คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : SF ::Deer's Story::
::Deer's Story::
‘คัท!!’
เสียงสุดท้ายจากปากผู้กำกับส่งให้ทั้งกองถ่ายพากันดีใจกับงานที่สำเร็จลุล่วงในวันนี้ บรรดาสต๊าฟ ทีมงาน และรวมแม้กระทั่งนักแสดงที่มาเข้าฉากในวันนี้ต่างพากันแสดงความยินดีกันอย่างออกนอกหน้า
นักแสดงหนุ่มหน้าใหม่ เจ้าของความสูงเกือบแตะ 190 ซม. กับใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลัก อดีตสมาชิกวงไอดอลชื่อดังที่เป็นหนึ่งในนักแสดงนำของเรื่อง เดินกลับมานั่งยังที่พักนักแสดงที่ทางกองเตรียมไว้ให้พร้อมกับรอให้ช่างแต่งหน้าทั้งหลายมาจัดการล้างเมคอัพให้ก่อนแยกกลับ
“เจี่ยเจี่ย วันนี้งานของผมหมดแล้วใช่ไหมครับ” เสียงทุ้มเอ่ยถามผู้จัดการส่วนตัวของตนทันทีที่เธอเดินตรงมาทางเขา
“ใช่จ๊ะ วันนี้งานของเราหมดแล้ว มีงานอีกทีก็วันจันทร์เลย”
“จริงหรอครับ” เจ้าของเสียงทุ้มเอ่ยถามย้ำอย่างตื่นเต้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตื่นเต้นเกินไปหน่อยเลยทำให้ถูกช่างแต่งหน้าดุเลยทีเดียว
“จริงจ๊ะ ว่าแต่เราเถอะอี้ฝาน หยุดตั้งหลายวันเนี่ยจะไปเที่ยวไหนไกลๆ รึเปล่าเนี่ย”
“ครับ?” ในครั้งนี้ร่างสูงพยายามไม่ขยุกขยิกอีกหลังจากโดนดุไปแล้วทีนึง
“ไม่มีอะไรหรอก คือเจี่ยจะบอกว่าถ้าคิดไปเที่ยวไหนล่ะก็เผื่อเวลาดีๆ หล่ะ” ผู้จัดการตอบนักแสดงหนุ่มในการดูแลของตนเองด้วยเสียงอ่อนโยน แต่นักแสดงหนุ่มก็ไม่ได้ตอบอะไรมีแค่รอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับใบหน้าเป็นคำตอบเท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของร่างสูงและผู้จัดการสาวก็พากันเดินมาจนนอกกอง ก่อนที่เธอจะหันไปทางร่างสูงเพื่อถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง
“แน่ใจนะว่าจะกลับเอง”
“ครับ”
“ว่าแต่ก่อนไปบอกเจี่ยก่อนได้ไหมว่าเราะไปไหนเนี่ยอี้ฝาน”
“แค่ไปหาเพื่อนเท่านั้นเองครับ”
“ที่?”
