คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : SF ::Begin Agian::
::BEGIN AGIAN::
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหมือนกับวันทั่วๆ ไปที่เกทขาเข้าของผู้โดยสารในช่วงเวลานี้ของทุกวันจะมีผู้คนเบาบางกว่าในเวลาช่วงอื่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีผู้โดยสารจากต่างทิศต่างทางเดินทางเข้ามายังประเทศนี้อย่างไม่ขาดสาย
‘สาธารณรัฐเกาหลีใต้’ ประเทศหนึ่งในเอเชียที่ในปัจจุบันโดดเด่นขึ้นมามากกว่าประเทศข้างเคียงด้วยอุตสาหกรรมบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นจากงานภาพยนตร์ เพลงแนวเคป๊อป หรือแม้กระทั่งเรื่องแฟชั่นที่โดดเด่นจนไม่ว่าใครก็ต้องแต่งตาม ประเทศที่เป็นความฝันของเด็กหนุ่มสาวหลายๆ คนบนโลกที่อยากจะลองเข้ามาเหยียบและไล่ตามความฝันของตน
เช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มคนนี้เพราะเองก็เคยเป็นหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีความฝันอยากจะเป็นหนึ่งในดวงดาวของที่นี้ เด็กหนุ่มคนนี้มีร่างสูงโปร่งราวกับนายแบบที่โดยปกปิดโดยเสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดัง แม้ว่าใบหน้านี้จะถูกปกปิดด้วยผ้าปิดปากสีดำและแว่นกันแดดอันใหญ่แต่นั้นก็ไม่สามารถปกปิดความหล่อเหลาของเขาได้เลย ร่างสูงนี้เพิ่งเดินออกมาจากเกทพร้อมกับกระเป๋าใบสวยที่ห้อยพวงกุญแจตุ๊กตานกสีแดงจากเกมส์ชื่อดัง ‘แองกี้เบิร์ด’ ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่คอยมองเขาอย่างไม่วางตา เพราะเขาเหมือนใครคนหนึ่งในวงการเพลงของที่นี้ที่เคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อคนคนนั้นเลือกที่จะออกจากวงไปเมื่อสามเดือนก่อน ‘คริส EXO’
“ขอโทษนะคะ คุณคือคริสใช่รึเปล่าคะ”
ขณะที่เขาเดินจนมาถึงบริเวณหน้าสนามบินและกำลังจะเรียกรถแท็กซี่นั้น แต่แล้วก็มีเด็กผู้หญิงสองสามคนเดินเขามาทางเขาพลางยิงคำถามใส่เขาในทันทีที่พวกหล่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งนั่นทำให้เขาค่อนข้างตกใจไม่น้อย ก่อนที่เขาจะเลือกที่ไม่ตอบคำถามและก้มหัวให้พวกหล่อนเล็กน้อยแล้วรีบขึ้นรถแท็กซี่คันที่มาจอดตรงหน้าเขา แม้ว่าเขารีบขึ้นรถมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังทันได้ยินเสียงแห่งความผิดหวังของเด็กสาวกลุ่มนั้นเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่พวกหล่อนต้องการ
ทันทีที่ร่างสูงขึ้นมาบนรถเขาก็เลือกที่จะถอดแว่นกันแดดและผ้าปิดปากของตนเองออกจนหมด เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักที่เรียกได้ว่าแม้จะเป็นคนในวงการบันเทิง แต่หลายๆ คนในนั้นก็ไม่อาจเทียบใบหน้านี้ได้เลย
“จะไปไหนดีครับ” โชเฟอร์เลือกเอ่ยถามผู้โดยสาวหนุ่มหน้าตาดีด้วยภาษาอังกฤษ เพราะว่าดูแล้วยังไงผู้โดยสารหนุ่มในครั้งนี้ก็ดูท่าจะไม่ใช่คนเกาหลีเป็นแน่
