คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : SF ::Dear, Deer .. From Dragon::
::Dear, Deer .. From Dragon::
ร่างสูงในเสื้อคลุมตัวยาวสีดำสนิทกับแว่นกันแดดสีดำอันโตกำลังยืนกดโทรศัพท์ไปหาเบอร์ปลายทางที่คุ้นเคย อยู่หน้าร้านขานดอกไม้แสนน่ารักแห่งหนึ่งในเมืองหลวงของแผ่นดินใหญ่อย่างปักกิ่ง ระหว่างที่เขากำลังรอเจ้าของร้านเตรียมช่อดอกไม้ให้เขาเหมือนๆ กับหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาที่เขามักแวะมาเอาช่อดอกไม้ทุกครั้งหลังจากที่เขาทำงานเสร็จก่อนที่จะไปหาคนพิเศษของเขา
ร่างสูงเดินวนไปทั่วๆ ร้าน มือหนึ่งถือโทรศัพท์เอาไว้แนบหูเพื่อรอให้คนปลายสายรับสายของเขา ส่วนอีกมือก็จับดอกไม้สีหวานที่สะดุดตาอย่างเบามือ แต่แล้วหลังจากรอสายไม่นานเท่าไหร่นัก เสียงสัญญาณที่ดังเป็นจังหวะก่อนหน้ากลับหยุดลงและกลับกลายเป็นเสียงหวานของคนปลายสายดังขึ้นมาแทน
(ฝานฝานหรอ) เสียงหวานจากทางปลายเอ่ยทักทายคนอีกทางด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างกักเก็บเอาไว้ไม่หมด
“ใช่ฉันเอง หานหาน” เสียงทุ้มตอบกลับเสียงหวาน ในขณะที่เขากลั้นยิ้มไปด้วยระหว่างที่กำลังจินตการถึงภาพเจ้าของเสียงหวานที่ตอนนี้คงคล้ายๆ ลูกกวางที่เห็นทุ่งดอกไม้
(ทำงานเสร็จแล้วหรอ? เหนื่อยรึเปล่า? ไหวไหม? ได้กินข้าวบ้างไหม?) เสียงหวานที่ปลายสายถามคำถามมากมายใส่เขารัวๆ จนร่างสูงไม่รู้เลยว่าควรตอบคำถามไหนก่อน
“หานหาน ช้าก่อนๆ ทีละคำถามสิ”
(อืม ขอโทษ ฉันแค่ตื่นเต้นไปหน่อย)
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย ฉันเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้นายหรอก .. ดีใจจังที่ได้ยินเสียงนาย เหมือนเสียงดีขึ้นแล้วหนิ” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนปลายสายด้วยเสียงด้วยความเป็นห่วงพร้อมๆ กับที่เขาเดินมานั่งลงยังเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่หน้าเค้าน์เตอร์
(แปปนึงนะ ฝานฝาน ฉันลงไปส่งเหลาเกาก่อน)
“ไหวหรอ จะลงไปส่งเพื่อนหน่ะ”
(ไหวสิ รอฉันแปปนะ)
“อืมม เดี๊ยวฉันรอ” ดวงตาคมภายตาแว่นกันแดดสีดำสอดส่องไปทั่วเค้าน์เตอร์เรื่อยๆ จนไปสะดุดตากับตุ๊กตาเซรามิกรูปกวางตาแป๋วที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก มือใหญ่เอื้อมไปหยิบมาก่อนจะนั่งจ้องตุ๊กตาในมือระหว่างรอคนปลายสายกลับมา มือใหญ่พลิกตุ๊กตาในมือไปมายิ่งมองก็ยิ่งทำให้เขานึกถึงเจ้าของเสียงหวานที่อยู่ปลายสายจริงๆ
