ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 ช่างฝีมือหนุ่มกับนักเวทสาว(?)
ตอนเช้าพ่อเข้ามาปลุก เพราะวันนี้คือวันไปโรงเรียน และวันหยุดของพี่เลี้ยง
เด็กหญิงคลายสัมผัสเนียนนุ่มของผ้าห่มออกจากมือ กลิ้งบิดขี้เกียจสักพักก่อนลุก มิเชลเดินตรงไปห้องน้ำได้โดยไม่ชนอะไรเพราะจำทางได้แม่น ร่างเล็กเลือกหยิบแชมพูจากขวดที่ติดสติ๊กเกอร์นูนรูปวงกลม ส่วนสบู่เหลวเธอแปะแบบที่เป็นขอบวงแหวนนูนๆ ไว้
เธออาบน้ำกินข้าว เสร็จแล้วคว้าไม้เท้าสีขาวขึ้นรถพ่อ มิเชลไปโรงเรียนแค่สัปดาห์ละครั้ง การสอนเด็กตาบอดหูหนวกต้องทำตัวต่อตัว และโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนเยอะกว่าครู เขาจึงอยากให้เรียนในบ้าน แต่ก็กลัวลูกจะไม่ได้เข้าสังคม เลยต้องจัดวันไปโรงเรียนด้วย
โรงเรียนของมิเชลเป็นโรงเรียนสำหรับคนตาบอดโดยเฉพาะ เด็กสาวมีเพื่อนสนิทอยู่สองคนชื่อโทนี่กับอลิส โทนี่แค่ตาบอดอย่างเดียว ส่วนอลิสพิการซ้ำซ้อน เธอมองไม่เห็นและไม่ได้ยินเหมือนมิเชล
เด็กๆ ส่วนใหญ่คุยกันด้วยเสียง แต่กรณีพิเศษอย่างสองสาวต้องใช้ภาษามือแบบสัมผัสที่มีสอนเฉพาะในโรงเรียนคนตาบอด เช้านี้ เธอรู้สึกแปลกใจที่หาอลิสไม่เจอ ปกติเพื่อนสาวนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ และมาถึงห้องเรียนก่อนใครเสมอ
สักพัก มีมือหนึ่งยื่นเข้ามาแปะสะเปะสะปะข้างหัวมิเชล เธอคิดว่าเป็นโทนี่ที่พยายามคลำหาทั้งสองสาว เขาก็มองไม่เห็นถึงได้จับมั่วบ่อย
สรุปว่าเป็นโทนี่จริงๆ เพราะเขาทำสัญลักษณ์บนหลังมือเธอในแบบที่ตกลงกันไว้ เด็กหญิงยื่นเบรลคีย์บอร์ดไปให้เพื่อนกด มันเป็นอุปกรณ์ที่มีคีย์บอร์ดสองอันติดกัน ใต้คีย์บอร์ดสามารถเลื่อนจอสำหรับแสดงผลภาษาเบรลมาอ่านได้ด้วยนิ้วสัมผัส
เด็กในโรงเรียนตาบอดที่เรียนมาถึงชั้นม.1 ทุกคนจำตำแหน่งแป้นบนคีย์บอร์ดได้หมด การพิมพ์ดีดเป็นทักษะสำคัญมากของพวกเขา เพราะไม่สามารถมานั่งจิ้มดูทีละตัว และเช็คคำผิดก็ไม่ได้ด้วย
“อลิสจะไม่มาเรียนเดือนนึง เธอไปผ่าตัดใส่เส้นประสาทหูเทียม”
มิเชลใจเต้นแรง เรื่องนี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเพื่อนสาว เส้นประสาทหูเทียมมีราคาแพงมาก เธอยื่นรอเรื่องงบช่วยเหลือมาหลายเดือนแล้ว
“ดีจัง อลิสรอคิวนี้มานานแล้ว ในที่สุดเรื่องที่ยื่นไว้รัฐบาลก็ช่วยจัดการให้”
“เธอก็อยากใส่บ้างใช่ไหม”
“ใช่ แต่โทนี่ก็รู้ว่ามิเชลแพ้ยาสลบขั้นรุนแรง ผ่าตัดไม่ได้ ไม่งั้นพ่อคงทำให้ตั้งแต่เกิดแล้ว”
โทนี่หยุดพิมพ์ไป
“แหม เงียบเลยนะ มิเชลอยากใส่ แต่ถึงไม่ได้ใส่ก็อยู่ได้ มิเชลมีอุปกรณ์แพงๆ ของพ่อมาใช้งานแทนเยอะกว่าคนอื่นด้วย แถมผ่าตัดต้องเปิดหัว น่ากลัวออก”
เบรลคีย์บอร์ดราคาแพงมาก โทนี่ที่หูไม่หนวกจึงเห็นว่าเกินจำเป็น เขายังมีเสียงไว้พูดคุยกับคนอื่น ส่วนอลิสกำลังอยู่ระหว่างผ่าตัดเส้นประสาทหูเทียม ถ้าอะไรๆ สำเร็จด้วยดี เธอก็โยนอุปกรณ์ระบบสัมผัสบางชิ้นทิ้งได้เลย มิเชลรู้สึกเหงานิดๆ ต่อจากนี้ คงเหลือเด็กตาบอดหูหนวกเพียงคนเดียวในชั้นเรียน
เด็กทั้งสองเริ่มเปลี่ยนเรื่องพูด นิ้วสามารถสัมผัสอักษรเบรลได้เพียงทีละสองสามตัว การสนทนาจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า กระนั้น พวกเขายังคุยกันสนุกสนานดี มิเชลเล่าเรื่องพาราเรลออนไลน์ให้โทนี่ฟัง เขาทำท่าสนใจ ที่สำคัญคือ สามารถมองเห็นในนั้นได้ เด็กชายพอรู้จักวิช่วลเวิร์ลจากเพื่อนสาวมานาน แต่ไม่เคยคิดว่าตนจะมีโอกาสลองอะไรคล้ายๆ กันเลย
ดูเหมือนญาติของโทนี่เล่นเกมนี้อยู่ เด็กชายบอกว่าคงขอเล่นด้วยได้ มิเชลอมยิ้ม เธอรู้จักเพื่อนตนดี เขาชอบใช้ประโยชน์ของการเป็นที่รักในครอบครัวเสมอ พ่อคอยตามใจเพราะลูกตาบอด มีแค่แม่พยายามปรามพ่อ แต่สุดท้ายแม่จะแพ้เสียงคุณยายทุกครั้ง
คุยกันสักพัก ออดเริ่มดัง โทนี่จึงสะกิดบอกเธอ
การเรียนเริ่มต้นขึ้นตอนแปดโมงครึ่งและจบลงที่บ่ายสอง เธอใช้ภาษามือบอกลาเพื่อน จากนั้น เอาไม้เท้าพาตัวเองไปยังจุดยืนรอรถพ่อ ส่วนโทนี่จะเดินตามเบรลบล็อคของโรงเรียนจนขึ้นรถเมล์โดยมีคนในครอบครัวมารอรับยังสถานีปลายทาง เบรลบล็อคเป็นพื้นกระเบื้องสีเหลือง มีปุ่มนูนๆ ปูให้คนตาบอดเดินบนทางสาธารณะ เพียงแค่เกาะเบรลบล็อคไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะชนกับสิ่งกีดขวางอะไร
วันนั้นหลังทำการบ้านและอาบน้ำกินข้าว เธอใช้มือถือส่งข้อความหาโทนี่
‘ได้เล่นเกมเมื่อไหร่บอกด้วย’
‘อืม คืนนี้แหละ’
จากนั้นก็ส่งคำอวยพรให้อลิสสำหรับการผ่าตัด มือถือที่มิเชลใช้พิมพ์เป็นรุ่นเก่า ฟังชั่นน้อยแต่ดีตรงที่เป็นคีย์บอร์ดแบบมีครบทุกแป้นตัวอักษร นอกนั้นเธอจำเอาว่าต้องกดตรงไหนกี่ครั้ง แล้วใช้เบรลคีย์บอร์ดเสียบ มันจะช่วยแปลงข้อความบนหน้าจอเป็นอักษรเบรล ส่วนโทนี่ เขาอาศัยซอฟแวร์เสียงอ่านให้ฟัง
