ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF,OS] Story of FanHan [Krislu,Krishan]

    ลำดับตอนที่ #2 : SF ::Begin Agian::

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 57







    ::BEGIN AGIAN::





     

     

    วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เหมือนกับวันทั่วๆ ไปที่เกทขาเข้าของผู้โดยสารในช่วงเวลานี้ของทุกวันจะมีผู้คนเบาบางกว่าในเวลาช่วงอื่น  แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีผู้โดยสารจากต่างทิศต่างทางเดินทางเข้ามายังประเทศนี้อย่างไม่ขาดสาย

     

     

    สาธารณรัฐเกาหลีใต้  ประเทศหนึ่งในเอเชียที่ในปัจจุบันโดดเด่นขึ้นมามากกว่าประเทศข้างเคียงด้วยอุตสาหกรรมบันเทิง  ไม่ว่าจะเป็นจากงานภาพยนตร์  เพลงแนวเคป๊อป  หรือแม้กระทั่งเรื่องแฟชั่นที่โดดเด่นจนไม่ว่าใครก็ต้องแต่งตาม  ประเทศที่เป็นความฝันของเด็กหนุ่มสาวหลายๆ คนบนโลกที่อยากจะลองเข้ามาเหยียบและไล่ตามความฝันของตน

     

     

    เช่นเดียวกันกับเด็กหนุ่มคนนี้เพราะเองก็เคยเป็นหนุ่มคนหนึ่งที่เคยมีความฝันอยากจะเป็นหนึ่งในดวงดาวของที่นี้  เด็กหนุ่มคนนี้มีร่างสูงโปร่งราวกับนายแบบที่โดยปกปิดโดยเสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดัง  แม้ว่าใบหน้านี้จะถูกปกปิดด้วยผ้าปิดปากสีดำและแว่นกันแดดอันใหญ่แต่นั้นก็ไม่สามารถปกปิดความหล่อเหลาของเขาได้เลย   ร่างสูงนี้เพิ่งเดินออกมาจากเกทพร้อมกับกระเป๋าใบสวยที่ห้อยพวงกุญแจตุ๊กตานกสีแดงจากเกมส์ชื่อดัง แองกี้เบิร์ด ท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่คอยมองเขาอย่างไม่วางตา  เพราะเขาเหมือนใครคนหนึ่งในวงการเพลงของที่นี้ที่เคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อคนคนนั้นเลือกที่จะออกจากวงไปเมื่อสามเดือนก่อน  คริส EXO’

     


     

    “ขอโทษนะคะ  คุณคือคริสใช่รึเปล่าคะ” 

     




     

    ขณะที่เขาเดินจนมาถึงบริเวณหน้าสนามบินและกำลังจะเรียกรถแท็กซี่นั้น  แต่แล้วก็มีเด็กผู้หญิงสองสามคนเดินเขามาทางเขาพลางยิงคำถามใส่เขาในทันทีที่พวกหล่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา  ซึ่งนั่นทำให้เขาค่อนข้างตกใจไม่น้อย  ก่อนที่เขาจะเลือกที่ไม่ตอบคำถามและก้มหัวให้พวกหล่อนเล็กน้อยแล้วรีบขึ้นรถแท็กซี่คันที่มาจอดตรงหน้าเขา  แม้ว่าเขารีบขึ้นรถมาอย่างรวดเร็ว  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังทันได้ยินเสียงแห่งความผิดหวังของเด็กสาวกลุ่มนั้นเมื่อไม่ได้รับคำตอบที่พวกหล่อนต้องการ



    ทันทีที่ร่างสูงขึ้นมาบนรถเขาก็เลือกที่จะถอดแว่นกันแดดและผ้าปิดปากของตนเองออกจนหมด  เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับรูปสลักที่เรียกได้ว่าแม้จะเป็นคนในวงการบันเทิง  แต่หลายๆ คนในนั้นก็ไม่อาจเทียบใบหน้านี้ได้เลย

     
     