“ในปักกิ่งนี่แหละครับเจี่ยเจี่ย ไม่ต้องห่วงหรอกผมจะดูแลตัวเองครับ” ร่างสูงตอบพลางฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข ความสุขที่ล้นออกมาจนแม้แต่เธอที่เป็นผู้จัดการก็รับรู้ได้ ซึ่งนั้นก็เลยทำให้เธอเบาใจไปได้เยอะ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
“ครับ” เสียงทุ้มขานรับทิ้งท้ายก่อนที่จะเปิดประตูรถแท็กซี่ที่ผู้จัดการสาวเรียกมาให้
ภายในห้องนอนใหญ่ที่อยู่สุดทางชั้นสองของบ้านใหญ่ตระกูลลู่ที่ตั้งอยู่ในนครหลวงของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ‘ปักกิ่ง’ ทั้งๆ ที่มันควรเป็นบรรยากาศแห่งความสุขของตระกูลลู่สิ ที่ในเมื่อวันนี้ลูกชายบุคคลที่เป็นเจ้าของห้องและผู้เป็นบิดามารดา รวมถึงเพื่อนสนิทมารวมอยู่ด้วยกันแบบนี้ แต่หากความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อเจ้าของห้องนี้ ‘ลู่หาน’ ที่ยอมมาอยู่บ้านแบบนี้เป็นเพราะสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขา
“ลู่หาน ไหวไหมลูก .. อย่างน้อยก็ลุกขึ้นมากินข้าวก่อนนะ” เสียงหวานๆ ของสตรีผู้เป็นมารดาของเจ้าของห้องหนุ่มหน้าหวานที่ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“ไหวครับม๊า” เสียงหวานของคนที่อยู่บนเตียงตอบคนเป็นแม่พร้อมพยายามลุกขึ้นมากินข้าว แต่ด้วยร่างกายที่อ่อนแอทำให้แม้กระทั่งแค่การลุกขึ้นมานั่งยังยากเหลือเกินสำหรับลู่หาน
“ฉันช่วยนะ” เมื่อเห็นคนเป็นเพื่อนแทบไม่มีแรง ‘เกาซูเหยา’ ที่เป็นเพื่อนสนิทจึงทำได้รีบเข้าไปพยุงเพื่อนร่างบางขึ้นมานั่งให้ได้ในที่สุด
“ขอบใจนะเหลาเกา” ลู่หานหันมาพูดขอบคุณพลางส่งรอยยิ้มให้แก่เพื่อนสนิท
“ม๊าขอบคุณสำหรับอาหารนะครับ น่ากินมากเลย” พอพูดกับเพื่อนเสร็จ คราวนี้ลู่หานก็หันมาหาคนเป็นแม่พร้อมเขยิบเข้าไปกอดเบาๆ
“น่ากินก็กินเยอะๆ นะลูก” แม้เธอจะดีใจที่ในที่สุดลูกชายสุดที่รักที่ห่างบ้านไปหลายปีได้หวนกลับมาอยู่ที่บ้านอีกครั้ง แต่ว่าพอเห็นว่าสาเหตุที่ลูกชายของเธอต้องกลับมาอยู่แบบนี้ก็เพราะร่างกายที่อ่อนแอลงมาก ซึ่งนั้นมันทำให้จิตใจของคนเป็นแม่แทบจะขาดเอาซะให้ได้
“แน่นอนครับ” คนขี้อ้อนพูดพลางส่งยิ้มหวานให้แก่มารดาของตนในขณะที่เขายังคงไม่ปล่อยมารดาออกจากอ้อมกอด
“ปล่อยม๊าแล้วกินข้าวได้แล้วอาหาน เดี๊ยวกับข้าวก็เย็นซะหมดหรอก” คราวนี้เป็นคนเป็นพ่อที่เอ่ยขึ้นมาบ้างหลังจากที่เงียบมาตั้งแต่แรก
“ครับ” พูดจบคนหน้าหวานก็ปล่อยคนเป็นแม่ออกและค่อยๆ เริ่มลงมือกินข้าวสักที
“อาหานกินไปก่อนนะ เดี๊ยวม๊ากับป๊าออกไปก่อนนะ”
“ครับ”
พอพูดจบคุณนายลู่ก็ทำท่าเดินแยกออกไป ทั้งๆ ที่เธออยากจะอยู่กับลูกต่อให้มากกว่านี้แต่เธอก็ต้องแยกออกมาเมื่อผู้เป็นสามีของเธอสะกิด เป็นการบอกว่าให้พวกเด็กๆ อยู่กันตามลำพังเพื่อว่าพวกเขาทั้งสองจะปรึกษาอะไรบ้างอย่างที่อาจจะไม่อยากให้พวกเรารับรู้
