ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF,OS] Story of FanHan [Krislu,Krishan]

    ลำดับตอนที่ #3 : SF ::Deer's Story::

    • อัปเดตล่าสุด 12 ต.ค. 57






    ::Deer's Story::

     







     

     
     

    คัท!!’


     
     

    เสียงสุดท้ายจากปากผู้กำกับส่งให้ทั้งกองถ่ายพากันดีใจกับงานที่สำเร็จลุล่วงในวันนี้  บรรดาสต๊าฟ ทีมงาน และรวมแม้กระทั่งนักแสดงที่มาเข้าฉากในวันนี้ต่างพากันแสดงความยินดีกันอย่างออกนอกหน้า


    นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่  เจ้าของความสูงเกือบแตะ 190 ซม. กับใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลัก  อดีตสมาชิกวงไอดอลชื่อดังที่เป็นหนึ่งในนักแสดงนำของเรื่อง  เดินกลับมานั่งยังที่พักนักแสดงที่ทางกองเตรียมไว้ให้พร้อมกับรอให้ช่างแต่งหน้าทั้งหลายมาจัดการล้างเมคอัพให้ก่อนแยกกลับ 

     

    “เจี่ยเจี่ย วันนี้งานของผมหมดแล้วใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามผู้จัดการส่วนตัวของตนทันทีที่เธอเดินตรงมาทางเขา

    “ใช่จ๊ะ  วันนี้งานของเราหมดแล้ว  มีงานอีกทีก็วันจันทร์เลย”

    “จริงหรอครับ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามย้ำอย่างตื่นเต้น  แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นเกินไปหน่อยเลยทำให้ถูกช่างแต่งหน้าดุเลยทีเดียว

    “จริงจ๊ะ  ว่าแต่เราเถอะอี้ฝาน  หยุดตั้งหลายวันเนี่ยจะไปเที่ยวไหนไกลๆ รึเปล่าเนี่ย”

    “ครับ?” ในครั้งนี้ร่างสูงพยายามไม่ขยุกขยิกอีกหลังจากโดนดุไปแล้วทีนึง

    “ไม่มีอะไรหรอก  คือเจี่ยจะบอกว่าถ้าคิดไปเที่ยวไหนล่ะก็เผื่อเวลาดีๆ หล่ะ” ผู้จัดการตอบนักแสดงหนุ่มในการดูแลของตนเองด้วยเสียงอ่อนโยน  แต่นักแสดงหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรมีแค่รอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับใบหน้าเป็นคำตอบเท่านั้น

     


     

    หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของร่างสูงและผู้จัดการสาวก็พากันเดินมาจนนอกกอง  ก่อนที่เธอจะหันไปทางร่างสูงเพื่อถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง


    “แน่ใจนะว่าจะกลับเอง”

    “ครับ”

    “ว่าแต่ก่อนไปบอกเจี่ยก่อนได้ไหมว่าเราะไปไหนเนี่ยอี้ฝาน”

    “แค่ไปหาเพื่อนเท่านั้นเองครับ”

    “ที่?”

    “ในปักกิ่งนี่แหละครับเจี่ยเจี่ย  ไม่ต้องห่วงหรอกผมจะดูแลตัวเองครับ” ร่างสูงตอบพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข  ความสุขที่ล้นออกมาจนแม้แต่เธอที่เป็นผู้จัดการก็รับรู้ได้  ซึ่งนั้นก็เลยทำให้เธอเบาใจไปได้เยอะ

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”

    “ครับ” เสียงทุ้มขานรับทิ้งท้ายก่อนที่จะเปิดประตูรถแท็กซี่ที่ผู้จัดการสาวเรียกมาให้

     













     

    ภายในห้องนอนใหญ่ที่อยู่สุดทางชั้นสองของบ้านใหญ่ตระกูลลู่ที่ตั้งอยู่ในนครหลวงของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ปักกิ่ง’  ทั้งๆ ที่มันควรเป็นบรรยากาศแห่งความสุขของตระกูลลู่สิ  ที่ในเมื่อวันนี้ลูกชายบุคคลที่เป็นเจ้าของห้องและผู้เป็นบิดามารดา  รวมถึงเพื่อนสนิทมารวมอยู่ด้วยกันแบบนี้  แต่หากความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ในเมื่อเจ้าของห้องนี้ ลู่หาน ที่ยอมมาอยู่บ้านแบบนี้เป็นเพราะสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขา

