัน อู๋ อี้ฝานคนนี้ก็จะอยู่ข้างนายเสมอนะ.. ลู่หาน’ 














     

    ::END::


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×