ในระหว่างที่เขากำลังถือสายรอกวางโง่ที่อยู่ปลายสายมาตอบเขา แต่แล้วในระหว่างนั้นเองเจ้าของร้านสาวก็เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมช่อดอกไม้สีขาวสะอาดในมือของเธอ และทันทีที่เห็นว่าช่อดอกไม้ของเขาในวันนี้ได้ออกมาให้ยลโฉมแล้วร่างสูงจึงมอบความสนใจทั้งหมดไปยังช่อดอกไม้ตรงหน้าของตน ช่อดอกไม้สีขาวแสนบริสุทธิ์ที่ถูกจัดด้วยบรรดาดอกไม้สีขาวนานาชนิด ถูกห่อด้วยกระดาษห่อสีชมพูอ่อนที่มาพร้อมกับพลาสติกใสที่หุ้มด้านนอกกระดาษอีกที
“ชอบไหมคะ?” เจ้าของร้านเอ่ยถามระหว่างที่เธอกำลังกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นลูกค้าประจำหนุ่มร่างสูงคนนี้กำลังจ้องช่อดอกไม้ในมือของเธออย่างไม่วางตาพร้อมๆ กับที่ลดแว่นลงเพื่อให้เขาได้เห็นภาพนี้ได้อย่างชัดเจน และนั่นเองก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าแสนหล่อเหลาที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้แว่นกันแดดสีดำนั้น
“ชอบมากเลยครับ” เสียงทุ้มเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ถ้าชอบฉันก็ดีใจคะ นี่คะดอกไม้ของคุณ” เจ้าของร้านสาวพูดพร้อมยื่นช่อดอกไม้ส่งมาให้ลูกค้าหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามของเค้าน์เตอร์
“ขอบคุณครับ นี่ครับค่าดอกไม้” ชายหนุ่มร่างสูงเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้สีขาวมาไว้ในอ้อมกอดของตน ก่อนที่จะหยิบเงินที่เป็นค่าดอกไม้ส่งไปให้คนที่เป็นเจ้าของร้าน
“แล้วก็ เอ่อ.. ตุ๊กตากวางตัวนี้ขายไหมครับ?”
“ค่ะ?” หญิงสาวเจ้าของร้านเงยหน้ามองตามมือของชายหนุ่มจนเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือชายหนุ่มคนนี้คือตุ๊กตากวางที่เธอมีไว้ประดับเค้าน์เตอร์เฉยๆ
“ขอโทษนะคะ พอดีตัวนี้ไม่ได้ขายคะ “ พอพูดจบเจ้าของร้ายสาวก็เห็นใบหน้าของลูกค้าหนามสลดลงไปเล็กๆ พร้อมกับค่อยๆ วางตุ๊กตาคืนที่เดิม ซึ่งท่าทางแบบนั้นของลูกค้าหนุ่มทำให้เธออดที่จะยิ้มอย่างเอ็นดูคนตรงหน้าไม่ได้
“ไม่ได้ขาย แต่ถ้าคุณชอบฉันจะให้คุณถือว่าเป็นของแถมเล็กๆ ล่ะกันคะ”
“จริงหรอครับ”
“ค่ะ จริงสิคะ”
“งั้นขอบคุณนะครับ ไว้อาทิตย์หน้าผมจะมาเอาดอกไม้อีกนะครับ” ร่างสูงพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง มือใหญ่นั้นจับตุ๊กตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างทะนุถนอม ก่อนที่จะโค้งให้เจ้าของร้านสาวเล็กๆ แล้วค่อยเดินออกจากร้านไปในที่สุด
“เจ้าของช่อดอกไม้นั้นน่าอิจฉาจังนะ” เจ้าของร้านสาวบ่นกับตัวเองเบาๆ หลังจากที่ลูกค้าหนุ่มนั้นเดินออกไปจนลับสายตา