“ไปโรงแรมxx ครับ” เสียงทุ้มจากเด็กหนุ่มตอบเป็นภาษาเกาหลีอย่างชำนาญ จนก่อความตกใจให้โซเฟอร์ได้ไม่น้อย
“เป็นคนเกาหลีหรอครับ ผมก็คิดว่าคุณเป็นต่างชาติเลยถามเป็นอังกฤษไปซะได้”
“เปล่าหรอกครับ แค่พอดีเคยเรียนมาน่ะครับ”
“งั้นหรอครับ”
และแล้วบทสนทนาระหว่างโซเฟอร์และผู้โดยสารหนุ่มก็ต้องจบลง เมื่อผู้โดยสารหนุ่มเลือกที่จะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตนขึ้นมาก่อนที่จะกดโทรออกไปยังเบอร์ของบุคคลที่ทำให้เขาต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศนี้
เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าตอนนี้เครือข่ายกำลังต่อสายไปยังเลขหมายปลายทาง แต่เพียงไม่นานนักสัญญาณนี้ก็หยุดไป พร้อมการปรากฏเสียงหวานที่ดังออกมาจากทางปลายสาย
(ฉันมารอนานแล้วนะ นายอยู่ไหนแล้วเนี่ย!) เสียงหวานโวยวายเสียงดังใส่เขาด้วยภาษาบ้านเกิดของพวกเขาทั้งสองทันทีที่รับสาย แม้ประโยคแรกนี้จะไม่ใช่คำทักทายหรือคำอะไรแสนหวาน แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ร่างสูงไม่อาจควบคุมจนเผลอเผยรอยยิ้มกว้างออกมาจนได้
(นี่ฝานเงียบทำไมเนี่ย นายเป็นอะไรรึเปล่า) เหมือนเจ้าของเสียงปลายสายจะเริ่มประสาทเสีย เมื่ออีกทางซึ่งก็คือเขาไม่ยอมพูดอะไรออกไปสักที
(เฮ้! ‘อู๋ อี้ฝาน’ ตอบฉันสิ)
“ใจเย็นน่ะหานหาน ฉันโอเค แล้วฉันก็กำลังนั่งแท็กซี่อยู่”
(ให้ตายสิ แล้วทำไมไม่รีบๆ ตอบล่ะ)
“ก็จะให้ฉันตอบยังไงในเมื่อนายเล่นพูดซะรัวแบบนั้น ฉันตอบไม่ทันหน่ะ”
(ฉันไม่ผิดสักหน่อย นายผิดที่พูดช้าเองต่างหาก .. ล่ะนี้นายไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม?)
“แน่สิ ฉันสบายดีจริงๆ”
(งั้นก็ดีหล่ะ ถ้ามาถึงก็รีบๆ ขึ้นมาล่ะกัน ฉันรออยู่ที่โรงแรมแล้ว แล้วก็เลขห้องเดี๊ยวไว้ฉันส่งไปบอกในเว่ยนะ) แม้เขาจะบอกให้อีกฝ่ายพูดช้าลง แต่ก็ดูคำขอนั้นจะยากเกินไปสำหรับเจ้าของเสียงหวานนี้ เพราะยังไงเสียงหวานนี้ก็ยังคงคอนเซปพูดเร็วๆ รัวๆ ใส่เขาเสมอ
“ได้ นายเองรอก่อนนะ ล่ะก็อย่าเปิดประตูให้คนไม่รู้จักน่ะ” เสียงทุ้มเลือกที่จะหยอกล้อใส่คนปลายนิดๆ ด้วยสีหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างนั้น
(ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ไม่ต้องมาสั่งหรอกนะ งั้นไม่มีอะไรแล้ว แค่นี้นะ)
พอจบประโยคปุ๊ปเจ้าของเสียงหวานปลายสายก็ตัดสายทิ้งในทันที ซึ่งการกระทำแบบนั้นของคนปลายสายก็ทำให้เด็กหนุ่มเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีเด็กๆ แบบนี้ของอีกฝ่าย
“ทำแบบนี้ไม่เด็กเลยนะ หานหาน”
ณ ห้องสวีทสุดหรูของโรงแรมชั้นนำแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซลที่ถูกจองด้วยชื่อของนักท่องเที่ยวชาวจีน ‘เหลาเกา’ แม้ชื่อคนจองจะเป็นชื่อนั้นแต่แท้จริงแล้วร่างเล็กที่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนี้กลับไม่ใช่คนเดียวกับชื่อคนที่จองห้อง แต่กลับเป็นเพื่อนของเจ้าของชื่อคนที่จองต่างหาก