พอเข้าไปในเกม ก็พบตัวเองเดินออกจากเต๊นท์สำหรับล็อคเอาท์ ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวชะอุ่มข้างนอกชักเริ่มกลายเป็นทิวทัศน์ที่ชินตา กำไลเริ่มเปล่งแสงกระพริบสีฟ้า เด็กหญิงกดปุ่มวงกลม บนหน้าต่างข้อมูลมีคำว่า ‘มีข้อความใหม่ กรุณาเปิดดูสมุดรายชื่อของท่าน’ เธอจึงล้วงมันขึ้นมาเปิด
‘ขอโทษจ้ะ เรารอไม่ไหว เลยออกไปจากเขตผู้เล่นใหม่แล้ว ในนี้ไม่มีอะไรเหลือให้เราสองคนเล่นแล้วน่ะ ไว้เจอกันนะ มีเรื่องสงสัยอะไรก็ส่งข้อความมานะจ๊ะ’
ผู้ส่งคือลาล่า เธอส่งมันมาเมื่อเช้า คำพูดของนักธนูสาวเริ่มออกแนวเอ็นดูเด็กลงเรื่อยๆ ท่าทางระหว่างอยู่ด้วยกัน เอลฟ์ผมเขียวรู้สึกได้ว่าเด็กหญิงอายุน้อยกว่ามาก
พอมิเชลขาดเพื่อนเล่นเกมจึงไม่รู้ควรทำอะไรต่อ เธอย้อนกลับไปยังที่อยู่ของเสือดาวม่วง แล้วเลียนแบบอิลกับลาล่า โดยพยายามหาวิธีใช้มีดจากบนต้นไม้ พลันความบังเอิญอย่างน่าประหลาดได้เกิดขึ้น…
จุดหลบภัยของเธอคือต้นโพธิ์แดง มีปลายเถาวัลย์ห้อยระเกะระกะลงมา มิเชลตัดมาหนึ่งเส้น จับมาผูกเข้ากับด้ามมีดให้แน่น ร่างเล็กพยายามเหวี่ยงมันใส่เป้าหมาย ก็โดนบ้างไม่โดนบ้าง แต่สายเชือกทำให้เสือดาวม่วงเห็นเธอ และพากันมารุมอยู่โดยรอบ พวกมันกระโจนใส่ ช่วยกันอาละวาดข่วนต้นไม้ไม่หยุด
เสือดาวม่วงกับหมาป่าขนเงินเป็นสัตว์อสูรประเภทอยู่เป็นฝูง พวกมันจะไม่โจมตีก่อน ยกเว้นเวลาพรรคพวกถูกทำร้าย อิลกับลาล่าจึงสามารถไปถึงต้นไม้ได้อย่างปลอดภัย และได้ลอบฆ่าจากที่สูง
มิเชลพยายามเกาะต้นไม้ที่โดนเขย่าไว้แน่น เธอรู้ว่า หากจัดการเสือดาวม่วงรอบๆ ไม่หมดคงติดแหงกอยู่บนนี้ เด็กหญิงใช้มือขวาจับสายเถาวัลย์แล้วเหวี่ยงมีดใส่พวกมันอย่างต่อเนื่อง
จากการแหวี่ยงเชือกผูกมีดแบบสะเปะสะปะ เธอทำร้ายลดค่าพลังชีวิตสัตว์อสูรได้หลายตัวพร้อมกัน แต่กว่าจะตายสักตัวก็ต้องแกว่งเป็นรอบที่สี่สิบ
“คุณสามารถกำจัดสัตว์อสูรด้วยอาวุธดัดแปลงได้ คุณได้รับทักษะการดัดแปลงอาวุธ”
เธอจำได้ว่ามันคือเสียงของระบบ อาวุธดัดแปลงตามความเข้าใจเก่า ต้องเป็นอุปกรณ์ไฮเทค ปืนไอเดียแปลกๆ ดาบเลเซอร์เท่ๆ ไม่นึกว่าแค่เอาเถาวัลย์มาผูกมีดก็เรียกอาวุธดัดแปลงได้แล้ว
สัตว์อสูรมีเวลาในการเกิดใหม่อยู่หนึ่งวัน พวกมันจึงค่อยๆ ลดจำนวนลงไปเรื่อยๆ แต่กว่าจะฆ่าได้หมด เธอก็เหวี่ยงมีดจนนิ้วชา ส่วนแขนซ้ายอีกข้างใช้เกาะต้นไม้ไว้เพื่อประคองตัวกันร่วง
มิเชลทิ้งตัวลงพื้นหญ้า หลังจากทำการฆ่าล้างเผ่าพันธ์เสือดาวม่วงจนหมดก็ไม่อยากใช้แขนซ้ายทำอะไรอีกต่อไป เธอนอนหมดสภาพใต้ต้นไม้ บริเวณทุ่งแห้งแล้งยังมีสัตว์อื่นอยู่ แต่พวกมันเหมือนกับเสือดาวม่วง จะไม่โจมตีก่อนถ้าพรรคพวกไม่โดนทำร้าย
เธอเรียกหน้าต่างข้อมูลขึ้นมาจากกำไล เลเวลตอนนี้สิบเก้าแล้ว เด็กสาวจัดการเพิ่มค่าสถานะลงไปให้ทุกอย่างเท่าๆ กันเหมือนเดิม ก่อนพาร่างที่อ่อนระโหยกลับไปเต๊นท์เลือกอาชีพ
เต๊นท์อาชีพมีเป็นร้อยหลัง เธอไล่อ่านคำอธิบายหลายอย่างแต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก ทีแรกตั้งใจจะเอาแบบเดียวกับลาล่า แต่ปรากฏว่า เต๊นท์มือธนูคิวยาวจนเกือบมองไม่เห็นหางแถว เด็กสาวจึงเริ่มมองหาอะไรก็ได้ที่เร็วๆ
ที่จริงมีเต๊นท์ร้างผู้คนมากมาย แต่โดยมากยังพอมีคนเดินเข้าออกประปราย ยกเว้นหลังเดียวเท่านั้นที่คิวว่างสนิท มันเป็นกระโจมมีสีพาดอยู่ห้าสี เขียว แดง เหลือง ฟ้าและน้ำตาล สีดูเลอะเทอะไม่สวยเหมือนของอาชีพอื่น
ป้ายเขียนว่า ‘นักมายาธาตุ’ พร้อมคำอธิบายทักษะที่จะได้รับเมื่อเปลี่ยนอาชีพ มิเชลเลื่อนสายตาลงมาอ่าน มันมีทั้งหมดสามทักษะ จุดไฟ สาดน้ำ ดอกไม้จงบาน ทว่า เวทมนตร์ทั้งสามบทนี้ไม่ใช่ท่าโจมตี
จุดไฟทำให้ติดสถานะลุกไหม้ ส่วนสาดน้ำแค่สร้างสถานะเปียก และสุดท้าย ดูเหมือนจะมีประโยชน์มากสุดคือการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า
ถ้าเป็นคนอื่น เห็นแค่สามสกิลเริ่มต้น คงย้ายเต๊นท์หนี แต่มือใหม่หัดเล่นเกมอย่างมิเชลก็แค่มุดเต๊นท์เข้าไปดื้อๆ เพราะอยากรีบออกจากบริเวณผู้เล่นใหม่ ข้างในเต๊นท์มีโต๊ะเก้าอี้ให้ใช้ เธอเลยนั่งลงและไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อดี
เด็กหญิงรออยู่นานมากโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอเรียกหน้าต่างข้อมูลจากกำไลดูหลายรอบ แต่อาชีพก็ยังเป็นนักผจญภัยเหมือนเดิม ร่างเล็กยกก้น ตั้งใจจะเปลี่ยนเต๊นท์ ทว่า... ตอนนั่ง เธอนั่งจากฝั่งซ้าย แต่ตอนลุก มิเชลขยับออกด้านขวา เท้าจึงสะดุดกับอะไรบางอย่างที่มีอยู่แต่แรก และล้มใส่เต็มๆ หน้าก็จมลงในสัมผัสนุ่มนิ่ม.... พอเงยขึ้นค่อยรู้ว่าเอาหัวไปปักพุงพลุ้ยๆ ของลุงแก่คนหนึ่ง แกนอนปิดปากเงียบสนิท ไร้เสียงกรน แถมยังไม่ยอมตื่นอีกต่างหาก!