เธอได้เห็นลูกค้าหนุ่มคนนี้ครั้งแรกเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน เขาเข้ามาในร้านของเธอด้วยท่าทีเก้งก้างและดูสับสนไปกับทุกๆ อย่างในร้านของเธอไปซะหมด พอเธอเห็นแบบนั้นเธอก็เลยถามจนได้ความมาว่าเขาต้องการดอกไม้สำหรับคนพิเศษของเขาที่กำลังไม่สบายอยู่ ในตอนแรกเธอแนะนำให้เขาให้เอาดอกไม้สีสันสดใสไป แต่ว่าระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆ ร้านเธอก็รับรู้ได้ว่าเขากำลังสนใจดอกไม้สีขาวต่างหาก ดังนั้นเธอจึงเสนอให้เขาเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีขาวแทนก็ได้หากว่าเขาชอบ ซึ่งทันทีที่เขาได้ยินแบบนั้นก็เลยยิ้มกว้างเป็นคำตอบกลับมาให้เธอ จนสุดท้ายที่เธอจัดช่อดอกไม้จนเสร็จ ด้วยความสงสัยเธอจึงเอ่ยถามออกไปว่าทำไมเขาถึงเลือกดอกไม้สีขาว และคำตอบที่ได้รับกลับมาก็ยังคงฝังใจเธอจนมาถึงในวันนี้
“ผมอยากได้ดอกไม้สีขาว เพราะว่าสีขาวพวกนี้มันดูบริสุทธิ์.. เหมือนกับเขา”
หลังจากเดินออกมาจากร้านร่างสูงยกช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือขึ้นมาดมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของบรรดาดอกไม้ในช่อสวย ก่อนยกยิ้มอบอุ่นขึ้นมาพลางขึ้นนึกสีหน้าของกวางโง่ของเขายามที่จะได้รับดอกไม้พวกนี้อีกครั้งในวันนี้ พอนึกแล้วก็ชวนทำให้นึกไปถึงในครั้งแรกที่เขาซื้อดอกไม้ไปให้แล้วอีกคนโวยวายใส่เขาแทบตาย แต่ถึงโดนวายวายใส่แต่เขาก็ยังชอบที่จะเห็นดอกไม้พวกนี้ไปอยู่ในมือของกวางโง่ของเขา ทำให้เขายังคงดึงดันซื้อไปอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นกวางโง่ของเขาซะเองที่กลายเป็นว่าจะรอคอยดอกไม้จากเขาเสมอแทน
(ฝานฝาน ยังอยู่ไหม?) เสียงหวานดังมาจากปลายสาย หลังจากที่เงียบหายไปนาน
“ยังอยู่ครับหานหาน”
(รอนานรึเปล่า)
“ไม่เลย แล้วนี่เกาซูเหยาเขากลับไปแล้วหรอ”
(อืม เห็นว่าวันนี้มีงานเข้าก็เลยต้องกลับไปก่อนหน่ะ) เสียงหวานเอ่ยตอบเขาเจื้อยแจ้ว นี่แสดงว่ากวางโง่ของเขาดีขึ้นมากแล้วจริงๆ สินะ
“งั้นหรอ”
(นายอยู่ไหนหน่ะฝานฝาน งานเสร็จแล้วหรอ)
“เสร็จแล้วหล่ะ แล้วก็ฉันกำลังจะไปหานายนะหานหาน” ร่างสูงตอบคนปลายสายไปพร้อมกับที่กำลังเดินอยู่ริมทางเดินในค่ำคืนของเดือนตุลาคมที่อากาศเริ่มจะเย็นขึ้นมานิดๆ แล้ว
ตอนนี้ฟ้าในปักกิ่งมืดลงจนดำมืดไปหมด แต่ถึงท้องฟ้าจะมืดสนิทแต่ทว่าถนนในยามค่ำคืนของเมืองหลวงแห่งนี้กลับยังคงสว่างไสวไปด้วยแสงจากรถรามากมายที่วิ่งขับสวนกันไปมาบนถนน แสงสีสวยมากมายจากร้านค้า หรือรวมไปถึงแสงไฟจากไฟตามข้างทาง ผู้คนมากมายยังคงเดินกันขวักไขว่จนไม่รู้สึกเงียบเหงา มือใหญ่กระชับเสื้อโค้ทตัวยาวของตนกับแว่นให้เข้าที่เข้าทางอีกครั้งเพราะว่าเขาไม่อยากจะเสี่ยงกับผู้คนที่อาจจะจำเขาได้
“นายกินอะไรรึยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถามเจ้าของเสียงหวานปลายสาย เมื่อสายตาของเขาไปสะดุดตากับร้านอาหารข้างทาง
(ฉันกินแล้วเหลาเกาซื้อมาให้ แล้วนายกินอะไรรึยัง .. ถ้ายังละก็อย่าเพิ่งกินอะไรมานะ ฉันมีอะไรดีๆ ให้กินแหละ”)