“อาหาน”
“ครับ” คนหน้าหวานชะงักมือเมื่อคนเป็นพ่อเอ่ยเรียกเขาอีกครั้ง
“ป๊าอยากให้แกรู้ว่า ไม่ว่าแกจะตัดสินใจยังไง ป๊ากับม๊าก็จะอยู่ข้างแกเสมอนะ”
และแล้วในตอนนี้ภายในห้องก็เหลือเพียงแค่เจ้าของห้องหน้าหวานที่อยู่บนเตียงกับอีกหนึ่งเพื่อนสนิทของเขาเท่านั้น พอเห็นว่าคนเป็นพ่อและแม่ออกไปแล้ว มือเรียวเล็กก็ปล่อยตะเกียบลงพร้อมผลักโต๊ะอาหารที่อยู่ตรงหน้าให้พ้นจากตัวในทันที
“กินอีกหน่อยเถอะหาน” เกาซูเหยาที่เห็นอาการของเพื่อนของตนก็พยายามดันโต๊ะที่ร่างบางดันออกให้กลับไปอยู่ที่เดิม
“ฉันกินไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“แต่ว่านายยังไม่ได้กินอะไรเลยแบบนี้ แล้วจะกินยาได้ยังไงกัน”
“ไม่เอาอ่าเหลาเกา ฉันกินไม่ได้จริงๆ แค่ได้กินฉันก็จะอ้วกแล้ว” ลู่หานเริ่มงอแงใส่คนเป็นเพื่อน เมื่อเขาไม่ไหวที่จะพยายามกินอาหารเข้าไป ซึ่งพอเห็นลู่หานเป็นแบบนี้ใช่ว่าเกาซูเหยาจะดูไม่ออกว่าเพื่อนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงกลายเป็นเขาซะเองที่ต้องยอมดึงโต๊ะอาหารนั้นออก และยกไปวางไว้ที่มุมห้อง
“งั้นก็กินยา”
“ยังไม่กินได้ไหม”
“ลู่หาน” เกาซูเหยากดเสียงลงต่ำเมื่อคนบนเตียงเริ่มงอแงเอาแต่ใจมากเกินไป ไม่กินข้าวน่ะได้ แต่ถ้าไม่กินยาอีกแล้วเมื่อไหร่มันจะหาย แต่ก็หน่ะ..เขาก็ทำได้แค่คิดเท่านั้น เพราะแค่เห็นสายตาอ้อนๆ ของเพื่อนตาหวานตรงหน้าเขาก็ดุไม่ลงแล้ว
“งั้นรออีกแปปค่อยกินล่ะกัน”
“ขอบใจนะ” เสียงหวานพูดเสียงร่าเริงขึ้นมาอีกหน่อย
“นอนต่อไหม”
“ฉันกำลังคิดอยู่เลย”
“งั้นมานี่เดี๊ยวฉันช่วยพยุง” พูดจบเขาก็ต้องค่อยๆ ช่วยพยุงร่างบางให้เอนตัวลงไปบนเตียงนุ่ม
“ขอบใจนะ”
“เลิกพูดขอบใจเถอะ วันๆ หนึ่งตั้งแต่นายเป็นแบบนี้ ฉันฟังมาวันละกิ่บรอบก็ไม่รู้แล้ว”
“งั้นหรอ” คนหน้าหวานเอ่ยยิ้มๆ ก่อนที่ปิดเปลือกตาหนาลงเพื่อหวังจะด่ำดิ่งลงไปในห้วงนิทราอีกครั้ง
แต่แล้วก่อนที่เขาจะได้หลับลงไปเสียงริงโทนจากไอโฟนหกเครื่องใหม่ล่าสุดที่เขาเพิ่งถอยออกมาก็แผดเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ เสียงที่เขาตั้งไว้สำหรับ ‘คนสำคัญ’ เพียงคนเดียวของเขาก็ดังขึ้น จนทำให้เขาเผลอที่จะรีบลุกขึ้นมาจนร่างกายแทบระบมไปหมด ยังไม่ทันที่เขาจะเอื้อมมือไปหยิบ แต่แล้วเขาก็กลับโดยชิงตัดหน้าไปก่อนด้วยฝีมือของเพื่อนสนิทของเขาเอง
“เหลาเกาส่งมา”
“ไม่หล่ะ ไหนดูหน่อยสิ ใครกันที่ทำให้นายตื่นเต้นขนาดนี้กันหาน” พอพูดจบเขาก็เงยขึ้นไปมองชื่อที่แสดงเด่นอยู่บนหน้าจอไอโฟนหกเครื่องใหม่ของเพื่อนร่างบางของเขาที่ตอนนี้เขาชูไว้เหนือหัว
“อู๋ อี้ฝาน?”