ตอนนี้ภายในห้องชุดสวีทนี้มีเพียงแค่เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงกำลังเดินวนไปวานมาในห้องด้วยความตื่นเต้น ตื่นเต้นที่เขากำลังจะได้เจอกับคนคนหนึ่งที่เขารอมาตลอดสามเดือน คนที่เป็นราวกลับหัวใจอีกครึ่งหนึ่งของเขา
ในวันนี้ ในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้ เขาก็กำลังจะได้เจอแล้ว ... พอคิดได้แบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลยสักนิด แค่พอคิดถึงใบหน้าของอีกคนมันก็ทำให้หน้าของเขาร้อนแผ่วขึ้นมาอย่างกับว่าเขากำลังจะเป็นไข้ซะอย่างนั้น สุดท้ายแล้วคนหน้าหวานก็เลือกที่จะหยุดเดินและทิ้งตัวลงไปที่เตียงนุ่มนั้น ก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องลับของตนออกมาเพื่อเปิดไล่ดูข่าวในเว่ยป่อเป็นการฆ่าเวลา
แต่เหมือนด้วยความเคยชินมันทำให้ทันทีที่เขาเปิดเว่ยขึ้นมา มือของเขาก็พิมพ์อักษรสามตัวลงไปทันที ‘อู๋ อี้ฝาน’ คือสามอักษรที่เขามักจะใช้ค้นหาข้อมูลของอีกคนในตลอดเวลาที่พวกเขาต้องห่างกัน และเมื่อกดคำว่าค้นหาไปแล้วก็หน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นก็ปรากฏโพสมากมายที่เกี่ยวข้องกับคนคนนี้ของเขา
รูปของเมื่อวาน... วันที่ 15 สิงหาคม 2014 วันที่ครบรอบสามเดือนตั้งแต่วันที่เขาคนนั้นตัดสินใจครั้งใหญ่
รูปของเมื่อวาน... วันที่ 15 สิงหาคม 2014 วันที่เขาคนนั้นกลับมาอย่างสง่างาม
กลับมาหาแฟนคลับ กลับมาหาคนที่ยังคงสนับสนุน
และกลับมาหาเขาเช่นกัน
ว่าไปเมื่อนึกถึงเมื่อวาน เขาจำได้ดีเลยว่าเขาตกใจมากแค่ไหนเมื่อตอนที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมาหลังจากที่การแสดงคอนเสิร์ตเมื่อวานจบลง แล้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นก็ปรากฏชื่อของเขาคนนั้น
ครื้ดด...ครื้ดดดด....
คนบนเตียงถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงครูดไปกับโต๊ะจากการสั่นของโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งของเขา และเมื่อเขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่วางโทรศัพท์นั้นอยู่ แต่แล้วทันทีที่คนหน้าหวานเห็นชื่อที่ปรากฏบนจอเขาก็ถึงกลับใจหายวาบ เพราะชื่อที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้คือ ผู้จัดการ
‘ผู้จัดการรู้แล้วอย่างงั้นหรอ?’ คนหน้าหวานคิดในใจด้วยความหวาดหวั่น ก่อนจะค่อยๆ หยินโทรศัพท์นั้นขึ้นมาด้วยมือที่เริ่มสั่น
เขากลัวเหลือเกิน... กลัวว่าถ้าผู้จัดการรู้ว่าเขามาแอบนัดเจอกับฝานแล้ว ฝานจะต้องเดือดร้อนแน่นอน
“ครับ” ในที่สุดคนหน้าหวานก็ตัดสินใจรับโทรศัพท์ พร้อมกรอกเสียงหวานของตนลงไป
(ลู่หานฮยอง)
“เซฮุน?”
(ครับ ผมเอง ... นี่ฮยองอยู่ไหนอ่า) เสียงหวานจากรุ่นน้องร่วมวง ‘โอ เซฮุน’ ดังขึ้นมาจากปลายสาย
“ฮยองอยู่ข้างนอกหน่ะ มีอะไรรึเปล่า”
(ผมกำลังจะไปร้านชานม ฮยองไปกับผมไหม?)
“ห๊ะ?”