“เอ๋? อะไรคือของดีๆ ที่ว่างั้นหรอ”
(ไม่บอกแหละ รอนายมาถึงก็รู้เอง)
“อย่าทำให้อยากรู้แล้วไม่บอกแบบนี้สิหานหาน ใจร้ายจัง”
(ไม่ได้ใจร้าย แต่ถ้านายอยากรู้จะได้รีบๆ มาหาฉันไง) เสียงหวานพูดด้วยน้ำเสียงติดซน ซึ่งบางครั้งที่กวางโง่ของเขาพูดจาน่ารักๆ แบบนี้ก็เกือบทำเอาเขาลืมไปว่าอีกคนแก่กว่าเขา
“กลายเป็นจอมวางแผนตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” เสียงทุ้มพูดพร้อมพยายามกลั้นยิ้มไม่ให้ออกหน้าออกตาจนเกินไป ก่อนที่จะโบกเรียกรถแท็กซี่ที่ผ่านมา
(เปล่านะ ไม่รู้แหละ.. รีบๆ มาหล่ะกัน ฉันจะรอนะ) เสียงหวานพูดจบก็วางสายในทันที เหลือทิ้งไว้แค่ร่างสูงปลายสายที่ทำได้แค่นั่งยิ้มไม่หุบกับอาการน่ารักที่ชักน่ารักขึ้นทุกวันๆ ของอีกคนอยู่บนเบาะหลังของแท็กซี่
เจ้าของห้องหน้าหวานที่เพิ่งวางสายใส่เจ้าของร่างสูงอยู่อีกทางของสาย ในตอนนี้ได้ถลาตัวลงไปซุกลงกับหมอนใบนิ่มที่อยู่บนเตียงของตน เพื่อซ่อนใบหน้าที่กำลังขึ้นสีด้วยความเขินอายหลังจากที่เขาดันพูดประโยคหน้าอายใส่อีกคนไปเมื่อครู่ ยิ่งคิดคนหน้าหวานก็ยิ่งเขิน แล้วพอยิ่งเขินมือเล็กๆ นั่นก็ทุบเตียงเอาๆ เหมือนเพื่อเป็นการระบายความเขินของตน ก่อนที่จะพลิกเงยหน้ากลับขึ้นมา เผยให้เห็นถึงใบหน้าหวานที่ถูกฉาบด้วยรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าที่ตอนนี้ดูดีขึ้นมาถ้าเทียบกลับเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
คนหน้าหวานนอนยิ้มกับตัวเองได้สักพักก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่ง แล้วกระโดดลงจากเตียงเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อให้ดูดีขึ้นเพื่อที่จะพบกับอีกคน เซทเสื้อและกางเกงบอลลายแมนยูที่เขาใส่อยู่ก่อนหน้าถูกถอดออกไปใส่ในตะกร้า ก่อนที่เขาจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบสเวตเตอร์ถักสีครีมหม่นกับกางเกงขายาวสีเทามาใส่แทน เจ้าของห้องหน้าหวานยืนหมุนไปมาอยู่หน้ากระจกสองสามที หลังจากมั่นใจกับชดที่เลือกแล้ว ร่างบางก็เดินออกจากห้องและตรงไปยังบันไดเพื่อลงไปยังห้องครัวที่อยู่ชั้นล่าง
“อยู่ไหนนะๆ” เสียงหวานเอ่ยพึมพำกับตัวเองขณะที่เขากำลังเปิดตู้เย็นเพื่อหาบางสิ่งอยู่
“อ๊ะ เจอแล้ว”
เสียงหวานเผลอพูดออกมาด้วยความดีใจ มือเล็กเอื้อมไปหยิบถ้วยสีเหลืองที่มีฝาสีฟ้าปิดอยู่ออกมาจากชั้นในตู้เย็น ถ้วยสีสดใสนั้นถูกเอามาวางบนโต๊ะที่อยู่ถัดออกมา เจ้าของใบหน้าหวานค่อยๆ เปิดฝาออกและทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ในถ้วยนั้นก็ทำให้เกิดรอยยิ้มขึ้นมาประดับบนใบหน้าหวานอีกครั้ง