“เอามานี้เลย” ในที่สุดลู่หานก็สามารถใช้ความพยายามพาร่างป่วยๆ ของตนเองไปแย่งสมาร์ทโฟนของตนที่อยู่ในมือของเพื่อนสนิทมาจนได้
“ฮัลโหล” เสียงหวานพยายามปรับเสียงให้ดูเป็นปกติมากที่สุดก่อนที่จะกรอกส่งไปให้ทางปลายสาย
(ไง หานหาน ฉันโทรมากวนรึเปล่า?) เสียงทุ้มจากปลายสายส่งคำถามกลับมา
“เปล่าๆ ไม่กวนเลย ว่าแต่โทรมามีอะไรรึเปล่าฝานฝาน” เสียงหวานพยายามเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ไม่ให้แสดงออกไปในเสียงมากจนเกินไป ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงเขาทั้งดีใจ ทั้งตื่นเต้นแทบตายที่อีกฝ่ายโทรมาหาหลังจากที่พวกเขาไม่ได้คุยกันตั้งแต่อีกฝ่ายเริ่มทำงานมากขึ้น
(ถ้าบอกว่าไม่มีหล่ะ)
“อะไรของนายเนี่ย อู๋ อี้ฝาน .. ว่างมากนักก็ไปทำงานเลยสิ”
(ไม่ใช่แบบนั้น ฉันแค่จะบอกว่าไม่มีเรื่องอะไร นอกเหนือจากที่ว่า .. ฉันคิดถึงนายหานหาน)
แค่สิ้นประโยคของเสียงทุ้มที่อยู่ปลายสายนั้นก็แทบทำเอาเขาเกือบหายใจไม่ทัน แถมตอนนี้หน้าก็ร้อนฉ่าไปหมด จนเขาเองก็พอจะเดาได้อยู่ว่าตอนนี้ตัวเองคนหน้าแดงมาก เพราะดูจากสีหน้าล้อเลียนของเหลาเกาที่ส่งมาให้เขา ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่คนปลายสายมาพูดหวานๆ ใส่เขาแบบนี้แต่ก็จะให้ทำไงได้ล่ะก็มันไม่ชินนี่หน่า
(หานหาน ทำไมเงียบไปหล่ะ .. เป็นอะไรไปรึเปล่า)
“เปล่าๆ ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
(แน่ใจนะ)
“อืมม แน่ใจสิ .. ฝานฝานนายอยู่ไหน” ไม่รู้อะไรดลใจให้อยู่ดีๆ ลู่หานเอ่ยถามแบบนั้นออกไป แต่ถ้าให้เขาเดาคงเป็นเพราะเขาเองกำลังคิดถึงคนปลายสาย อยากเจอหน้าอีกคนละมั๊ง
(ทำไมหรอ)
“ไม่มีอะไร แค่อยากรู้” แต่ก็นะจะให้คนอย่างเขาตอบคิดถึง หรืออยากเจอก็ดูไม่ใช่ทางเขาสักเท่าไหร่ ฉะนั้นการตอบปัดไปแบบนี้คงดีที่สุด
(หานหาน นายโอเคแน่รึเปล่า ทำไมเสียงนายดูไม่ดีเลย) คนปลายสายเริ่มจับความผิดปกติของเสียงหวานได้จึงเอ่ยถามย้ำอีกที
“ฉันโอเค ไม่เป็นไรจริงๆ ฝานฝานแค่นี้ก่อนนะ”
เมื่อรู้ตัวตัวเองไม่อาจสกัดกั้นความคิดถึงที่มีต่ออีกคนได้ การตัดสายอีกฝ่ายทิ้งคงเป็นอะไรที่ดีที่สุด เขาไม่อยากให้อีกคนเป็นห่วงเพราะอี้ฝานยังต้องทำงานอยู่ เขาอยากให้อีกคนมีสมาธิให้กับการทำงานให้มากที่สุด แต่ถึงเขาคิดแบบนั้นแล้วทำไมน้ำตาเขาถึงไหลออกมาหล่ะ ให้ตายสิ! เหลาเกาก็อยู่ตรงนี้ด้วยแท้ๆ
“หาน” เกาซูเหยาถึงกับไปต่อไม่ถูกเมื่อเห็นสภาพที่ดูเปราะบางยิ่งกว่าเดิมของเพื่อนสนิทตรงหน้าเขา
“ฉันขอโทษนะที่ต้องให้นายเห็นสภาพไม่น่าดูแบบนี้ของฉัน” มือเรียวของคนตรงหน้ารีบปาดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างลวกๆ
“ไม่หรอก ถ้านายเหนื่อยก็ร้องออกมาเถอะหาน”
“ไม่เอาหรอก ฉันไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นน่ะ” ลู่หานส่ายหัวเบาๆ กับข้อเสนอที่เพื่อนยื่นให้ เขาไม่อยากอ่อนแอไปมากกว่านี้แล้ว เพราะแค่นี้เขาก็ทำให้ป๊าม๊าห่วงมากเกินไปแล้ว
“งั้นก็ได้ ตามใจนาย .. ว่าแต่ฉันถามอะไรนายได้ไหม”
“??”