“ลุงคะ” เธอเอานิ้วสะกิด ตั้งใจจะปลุก เขาเป็นคนแก่ผมเกือบล้าน มีเส้นผมสีน้ำตาลหรอมแหรม ร่างอ้วนท้วม ใส่กางเกงขายาวเอวสูงกับเสื้อคลุมเขียวลากพื้น
เด็กสาวกลับโดนแกเอามือตบกลับมา เธอใช้แขนยันไว้กันหัวกระแทกเก้าอี้ พอสังเกตดีๆ ค่อยรู้ว่านั่นคือ อาการละเมอ! มิเชลเริ่มไม่อยากอยู่ในนี้ต่อ แต่พอลุกขึ้นกลับโดนดึงขาเอาไว้... โดยที่ชายแก่ยังหลับอยู่ด้วยซ้ำ!
มิเชลพยายามคลานหนี แต่ลุงแกลากขากลับไปกอดเป็นหมอนข้าง เด็กสาวตระหนก ยกเท้าขึ้นดิ้นถีบ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถหลุดจากน้ำหนักของร่างท้วมๆ หัวเธอกระแทกลงกับฝาครอบกับข้าวที่วางเกะกะบนพื้น
“ปล่อยยยยย ปล่อยหนูนะ” เด็กหญิงเอามือยันหัวลุงแก่ที่เอาหน้ามาแนบกับขาเธอสุดชีวิต
เธอดิ้น ตบ ข่วน ยัน ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ แต่หลังจากซัดเสือดาวม่วงทั้งฝูง ความเหนื่อยทำให้พลังโจมตีตก เด็กหญิงจึงได้แต่นั่งทำใจลงข้างๆ มิเชลก้มลงมองดูเวลาของโลกจริงๆ บนกำไล พลางคาดหวังว่าถ้าเลยเวลานอน พ่อคงมาช่วยออกไปเอง
เรื่องน่าแปลกคือ เธอเข้ามาในเกมหกโมงเย็น แต่ตอนนี้เพิ่งจะทุ่มครึ่ง! มิเชลมั่นใจว่าใช้เวลาอยู่กับฝูงเสือหลายชั่วโมงแน่ๆ แขนที่หมดแรงกับท้องร้องหาของกินช่วยบอกเวลาได้เป็นอย่างดี
“หวังว่าคงไม่ใช่เจ็ดโมงเช้าของอีกวันนะ...” เธอทำสีหน้าประหลาด นาฬิกาเป็นแบบเข็มมันจึงชี้เลขเจ็ดเหมือนกัน “จะว่าไป เมื่อคืนออนไลน์นานมาก แต่เวลาผ่านไปแค่สามชั่วโมง หรือว่าเวลาในเกมจะเดินเร็วกว่า… ”
เพราะยังเหนื่อยอยู่มาก เธอนั่งคิดได้ไม่นานก็ผล็อยหลับในท่านั้น หัวตกร่วงไปข้างซ้าย ส่วนตัวค่อยๆ รูดไถลลงมา แขนแบะออก ชายแก่ร่างท้วมยังคงเกาะขาอยู่
***********************************
พอรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าร่างกำลังห้อยต่องแต่ง เธอมึนหัวตุ้บๆ พยายามดิ้นแล้วแต่ไม่หลุด พอมองดีๆ จะเห็นชายแก่พุงพลุ้ยคนเดิม เขาตื่นแล้ว และจับขาเด็กหญิงชูขึ้นสูง
“ไอ้หนุ่ม จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน มารับการทดสอบเปลี่ยนอาชีพใช่ไหมล่ะ”
ไอ้หนุ่ม?....
“อย่ามัวแต่เงียบสิ จะทำรึไม่ทำล่ะ.... ลูกผู้ชายไม่ต้องพูดมากเหมือนผู้หญิง แต่ไม่พูดเลยก็ไม่ได้หรอกนะ”
ลูกผู้ชาย..? อะไรนะ
“เงียบแบบนี้ไม่ได้เรื่องพอดี ตกลงไม่เปลี่ยนอาชีพสินะ งั้นก็ออกไปจากเต๊นท์เลย”
“เปลี่ยนค่ะๆๆ” เธอรีบตะโกนแทรกทันที
“โอเค ผ่านแล้ว!”
“ห..หา?”
“ไม่ดีหรือไง?” ชายแก่พุงพลุ้ยทำตาดุใส่ “ตอนนี้เป็นช่วงเปิดให้ทดลองเล่น อาชีพไหนไม่ฮิตเราให้ผ่านได้ทันทีเลยเพราะจะได้ทดสอบระบบไปด้วย"
มิเชลถูกผลักออกจากเต๊นท์อย่างงงๆ แต่แล้ว... ทิวทัศน์ใบไม้ใบหญ้ารอบตัวให้บรรยากาศประหลาด ประสาทสัมผัสบางอย่างตื่นตัวผิดปกติ
เธอเห็นเส้นคลื่นพลังลากผ่านไปมา เส้นสีเขียวสลับน้ำตาลพันตวัดอยู่ตามผิวดิน กลิ่นยางไม้แรงขึ้น พร้อมๆ กับ กลิ่นของหญ้าที่กระจายฟุ้งเด่นชัดเจนเกินปกติ
เธอกำลังมองเห็นกระแสพลังของธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีคนอธิบายก็สามารถเข้าใจในทันทีว่าสีเขียวคือธาตุไม้ ส่วนเส้นสีน้ำตาลคือดิน ความรู้สึกที่กายสัมผัสได้มันบอก เด็กสาวรื่นรมณ์อยู่กับภาพตรงหน้าสักพักก่อนหลุดจากภวัง…..