     

    “ลู่หาน  ไหวไหมลูก .. อย่างน้อยก็ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนนะ” เสียงหวานๆ ของสตรีผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องหนุ่มหน้าหวานที่ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก

    “ไหวครับม๊า” เสียงหวานของคนที่อยู่บนเตียงตอบคนเป็นแม่พร้อมพยายามลุกขึ้นมากินข้าว  แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอทำให้แม้กระทั่งแค่การลุกขึ้นมานั่งยังยากเหลือเกินสำหรับลู่หาน

    “ฉันช่วยนะ” เมื่อเห็นคนเป็นเพื่อนแทบไม่มีแรง เกาซูเหยาที่เป็นเพื่อนสนิทจึงทำได้รีบเข้าไปพยุงเพื่อนร่างบางขึ้นมานั่งให้ได้ในที่สุด

    “ขอบใจนะเหลาเกา” ลู่หานหันมาพูดขอบคุณพลางส่งรอยยิ้มให้แก่เพื่อนสนิท

    “ม๊าขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ  น่ากินมากเลย” พอพูดกับเพื่อนเสร็จ  คราวนี้ลู่หานก็หันมาหาคนเป็นแม่พร้อมเขยิบเข้าไปกอดเบาๆ

    “น่ากินก็กินเยอะๆ นะลูก” แม้เธอจะดีใจที่ในที่สุดลูกชายสุดที่รักที่ห่างบ้านไปหลายปีได้หวนกลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง  แต่ว่าพอเห็นว่าสาเหตุที่ลูกชายของเธอต้องกลับมาอยู่แบบนี้ก็เพราะร่างกายที่อ่อนแอลงมาก  ซึ่งนั้นมันทำให้จิตใจของคนเป็นแม่แทบจะขาดเอาซะให้ได้

    “แน่นอนครับ” คนขี้อ้อนพูดพลางส่งยิ้มหวานให้แก่มารดาของตนในขณะที่เขายังคงไม่ปล่อยมารดาออกจากอ้อมกอด

    “ปล่อยม๊าแล้วกินข้าวได้แล้วอาหาน  เดี๊ยวกับข้าวก็เย็นซะหมดหรอก” คราวนี้เป็นคนเป็นพ่อที่เอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบมาตั้งแต่แรก 

    “ครับ” พูดจบคนหน้าหวานก็ปล่อยคนเป็นแม่ออกและค่อยๆ เริ่มลงมือกินข้าวสักที

    “อาหานกินไปก่อนนะ  เดี๊ยวม๊ากับป๊าออกไปก่อนนะ”

    “ครับ”


    พอพูดจบคุณนายลู่ก็ทำท่าเดินแยกออกไป  ทั้งๆ ที่เธออยากจะอยู่กับลูกต่อให้มากกว่านี้แต่เธอก็ต้องแยกออกมาเมื่อผู้เป็นสามีของเธอสะกิด  เป็นการบอกว่าให้พวกเด็กๆ อยู่กันตามลำพังเพื่อว่าพวกเขาทั้งสองจะปรึกษาอะไรบ้างอย่างที่อาจจะไม่อยากให้พวกเรารับรู้


    “อาหาน”

    “ครับ” คนหน้าหวานชะงักมือเมื่อคนเป็นพ่อเอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง

    “ป๊าอยากให้แกรู้ว่า  ไม่ว่าแกจะตัดสินใจยังไง  ป๊ากับม๊าก็จะอยู่ข้างแกเสมอนะ”

     


     

    และแล้วในตอนนี้ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่เจ้าของห้องหน้าหวานที่อยู่บนเตียงกับอีกหนึ่งเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น  พอเห็นว่าคนเป็นพ่อและแม่ออกไปแล้ว  มือเรียวเล็กก็ปล่อยตะเกียบลงพร้อมผลักโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงหน้าให้พ้นจากตัวในทันที