(ผมบอกว่าผมกำลังจะไปร้านชมนม ก็เลยจะโทรมาชวนฮยองไงครับ)
“อ่ออ แล้วทำไมนายใช้เบอร์ผู้จัดการโทรมาล่ะ)
(พอดีโทรศัพท์ตังค์หมดน่ะ แล้วฮยองเขาผ่านมาพอดีผมเลยยืมโทร )
“แบบนั้นเองหรอ”
(ว่าแต่ฮยองจะไปกับผมไหมเนี่ย?)
“เอ่อ คงไม่ได้น่ะ พอดีฮยองมีนัดแล้ว.. นายไปกับจื่อเทาก็ได้หนิ”
(งั้นก็ได้ แล้ววันนี้ฮยองจะกลับหอไหมครับ ผมจะได้บอกฮยองที่เหลือได้ถูก)
“คงไม่อ่า แต่ถ้าจะเปลี่ยนยังไง เดี๊ยวฮยองโทรบอกมินซอกเอง”
(ครับ งั้นฮยองก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ)
“นายด้วยนะ”
(ครับ)
พอวางสายจากเซฮุนไปแล้วคนหน้าหวานก็ถึงกลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก ที่ไม่ใช่ว่าผู้จัดการรู้เรื่องของเขาแบบนี้ ร่างบางค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะซึมซับความสบายนั้น เสียงกริ๊งจากหน้าห้องก็ดังขึ้นมาซะก่อน ซึ่งนั้นทำให้เขาต้องเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง แล้วค่อยพาร่างของตนไปยังอินเตอร์คอมที่อยู่หน้าประตูเพื่อกดดูว่าใครกันที่มากดกริ๊งห้องเขา
แต่แล้วทันทีที่ภาพจากจออินเตอร์คอมนั้นฉายขึ้นมา มันก็ทำให้ใบหน้าหวานนั้นเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าภาพในจอจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเสื้อสีดำกับสร้อยเงินยาวนั้น แต่แค่นั้นเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่หน้าห้องตอนนี้คือคนที่เขากำลังรออยู่
ซึ่งพอคิดได้แบบนั้นร่างบางก็รีบเปิดประตูออกในทันใด และภาพที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด กับ รองเท้าสีแดงคู่โปรดของร่างสูงนี้ และถึงแม้ใบหน้านั้นจะถูกปิดบังด้วยผ้าปิดปากและแว่นกันแดดอันใหญ่อยู่ก็ตาม แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อเขาเลยสักนิด
“นายสาย” เสียงหวานพูดกระแทกเสียงก่อนที่จะหันหลังเดินกลับเข้าห้องโดยปล่อยให้ร่างสูงนั้นเดินตามและปิดประตูเข้ามาเอง
ร่างบางที่เดินเข้ามาก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังบุสีขาวที่ตั้งอยู่ในส่วนของห้องรับแขกด้วยแรงที่ไม่เบานัก เพื่อแสดงให้อีกคนเห็นว่าเขาไม่พอใจเลยที่อีกฝ่ายมาสายแบบนี้ ด้วยท่าทีงอนแสนน่ารักของคนหน้าหวานแบบนั้นก็ทำให้ร่างสูงอดที่จะยิ้มไม่ได้ ร่างสูงที่เดินตามเข้ามาเลือกวางกระเป๋าของตนไว้บนโต๊ะกาแฟ แล้วค่อยๆ ถอดแว่นกันแดด ผ้าปิดปาก และเสื้อโค้ททีละชิ้นตามลำดับ ก่อนที่จะเลือกที่จะหยุ่นตัวลงยังที่นั่งที่ว่างอยู่ข้างๆ ร่างบางที่ตอนนี้กำลังนั่งกอดอกอมลมไว้ในแก้ม
“นายมาสาย” เสียงหวานพูดย้ำอีกครั้ง
“พอดีเครื่องมันดีเลย์หน่ะ” เสียงทุ้มตอบกลับไปพลางหยิบแก้วใสที่บรรจุน้ำเอาไว้จนเกือบเต็มขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย ไม่บอกก็รู้ว่าน้ำแก้วนี้ร่างบางข้างๆ เขาคนนี้คงเตรียมเอาไว้ให้เขาสินะ
“แล้ว?” เสียงหวานพูดด้วยเสียงสูงเป็นการบ่งบอกว่าประโยคนั้นคือประโยคคำถาม ซึ่งนั่นทำให้ร่างสูงถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย สงสัยว่าร่างบางข้างๆ เขาคนนี้กำลังจะพูดอะไร
“หื้ม?”