“อู๋ อี้ฝาน หมอนั่นยังไม่รู้หรอว่านายเป็นแบบนี้”
“...”
“แล้วหมอนั่นรู้ไหมว่านายกำลังจะตัดสินใจทำอะไร”
“...” คนถูกตั้งคำถามทำได้แค่เงียบและก้มหน้าหลบสายตาเพื่อนสนิท ซึ่งแค่นั้นก็ทำให้คนเป็นเพื่อนเดาได้ไม่ยากว่าคำตอบนั้นคืออะไร
“หาน”
“ฉันไม่รู้ว่าฉันจะบอกอี้ฝานยังไง” หลังจากที่เลือกจะเงียบมานาน ในที่สุดลู่หานก็ยอมเปิดปากจนได้
“แต่ถึงแบบนั้นนายควรจะบอกเขาน่ะหาน นายควรให้เขารู้เรื่องนายจากปากตัวเอง ไม่ใช่รู้จากข่าวนะ”
“ฉันรู้”
“เดี๊ยวฉันมานะ” เกาซูเหยาพูดทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะเดินออกจากประตูไปเพื่อไปรับสายจากที่ทำงานของตน
คำพูดของเกาซูเหยาดังก้องอยู่ในหัวของลู่หาน ‘เขาควรจะทำยังไงดี’ คนหน้าหวานทำได้แค่คิดซ้ำไปซ้ำมาในหัวระหว่างที่เขาค่อยๆ เอนตัวไปพิงหมอนนุ่มอย่างเหนื่อยล้า แต่แล้วในที่สุดลู่หานก็หาคำตอบให้กับตนเองได้ เมื่อเขาเลือกที่จะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตัวเองขึ้นมา ก่อนที่จะกดโทรออกเบอร์ที่โทรเข้าสายสุด
‘อู๋อี้ฝาน’
ตรู๊ดดด...ตรู๊ดด
เสียงสัญญาณเป็นการบ่งบอกว่าปลายสายยังไม่รับสายที่เขาโทรไป มือเรียวเล็กข้างที่จับโทรศัพท์อยู่เริ่มสั่นจนเขาต้องใช้มืออีกข้างมาช่วยประคองอีกแรง เหนื่อยมากมายเริ่มผุดขึ้นมาตามผ่ามือจนเขารับรู้ได้ว่ามือเปียกไปหมด แต่จนแล้วจนรอดสายก็ไม่ถูกรับและถูกโอนเขาระบบฝากข้อความในที่สุด
“เฮ้อออ” ใบหน้าหวานถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า ก่อนที่จะขยับเนื้อขยับตัวให้ลงไปอยู่ใยท่านอนหงาย แต่ถึงจะนอนลงไปแล้วดวงตาก็ยังคงเปิดกว้างและจ้องมองหน้าจอที่ดับไปแล้วของสมาร์ทโฟนที่อยู่ในมือของตน
ไม่นานเท่าไหร่จากหน้าจอที่ดำมืดก็กลับสว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมแสดงถึงสายโทรเข้า ซึ่งแค่พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอนี้หัวใจของร่างบางที่อยู่บนเตียงก็แทบจะหยุดเต้น และนั่นเป็นเพราะว่าสายนี้คือสายของคนที่เขาต้องการโทรหาเมื่อครู่นั้นเอง
“ฮัลโหล”
(หานหาน นายอยู่ไหน?)
“เอ๋?”