    “กินอีกหน่อยเถอะหาน” เกาซูเหยาที่เห็นอาการของเพื่อนของตนก็พยายามดันโต๊ะที่ร่างบางดันออกให้กลับไปอยู่ที่เดิม

    “ฉันกินไม่ไหวแล้วจริงๆ”

    “แต่ว่านายยังไม่ได้กินอะไรเลยแบบนี้  แล้วจะกินยาได้ยังไงกัน”

    “ไม่เอาอ่าเหลาเกา  ฉันกินไม่ได้จริงๆ แค่ได้กินฉันก็จะอ้วกแล้ว” ลู่หานเริ่มงอแงใส่คนเป็นเพื่อน  เมื่อเขาไม่ไหวที่จะพยายามกินอาหารเข้าไป  ซึ่งพอเห็นลู่หานเป็นแบบนี้ใช่ว่าเกาซูเหยาจะดูไม่ออกว่าเพื่อนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงกลายเป็นเขาซะเองที่ต้องยอมดึงโต๊ะอาหารนั้นออก และยกไปวางไว้ที่มุมห้อง

    “งั้นก็กินยา”

    “ยังไม่กินได้ไหม”

    “ลู่หาน” เกาซูเหยากดเสียงลงต่ำเมื่อคนบนเตียงเริ่มงอแงเอาแต่ใจมากเกินไป  ไม่กินข้าวน่ะได้  แต่ถ้าไม่กินยาอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะหาย  แต่ก็หน่ะ..เขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น  เพราะแค่เห็นสายตาอ้อนๆ ของเพื่อนตาหวานตรงหน้าเขาก็ดุไม่ลงแล้ว

    “งั้นรออีกแปปค่อยกินล่ะกัน”

    “ขอบใจนะ” เสียงหวานพูดเสียงร่าเริงขึ้นมาอีกหน่อย

    “นอนต่อไหม”

    “ฉันกำลังคิดอยู่เลย”

    “งั้นมานี่เดี๊ยวฉันช่วยพยุง” พูดจบเขาก็ต้องค่อยๆ ช่วยพยุงร่างบางให้เอนตัวลงไปบนเตียงนุ่ม

    “ขอบใจนะ”

    “เลิกพูดขอบใจเถอะ  วันๆ หนึ่งตั้งแต่นายเป็นแบบนี้  ฉันฟังมาวันละกิ่บรอบก็ไม่รู้แล้ว”

    “งั้นหรอ” คนหน้าหวานเอ่ยยิ้มๆ ก่อนที่ปิดเปลือกตาหนาลงเพื่อหวังจะด่ำดิ่งลงไปในห้วงนิทราอีกครั้ง



    แต่แล้วก่อนที่เขาจะได้หลับลงไปเสียงริงโทนจากไอโฟนหกเครื่องใหม่ล่าสุดที่เขาเพิ่งถอยออกมาก็แผดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์  เสียงที่เขาตั้งไว้สำหรับ คนสำคัญเพียงคนเดียวของเขาก็ดังขึ้น  จนทำให้เขาเผลอที่จะรีบลุกขึ้นมาจนร่างกายแทบระบมไปหมด  ยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบ  แต่แล้วเขาก็กลับโดยชิงตัดหน้าไปก่อนด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทของเขาเอง

    “เหลาเกาส่งมา”

    “ไม่หล่ะ  ไหนดูหน่อยสิ  ใครกันที่ทำให้นายตื่นเต้นขนาดนี้กันหาน” พอพูดจบเขาก็เงยขึ้นไปมองชื่อที่แสดงเด่นอยู่บนหน้าจอไอโฟนหกเครื่องใหม่ของเพื่อนร่างบางของเขาที่ตอนนี้เขาชูไว้เหนือหัว

    “อู๋ อี้ฝาน?”