    “จะไปไหนดีครับ” โชเฟอร์เลือกเอ่ยถามผู้โดยสาวหนุ่มหน้าตาดีด้วยภาษาอังกฤษ  เพราะว่าดูแล้วยังไงผู้โดยสารหนุ่มในครั้งนี้ก็ดูท่าจะไม่ใช่คนเกาหลีเป็นแน่

    “ไปโรงแรมxx ครับ” เสียงทุ้มจากเด็กหนุ่มตอบเป็นภาษาเกาหลีอย่างชำนาญ  จนก่อความตกใจให้โซเฟอร์ได้ไม่น้อย

    “เป็นคนเกาหลีหรอครับ  ผมก็คิดว่าคุณเป็นต่างชาติเลยถามเป็นอังกฤษไปซะได้”

    “เปล่าหรอกครับ  แค่พอดีเคยเรียนมาน่ะครับ”

    “งั้นหรอครับ”

     

     

    และแล้วบทสนทนาระหว่างโซเฟอร์และผู้โดยสารหนุ่มก็ต้องจบลง  เมื่อผู้โดยสารหนุ่มเลือกที่จะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องหรูของตนขึ้นมาก่อนที่จะกดโทรออกไปยังเบอร์ของบุคคลที่ทำให้เขาต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมายังประเทศนี้

     

    เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้นเพื่อบ่งบอกว่าตอนนี้เครือข่ายกำลังต่อสายไปยังเลขหมายปลายทาง  แต่เพียงไม่นานนักสัญญาณนี้ก็หยุดไป  พร้อมการปรากฏเสียงหวานที่ดังออกมาจากทางปลายสาย 

     
     

    (ฉันมารอนานแล้วนะ  นายอยู่ไหนแล้วเนี่ย!) เสียงหวานโวยวายเสียงดังใส่เขาด้วยภาษาบ้านเกิดของพวกเขาทั้งสองทันทีที่รับสาย  แม้ประโยคแรกนี้จะไม่ใช่คำทักทายหรือคำอะไรแสนหวาน  แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ร่างสูงไม่อาจควบคุมจนเผลอเผยรอยยิ้มกว้างออกมาจนได้

    (นี่ฝานเงียบทำไมเนี่ย  นายเป็นอะไรรึเปล่า) เหมือนเจ้าของเสียงปลายสายจะเริ่มประสาทเสีย  เมื่ออีกทางซึ่งก็คือเขาไม่ยอมพูดอะไรออกไปสักที

    (เฮ้! อู๋ อี้ฝาน ตอบฉันสิ)

    “ใจเย็นน่ะหานหาน  ฉันโอเค  แล้วฉันก็กำลังนั่งแท็กซี่อยู่”

    (ให้ตายสิ   แล้วทำไมไม่รีบๆ ตอบล่ะ)

    “ก็จะให้ฉันตอบยังไงในเมื่อนายเล่นพูดซะรัวแบบนั้น  ฉันตอบไม่ทันหน่ะ”

    (ฉันไม่ผิดสักหน่อย  นายผิดที่พูดช้าเองต่างหาก .. ล่ะนี้นายไม่เป็นไรแน่ใช่ไหม?)

    “แน่สิ  ฉันสบายดีจริงๆ”

    (งั้นก็ดีหล่ะ  ถ้ามาถึงก็รีบๆ ขึ้นมาล่ะกัน  ฉันรออยู่ที่โรงแรมแล้ว  แล้วก็เลขห้องเดี๊ยวไว้ฉันส่งไปบอกในเว่ยนะ) แม้เขาจะบอกให้อีกฝ่ายพูดช้าลง  แต่ก็ดูคำขอนั้นจะยากเกินไปสำหรับเจ้าของเสียงหวานนี้  เพราะยังไงเสียงหวานนี้ก็ยังคงคอนเซปพูดเร็วๆ รัวๆ ใส่เขาเสมอ

    “ได้  นายเองรอก่อนนะ  ล่ะก็อย่าเปิดประตูให้คนไม่รู้จักน่ะ” เสียงทุ้มเลือกที่จะหยอกล้อใส่คนปลายนิดๆ ด้วยสีหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างนั้น