(อยู่ไหน นายอ่ะอยู่ไหน)
“ฉันอยู่บ้าน ทำไมหรอฝานฝาน”
(บ้านนายใช่บ้านเลขที่ xx ถนน xxx เขต xx รึเปล่า? หานหาน) ลู่หานเลิกคิ้วสูงอย่างไม่เข้าใจหลังจากได้ฟังเสียงทุ้มที่อยู่ปลายสายร่ายที่อยู่บ้านของเขาออกมาอย่างแม่นยำ
“ใช่ ทำไมนายถึงรู้ละเอียดแบบนี้หล่ะ”
(ก็ตอนนี้ฉันอยู่หน้าบ้านนายไง หานหาน) เสียงทุ้มแถลงไขความข้องใจของเจ้าของเสียงหวานด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นในทันที ซึ่งนั้นผิดกลับร่างบางที่อยู่อีกทางของสายที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อไปแล้ว
ในที่สุดลู่หานก็เลือกที่จะเดินลงไปรับแขกผู้มาเยือนคนใหม่ ‘อู๋ อี้ฝาน’ ด้วยตัวเอง เจ้าของใบหน้าหวานค่อยๆ หย่อนตัวลงจากเตียงและเดินไปหยิบเสื้อคลุมถักสีเนื้อที่อยู่ในตู้ออกมาสวม ก่อนที่จะค่อยๆ พาร่างของตัวเองเดินลงไปรับคนที่รออยู่หน้าบ้าน และในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปหน้าบ้าน เขาก็ต้องหยุดลงที่กระจกบานที่อยู่ก่อนประตูทางออกเพื่อส่องเช็คสภาพตัวเองอีกครั้ง แต่ยิ่งส่องก็ยิ่งคิดว่าเขาควรจะบอกให้อี้ฝานกลับไปก่อนน่าจะดีกว่าให้เห็นเขาให้สภาพแบบนี้
แต่แล้วยังไม่ทันที่เขาจะได้ตัดสินใจอะไร ประตูหน้าบ้านก็กลับถูกเปิดออกปละปรากฏร่างของบุคคลสองคน หนึ่งคือเหลาเกาเพื่อนสนิทของเขาที่บอกออกมารับโทรศัพท์ ส่วนอีกคนคือคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถ่อสังขารลงมาอยู่ ณ ตรงนี้
“ฝานฝาน” เสียงหวานเผลอเรียกชื่อคนมาใหม่ทันทีที่เห็นการมาถึงของอีกคน
“ห..หานหาน” เสียงทุ้มสะดุดเล็กๆ เมื่อเจ้าของเสียงทุ้มอย่าง ‘อู๋อี้ฝาน’ ต้องตกใจกับสภาพของกวางน้อยของเขาที่ตอนนี้ดูเหมือนกวางป่วยเลย ยังไม่ทันที่สมองจะสั่งการอะไร แต่ร่างกายของเขาก็กลับเดินตรงไปหาลูกกวางน้อยเจ้าของบ้านที่ตอนนี้ดูเหมือนแค่ยืนก็ยังดูจะยากเย็นเหลือเกิน
“ฝานฝาน ฉัน..” ลู่หานไม่รู้ว่าอีกคนจะโกรธเขาไหม? ในเรื่องที่เขาไม่ยอมบอกถึงอาการของตนเอง เขาไม่รู้แต่เขาแค่อยากจะอธิบายให้อีกคนฟังก่อน
“ไหวไหมหานหาน” ยังไม่ทันที่ลู่หานจะได้พูดอะไรออกไป อี้ฝานก็พุ่งเข้ามาพยุงร่างบางๆ ของเจ้าของบ้านหนุ่มพลางเอ่ยถามด้วยถ้อยคำที่ล้วนแต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วง
“ยังพอไหว”
“ขอโทษนะครับ ห้องของหานหานอยู่ตรงไหนหรอครับ” อี้ฝานมองลูกกวางที่อยู่ในอ้อมแขนของตนเองอย่างเป็นห่วง ก่อนที่จะหันไปถามคนที่เขารู้ว่าเป็นเพื่อนของลูกกวางของเขา
“อ่อ อยู่ชั้นสองสุดทาง .. เอาเป็นว่าตามผมมาละกัน”
“ครับ เดินไหวไหมหานหาน”
“ยังพอไหว” เสียงหวานตอบด้วยเสียงลังเลนิดๆ