“อะไรเล่า?! ไม่ต้องมาทำหน้าไม่เข้าใจเลย ฉันจะถามว่าถ้านายรู้ว่าเครื่องดีเลย์แล้ว..”
“แล้ว?”
“ใช่ แล้วนายควรทำยังไง”
“แล้วฉันควรทำอะไรหล่ะ”
“อู๋ อี้ฝาน!!” เสียงหวานเรียกชื่อเขาเสียงดังพร้อมกับสายตาที่จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง
‘เอาแล้วไง เขาทำอะไรให้ลู่หานไม่พอใจเข้าล่ะเนี่ย?’ ร่างสงคิดในใจ
“นายเป็นแบบนี้ตลอดหน่ะ ทำไมนายไม่เคยบอกอะไรฉันเลย” เสียงหวานจากร่างบางเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“...”
“ถ้าเครื่องดีเลย์นายก็ควรโทรบอกฉันสิ ไม่ใช่ให้ฉันคอย ให้ฉันคิดไปเอง ให้ฉันห่วงไปเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายรึเปล่า”
“ลู่หาน”
“นายชอบเป็นแบบนี้ตลอด นายชอบทำอะไรคนเดียว นายไม่เคยคิดจะบอกอะไรฉันเลย”
“ฉัน..”
“ตั้งแต่เรื่องคราวก่อนแล้ว ทำไมกันอี้ฝาน ทำไมนายไม่คิดจะบอกอะไรฉันเลย ทำไมนายต้องเก็บทุกอย่างไว้กับตัวตลอด ... ทำไม ทำไมกัน” เสียงหวานพูดรัวเหมือนกับกำลังแรปอยู่ แต่แล้วเสียงนั่นก็กลับสั่นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันทำให้ร่างสูงที่มองอยู่แทบจะขาดใจอยู่ตรงนี้ เมื่อเขาเห็นว่าเขาต้องทำให้อีกคนต้องคิดมากแค่ไหน และเพราะแบบนั้นทำให้เขาเลือกที่จะตัดสินใจดึงร่างบางนั้นเข้ามากอดในทันที
ทั้งๆ ที่ร่างสูงคิดว่าการที่เขาทำแบบนี้ มันคงทำให้ร่างบางไม่พอใจและต้องขัดขืนเขาแน่ๆ แต่ทว่าเขาคิดผิดเพราะว่าร่างบางนั้นไม่มีท่าทีขัดขืนแต่กลับปล่อยให้เขากอดตนได้อย่างเต็มที่ มิหนำซ้ำร่างบางยังเลือกที่จะกอดเขาตอบด้วยเช่นกัน
“คิดถึง... ฉันคิดถึงนาย อี้ฝาน” เสียงหวานเอ่ยออกมาขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กๆ
“ฉันกลัวแทบตาย ฉันกลัวว่านายจะไม่กลับมาอีกแล้ว”
“ฉันกลัวว่าจะไม่ได้เจอกับนายอีก”
“ฉันเองก็คิดถึงนายลู่หาน ฉันคิดถึงนายมาตลอด”
“นายว่าไงนะ?” คนหน้าหวานดันตัวเองออกเล็กหน้าพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคนพร้อมเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ฉันบอกว่าฉันคิดถึงนายลู่หาน”
“นายคิดถึงฉัน?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“อ...เอ่อ”
“ทำไมนายทำหน้าแบบนั้นล่ะ อย่างกับว่าเห็นผีซะแบบนั้น” เสียงทุ้มพูดหยอกล้อพลางบีบจมูกรั้นของคนหน้าหวานไปมา เมื่อคนตรงหน้าเขาคนนี้ที่ปกติก็ตากลมโตเหมือนกวางอยู่แล้ว ตอนนี้กลับทำตาโตขึ้นไปอีกเหมือนกลับว่าตาจะหลุดออกมาซะอย่างนั้น
“ป..เปล่า”
“งั้นทำหน้าแบบนี้ทำไม”
“ก็นายบอกว่าคิดถึงฉัน”
“แล้วไง”
“มันไม่น่าเป็นไปได้อ่า เหมือนกับว่าฉันฝันอยู่เลย” คนตาโตพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เหมือนคนที่กำลังเพ้ออยู่