“คุณได้รับอาชีพนักมายาธาตุ”
“คุณเรียนรู้ทักษะจุดไฟ สาดน้ำ และดอกไม้จงบาน”
“ทักษะดัดแปลงอาวุธเป็นทักษะนอกเหนือขอบเขตอาชีพนักมายาธาตุ คุณจึงลืมทักษะดัดแปลงอาวุธ”
“ทักษะแล่หนังเป็นทักษะนอกเหนือขอบเขตอาชีพนักมายาธาตุ คุณจึงลืมทักษะแล่หนัง”
มิเชลยืนมึนและพยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตอนนี้เธอเปลี่ยนอาชีพแล้ว กลายเป็นนักมายาธาตุและรับทักษะเวทมนตร์มาถึงสามอย่าง
เหมือนโดนอะไรบางอย่างกระซิบให้ลองใช้ทักษะใหม่ เธอรวบรวมเส้นสีแดงในอากาศแล้วบีบอัดเป็นก้อน พลัน ไฟลุกพรึ่บติดต้นหญ้าเบื้องหน้าทันที
“อันนี้คือจุดไฟ..สินะ”
ทว่า ไฟเริ่มลาม เส้นสีแดงเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนกินอาณาบริเวณโดยรอบ มิเชลรีบเรียกเอาเส้นสีฟ้าจางๆ ไปดับไฟ เธอรับรู้โดยสัญชาติญาณของอาชีพว่านั่นคือ ‘สาดน้ำ’
เวทสุดท้ายที่ยังไม่ได้ลอง.. ดอกไม้จงบาน มิเชลเห็นเส้นสีเขียวสลับน้ำตาลไหลอยู่บนพื้น เธอดึงให้มันค่อยๆ ลอยเหนือผิวดิน และไหลวนเวียนอยู่รอบต้นกล้า พร้อมถ่ายเทพลังงานเข้าไปตามรู... รูเล็กๆ ในมโนภาพที่นึกเอาเอง เธอคิดว่ามันคล้ายๆ กับฟองน้ำดูดซับความชื้น
ใบสีชมพูอมเขียวค่อยๆ โผล่ขึ้นจากก้านหญ้ามากมาย มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนพอมองเห็นเป็นดอกตูมๆ เตรียมพร้อมที่จะบาน เธอเห็นความสำเร็จอยู่ไม่ไกล จึงพยายามเค้นสมาธิเพ่งเข้าไปอีก
เธอร่ายทักษะต่อเนื่อง เมื่อดอกไม้เจริญวัยเต็มที่ ท่านี้จะไม่ส่งผลกระทบอะไรเพิ่มเติม มิเชลก้าวเข้าไปในใจกลางวงเวทเพื่อชื่นชมผลงาน ทุ่งบุปผาน้อยส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ แต่แล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายตัวเอง เส้นสีเขียวสลับน้ำตาลไหลเข้าสู่ร่างเธอโดยไม่ทันตั้งตัว!
ตัวเธอดูลอยขึ้นจากพื้น... ไม่สิ! เธอสูงขึ้นต่างหาก เพราะเท้ายังเหยียบดินอยู่ แค่วิสัยทัศน์ที่ก้มมองนั้นไกลจากเดิม แขนขาเด็กสาวขยายใหญ่กว่าปกติเล็กน้อย นิ้วมือยาว และปลายผมสีดำหล่นลงมาถึงกลางหลัง ท่าทางเวทบทนี้ไม่จำกัดเพียงการเจริญเติบโตของดอกไม้เสียแล้ว
แทนที่จะตกใจ มิเชลกลับตื่นเต้นกับร่างเจริญเติบโตสมบูรณ์ในโลกสมมุติ ขายาว มือใหญ่ ไหล่กว้างขึ้น เรือนผมสีดำปรกถึงกลางหลัง ความรู้สึกของผู้ใหญ่มันเป็นแบบนี้เองหรือ?.. ถ้าตอนนี้มีกระจกคงดี เธอเป็นเด็กผู้หญิง อย่างไรก็ต้องอยากรู้ว่าตัวละครตนเองหน้าตาสวย ธรรมดา หรือขี้เหร่!
"หืม เจ้าเข้าใจเวทมายาถ่องแท้ดีแล้วนี่" เสียงชายแก่โพล่งขึ้นทำลายความเงียบ
ทันใดนั้น เส้นสารพัดสีรอบตัวมิเชลค่อยๆ จางลง เด็กหญิงมองไม่เห็นมันอีกต่อไป ทว่า ด้วยสัมผัสของนักมายาธาตุ เธอจึงยังรับรู้ได้แบบเลือนราง
"เจ้าเป็นคนที่แปด”
"ถ้ายังงั้นก็มีนักมายาธาตุล่วงหน้าหนูไปก่อนแล้วเจ็ดคนสิคะ"
“เจ้าถามถึงจำนวนของนักมายาธาตุ? ผู้ที่สอบผ่านอาชีพนี้มีจำนวนแปดคน แต่เจ็ดคนก่อนหน้านั้นลบตัวละครไปแล้ว เท่ากับเหลือหนึ่งคน”
“ลบตัวละคร..? หมดทุกคนเลย...?” เธอพึมพัมกับตัวเอง อาชีพนี้จะดีไหมเนี่ย หรือจะกลายเป็นคนที่แปดที่ต้องลบตัวละคร
ระหว่างกำลังคิดเพลินๆ ผ้าผืนนุ่มและของหลายอย่างก็หล่นตุบใส่กลางหัว
พอเอามาคลี่ดูดีๆ ค่อยเห็นว่ามันคือชุดคลุมเขียว กิ่งไม้ที่มีผลึกลูกแก้วใสอยู่บนใบไม้ห้าใบ กระดาษโน๊ตลายมือดินสอขยุกขยิกอ่านไม่ออก อาหารกระป๋องสี่ใบ และหีบสีม่วงใบเล็ก
“คุณได้รับรางวัลจากการเปลี่ยนอาชีพพร้อมชุดอาหารยังชีพ”
ช่องเก็บของบนสายคาดเอวเต็มแล้ว มิเชลจึงเอาชุดคลุมเขียวสวมทับเลย ส่วนไอเทมอย่างอื่นเด็กหญิงจัดการโดยโยนฟันหนูบางส่วนทิ้ง ที่จะได้เหลือพอใส่ ไม่รู้หรอกว่ากิ่งไม้หรือกระดาษโน๊ตใช้ทำอะไร แต่คงมีประโยชน์ของมันอยู่ ตัวเธออยากออกจากเขตผู้เล่นใหม่เพื่อรีบเข้ารวมกลุ่มกับลาล่าและอิล แต่เพราะคืนนี้นัดโทนี่ไว้ ยังไปไหนไม่ได้...
เด็กสาวบอกลาลุงอ้วน แล้วเดินแกร่วรอเวลาโทนี่เข้าเกม เธอได้ลองเล่นจุดไฟ แล้วสาดน้ำดับ ทำไปเรื่อยๆ จนระดับทักษะขึ้นมาเอง... แถมยังดัดแปลงรูปร่างของไฟกับน้ำที่ออกมากลางอากาศเล่นอีกด้วย กว่าโทนี่จะส่งข้อความหาผ่านสมุดรายชื่อเพื่อน ท่าจุดไฟสาดน้ำก็เลื่อนระดับไปที่สามเรียบร้อย
เธอไปรับเขาจากลำธารข้างป่าเริ่มต้น เด็กชายมีผมดำ ตาเล็กเรียวแบบคนเชื้อสายจีน เขาใช้หน้าตาตัวเองเล่น มิเชลรู้เพราะเคยเห็นรูปถ่ายที่อัพโหลดขึ้นวิช่วลเวิร์ล
โทนี่ดูงงและกำลังคลื่นไส้อาเจียน เขาไม่รู้สึกถึงการมาของเพื่อนจนเธอส่งเสียงเรียก เด็กชายมองตอบกลับด้วยสีหน้าเบลอๆ คิ้วเริ่มคลายปม เริ่มจะลดความเกร็งลง
“ทำไมโทนี่ถึงอยู่ในสภาพนี้ล่ะ” เธอถามตรงๆ
“ฉันรู้สึกแย่มาก....” เขาคราง “ปวดหัว แสบตาด้วย เวลาคนตาดีบอกแสบตาเนี่ย... ตอนนี้เข้าใจคำว่าแสบตาแล้ว… “
“พ่อบอกว่าจุดที่โทนี่ยืนนี่คือจุดเกิด แปลว่าตั้งแต่เข้ามาในเกมก็นอนปวดหัวแบบนี้ใช่ไหม”
“ใช่... จริงๆ ฉันพอจะรู้สาเหตุอยู่ ขอเวลาปรับสภาพสักแปปนึง” เขายกมือขึ้นทำท่าว่าไม่เป็นไร “คงเพราะสมองส่วนที่ใช้รับรู้ประสาทตาไม่เคยได้ใช้ เลยเหมือนโดนกระแทกเข้าไปเต็มๆ”
“โทนี่ควรจะออกจากเกม อย่าฝืนเลย ของแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป มิเชลใช้วิช่วลเวิร์ลครั้งแรกตอนเจ็ดขวบ ผลกระทบของมันไม่รุนแรงเท่าของโทนี่ที่ไม่ได้ใช้มาสิบสามปี แต่พ่อยังให้มิเชลใช้แค่วันละสิบนาทีจนกว่าจะชินเลย”
“ไม่เป็นไร... ฉันรู้สภาพตัวเองดีว่ามันไม่หนักขนาดนั้น แค่ยังไม่ค่อยชิน ขอเวลาแปปเดียว”
“แต่... โทนี่เป็นประเภทตาบอดสนิทที่ดวงตาไม่รับแสง... มาฝืนใช้งานสมองส่วนในการรับรู้ครั้งแรกนานๆ ไม่ไหวหรอก...”