แต่พอเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นร่างบางก็แทบทรุดลงไป ลู่หานหงุดหงิดกับตัวเองมากแต่ก็ไม่กล้าบ่นออกมา แถมไม่กล้าที่จะมองหน้าอี้ฝานในตอนนี้ด้วย เหมือนร่างสูงเองก็พอจะรู้ว่าอีกคนต้องดึงดันเดินไปเรื่อยๆ เขาเลยทำได้แค่คอยประคองให้ร่างบางเดินต่อ แต่แล้วความอ่อนแอของร่างกายก็ชนะความดึงดันของร่างบาง เมื่อในที่สุดร่างบางนั้นไม่สามารถก้าวเดินต่อไปได้ ซึ่งนั้นทำให้ร่างสูงตัดสินใจช้อนตัวของร่างบางขึ้นมาอุ้มและเดินตามเพื่อนของคนถูกอุ้มจนมาถึงห้อง
พอมาถึงห้องร่างสูงก็อุ้มพาร่างบางไปวางบนเตียงนุ่มที่อยู่กลางห้อง ก่อนที่เกาซูเหยาที่รู้หน้าที่จะขอตัวไปรอข้างนอกระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน ความเงียบเริ่มคืบคลานเข้ามาปกคลุมภายในห้องที่ละน้อย เมื่อทั้งสองฝ่ายเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมากันสักอย่าง
“ขอโทษนะ” ลู่หานเป็นทำลายความเงียบด้วยประโยคขอโทษที่เต็มไปด้วยความสำนึกผิด
“รู้ตัวด้วยหรอว่าต้องขอโทษ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ขณะที่ยังคงจ้องมองลูกกวางที่อยู่บนเตียงอย่างไม่ละสายตา และหลังจากที่เขาถามออกไปก็ได้รับคำตอบจากคนที่อยู่บนเตียงคือการพยักหน้าสองสามที
“ขอโทษ” เสียงหวานของกวางน้อยเอ่ยอีกครั้ง
“ทำไมถึงไม่ยอมบอกอะไรฉันเลย ถ้าฉันไม่มาหานายในวันนี้ฉันจะรู้ไหมว่านายไม่สบายขนาดนี้ หานหาน”
“ก็นายกำลังทำงาน ฉันแค่ไม่อยากให้นายไม่สบายใจ”
“แล้วไงหล่ะหานหาน นายไม่บอกฉัน แล้วทำให้ฉันคิดว่านายสบายดีมาตลอด “
“...”
“แต่ในที่สุดพอฉันมาเห็นเองแบบนี้ นายรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไง .. ฉันรู้สึกแย่หานหาน ฉันรู้สึกแย่ที่ฉันโง่ขนาดที่ไม่รู้ว่านายเป็นขนาดนี้” เสียงทุ้มที่ปกติมักจะพูดเนิบๆ ช้าๆ แต่บัดนี้กลับรัวออกมาเร็วกว่าตอนที่เขาแรปในเพลงซะอีก
“อึ้กก ฉ ..ฉันขอโทษ” ลูกกวางน้อยที่พอรู้ว่าความหวังดีของตัวเองมันเป็นการทำให้อีกคนรู้สึกแย่แค่ไหน ก็ทำให้เขาเริ่มสะอื้น เขาเสียใจ เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นแบบนี้
“หานหาน ฉันขอโทษ ไม่ร้องนะๆ” ร่างสูงที่เห็นว่าอีกคนกำลังเริ่มร้องไห้เพราะตัวเองก็รีบเข้าไปหาอีกคนก่อนจะดึงร่างบางเข้ามากอดเพื่อประโลม
“ฝานฝาน ฉันขอโทษ ฉันอยากให้นายตั้งใจทำงาน ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงของนาย” มือเรียวยาวของร่างสูงก็ค่อยๆ ปาดหยดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาสวยของลูกกวางในอ้อมกอดของเขาอย่างเบามือ ในขณะที่ลูกกวางน้อยนั้นยังคงไม่เลิกเอ่ยโทษตัวเอง
“พูดอะไรอย่างนั้นละหานหาน นายไม่ใช่ตัวถ่วง แต่นายคือแรงบันดาลใจของฉันต่างหากรู้ไหม”
::END::
ความคิดเห็น