    (ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ  ไม่ต้องมาสั่งหรอกนะ  งั้นไม่มีอะไรแล้ว  แค่นี้นะ)




    พอจบประโยคปุ๊ปเจ้าของเสียงหวานปลายสายก็ตัดสายทิ้งในทันที  ซึ่งการกระทำแบบนั้นของคนปลายสายก็ทำให้เด็กหนุ่มเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับท่าทีเด็กๆ แบบนี้ของอีกฝ่าย 



     

    “ทำแบบนี้ไม่เด็กเลยนะ หานหาน”

     

     







     

    ณ ห้องสวีทสุดหรูของโรงแรมชั้นนำแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโซลที่ถูกจองด้วยชื่อของนักท่องเที่ยวชาวจีน เหลาเกา  แม้ชื่อคนจองจะเป็นชื่อนั้นแต่แท้จริงแล้วร่างเล็กที่เดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนี้กลับไม่ใช่คนเดียวกับชื่อคนที่จองห้อง  แต่กลับเป็นเพื่อนของเจ้าของชื่อคนที่จองต่างหาก

    ตอนนี้ภายในห้องชุดสวีทนี้มีเพียงแค่เด็กหนุ่มเจ้าของใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงกำลังเดินวนไปวานมาในห้องด้วยความตื่นเต้น  ตื่นเต้นที่เขากำลังจะได้เจอกับคนคนหนึ่งที่เขารอมาตลอดสามเดือน  คนที่เป็นราวกลับหัวใจอีกครึ่งหนึ่งของเขา 

     

     

    ในวันนี้  ในอีกไม่กี่นาทีต่อจากนี้  เขาก็กำลังจะได้เจอแล้ว  ... พอคิดได้แบบนั้นมันก็ยิ่งทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เลยสักนิด  แค่พอคิดถึงใบหน้าของอีกคนมันก็ทำให้หน้าของเขาร้อนแผ่วขึ้นมาอย่างกับว่าเขากำลังจะเป็นไข้ซะอย่างนั้น  สุดท้ายแล้วคนหน้าหวานก็เลือกที่จะหยุดเดินและทิ้งตัวลงไปที่เตียงนุ่มนั้น  ก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องลับของตนออกมาเพื่อเปิดไล่ดูข่าวในเว่ยป่อเป็นการฆ่าเวลา

    แต่เหมือนด้วยความเคยชินมันทำให้ทันทีที่เขาเปิดเว่ยขึ้นมา  มือของเขาก็พิมพ์อักษรสามตัวลงไปทันที  อู๋ อี้ฝานคือสามอักษรที่เขามักจะใช้ค้นหาข้อมูลของอีกคนในตลอดเวลาที่พวกเขาต้องห่างกัน  และเมื่อกดคำว่าค้นหาไปแล้วก็หน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นก็ปรากฏโพสมากมายที่เกี่ยวข้องกับคนคนนี้ของเขา

     
     

     รูปของเมื่อวาน... วันที่ 15 สิงหาคม 2014 วันที่ครบรอบสามเดือนตั้งแต่วันที่เขาคนนั้นตัดสินใจครั้งใหญ่

     รูปของเมื่อวาน... วันที่ 15 สิงหาคม 2014 วันที่เขาคนนั้นกลับมาอย่างสง่างาม

                                       กลับมาหาแฟนคลับ  กลับมาหาคนที่ยังคงสนับสนุน
                                             และกลับมาหาเขาเช่นกัน

     
     

    ว่าไปเมื่อนึกถึงเมื่อวาน  เขาจำได้ดีเลยว่าเขาตกใจมากแค่ไหนเมื่อตอนที่โทรศัพท์ของเขาดังขึ้นมาหลังจากที่การแสดงคอนเสิร์ตเมื่อวานจบลง  แล้วบนหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นก็ปรากฏชื่อของเขาคนนั้น

     


     

     
     

    ครื้ดด...ครื้ดดดด....




    คนบนเตียงถึงกับสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงครูดไปกับโต๊ะจากการสั่นของโทรศัพท์อีกเครื่องหนึ่งของเขา  และเมื่อเขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่วางโทรศัพท์นั้นอยู่  แต่แล้วทันทีที่คนหน้าหวานเห็นชื่อที่ปรากฏบนจอเขาก็ถึงกลับใจหายวาบ  เพราะชื่อที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้คือ ผู้จัดการ

     

     

     ผู้จัดการรู้แล้วอย่างงั้นหรอ?คนหน้าหวานคิดในใจด้วยความหวาดหวั่น  ก่อนจะค่อยๆ หยินโทรศัพท์นั้นขึ้นมาด้วยมือที่เริ่มสั่น



     เขากลัวเหลือเกิน...  กลัวว่าถ้าผู้จัดการรู้ว่าเขามาแอบนัดเจอกับฝานแล้ว  ฝานจะต้องเดือดร้อนแน่นอน

     

     

    “ครับ” ในที่สุดคนหน้าหวานก็ตัดสินใจรับโทรศัพท์  พร้อมกรอกเสียงหวานของตนลงไป

    (ลู่หานฮยอง)

    “เซฮุน?”

    (ครับ  ผมเอง  ... นี่ฮยองอยู่ไหนอ่า)  เสียงหวานจากรุ่นน้องร่วมวง โอ เซฮุนดังขึ้นมาจากปลายสาย

    “ฮยองอยู่ข้างนอกหน่ะ  มีอะไรรึเปล่า”

    (ผมกำลังจะไปร้านชานม  ฮยองไปกับผมไหม?)

    “ห๊ะ?”

    (ผมบอกว่าผมกำลังจะไปร้านชมนม  ก็เลยจะโทรมาชวนฮยองไงครับ)

    “อ่ออ  แล้วทำไมนายใช้เบอร์ผู้จัดการโทรมาล่ะ)

    (พอดีโทรศัพท์ตังค์หมดน่ะ  แล้วฮยองเขาผ่านมาพอดีผมเลยยืมโทร )

    “แบบนั้นเองหรอ”

    (ว่าแต่ฮยองจะไปกับผมไหมเนี่ย?)

    “เอ่อ  คงไม่ได้น่ะ  พอดีฮยองมีนัดแล้ว..  นายไปกับจื่อเทาก็ได้หนิ”

    (งั้นก็ได้  แล้ววันนี้ฮยองจะกลับหอไหมครับ  ผมจะได้บอกฮยองที่เหลือได้ถูก)

    “คงไม่อ่า  แต่ถ้าจะเปลี่ยนยังไง  เดี๊ยวฮยองโทรบอกมินซอกเอง”

    (ครับ  งั้นฮยองก็ดูแลตัวเองด้วยนะครับ)

    “นายด้วยนะ”

    (ครับ)

     

     

    พอวางสายจากเซฮุนไปแล้วคนหน้าหวานก็ถึงกลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก   ที่ไม่ใช่ว่าผู้จัดการรู้เรื่องของเขาแบบนี้  ร่างบางค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอีกครั้ง  แต่ยังไม่ทันที่เขาจะซึมซับความสบายนั้น  เสียงกริ๊งจากหน้าห้องก็ดังขึ้นมาซะก่อน  ซึ่งนั้นทำให้เขาต้องเด้งตัวขึ้นมาอีกครั้ง  แล้วค่อยพาร่างของตนไปยังอินเตอร์คอมที่อยู่หน้าประตูเพื่อกดดูว่าใครกันที่มากดกริ๊งห้องเขา


    แต่แล้วทันทีที่ภาพจากจออินเตอร์คอมนั้นฉายขึ้นมา  มันก็ทำให้ใบหน้าหวานนั้นเผลอยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้  แม้ว่าภาพในจอจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเสื้อสีดำกับสร้อยเงินยาวนั้น  แต่แค่นั้นเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าคนที่อยู่หน้าห้องตอนนี้คือคนที่เขากำลังรออยู่ 