“ไม่เป็นไร... ฉันรู้ตัวเองดี” โทนี่หลับตาปี๋ สักพักก็เลิกขึ้นแล้วกระพริบปิดลงไปใหม่ เขาทำสลับอยู่สักพักก่อนฟื้นตัว ท่าทางพะอืดพะอมค่อยๆ หายไป เด็กชายเริ่มเงยหน้าสำรวจเพื่อน เหงื่อเม็ดเบ้งๆ ยังเกาะอยู่เต็มหน้า
"มิเชลหรือเนี่ย.. ตัวละครเธอสูงจังนะ อุตส่าห์นึกว่าจะได้เห็นหน้าตาจริงๆ ของเธอสักหน่อย ไหนว่าพ่อเธอสร้างตัวละครให้เหมือนกับเธอล่ะ" เขาเอ่ยทักร่างสูงโย่งของเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงอิดโรย โทนี่แยกความแตกต่างระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ไม่ออก เพียงแต่ในโลกจริง ทั้งคู่ส่วนสูงพอๆ กัน เขาจึงพอรู้ได้ว่านั่นไม่น่าใช่มิเชล
"อ๋อ นี่เป็นร่างผู้ใหญ่ของมิเชล ในเกมนี้มิเชลมีทักษะที่ทำให้โตขึ้นได้"
"รู้สึกแปลกดีที่ได้ยินเสียงเธอพูดด้วย แต่เสียงเธอทุ้มจัง" โทนี่ก้มลงมองพื้นหญ้าก่อนขยำไว้เต็มมือ "ไอ้เจ้านี่มันเป็นแบบนี้นี่เอง"
"ที่จริงเสียงมิเชลทุ้มตั้งแต่กลายเป็นร่างผู้ใหญ่ต่างหาก! แล้วโทนี่คิดว่ามิเชลตอนโตหน้าตาดีรึเปล่า" เธอขอความเห็น "ตอนนี้อยากได้กระจกมาก เพราะมิเชลยังไม่เห็นหน้าตัวเองตอนโตเลย"
"แค่แยกภาพคน กับทิวทัศน์ให้ออกจากกันฉันยังลำบากเลย ไม่ต้องพูดเรื่องความสวยความงามต่อแล้ว"
"นั่นสินะ ลืมไป... เอาเป็นว่าถ้ารู้สึกดีขึ้นแล้ว ในฐานะผู้มีประสบการณ์แห่งโลกวิช่วลเวิร์ล กับรุ่นพี่ในพาราเรลออนไลน์ มิเชลจะเป็นคนพาทัวร์เอง" เธอยืดอก น้ำเสียงกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง
"คร้าบผม คุณรุ่นพี่ที่เล่นพาราเรลมาล่วงหน้าแค่สองวัน" โทนี่หัวเราะ "ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอทำน้ำเสียงแบบนั้นได้ด้วย ได้คุยกับเธอแบบไม่ผ่านตัวหนังสือเบรล หรือภาษามือนี่ก็แปลกดีนะ"
มิเชลเริ่มพาเพื่อนเดินชมนกชมไม้ คอยชี้ให้ดูว่าอะไรเป็นอะไร โดยมากเด็กชายพอจะแยกออกเองด้วยการสัมผัสหรือดมกลิ่น ทั้งสองก้าวยังไงก็ไม่พ้นเขตป่าสักทีเพราะต้องคอยหยุดฟังมัคคุเทศน์สาวบรรยายตลอดทาง แต่นับว่าโทนี่ได้ฝึกใช้ตาจดจำจนชำนาญขึ้นเยอะ อย่างน้อย เขาแยกแยะวัตถุกับพื้นหลังออกแล้ว
เธอลากโทนี่เดินตามรอยเท้าเก่าตน สอนวิธีจับมีดฆ่าหนู กระต่าย และแมวป่า พอเลเวลหก ก็พาไปสู้หมาป่าขนเงินกับเสือดาวม่วงแบบที่เคยทำโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของเพื่อน... นั่นคือการเอาเชือกผูกด้วยมีด แล้วแกว่งสะเปะสะปะจากบนต้นไม้... มีสัตว์อสูรมารุมข่วนรอบๆ ลำต้นจนโงนเงน แต่ถ้ากวาดพวกมันไม่หมดก็ลงมาไม่ได้
"แฮ่ก... ฉัน..ว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างผิดแน่ๆ... แฮ่กๆ..." เด็กชายบ่นเสียงแห้ง... เขาแกว่งเชือกผูกมีดกลับไปกลับมาไม่ต่ำกว่าสามร้อยครั้ง "มือจะจับเชือกไว้ไม่ไหวแล้ว..."
"ไม่หรอก มิเชลก็เพิ่มเลเวลแบบนี้แหละ อยู่บนที่สูง ปลอดภัยดี แบบนี้แหละถูกแล้ว วิธีนี้มีคนอื่นสอนมิเชลมาอีกทีเหมือนกัน" เธอพูดพร้อมกับใช้ทักษะจุดไฟช่วยผ่อนแรงโทนี่ไปด้วย เสือดาวม่วงที่ติดสถานะไหม้เลือดจะค่อยๆ ลดลง แต่จะไม่ตายเมื่อเหลือเลือดแค่หนึ่งแต้ม เหมาะให้เพื่อนลงดาบสุดท้ายเพื่อเก็บค่าประสบการณ์ส่วนใหญ่
"งั้นหรือ...แฮ่ก ถ้ามีคนอื่น...ใช้วิธีนี้...ก็คงจะถูกแล้ว..ล่ะนะ" โทนี่ตอบเสียงหอบ
บุคคลที่มิเชลอ้างถึงย่อมเป็นอิลกับลาล่า นักธนูและนักเวทผู้เน้นการโจมตีระยะไกลและรุนแรง แต่มิเชลอุตริเอามีดสั้นมือใหม่มีพลังโจมตีต่ำติดดินไปผูกเชือกแกว่ง เรียกว่าใช้งานผิดประเภทอย่างหนัก
“มิเชล ฉันลืมบอกไปว่า ตอนฉันฆ่าตัวแรกด้วยมีดผูกเชือก ฉันได้ทักษะการดัดแปลงอาวุธมาด้วย”
“เหรอ” เธอพูดอย่างไม่สนใจ ทักษะนี้...มันหายไปตอนเปลี่ยนอาชีพ มิเชลจึงคิดว่าของโทนี่เดี๋ยวก็หายเหมือนกัน
"โทนี่อยากเล่นอาชีพอะไรล่ะ?"