    “เอามานี้เลย” ในที่สุดลู่หานก็สามารถใช้ความพยายามพาร่างป่วยๆ ของตนเองไปแย่งสมาร์ทโฟนของตนที่อยู่ในมือของเพื่อนสนิทมาจนได้ 

    “ฮัลโหล” เสียงหวานพยายามปรับเสียงให้ดูเป็นปกติมากที่สุดก่อนที่จะกรอกส่งไปให้ทางปลายสาย

    (ไง หานหาน ฉันโทรมากวนรึเปล่า?) เสียงทุ้มจากปลายสายส่งคำถามกลับมา

    “เปล่าๆ ไม่กวนเลย  ว่าแต่โทรมามีอะไรรึเปล่าฝานฝาน” เสียงหวานพยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ให้แสดงออกไปในเสียงมากจนเกินไป  ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเขาทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นแทบตายที่อีกฝ่ายโทรมาหาหลังจากที่พวกเขาไม่ได้คุยกันตั้งแต่อีกฝ่ายเริ่มทำงานมากขึ้น

    (ถ้าบอกว่าไม่มีหล่ะ)

    “อะไรของนายเนี่ย อู๋ อี้ฝาน .. ว่างมากนักก็ไปทำงานเลยสิ”

    (ไม่ใช่แบบนั้น  ฉันแค่จะบอกว่าไม่มีเรื่องอะไร  นอกเหนือจากที่ว่า .. ฉันคิดถึงนายหานหาน)

     
     

    แค่สิ้นประโยคของเสียงทุ้มที่อยู่ปลายสายนั้นก็แทบทำเอาเขาเกือบหายใจไม่ทัน  แถมตอนนี้หน้าก็ร้อนฉ่าไปหมด  จนเขาเองก็พอจะเดาได้อยู่ว่าตอนนี้ตัวเองคนหน้าแดงมาก  เพราะดูจากสีหน้าล้อเลียนของเหลาเกาที่ส่งมาให้เขา  ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คนปลายสายมาพูดหวานๆ ใส่เขาแบบนี้แต่ก็จะให้ทำไงได้ล่ะก็มันไม่ชินนี่หน่า


    (หานหาน  ทำไมเงียบไปหล่ะ .. เป็นอะไรไปรึเปล่า) 

    “เปล่าๆ ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

    (แน่ใจนะ)

    “อืมม  แน่ใจสิ .. ฝานฝานนายอยู่ไหน” ไม่รู้อะไรดลใจให้อยู่ดีๆ ลู่หานเอ่ยถามแบบนั้นออกไป  แต่ถ้าให้เขาเดาคงเป็นเพราะเขาเองกำลังคิดถึงคนปลายสาย  อยากเจอหน้าอีกคนละมั๊ง

    (ทำไมหรอ)

    “ไม่มีอะไร  แค่อยากรู้” แต่ก็นะจะให้คนอย่างเขาตอบคิดถึง  หรืออยากเจอก็ดูไม่ใช่ทางเขาสักเท่าไหร่  ฉะนั้นการตอบปัดไปแบบนี้คงดีที่สุด

    (หานหาน  นายโอเคแน่รึเปล่า  ทำไมเสียงนายดูไม่ดีเลย) คนปลายสายเริ่มจับความผิดปกติของเสียงหวานได้จึงเอ่ยถามย้ำอีกที

    “ฉันโอเค  ไม่เป็นไรจริงๆ ฝานฝานแค่นี้ก่อนนะ”


    เมื่อรู้ตัวตัวเองไม่อาจสกัดกั้นความคิดถึงที่มีต่ออีกคนได้  การตัดสายอีกฝ่ายทิ้งคงเป็นอะไรที่ดีที่สุด  เขาไม่อยากให้อีกคนเป็นห่วงเพราะอี้ฝานยังต้องทำงานอยู่  เขาอยากให้อีกคนมีสมาธิให้กับการทำงานให้มากที่สุด  แต่ถึงเขาคิดแบบนั้นแล้วทำไมน้ำตาเขาถึงไหลออกมาหล่ะ  ให้ตายสิ! เหลาเกาก็อยู่ตรงนี้ด้วยแท้ๆ





    “หาน” เกาซูเหยาถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อเห็นสภาพที่ดูเปราะบางยิ่งกว่าเดิมของเพื่อนสนิทตรงหน้าเขา

    “ฉันขอโทษนะที่ต้องให้นายเห็นสภาพไม่น่าดูแบบนี้ของฉัน” มือเรียวของคนตรงหน้ารีบปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆ

    “ไม่หรอก  ถ้านายเหนื่อยก็ร้องออกมาเถอะหาน”

    “ไม่เอาหรอก  ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นน่ะ” ลู่หานส่ายหัวเบาๆ กับข้อเสนอที่เพื่อนยื่นให้  เขาไม่อยากอ่อนแอไปมากกว่านี้แล้ว  เพราะแค่นี้เขาก็ทำให้ป๊าม๊าห่วงมากเกินไปแล้ว

    “งั้นก็ได้  ตามใจนาย .. ว่าแต่ฉันถามอะไรนายได้ไหม”

    “??”