ร่างสูงเดินลงมาจากรถแท็กซี่หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว มือใหญ่กระชับมือที่ถือช่อดอกไม้ในมั่นคงมากขึ้น สายตาหลังเลนต์แว่นมองไปที่ตัวบ้านตะกูลลู่อย่างพิจารณาอีกครั้ง แม้ว่าช่วงนี้เขาจะมาบ้านของกวางโง่ของเขาบ่อยแค่ไหน แต่นี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขามาโดยที่บ้านตระกูลลู่นี้จะไม่มีคนอื่นนอกจากเขาและเจ้าของบ้านหน้าบ้านอย่าง ลู่หาน กวางโง่ของเขา เพราะว่าเหมือนลู่หานบอกว่าวันนี้ป๊าม๊าของลู่หานต้องไปออกงานที่ต่างเมือง ส่วนเกาซูเหยาเพื่อนของลู่หานเองก็เพิ่งกลับไปเมือก่อนหน้านี้ไม่นานด้วย
ร่างสูงค่อยๆ ถอดแว่นของตนออกแล้วเอามาเหน็บไว้กับเสื้อในของตน ก่อนที่จะทำใจให้พร้อมและเดินตรงไปกดกริ่งในที่สุด และหลังจากที่เขากดกริ่งไปไม่นานนัก ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดออกด้วยฝีมือของเจ้าของบ้านหน้าหวาน กวางโง่ของเขานั่นเอง ร่างบางกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางเขาอย่างร้อนรนจนเขาห่วงว่าอีกคนจะไม่ระวังจนเผลอสะดุดอะไรเข้า แต่แล้วก็โชคดีที่กวางโง่ของเขาเดินมาถึงประตูรั้วที่เขายืนอยู่อย่างปลอดภัย
“รอนานไหม” เสียงหวานเปล่งออกมาจากใบหน้าหวานๆ ของคนตรงหน้า
เขาคิดถึงคนหน้าหวานตรงหน้าเขาเหลือเกิน แม้ว่าความจริงเขาก็ได้เจอกันอยู่ทุกอาทิตย์แท้ๆ แต่ทำใมกัน.. ทำไมวันนี้เขาถึงรู้สึกโหยหาคนตรงหน้าเหลือเกิน
“ฝานฝาน?” เสียงหวานเรียกชื่อร่างสูงที่กำลังเหม่ออีกครั้ง
“ไม่เลย วันหลังไม่ต้องรีบแบบนี้ก็ได้นะ” ร่างสูงที่เพิ่งตั้งสติได้ตอบกลับอีกคน ก่อนที่จะจูงมือของเจ้าของเสียงหวานนั้นเดินตรงกันเข้ามาในบริเวณบ้าน ประตูรั้วหน้าบ้านถูกปิดลงและตอนนี้ทั้งสองเดินยังไม่ทันถึงประตูหน้าบ้าน แต่แล้วในตอนนั้นเองคนตัวสูงกว่าก็ดึงร่างบางของเจ้าของบ้านหน้าหวานเข้ามาในอ้อมกอดของตนด้วยความโหยหาที่มากจนเอ่อล้นทะลักออกมา
“คิดถึง” แค่ประโยคสั้นๆ ของเสียงทุ้มก็สามารถบรรยายความรู้สึกของเขาออกมาได้จนหมดจริงๆ
“ฉันก็คิดถึงนายฝานฝาน คิดถึงมากเหลือเกิน” แขนเล็กๆ ของร่างบางถูกยกขึ้นมากอดคนที่สูงกว่าตอบ พร้อมกับเอยถ้อยคำที่แทนความรู้สึกของเขาในช่วงเวลาตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา
“ฉันอยากเจอนายทุกวันจริงๆ นะหานหาน” เสียงทุ้มค่อยๆ พูดสิ่งที่อยู่ในความคิดของเขาออกมาเรื่อยๆ
“เหมือนกัน ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันไม่อยากเจอนาย ฉันอยากเห็นหน้านายทุกวันเลย”