"หือ เธอหมายถึงอะไร"
"ก็..." มิเชลเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเด็กเชื้อสายจีนตรงหน้ามีความรู้เรื่องเกมนี้เทียบเท่ากับเธอเมื่อสามวันก่อน จึงค่อยๆ ร่ายบรรยายให้ฟังระหว่างที่แกว่งมีดไปด้วย เขาเพียงแต่ผงกหัว รับฟังเงียบๆ จนจบ
"อย่างนี้น่ะเอง ตัวเธอสูงขึ้นเพราะทักษะนั่นด้วยสินะ ลองร่ายทักษะนั่นใส่ฉันหน่อย ตัวโตขึ้นอาจจะทำให้มีกำลังมากขึ้น"
เธอทำตามคำขอ แต่ร่างกายโทนี่กลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ตัวเขาไม่ได้ยืดขึ้นหรือขยายออก กระนั้น แววตาเด็กชายเปลี่ยนไป
"แขนฉัน... ที่ใกล้เดี้ยง รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ ยังเมื่อยอยู่แต่ก็หายชาแล้ว" เขาทำมือกรอบแกรบให้ดู
"แปลกจัง มันให้ผลต่างไปในแต่ละคนสิเนี่ย ของโทนี่ทำให้หายเหนื่อย ส่วนของมิเชลทำให้โตขึ้น" เธอพูดพลางลองเวทกับต้นไม้ที่เกาะไว้เป็นป้อมปราการบ้าง โทนี่ทำท่าจะเปิดปากห้าม แต่ไม่ทันแล้ว..
ต้นโพธิ์แดงเกิดแรงสั่นกระเทือนอย่างหนักจนโทนี่เผลอปล่อยเชือกถ่วงมีด เด็กหญิงรีบกอดต้นโพธิ์แดงเพื่อประคองตัวเอง และอาศัยว่าร่างใหญ่กว่า เลยช่วยดึงเพื่อนไว้ได้ จู่ๆ ยอดไม้ที่เหยียบอยู่ดันสูงพรวดขึ้นทีเดียวสามเท่าเพราะเวทมนตร์ของเธอ
ต้นไม้ใหญ่ออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่งสวยแทบทุกกิ่ง และถ้าไม่ใช่ว่า.. จากระดับความสูงเท่าหลังคาบ้านหนึ่งชั้นกลายมาเป็นดาดฟ้าคอนโด คงจะกล้านั่งกินลมชมวิวเล่นต่ออยู่หรอก ส่วนเสือดาวม่วง หมาป่าขนเงินน่ะหรือ... อย่าได้สนใจ.. เพราะใบต้นโพธิ์งอกขึ้นบังพวกมันหายไปหมด
"เธอทำให้มันเจริญเติบโตเต็มที่ไปแล้ว รออีกนิดก็มีผลให้เก็บกินกันได้ล่ะ"
"แหม" เธอยิ้มเขินๆ
"ฉันชมที่ไหนเล่า... เธอนี่นะ.." เขาถอนหายใจ... ทว่า อีกมือก็หยิบดอกโพธิ์แดงขึ้นมาดู แล้วส่องสำรวจกลีบใบกับเส้นใยอย่างละเอียด เด็กชายกำลังบันทึกภาพลงหัว มิเชลจึงเริ่มทำตัวเป็นครูที่ดีอีกครั้ง เธอช่วยชี้อธิบายต่อว่าส่วนไหนคืออะไร
"ตอนนี้พอจะแยกแยะภาพกับสีได้ดีขึ้นรึยัง"
"ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าเห็นเสือดาวม่วงกับหมาป่าขนเงิน แล้วก็ต้นโพธิ์แดง ฉันจะรู้ได้ทันทีจากระยะไกลเลย เพราะมันฝังแน่นในความจำแบบที่ลืมไม่ลง" เขาประชด
หลังลงจากต้นไม้สำเร็จ ตอนแรกมิเชลเสนอให้เปลี่ยนเป็นไม้ยาวๆ ผูกกับมีดทำเป็นหอกเฉพาะกิจเพื่อจะได้โจมตีจากข้างบน แต่เด็กชายส่ายหน้ารัว ท่าทางเขาคงเข็ดกับการอยู่บนที่สูง และสุดท้ายก็มีข้อสรุปว่าสู้มันระยะประชิดนี่แหละ
คู่หูเตี้ยสูงเขยิบออกไปเกือบหลุดทุ่งราบสีเหลือง แหล่งอาศัยของหมาป่าขนเงิน... หากก้าวถอยกลับอีกนิด จะเจอแมวป่าที่โหดน้อยกว่า เผื่อว่าถ้าสู้หมาป่าไม่ไหวจะได้รีบเผ่นมาอีกเขตทันที มิเชลใช้เวทสาดน้ำจากระยะไกล ล่อความสนใจสัตว์อสูรเข้ามาในบริเวณได้หนึ่งตัว
ในบริเวณเขตมือใหม่ สัตว์อสูรต่างไม่โจมตีก่อน ยกเว้นตั้งแต่ระดับหมาป่าขนเงินขึ้นไปที่เริ่มรุมหากเห็นว่าพรรคพวกโดนปองร้าย เธอจึงค่อยๆ แอบลากเข้ามาเชือดทีละตัว มันจะวิ่งโร่เข้ามากัดมิเชลก่อนเพราะเป็นคนสาดน้ำกระตุ้น ส่วนเด็กสาวก็เอี้ยวหลบแล้วใช้มีดสั้นจ้วงถี่ๆ บวกกับอาศัยเวทจุดไฟทำให้เลือดศัตรูลดเร็วขึ้นด้วย
จากที่ช่วยกันนับดู พวกเขาใช้เวลาราว4นาทีต่อตัว โทนี่โดนกัดนิดหน่อย แต่มิเชลหลบได้ทุกดอก และกลายเป็นตัวล่อสัตว์อสูรเพราะทนเห็นเพื่อนเสียเลือดทีละหนึ่งในห้าของหลอดไม่ไหว แม้คราวนี้มีเด็กสาวมาร่วมแบ่งค่าประสบการณ์ แต่มีดสั้นเป็นอาวุธไว้แทง จึงฆ่าสัตว์อสูรได้เร็วกว่าใช้ผูกเถาวัลย์แกว่ง เธอต้องคอยหลบสายตาค้อนของเพื่อนเป็นระยะ ข้อหาพาไปเสียแรงแกร่วบนต้นไม้โดยใช่เหตุ
โทนี่ขึ้นเลเวลสิบห้าภายในเวลาชั่วโมงครึ่ง เขาเกือบโดนกัดตายหลายครั้ง แต่รอดเพราะเพื่อนสาววิ่งปรี่เข้ามาช่วยล่อศัตรูออกไปก่อนตลอด ความที่เด็กชายเป็นมือใหม่จึงมองข้ามเรื่องมิเชลมีความว่องไวเกินปกติ และทึกทักเอาเองว่า สักพักตนคงทำได้เหมือนกัน.... ทว่า... นอกจากหนูจิ๊ดตัวแรกสุดแล้ว.. เธอยังไม่เคยเสียเลือดเพิ่มอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เด็กชายใช้เวลายึกยักเลือกอาชีพอยู่หน้าเต๊นท์นาน จนมิเชลเริ่มหยิบอาหารกระป๋องออกมา ทั้งสองยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เจอหน้ากัน เธอง่วนอยู่กับการพยายามเปิดฝาอยู่สักพักโทนี่ก็แย่งไปแล้วช่วยใช้มีดแงะให้
“โทนี่ รู้สึกอะไรไหม” เธอเปรย มือก็รับกระป๋องที่เปิดเสร็จแล้วคืนมา
“หือ”
“เวลาในเกมนี้ดูช้าจัง เมื่อวานเหมือนเล่นเกมอยู่หลายสิบชั่วโมง แต่พอออกมา ก็เลยเวลานอนไปแป๊ปเดียวเอง”
“ก็แหงล่ะ” เขาตอบ “เวลาในเกมช้ากว่าเวลาข้างนอกห้าเท่านี่นา พ่อเธอไม่ได้บอกหรือไง มันมีอธิบายตั้งแต่ตอนสร้างตัวละครแล้ว”
“ถึงว่าสิ” เธอหัวเราะ “มิเชลใช้ตัวละครเดิมจากวิช่วลเวิร์ลเลยไม่รู้ ก็ดีนะ เล่นได้ยาวนานดี”
พออิ่มเลยถกเรื่องอาชีพกันต่ออีกสามชั่วโมง แต่สุดท้ายเขาดันเลือกอะไรก็ได้ที่แจกเสื้อผ้าเท่สุด โดยการไปด้อมๆ มองๆ ชุดใหม่ของคนเพิ่งออกจากเต๊นท์เอา มิเชลรู้สึกอยากถีบเพื่อนกลับเข้าป่าไปผจญเสือดาวม่วงเดี่ยวๆ สักรอบเหลือเกิน
แถวโทนี่ยืนมีคนต่อเป็นร้อย ดูเหมือนจะชื่อเต๊นท์ช่างฝีมือ คำอธิบายด้านหน้าเขียนตัวใหญ่ ว่าสามารถใช้อาวุธทุกประเภท และทักษะทั้งหมดหาได้จากภารกิจหรือซื้อเอาเท่านั้น มิเชลรอจนหลับ เธอโดนปลุกอีกทีก็ตอนเขาเปลี่ยนอาชีพเสร็จแล้ว
ไอ้ที่โทนี่บอกว่าเท่นักหนากลับดูเห่ยสิ้นดี เสื้อกล้าม กางเกงยางยืดขาสั้นกับกระดุมสารพัดรูปทรงปุปะโดยรอบ และยังเป็นชุดสีน้ำตาลเข้มทั้งตัว เธอถึงค่อยนึกได้ว่าเด็กชายจะไปมีสายตามองเสื้อผ้าได้ยังไง ในเมื่อเขาไม่เคยเห็น!