    ซึ่งพอคิดได้แบบนั้นร่างบางก็รีบเปิดประตูออกในทันใด  และภาพที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีดำทั้งชุด กับ รองเท้าสีแดงคู่โปรดของร่างสูงนี้  และถึงแม้ใบหน้านั้นจะถูกปิดบังด้วยผ้าปิดปากและแว่นกันแดดอันใหญ่อยู่ก็ตาม  แต่นั้นก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อเขาเลยสักนิด

     

     

    “นายสาย” เสียงหวานพูดกระแทกเสียงก่อนที่จะหันหลังเดินกลับเข้าห้องโดยปล่อยให้ร่างสูงนั้นเดินตามและปิดประตูเข้ามาเอง 

     


     

    ร่างบางที่เดินเข้ามาก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟาหนังบุสีขาวที่ตั้งอยู่ในส่วนของห้องรับแขกด้วยแรงที่ไม่เบานัก  เพื่อแสดงให้อีกคนเห็นว่าเขาไม่พอใจเลยที่อีกฝ่ายมาสายแบบนี้  ด้วยท่าทีงอนแสนน่ารักของคนหน้าหวานแบบนั้นก็ทำให้ร่างสูงอดที่จะยิ้มไม่ได้  ร่างสูงที่เดินตามเข้ามาเลือกวางกระเป๋าของตนไว้บนโต๊ะกาแฟ  แล้วค่อยๆ ถอดแว่นกันแดด  ผ้าปิดปาก  และเสื้อโค้ททีละชิ้นตามลำดับ  ก่อนที่จะเลือกที่จะหยุ่นตัวลงยังที่นั่งที่ว่างอยู่ข้างๆ ร่างบางที่ตอนนี้กำลังนั่งกอดอกอมลมไว้ในแก้ม

     
     

    “นายมาสาย” เสียงหวานพูดย้ำอีกครั้ง

    “พอดีเครื่องมันดีเลย์หน่ะ”  เสียงทุ้มตอบกลับไปพลางหยิบแก้วใสที่บรรจุน้ำเอาไว้จนเกือบเต็มขึ้นมาดื่มเพื่อดับกระหาย  ไม่บอกก็รู้ว่าน้ำแก้วนี้ร่างบางข้างๆ เขาคนนี้คงเตรียมเอาไว้ให้เขาสินะ

    “แล้ว?” เสียงหวานพูดด้วยเสียงสูงเป็นการบ่งบอกว่าประโยคนั้นคือประโยคคำถาม  ซึ่งนั่นทำให้ร่างสูงถึงกับต้องเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสงสัย  สงสัยว่าร่างบางข้างๆ เขาคนนี้กำลังจะพูดอะไร

    “หื้ม?”

    “อะไรเล่า?! ไม่ต้องมาทำหน้าไม่เข้าใจเลย  ฉันจะถามว่าถ้านายรู้ว่าเครื่องดีเลย์แล้ว..”

    “แล้ว?”

    “ใช่  แล้วนายควรทำยังไง”

    “แล้วฉันควรทำอะไรหล่ะ”

    “อู๋ อี้ฝาน!!” เสียงหวานเรียกชื่อเขาเสียงดังพร้อมกับสายตาที่จ้องมองเขาอย่างเอาเรื่อง




                    เอาแล้วไง  เขาทำอะไรให้ลู่หานไม่พอใจเข้าล่ะเนี่ย?ร่างสงคิดในใจ

     

     
     

    “นายเป็นแบบนี้ตลอดหน่ะ  ทำไมนายไม่เคยบอกอะไรฉันเลย” เสียงหวานจากร่างบางเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้ง

    “...”

    “ถ้าเครื่องดีเลย์นายก็ควรโทรบอกฉันสิ  ไม่ใช่ให้ฉันคอย  ให้ฉันคิดไปเอง  ให้ฉันห่วงไปเองว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนายรึเปล่า”

    “ลู่หาน”

    “นายชอบเป็นแบบนี้ตลอด  นายชอบทำอะไรคนเดียว  นายไม่เคยคิดจะบอกอะไรฉันเลย”

    “ฉัน..”