ว่าไปแล้วมันก็เหมือนตลกร้ายซะเหลือเกิน ที่จู่ๆ ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างมาดลใจให้พวกเขาทั้งสองรับรู้ความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกคน และทำให้ในที่สุดพวกเขาก็พูดมันออกไป ทำให้ความสัมพันธ์นั้นถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาอีกระดับ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าต่อให้ไม่เจอกันนานแค่ไหน พวกเขาก็ยังทนมันมาได้เรื่อยๆ แม้ไม่ได้เจอหน้าแต่แค่ได้คิดถึงอีกฝ่ายมันก็เพียงพอแล้ว แต่ก็นั้นแหละ พอหลายๆ สิ่งเปลี่ยนไป มันก็เลยเหมือนกับว่ามันทำให้ความคิดถึงระหว่างพวกทั้งสองมันมากขึ้นไปอีก มากจนบางทีเหมือนกับความคิดถึง ความโหยหาที่เอ่อล้นออกมานั้นมันแทบจะรัดจนเขาหายใจไม่ออกเลยทีเดียว
“ได้กินข้าวบ้างรึเปล่าฝานฝาน ทำไมผอมลงไปขนาดนี้หล่ะ” เสียงหวานเอ่ยถามร่างสูงเพราะตอนที่กอดกันทำให้เขารับรู้ได้ว่าอีกคนเหมือนจะผอมลงไปจากครั้งล่าสุดที่เจอ ในขณะที่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองได้พากันมาจนถึงห้องครัวภายในบ้าน
“กินนะ เยอะด้วย แต่สงสัยคงไม่พอละมั๊ง” เสียงทุ้มตอบติดตลก
“แล้วนายหล่ะ กินข้าวครบทุกม้อแล้วใช่ไหม”
“อือ ตอนนี้กินได้แล้วหล่ะ แถมกินจนหมดจานเลยทุกครั้งด้วย” เจ้าชองดวงตากลมใสเหมือนลูกกวางเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ราวกับเด็กๆ ที่กำลังพูดอวดคนเป็นพ่อแม่ว่าวันนี้ตนกินข้าวหมดจานแล้ว
“เก่งมากเลยครับ หานหาน”
“อ่ะ! ใช่แล้ว นายยังไม่ได้กินอะไรนี่หน่า งั้นรอแปปนะ เดี๊ยวฉันหยิบให้”
และแล้วก็เหมือนกับว่าร่างบางเพิ่งนึกได้ว่าอีกคนยังไม่ได้กินข้าว ดังนั้นเขาจึงเนตรงไปยังเตาแก๊ส ก่อนที่จะหยิบถ้วยสีเหลืองใบเดิมที่เขาหยิบออกมาจากในตู้เย็นก่อนหน้าที่บัดนนี้ตั้งอุ่นอยู่บนเตาออกมาอย่างระมัดระวัง ไม่นานนักถ้วยสีเหลืองสดใสที่ถูกปิดด้วยฝาสีฟ้าก็ถูกยกมาเสริ์ฟอยู่ตรงหน้าของร่างสูง
ใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงมองถ้วยสีน่ารักที่คนหน้าหวานยกมาให้อย่างสงสัย เมื่อเห็นว่าถึงเวลาที่สมควรและแล้วร่างบางจึงค่อยๆ เปิดฝาถ้วยออก ควันอุ่นๆ และกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรยาจีนลอยขึ้นมาปะทะกับใบหน้าของร่างสูงที่นั่งอยู่ จนเหมือนกับว่าไออุ่นนี้กำลังทำลายความหนาวที่คั่งค้างมาจากการที่เขาอยู่ข้างนอกมาได้อย่างสิ้นเชิง แต่แล้วพอควันจางลงไปก็เผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในถ้วยนั้น และนั่นก็คือ ‘ขาหมู’ สีน้ำตาลสวยที่ถูกตุ๋นในเครื่องยาจีนจนหอมฉุยแบบนี้
“หานหาน”
“ฉันลองค้นสูตรในอินเตอร์เน็ตแล้วลองทำดูหน่ะ แต่ไม่ต้องห่วงกินได้แน่นอนเพราะนี่เป็นหม้อที่ห้าแล้ว ฉันกับเหลาเกาลองกินกันจนแน่ใจแล้วว่ามันอร่อย” เสียงหวานใสกำลังเอ่ยแนะนำอาหารที่ตนทำขึ้นมาอย่างภูมิใจ จนร่างสูงอดที่จะยิ้มไม่ได้