“เป็นไง”
“......ก็โอเค แต่เดี๋ยวหาเสื้อสวมทับเสื้อกล้ามด้วยนะ” เธอตอบนิ่งๆ เขาดูจะถูกใจกางเกงที่มีกระดุมติดอยู่เป็นร้อยเม็ดมากเกินควร
“ตอนต่อแถว ได้ยินคนคุยกันว่าหนังสือเกมเขาแง้มข่าวเรื่องอาชีพนี้ผลิตของได้แหละ แล้วเขาก็พูดกันว่าน่าจะเป็นอาวุธ มิน่าคนถึงเล่นเยอะ... จนป่านนี้พวกเราก็ยังมีแค่มีดสั้นคนละอัน”
“แต่ เพื่อนของมิเชลที่เป็นนักธนูกับนักเวท เขามีธนูแล้วก็ไม้เท้า โทนี่ไม่ได้รางวัลเปลี่ยนอาชีพเป็นอะไรเลยหรือไง”
“นอกจากเสื้อผ้าก็ได้อุปกรณ์งานช่างมา กล่องมีที่ว่างเก็บได้ 5 ช่อง ในกล่องมีกรรไกร ค้อน กับคู่มือที่เหมือนจะหนาอยู่เล่มนึง” เขายื่นหนังสือปกหนาสีน้ำเงินให้ดู
“คู่มืออะไร”
“ไม่รู้... ฉันอ่านได้แต่อักษรเบรล เธอเอาไปอ่านแทนหน่อยละกันว่ามันคืออะไร...”
“อะ... ได้สิ” เธอลืมไปว่าเพื่อนอ่านตัวหนังสือไม่ออก มิน่าถึงเลือกอาชีพจากชุดสวมใส่ ดูท่ามีเรื่องต้องให้สอนกันอีกแล้ว…. “นอกจากสารบัญ หน้าแรกเขียนวิธีตัดกระดาษ หน้าที่สองเขียนวิธีตอกตะปู และก็หมดแล้ว... ไม่มีหน้าที่สาม ปกแข็งๆ สันใหญ่ๆ แต่ทั้งเล่มมีหน้ากระดาษอยู่สองแผ่น... นี่มันหนังสืออะไรเนี่ย”
“ต่อให้มองไม่เห็นพวกเรายังตัดกระดาษกันเองได้เลย ส่วนตอกตะปูอาจจะยกเว้นไว้ให้พวกผู้ใหญ่ที่บ้านทำ” โทนี่เสริม “ลองอ่านให้ละเอียดๆ สิ อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่ก็ได้”
“หน้าแรกเขียนว่า เอานิ้วสอดในห่วงแล้วขยับ อีกอันเขียนว่าจับค้อนให้มั่นแล้วออกแรง เล่มตั้งใหญ่ แต่เขียนประโยคละหน้าแค่นี้แหละ” มิเชลหัวเราะร่วน เธอสังเกตว่าสีหน้าพวกที่ได้อาชีพนี้เหมือนมีเครื่องหมายคำถามลอยไปมาในหัว
“ฉันลงทุนผ่าฟืนร้อยชิ้น ทุบหินร้อยก้อนไปทำไมเนี่ย....”
“นั่นเป็นข้อสอบ?”
“ก็ใช่... ข้อสอบง่ายมาก แค่ต้องทนเหนื่อยทำตามคำสั่งให้ครบเท่านั้นแหละ” เขารับหนังสือคู่มือคืนมา จับมันยัดใส่ช่องเก็บของที่เข็มขัดตามเดิม
...................................
เด็กทั้งสองพากันไปทางออกเขตมือใหม่ เป็นเต๊นท์ใหญ่ที่สุดในละแวก ข้างในมีห้องปลีกย่อยแบ่งไปอีกเกือบยี่สิบห้อง พวกเขาเดินเข้ามาตามคำแนะนำของป้ายบอกทาง
“ยินดีต้อนรับค่ะ ดิฉันเป็นประชาสัมพันธ์ของที่นี่ ดิฉันมีหน้าที่ให้คำแนะนำและตอบคำถาม” ผู้พูดเป็นหญิงสาวผมบลอนด์สั้น ยืนยิ้มหวานนิ่งบริเวณทางเข้า ส่วนมือซ้ายผายไปยังประตูห้องย่อย “ประตูห้องทั้งหมดตรงหน้าจะเป็นจุดเตรียมความพร้อมก่อนออกจากอาณาเขตคุ้มครองของมือใหม่ กรุณาเลือกเดินเข้าห้องว่าง โดยสามารถสังเกตได้จากบานประตูที่แง้มออก หากมาเป็นกลุ่ม กรุณารวมกลุ่มแล้วเข้าพร้อมกัน เพื่อความรวดเร็ว”
“ตั้งกลุ่ม?” โทนี่ทัก
“การตั้งกลุ่มสามารถทำได้จากหน้าต่างของระบบ ผู้เล่นภายในกลุ่มเดียวกันเมื่ออยู่บนพื้นที่เดียวกัน จะสามารถรับส่วนแบ่งค่าประสบการณ์ได้ มีเพียงหัวหน้ากลุ่มและรองหัวหน้ากลุ่มสามารถเชิญผู้เล่นเข้ากลุ่มได้ค่ะ” เธอตอบเรียบๆ จ้องมองด้วยแววตาสีฟ้าที่ดูเป็นมิตร
“มิเชล ฉันตั้งกลุ่มเป็นล่ะ กดรับด้วย... เอ๊ะ ทำไมไม่ได้ มันขึ้นว่าเธอมีกลุ่มอยู่แล้ว”
“มิเชลเคยรวมกลุ่มกับเพื่อนที่เล่าให้โทนี่ฟังไง รอแปปนะ” เธอเอานิ้วจิ้มๆ หน้าต่างระบบ ของตัวเอง “กลุ่ม โทนี่... ชื่อสิ้นคิดมาก!”