    “อู๋ อี้ฝาน  หมอนั่นยังไม่รู้หรอว่านายเป็นแบบนี้”

    “...”

    “แล้วหมอนั่นรู้ไหมว่านายกำลังจะตัดสินใจทำอะไร”

    “...” คนถูกตั้งคำถามทำได้แค่เงียบและก้มหน้าหลบสายตาเพื่อนสนิท  ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้คนเป็นเพื่อนเดาได้ไม่ยากว่าคำตอบนั้นคืออะไร

    “หาน”

    “ฉันไม่รู้ว่าฉันจะบอกอี้ฝานยังไง” หลังจากที่เลือกจะเงียบมานาน  ในที่สุดลู่หานก็ยอมเปิดปากจนได้

    “แต่ถึงแบบนั้นนายควรจะบอกเขาน่ะหาน  นายควรให้เขารู้เรื่องนายจากปากตัวเอง  ไม่ใช่รู้จากข่าวนะ”

    “ฉันรู้”

    “เดี๊ยวฉันมานะ” เกาซูเหยาพูดทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะเดินออกจากประตูไปเพื่อไปรับสายจากที่ทำงานของตน

     


     

    คำพูดของเกาซูเหยาดังก้องอยู่ในหัวของลู่หาน  เขาควรจะทำยังไงดีคนหน้าหวานทำได้แค่คิดซ้ำไปซ้ำมาในหัวระหว่างที่เขาค่อยๆ เอนตัวไปพิงหมอนนุ่มอย่างเหนื่อยล้า  แต่แล้วในที่สุดลู่หานก็หาคำตอบให้กับตนเองได้  เมื่อเขาเลือกที่จะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตัวเองขึ้นมา  ก่อนที่จะกดโทรออกเบอร์ที่โทรเข้าสายสุด


               ‘อู๋อี้ฝาน

     


     

    ตรู๊ดดด...ตรู๊ดด



    เสียงสัญญาณเป็นการบ่งบอกว่าปลายสายยังไม่รับสายที่เขาโทรไป  มือเรียวเล็กข้างที่จับโทรศัพท์อยู่เริ่มสั่นจนเขาต้องใช้มืออีกข้างมาช่วยประคองอีกแรง  เหนื่อยมากมายเริ่มผุดขึ้นมาตามผ่ามือจนเขารับรู้ได้ว่ามือเปียกไปหมด  แต่จนแล้วจนรอดสายก็ไม่ถูกรับและถูกโอนเขาระบบฝากข้อความในที่สุด

     

    “เฮ้อออ” ใบหน้าหวานถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า  ก่อนที่จะขยับเนื้อขยับตัวให้ลงไปอยู่ใยท่านอนหงาย  แต่ถึงจะนอนลงไปแล้วดวงตาก็ยังคงเปิดกว้างและจ้องมองหน้าจอที่ดับไปแล้วของสมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือของตน



    ไม่นานเท่าไหร่จากหน้าจอที่ดำมืดก็กลับสว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง  พร้อมแสดงถึงสายโทรเข้า  ซึ่งแค่พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนี้หัวใจของร่างบางที่อยู่บนเตียงก็แทบจะหยุดเต้น  และนั่นเป็นเพราะว่าสายนี้คือสายของคนที่เขาต้องการโทรหาเมื่อครู่นั้นเอง


    “ฮัลโหล”

    (หานหาน  นายอยู่ไหน?)

    “เอ๋?”