“ลู่หาน นายนี่จริงๆ เลยนะ” เสียงทุ้มยกริมฝีปากเผยร้อยยิ้มกว้างกว่าเก่า พลางใช้มือใหญ่ขยี้หัวของร่างบางข้างตัวด้วยความหมั่นไส้
“ไหงวันนี้ยอมฉันง่ายๆ แบบนี้ล่ะหานหาน”
พอยิ่งเห็นว่าอีกคนยอมเขาง่ายๆ ในวันนี้ มันก็ทำให้เขาอดที่จะแหย่เจ้าของดวงตากลมโตตรงหน้าไม่ได้ แต่มันก็กลับยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออีกคนยอมและไม่มีขัดขืนหรือตอบโต้เขา จนกลายเป็นเขาซะเองที่เริ่มทำตัวไม่ถูก
“หานหาน นายเป็นอะไรไป”
“ฝาน สัญญาอะไรบางอย่างกับฉันได้ไหม”
“สัญญา?”
“ใช่ สัญญา แค่ตอบว่าได้หรือไม่ได้ก็พอ” เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ติดเล่นพร้อมกับสายตาจริงจังที่ถูกส่งออกมาจากดวงตากลมโตคู่นั้น
“ได้สิ นายอยากให้ฉันสัญญาอะไรกับนายหล่ะหานหาน” เสียงทุ้มถามออกไปพลางใช้มือใหญ่นั้นเขี่ยปอยผมที่ร่วงลงมาเกะกะใบหน้าสวยของอีกคนออกอย่างเบามือ
“สัญญาว่านายจะลืมสิ่งที่ฉันพูดต่อจากนี้ไปทันทีที่ฉันพูดจบ”
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ฉันไม่ได้อยากให้นายเข้าใจ ฉันแค่อยากให้นายตอบว่านายจะสัญญากับฉันในเรื่องที่ฉันขอได้ไหม”
“ได้สิ”
“ขอบคุณนะ ฝานฝาน” เจ้าของใบหน้าสวยอย่างลู่หานยกยิ้มกว้างออกมาพลางกล่าวขอบคุณร่างสูงตรงหน้าที่ยอมเขา แม้ว่าเขาจะขอในเรื่องที่ดูไร้เหตุผลก็ตาม เป็นแบบนี้มาเสมอตั้งแต่สมัยก่อน.. เป็นแบบนี้มาตลอดที่คนตรงหน้าเขา ‘อู๋ อี้ฝาน’ คนคนนี้จะยอมเขาตลอดไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะทำตัวงี่เง่าหรือไร้เหตุผลแค่ไหน เขาคนนี้ก็จะแค่ยอมและยิ้มในสิ่งที่เขาทำเท่านั้นเอง
“แล้วสรุปแล้วอะไรหล่ะ ที่นายอยากจะพูดหานหาน”
เจ้าของดวงตากลมโตเหมือนลูกกวางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เหมือนกับเป็นการเรียกความกล้าในตนเอง ก่อนที่ตนจะพูดประโยคบางอย่างออกไป ประโยคที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปหรือจบลงได้ภายในประโยคนี้เท่านั้น ซึ่งนั้นทำให้เขากังวลจริงๆ เพราะว่าถึงร่างสูงจะบอกว่าจะยอมลืมในสิ่งที่เขาจะพูดก็เถอะ แต่ยังไงเขาก็กลัว.. กลัวว่าร่างสูงตรงหน้าจะตีตัวห่างออกจากเขาไปหากได้ฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้
“หานหาน” แต่แล้วเหมือนว่าความกังวลทั้งหมดของเขาจะถูกอีกคนปัดเป่าออกไปซะหมด ทันทีที่มือใหญ่ของคนตรงหน้านั้นบีบมือเขาเบาๆ เป็นการบอกว่า ‘อย่าได้กังวลไปเลย เขาจะอยู่ตรงนี้เอง’
“ฝานฝาน “
“ว่าไง”
“ฉันคิดว่า.. ฉันรักนาย”