    “ตั้งแต่เรื่องคราวก่อนแล้ว  ทำไมกันอี้ฝาน  ทำไมนายไม่คิดจะบอกอะไรฉันเลย  ทำไมนายต้องเก็บทุกอย่างไว้กับตัวตลอด ... ทำไม  ทำไมกัน” เสียงหวานพูดรัวเหมือนกับกำลังแรปอยู่  แต่แล้วเสียงนั่นก็กลับสั่นขึ้นเรื่อยๆ   ซึ่งมันทำให้ร่างสูงที่มองอยู่แทบจะขาดใจอยู่ตรงนี้  เมื่อเขาเห็นว่าเขาต้องทำให้อีกคนต้องคิดมากแค่ไหน  และเพราะแบบนั้นทำให้เขาเลือกที่จะตัดสินใจดึงร่างบางนั้นเข้ามากอดในทันที




    ทั้งๆ ที่ร่างสูงคิดว่าการที่เขาทำแบบนี้  มันคงทำให้ร่างบางไม่พอใจและต้องขัดขืนเขาแน่ๆ  แต่ทว่าเขาคิดผิดเพราะว่าร่างบางนั้นไม่มีท่าทีขัดขืนแต่กลับปล่อยให้เขากอดตนได้อย่างเต็มที่  มิหนำซ้ำร่างบางยังเลือกที่จะกอดเขาตอบด้วยเช่นกัน

     
     

    “คิดถึง... ฉันคิดถึงนาย  อี้ฝาน”  เสียงหวานเอ่ยออกมาขณะที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยเสียงที่สั่นเครือเล็กๆ

    “ฉันกลัวแทบตาย  ฉันกลัวว่านายจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

    “ฉันกลัวว่าจะไม่ได้เจอกับนายอีก”

     

     

     

    “ฉันเองก็คิดถึงนายลู่หาน  ฉันคิดถึงนายมาตลอด”

     

     


     

    “นายว่าไงนะ?” คนหน้าหวานดันตัวเองออกเล็กหน้าพร้อมเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคนพร้อมเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

    “ฉันบอกว่าฉันคิดถึงนายลู่หาน”

    “นายคิดถึงฉัน?”

    “ก็ใช่น่ะสิ”

    “อ...เอ่อ”

    “ทำไมนายทำหน้าแบบนั้นล่ะ  อย่างกับว่าเห็นผีซะแบบนั้น” เสียงทุ้มพูดหยอกล้อพลางบีบจมูกรั้นของคนหน้าหวานไปมา  เมื่อคนตรงหน้าเขาคนนี้ที่ปกติก็ตากลมโตเหมือนกวางอยู่แล้ว  ตอนนี้กลับทำตาโตขึ้นไปอีกเหมือนกลับว่าตาจะหลุดออกมาซะอย่างนั้น

    “ป..เปล่า”

    “งั้นทำหน้าแบบนี้ทำไม”

    “ก็นายบอกว่าคิดถึงฉัน”

    “แล้วไง”

    “มันไม่น่าเป็นไปได้อ่า  เหมือนกับว่าฉันฝันอยู่เลย” คนตาโตพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เหมือนคนที่กำลังเพ้ออยู่

    “ลู่หาน  นายนี่จริงๆ เลยนะ” เสียงทุ้มยกริมฝีปากเผยร้อยยิ้มกว้างกว่าเก่า  พลางใช้มือใหญ่ขยี้หัวของร่างบางข้างตัวด้วยความหมั่นไส้

    “ไหงวันนี้ยอมฉันง่ายๆ แบบนี้ล่ะหานหาน”


     

    พอยิ่งเห็นว่าอีกคนยอมเขาง่ายๆ ในวันนี้  มันก็ทำให้เขาอดที่จะแหย่เจ้าของดวงตากลมโตตรงหน้าไม่ได้  แต่มันก็กลับยิ่งแปลกขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออีกคนยอมและไม่มีขัดขืนหรือตอบโต้เขา  จนกลายเป็นเขาซะเองที่เริ่มทำตัวไม่ถูก

     
     

    “หานหาน  นายเป็นอะไรไป”

     


     

    “ฝาน  สัญญาอะไรบางอย่างกับฉันได้ไหม”

     



     

    “สัญญา?”