    (อยู่ไหน  นายอ่ะอยู่ไหน)

    “ฉันอยู่บ้าน  ทำไมหรอฝานฝาน”

    (บ้านนายใช่บ้านเลขที่ xx  ถนน xxx  เขต xx รึเปล่า? หานหาน) ลู่หานเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจหลังจากได้ฟังเสียงทุ้มที่อยู่ปลายสายร่ายที่อยู่บ้านของเขาออกมาอย่างแม่นยำ

    “ใช่  ทำไมนายถึงรู้ละเอียดแบบนี้หล่ะ”

    (ก็ตอนนี้ฉันอยู่หน้าบ้านนายไง หานหาน) เสียงทุ้มแถลงไขความข้องใจของเจ้าของเสียงหวานด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันที  ซึ่งนั้นผิดกลับร่างบางที่อยู่อีกทางของสายที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไปแล้ว

     



     

    ในที่สุดลู่หานก็เลือกที่จะเดินลงไปรับแขกผู้มาเยือนคนใหม่ อู๋ อี้ฝานด้วยตัวเอง  เจ้าของใบหน้าหวานค่อยๆ หย่อนตัวลงจากเตียงและเดินไปหยิบเสื้อคลุมถักสีเนื้อที่อยู่ในตู้ออกมาสวม  ก่อนที่จะค่อยๆ พาร่างของตัวเองเดินลงไปรับคนที่รออยู่หน้าบ้าน  และในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปหน้าบ้าน  เขาก็ต้องหยุดลงที่กระจกบานที่อยู่ก่อนประตูทางออกเพื่อส่องเช็คสภาพตัวเองอีกครั้ง  แต่ยิ่งส่องก็ยิ่งคิดว่าเขาควรจะบอกให้อี้ฝานกลับไปก่อนน่าจะดีกว่าให้เห็นเขาให้สภาพแบบนี้


    แต่แล้วยังไม่ทันที่เขาจะได้ตัดสินใจอะไร  ประตูหน้าบ้านก็กลับถูกเปิดออกปละปรากฏร่างของบุคคลสองคน  หนึ่งคือเหลาเกาเพื่อนสนิทของเขาที่บอกออกมารับโทรศัพท์  ส่วนอีกคนคือคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถ่อสังขารลงมาอยู่ ณ ตรงนี้ 

     

    “ฝานฝาน” เสียงหวานเผลอเรียกชื่อคนมาใหม่ทันทีที่เห็นการมาถึงของอีกคน

    “ห..หานหาน” เสียงทุ้มสะดุดเล็กๆ  เมื่อเจ้าของเสียงทุ้มอย่าง อู๋อี้ฝานต้องตกใจกับสภาพของกวางน้อยของเขาที่ตอนนี้ดูเหมือนกวางป่วยเลย  ยังไม่ทันที่สมองจะสั่งการอะไร  แต่ร่างกายของเขาก็กลับเดินตรงไปหาลูกกวางน้อยเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ดูเหมือนแค่ยืนก็ยังดูจะยากเย็นเหลือเกิน

    “ฝานฝาน  ฉัน..” ลู่หานไม่รู้ว่าอีกคนจะโกรธเขาไหม? ในเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกถึงอาการของตนเอง  เขาไม่รู้แต่เขาแค่อยากจะอธิบายให้อีกคนฟังก่อน 

    “ไหวไหมหานหาน” ยังไม่ทันที่ลู่หานจะได้พูดอะไรออกไป  อี้ฝานก็พุ่งเข้ามาพยุงร่างบางๆ ของเจ้าของบ้านหนุ่มพลางเอ่ยถามด้วยถ้อยคำที่ล้วนแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง

    “ยังพอไหว”

    “ขอโทษนะครับ  ห้องของหานหานอยู่ตรงไหนหรอครับ” อี้ฝานมองลูกกวางที่อยู่ในอ้อมแขนของตนเองอย่างเป็นห่วง  ก่อนที่จะหันไปถามคนที่เขารู้ว่าเป็นเพื่อนของลูกกวางของเขา

    “อ่อ  อยู่ชั้นสองสุดทาง .. เอาเป็นว่าตามผมมาละกัน”

    “ครับ  เดินไหวไหมหานหาน”