ทันทีที่เขากลั้นใจพูดประโยคนี้ออกไปจนได้ เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าเพื่อมองหน้าของอีกคนเลยสักนิด หมอนั่นต้องรังเกียจเขาแน่เลย.. ให้ตายสิ! เขากลัวชะมัด แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านไปเองนั้น ใจที่กำลังสับสนของเขาก็แทบแหลกสลายลงไปทันที เมื่ออยู่ๆ มือใหญ่ที่เคยกุมมือของเขาเอาไว้ บัดนี้กลับคลายและถูกชักออกไป
แม้ว่าเขาพอจะคาดเดาเรื่องพวกนี้ได้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายปกติต้องรังเกียจเรื่องพวกนี้ แถมคำพูดนี้กลับยังถูกส่งออกมาจากปากของเขาคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนอีกต่างหาก ถึงจะคิดว่าจะได้รับท่าทีแบบนี้เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว แต่ว่า...แต่ แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อไหลออกมาได้เลยแม้แต่น้อย แถมในอกของเขามันก็เจ็บเหลือเกิน เจ็บเหมือนกับว่าหัวใจของเขากำลังถูกอะไรสักอย่างบีบอย่างแรง
“ฉันขอโทษนะหานหาน แต่ฉันลืมสิ่งที่นายพูดไม่ได้จริงๆ”
“อึ้กกก อ...อืมม”
“ฉันขอโทษที่รักษาสัญญาที่นายขอไว้ไม่ได้”
“ไม่หรอก นายไม่ผิดเลย”
“หานหาน”
“เป็นฉันเองที่ต้องขอโทษ .. ฉันขอโทษ อี้ฝาน”
“หานหาน ฟังฉันก่อน”
“ฉันขอโทษ อี้ฝาน ขอโทษที่ต้องทำให้นายต้องอึดอัดแบบนี้”
เสียงหวานพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตนเอาไว้เพื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป ก่อนที่เขากำลังจะจะลุกขึ้นเพื่อออกไปจากตรงนี้ซะที เขาไม่พร้อมฟังอะไรอีกแล้ว เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘รังเกียจ’ ออกมาจากปากของคนตรงหน้า
แต่แล้วในขณะที่ลู่หานกำลังจะเดินไปยังประตูเพื่อหวังว่าจะหนีออกจากที่นี้ ในระหว่างนั้นเองแขนของเขาก็กลับถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือใหญ่ที่แสนคุ้นเคย ก่อนที่เขาจะถูกแรงดึงเล็กๆ กระชากตนเองให้เข้าไปอยู่ภายในอ้อมกอดของคนตัวสูงกว่าในทันที และยังไม่ทันทีที่เขาจะได้ดิ้นหรือขัดขืนการพันธนการนี้ เขาก็กลับถูกเสยใบหน้าของตนขึ้นและถูกริมฝีปากหน้าของอีกคนฉวยโอกาสขโมยริมฝีปากของเขาไปในทันที ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจจากการจู่โจมที่คาดไม่ถึงของอีกคน ถึงแบบนั้นเขาก็กลับไม่คิดที่จะขัดขืนแต่อย่างใด แต่กลับปล่อยตัวให้ถูกชักนำไปตามรสจูบนั้นอีกต่างหาก ไม่นานหลังจากนั้นเท่าไหร่นักก็เป็นร่างสูงที่ผละจูบนี้ออก
ดวงตาคมของอี้ฝานมองใบหน้าที่แดงก่ำและดวงตาที่เยิ้มเหมือนคนเมาของคนในอ้อมกอด ซึ่งนั่นทำให้เขาอดที่จะยกยิ้มออกมาไม่ได้สำหรับท่าทางน่าเอ็นดูของลู่หานอดีตเพื่อนร่วมวงหน้าหวานของเขาในตอนนี้
“ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนายไม่ได้ลู่หาน แต่ที่ฉันทำไม่ได้นั้นก็เพราะว่าฉันเองก็รักนายเหมือนกัน ลู่หาน”
::END::
ความคิดเห็น