“ฉันมั่นใจในฝีมือนายอยู่แล้ว” พูดจบร่างสูงเจ้าของเสียงทุ้มก็เริ่มกินขาหมูตุ๋นยาจีนที่กวางโง่ตรงหน้าของเขาอุตส่าห์ลงมือหัดทำเพื่อเขา ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของคนทำ แต่แล้วทันทีที่ขาหมูนั้นเข้าปากของเขาไป ตาเรียวบนใบหน้าหล่อเหลานั้นก็ถึงกับเบิกกว้างขึ้นมาในทันใด
“มันแย่มากเลยหรอ” เมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบสนองแบบนี้ของร่างสูงก็ทำเอาคนทำเริ่มใจไม่ดีขึ้นมาทันที
“เปล่าสักหน่อย อร่อยจะตายไป”
“จริงหรอ” ดวงตากลมโตบนในหน้ากว้างกำลังสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นกับคำชมที่ออกมาจากปากของคนตรงหน้า
“จริงสิ นี่สารภาพมานะหานหานว่านายทำเอง หรือซื้อมาแล้วแอบบอกว่าทำเองกัน” และแน่นอนว่าท่าทีที่คนหน้าหวานทำมันน่ารักมาก มากจนร่างสูงอดที่จะแซวเล่นไม่ได้
“ทำเองๆๆๆ ฉันทำเอง” เสียงหวานพูดย้ำอย่างมีความสุข พร้อมกับดวงตาที่ตอนนี้กลายเป็นรอยยิ้มตามริมฝีปากสวยไปแล้วด้วย
ในระหว่างที่เขากำลังกินอยู่เขาก็ได้คุยกับเจ้าของตากลมไปด้วย จนนั้นทำให้เขารู้ว่าในวันนี้หากเขาแยกตัวกลับไปก็แปลว่ากวางโง่ของเขาจะต้องอยู่บ้านหลังใหญ่นี้เพียงคนเดียว แถมในวันพรุ่งนี้ยังเป็นสำคัญที่สุดอีกวันของร่างบางตรงหน้าเขาด้วย ฉะนั้นเขาจึงไม่อยากให้อีกคนต้องอยู่รับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเพียงคนเดียว ดังนั้นร่างสูงจึงเลือกที่จะโทรไปหาผู้จัดการสาวของตนเพื่อขออนุญาติว่าจะนอนค้างบ้านเพื่อนในวันนี้ และบอกว่าจะไปทำงานให้ทันตามเวลา เมื่อได้ยินคำสัญญาว่าจะรับผิดชอบและจะมาให้ตรงเวลาแบบนี้ทำให้ผู้จัดการสาวจึงยอมร่างสูงที่เป็นเด็กในปกครองในที่สุด
พอร่างสูงกินขาหมูที่กวางโง่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้จนหมด เจ้าของบ้านหน้าหวานจึงเอ่ยปากบอกให้ร่างสูงไปอาบน้ำก่อนหลังจากที่พวกเขาสรุปกันได้แล้วว่าร่างสูงจะอยู่เป็นเพื่อนกับเขาจนกระทั่งเหลาเกามาหาเขาในวันพรุ่งนี้ และหลังจากร่างสูงแยกไปอาบน้ำไม่นานนักเขาก็โผล่กลับมาในห้องครัวอีกครั้งด้วยหน้าตาที่ดูสดชื่นขึ้นมาก
“ง่วงแล้วหรอ ” เสียงทุ้มเอ่ยถามคนที่ทำหน้าเหมือนจะหลับแหล่ไปหลับแหล่อยู่บนโต๊ะพลางใช้มือใหญ่ของตนลูบหัวอีกคนอย่างเบามือ
“ไม่ได้ง่วง ฮ้าวว” แม้ปากจะปฏิเสธไป แต่เสียงหาวที่ตามหลังมาก็ทำเอาคำปฏิเสธก่อนหน้านั้นหมดความน่าเชื่อถือไปในทีเดียวเลย
“ไม่ง่วงอะไรกัน หาวซะกว้างขนาดนี้อ่านะ”
“ก็ฉันอยากจะอยู่กับนายให้นานที่สุดนี่หน่า”
“ยังไงวันนี้ฉันก็อยู่กับนายทั้งคืนอยู่แล้ว ฉะนั้นไปนอนก่อนเถอะนะ ถึงนายจะดีขึ้นแล้วยังไงแต่ก็ยังไม่หายสนิทอยู่ดีนี่หน่า”
“แต่ว่า”
“ไม่มีแต่นะหานหาน”
“ก็ได้” ในที่สุดก็เป็นเจ้าของดวงตากลมโตที่กำลังตาเยิ้มที่ต้องยอมฟังร่างสูง