    “ใช่  สัญญา  แค่ตอบว่าได้หรือไม่ได้ก็พอ” เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ติดเล่นพร้อมกับสายตาจริงจังที่ถูกส่งออกมาจากดวงตากลมโตคู่นั้น

    “ได้สิ  นายอยากให้ฉันสัญญาอะไรกับนายหล่ะหานหาน” เสียงทุ้มถามออกไปพลางใช้มือใหญ่นั้นเขี่ยปอยผมที่ร่วงลงมาเกะกะใบหน้าสวยของอีกคนออกอย่างเบามือ

    “สัญญาว่านายจะลืมสิ่งที่ฉันพูดต่อจากนี้ไปทันทีที่ฉันพูดจบ”

    “ฉันไม่เข้าใจ”

    “ฉันไม่ได้อยากให้นายเข้าใจ  ฉันแค่อยากให้นายตอบว่านายจะสัญญากับฉันในเรื่องที่ฉันขอได้ไหม”

    “ได้สิ”

    “ขอบคุณนะ  ฝานฝาน” เจ้าของใบหน้าสวยอย่างลู่หานยกยิ้มกว้างออกมาพลางกล่าวขอบคุณร่างสูงตรงหน้าที่ยอมเขา  แม้ว่าเขาจะขอในเรื่องที่ดูไร้เหตุผลก็ตาม  เป็นแบบนี้มาเสมอตั้งแต่สมัยก่อน.. เป็นแบบนี้มาตลอดที่คนตรงหน้าเขา อู๋ อี้ฝานคนคนนี้จะยอมเขาตลอดไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม  ไม่ว่าเขาจะทำตัวงี่เง่าหรือไร้เหตุผลแค่ไหน  เขาคนนี้ก็จะแค่ยอมและยิ้มในสิ่งที่เขาทำเท่านั้นเอง

    “แล้วสรุปแล้วอะไรหล่ะ  ที่นายอยากจะพูดหานหาน”

     

     

    เจ้าของดวงตากลมโตเหมือนลูกกวางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เหมือนกับเป็นการเรียกความกล้าในตนเอง  ก่อนที่ตนจะพูดประโยคบางอย่างออกไป  ประโยคที่อาจทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปหรือจบลงได้ภายในประโยคนี้เท่านั้น  ซึ่งนั้นทำให้เขากังวลจริงๆ เพราะว่าถึงร่างสูงจะบอกว่าจะยอมลืมในสิ่งที่เขาจะพูดก็เถอะ  แต่ยังไงเขาก็กลัว.. กลัวว่าร่างสูงตรงหน้าจะตีตัวห่างออกจากเขาไปหากได้ฟังสิ่งที่เขาจะพูดต่อไปนี้

     
     

    “หานหาน” แต่แล้วเหมือนว่าความกังวลทั้งหมดของเขาจะถูกอีกคนปัดเป่าออกไปซะหมด  ทันทีที่มือใหญ่ของคนตรงหน้านั้นบีบมือเขาเบาๆ เป็นการบอกว่า อย่าได้กังวลไปเลย เขาจะอยู่ตรงนี้เอง

     
     

    “ฝานฝาน “

    “ว่าไง”


     

     

    “ฉันคิดว่า.. ฉันรักนาย”

     


     

    ทันทีที่เขากลั้นใจพูดประโยคนี้ออกไปจนได้  เขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าเพื่อมองหน้าของอีกคนเลยสักนิด  หมอนั่นต้องรังเกียจเขาแน่เลย.. ให้ตายสิ! เขากลัวชะมัด  แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังคิดฟุ้งซ่านไปเองนั้น  ใจที่กำลังสับสนของเขาก็แทบแหลกสลายลงไปทันที  เมื่ออยู่ๆ มือใหญ่ที่เคยกุมมือของเขาเอาไว้  บัดนี้กลับคลายและถูกชักออกไป