    “ยังพอไหว” เสียงหวานตอบด้วยเสียงลังเลนิดๆ 




    แต่พอเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นร่างบางก็แทบทรุดลงไป  ลู่หานหงุดหงิดกับตัวเองมากแต่ก็ไม่กล้าบ่นออกมา  แถมไม่กล้าที่จะมองหน้าอี้ฝานในตอนนี้ด้วย  เหมือนร่างสูงเองก็พอจะรู้ว่าอีกคนต้องดึงดันเดินไปเรื่อยๆ เขาเลยทำได้แค่คอยประคองให้ร่างบางเดินต่อ  แต่แล้วความอ่อนแอของร่างกายก็ชนะความดึงดันของร่างบาง  เมื่อในที่สุดร่างบางนั้นไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้  ซึ่งนั้นทำให้ร่างสูงตัดสินใจช้อนตัวของร่างบางขึ้นมาอุ้มและเดินตามเพื่อนของคนถูกอุ้มจนมาถึงห้อง


    พอมาถึงห้องร่างสูงก็อุ้มพาร่างบางไปวางบนเตียงนุ่มที่อยู่กลางห้อง  ก่อนที่เกาซูเหยาที่รู้หน้าที่จะขอตัวไปรอข้างนอกระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน  ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุมภายในห้องที่ละน้อย  เมื่อทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมากันสักอย่าง

    “ขอโทษนะ” ลู่หานเป็นทำลายความเงียบด้วยประโยคขอโทษที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด

    “รู้ตัวด้วยหรอว่าต้องขอโทษ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ขณะที่ยังคงจ้องมองลูกกวางที่อยู่บนเตียงอย่างไม่ละสายตา  และหลังจากที่เขาถามออกไปก็ได้รับคำตอบจากคนที่อยู่บนเตียงคือการพยักหน้าสองสามที

    “ขอโทษ” เสียงหวานของกวางน้อยเอ่ยอีกครั้ง

    “ทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรฉันเลย  ถ้าฉันไม่มาหานายในวันนี้ฉันจะรู้ไหมว่านายไม่สบายขนาดนี้ หานหาน”

    “ก็นายกำลังทำงาน  ฉันแค่ไม่อยากให้นายไม่สบายใจ”

    “แล้วไงหล่ะหานหาน  นายไม่บอกฉัน  แล้วทำให้ฉันคิดว่านายสบายดีมาตลอด “

    “...”

    “แต่ในที่สุดพอฉันมาเห็นเองแบบนี้  นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง  .. ฉันรู้สึกแย่หานหาน  ฉันรู้สึกแย่ที่ฉันโง่ขนาดที่ไม่รู้ว่านายเป็นขนาดนี้” เสียงทุ้มที่ปกติมักจะพูดเนิบๆ ช้าๆ แต่บัดนี้กลับรัวออกมาเร็วกว่าตอนที่เขาแรปในเพลงซะอีก

    “อึ้กก  ฉ ..ฉันขอโทษ” ลูกกวางน้อยที่พอรู้ว่าความหวังดีของตัวเองมันเป็นการทำให้อีกคนรู้สึกแย่แค่ไหน  ก็ทำให้เขาเริ่มสะอื้น  เขาเสียใจ  เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้

    “หานหาน  ฉันขอโทษ  ไม่ร้องนะๆ” ร่างสูงที่เห็นว่าอีกคนกำลังเริ่มร้องไห้เพราะตัวเองก็รีบเข้าไปหาอีกคนก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเพื่อประโลม

    “ฝานฝาน  ฉันขอโทษ  ฉันอยากให้นายตั้งใจทำงาน  ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงของนาย” มือเรียวยาวของร่างสูงก็ค่อยๆ ปาดหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสวยของลูกกวางในอ้อมกอดของเขาอย่างเบามือ  ในขณะที่ลูกกวางน้อยนั้นยังคงไม่เลิกเอ่ยโทษตัวเอง


     

    “พูดอะไรอย่างนั้นละหานหาน  นายไม่ใช่ตัวถ่วง  แต่นายคือแรงบันดาลใจของฉันต่างหากรู้ไหม”

     

     






     

    ::END::




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×