“ดีแล้ว งั้นมานี่เดี๊ยวฉันพานายไปนอนนะ” เจ้าของเสียงเสียงทุ้มพูดไปพร้อมๆ กับที่ช้อนตัวร่างบางขึ้นมาให้อยู่ในท่าอุ้มเจ้าสาว ก่อนที่เขาจะค่อยๆ พาร่างบางนี่เดินขึ้นไปส่งยังห้องนอนของเจ้าตัว
แต่แล้วพอมาหน้าห้องที่อยู่สุดทางเดินซึ่งก็คือห้องนอนของร่างบางที่กำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของเขา ร่างสูงจึงต้องเอามือข้างหนึ่งไปบิดลูกบิดเพื่อเปิดประตูห้องออก และทันทีที่เข้ามาได้ร่างสูงก็ใช้ขายาวของตนในการช่วยปิดประตู ก่อนที่จะพาร่างบางมายังเตียงและค่อยๆ วางอีกคนลงบนเตียงอย่างเบามือ เพื่อพยายามไม่ทำให้อีกคนหลุดออกจากห้วงนิทราอันแสนสุข
“ราตรีสวัสดิ์นะ หานหาน” ร่างสูงก้มลงกระซิบเสียงทุ้มของตนลงที่ข้างหูของคนที่หลับอยู่ แล้วค่อยเลื่อนใบหน้าของตนมายังหน้าผากกว้าง นิ้วเรียวยาวปัดผมที่ปกคลุมหน้าผากสวยให้เปิดออก ก่อนที่เขาจะได้ประทับจุมพิตเบาๆ ลงบนหน้าผากสวยนั้น
“อย่าไปไหนนะ ฝานฝาน” ในขณะที่เขากำลังจะเดินแยกไปนอนที่โซฟาที่อยู่อีกฝั่งของห้อง แต่แล้วเขากลับต้องชะงักขาลงเมื่อรับรู้ได้ถึงแรงดึงเบาๆ ที่ปลายเสื้อของตน และเมื่อหันไปก็พบว่าแรงดึงนั้นมาจากมือเล็กๆ ของคนที่เขาคิดว่าหลับไปแล้วมาพร้อมกับเสียงหวานที่พึมพำเหมือนคนละเมอ
“ฉันไม่ได้ไปไหน หานหาน แค่ไปนอนตรงโซฟาตรงนั้นเอง”
“อย่าไปได้ไหม”
“?”
“นอนกับฉันนะ”
เสียงหวานเอ่ยเหมือนคนละเมอ แต่หากดวงตากลมโตนั้นกลับเปิดกว้างอยู่เป็นการบอกว่าอีกคนยังตื่นอยู่จริงๆ ความจริงเขาเองก็ไม่อยากจะทำตามคำขอของคนขี้อ้อนในเรื่องนี้หรอกนะ เพราะว่ายังไงเขาก็เป็นผู้ชายที่มีเส้นความอดทนที่ไม่ลึกเท่าไหร่ แต่พอจะหันกลับไปปฏิเสธแล้วได้เห็นดวงตาที่น่าสงสารนั้น ก็ทำเอาเขาเองนี่แหละที่กลืนคำปฏิเสธทั้งหลายลงคอไปอย่างรวดเร็ว
และในที่สุดตอนนี้เขาก็ลงมานอนอยู่ข้างๆ กับร่างบางบนเตียงใหญ่นี่จนได้ โดยที่ร่างบางๆ ของกวางโง่ของเขาเขยิบของมาซะชิดเขาพร้อมกับซุกหัวเล็กๆ ไว้ที่อกของเขาอีกต่างหาก ตอนแรกเขาคิดว่าแบบนี้มันคงไม่ดี.. แต่ทว่าพอตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
“พรุ่งนี้แล้วสินะ” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเอง และค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง วงแขนกว้างยืดออกไปก่อนจะวาดเอาร่างบางให้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาซุกลงกับเส้นผมสีน้ำตาลของคนในอ้อมกอด ก่อนที่เขาจะร่วงหล่นไปในห้วงนิทราแล้วเช่นกัน
‘ไม่ว่าต่อจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ต่อให้เวลาจะหยุดหมุนหรือต่อให้คนทั้งโลกจะหันหลังให้นาย ไม่ว่ายังไงฉัน ‘อู๋ อี้ฝาน’ คนนี้ก็จะอยู่ข้างนายเสมอนะ.. ลู่หาน’
::END::
ความคิดเห็น