     
     

    แม้ว่าเขาพอจะคาดเดาเรื่องพวกนี้ได้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้ชายปกติต้องรังเกียจเรื่องพวกนี้  แถมคำพูดนี้กลับยังถูกส่งออกมาจากปากของเขาคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนอีกต่างหาก  ถึงจะคิดว่าจะได้รับท่าทีแบบนี้เอาไว้ก่อนหน้าแล้ว  แต่ว่า...แต่   แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาที่กำลังเอ่อไหลออกมาได้เลยแม้แต่น้อย  แถมในอกของเขามันก็เจ็บเหลือเกิน  เจ็บเหมือนกับว่าหัวใจของเขากำลังถูกอะไรสักอย่างบีบอย่างแรง

     

     

    “ฉันขอโทษนะหานหาน  แต่ฉันลืมสิ่งที่นายพูดไม่ได้จริงๆ”

    “อึ้กกก อ...อืมม”

    “ฉันขอโทษที่รักษาสัญญาที่นายขอไว้ไม่ได้”

    “ไม่หรอก  นายไม่ผิดเลย”

    “หานหาน”

    “เป็นฉันเองที่ต้องขอโทษ  .. ฉันขอโทษ อี้ฝาน”

    “หานหาน ฟังฉันก่อน”

    “ฉันขอโทษ อี้ฝาน  ขอโทษที่ต้องทำให้นายต้องอึดอัดแบบนี้”


     

    เสียงหวานพยายามกลั้นเสียงสะอื้นของตนเอาไว้เพื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป  ก่อนที่เขากำลังจะจะลุกขึ้นเพื่อออกไปจากตรงนี้ซะที  เขาไม่พร้อมฟังอะไรอีกแล้ว  เขาไม่อยากได้ยินคำว่า รังเกียจออกมาจากปากของคนตรงหน้า 

     

    แต่แล้วในขณะที่ลู่หานกำลังจะเดินไปยังประตูเพื่อหวังว่าจะหนีออกจากที่นี้  ในระหว่างนั้นเองแขนของเขาก็กลับถูกคว้าเอาไว้ด้วยมือใหญ่ที่แสนคุ้นเคย  ก่อนที่เขาจะถูกแรงดึงเล็กๆ กระชากตนเองให้เข้าไปอยู่ภายในอ้อมกอดของคนตัวสูงกว่าในทันที  และยังไม่ทันทีที่เขาจะได้ดิ้นหรือขัดขืนการพันธนการนี้  เขาก็กลับถูกเสยใบหน้าของตนขึ้นและถูกริมฝีปากหน้าของอีกคนฉวยโอกาสขโมยริมฝีปากของเขาไปในทันที  ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจจากการจู่โจมที่คาดไม่ถึงของอีกคน  ถึงแบบนั้นเขาก็กลับไม่คิดที่จะขัดขืนแต่อย่างใด  แต่กลับปล่อยตัวให้ถูกชักนำไปตามรสจูบนั้นอีกต่างหาก  ไม่นานหลังจากนั้นเท่าไหร่นักก็เป็นร่างสูงที่ผละจูบนี้ออก

    ดวงตาคมของอี้ฝานมองใบหน้าที่แดงก่ำและดวงตาที่เยิ้มเหมือนคนเมาของคนในอ้อมกอด  ซึ่งนั่นทำให้เขาอดที่จะยกยิ้มออกมาไม่ได้สำหรับท่าทางน่าเอ็นดูของลู่หานอดีตเพื่อนร่วมวงหน้าหวานของเขาในตอนนี้

     

     
     

    “ฉันขอโทษที่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับนายไม่ได้ลู่หาน  แต่ที่ฉันทำไม่ได้นั้นก็เพราะว่าฉันเองก็รักนายเหมือนกัน  ลู่หาน”







     

    ::END::





     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×