“ค่อยไปแก้ทีหลังได้มั้ง ใช่ไหมครับ” เขาหันไปพยักหน้าเป็นเชิงถามหญิงสาวผมบลอนด์
“แก้ ต้องการแก้ไขอะไรหรือคะ” เธอถามย้ำ
“แก้ชื่อกลุ่มไงครับ ผมตั้งไปแล้ว อยากจะแก้ชื่อทีหลัง”
“การแก้ไขชื่อกลุ่มไม่สามารถทำได้ค่ะ ผู้เล่นต้องยกเลิกกลุ่มเดิมที่มี แล้วตั้งกลุ่มใหม่ และเชิญสมาชิกในกลุ่มเก่าเข้ามาแทน”
“ก็เหมือนตั้งกลุ่มใหม่เลยใช่ไหมครับ”
“การตั้งกลุ่มสามารถทำได้จากหน้าต่างของระบบ ผู้เล่นภายในกลุ่มเดียวกันเมื่ออยู่บนพื้นที่เดียวกัน จะสามารถรับส่วนแบ่งค่าประสบการณ์ได้ มีเพียงหัวหน้ากลุ่มและรองหัวหน้ากลุ่มสามารถเชิญผู้เล่นเข้ากลุ่มได้ค่ะ” เธอตอบซ้ำคำเดิม
“อันนี้เพิ่งบอกพวกผมไปแล้วนี่ครับ”
เธอเงียบ ยิ้มหวาน และขยับตัวเล็กน้อย โทนี่เริ่มรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเพียงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สามารถตอบคำถามตามศัพท์จำเพาะเท่านั้น เรื่องใดอยู่นอกเหนือขอบเขตที่สามารถเปิดเผย หรือไม่ตรงกับฐานข้อมูล ก็จะนิ่ง เขาหันไปสะกิดเพื่อนสาวเพื่ออธิบาย มิเชลจึงทำท่า ‘อ้อ’ หนึ่งที แล้วเลิกสนใจเธอ
พวกมิเชลรอจนมีห้องย่อยว่าง แล้วเดินเข้าไปด้วยกัน ในนั้นมีเก้าอี้แบบม้านั่ง โต๊ะ ตู้ และชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ ผมสีฟ้าเข้ม ตัวไม่ใหญ่ไม่เล็ก สวมเสื้อคลุมดำสนิททั้งตัว นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนัก ลูกแก้วสีฟ้าตั้งตรงหน้าเขา
เด็กทั้งคู่ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ กลิ่นน้ำอบหอมฉุนลอยมาแตะจมูกจางๆ
"สวัสดี ข้าคือหมอผีโจเซ่ เหอ..เหอ..เหอ..." เขาทัก เอานิ้วมือผอมๆ ลูบลูกแก้ว และปรากฏหน้าต่างสี่เหลี่ยมแบบทึบสองอันลอยกลางอากาศ "ช่างฝีมือกับนักมายาธาตุสินะ น่าแปลกใจจริงๆ... ที่มีคนเลือกอาชีพนักมายาธาตุด้วย โดยมากเห็นแค่คำอธิบายทักษะเบื้องต้นก็จะหนีไปเอาดีกับอาชีพที่มีเวทโจมตีจริงๆ อย่างจอมเวทมนตร์ดำ หรือผู้ใช้เวทมนตร์”
"คุณโจเซ่สามารถดูข้อมูลของพวกเราได้จากหน้าต่างอันนั้นหรือคะ" เธอเอ่ยถามสั้นๆ แต่ทำเอาโจเซ่สะดุ้ง ดวงตาเบิกกว้าง ปากเผยอชั่วคราวก่อนจะหุบลง
"ขอโทษที่แสดงอาการเสียมารยาท... แค่ตกใจนิดหน่อย.. ที่จริงเรื่องแบบนี้มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล" เขาพยายามทำเสียงให้เป็นปกติ "ใช่อย่างที่พวกเจ้าเข้าใจแหละ... ข้าดูข้อมูลของพวกเจ้าสองคนได้... เพราะข้าคือหมอผีโจเซ่... ลูกแก้วบอกข้าทุกอย่าง... ข้าอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสอบ และให้คำแนะนำผู้คนที่พลาดพลั้งในอดีต..."
“แล้วเราต้องทำไงต่อคะ ถ้าจะออกจากเขตผู้เล่นใหม่”
“ใจเย็น... ใจเย็น... ลูกแก้วบอกข้าว่าพวกเจ้าทั้งคู่... ไม่มีเงินเลย... ทั้งที่มีไอเทมเต็มกระเป๋า... แถมยังมีประวัติการโยนไอเทมทิ้งเป็นจำนวนมาก แปลว่า...ไม่เคยขายของเลย...” หมอผีโจเซ่ส่ายหน้า “พวกเจ้าต้องรู้จักเดินหา... พ่อค้ารับซื้อขยะรับซื้อทุกอย่าง... แต่ราคาจะถูกกดซะติดดิน... หรือถ้าหาร้านที่ต้องการของสิ่งนั้นได้ จะสามารถเรียกราคาได้สูงขึ้นอีก... พวกเขามักจะยืนในแหล่งอยู่อาศัย... ในเมือง หรือแม้แต่หน้าเต๊นท์... ถ้าเพียงพวกเจ้ารู้จักเดินหา และร้องทักสักนิด… และโอ... ยังมีอีก... ยังมีอีก.... พวกเจ้าพลาดหลายอย่างจริงๆ ”
ชายหนุ่มร่ายออกมาทีละอย่าง... ไล่ตั้งแต่เรื่องที่ไม่รู้จักหาซื้ออาวุธใหม่ ไม่รู้จักซื้อไอเทมฟื้นพลัง และไม่รู้จักซื้อเสบียงอาหารมาสะสม... พวกเขาโดนชมเรื่องเก็บผลไม้กิน ดัดแปลงอาวุธ แต่โดนติข้อหาใช้เถาวัลย์แกว่งมีดว่าเสียเวลาได้อย่างไร้สาระมาก คำแนะนำทั้งหลายดูมีประโยชน์แต่กว่าจะฟังจบก็สุดจะเหนื่อย โทนี่ยืนสัปงก หัวโยกขึ้นลงเป็นสัญญาณตอบรับหลอกๆ
“ทีนี้พวกเจ้าต้องฟัง... เพราะนี่คือจุดสุดท้ายแล้ว... ”
“งือ” เด็กชายสลึมสลือตอบ... เขาอยู่ในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่นมาสักระยะแล้ว
“ท่านกระเทยตัวสูงหน้าหล่อตรงนั้นทำได้ดีมาก... ท่านมีความอดทนสูง ผิดกับเจ้าช่างฝีมือขี้เบื่อตัวเตี้ยคนนี้...”
“หนู?” เด็กสาวขมวดคิ้ว ถ้าหากนิ้วชี้หมอผีโจเซ่หันไปทางอื่น มิเชลคงไม่คิดว่าคำพูดนั้นหมายถึงเธอ...
“คำเรียกอาจดูเสียมารยาท แต่ข้าเข้าใจในสิทธิส่วนตัวของท่าน... กายเป็นชายแต่ใจเป็นหญิง ทุกอย่างลูกแก้วรู้ ลูกแก้วเห็น ดวงตาของข้าคือลูกแก้ว ข้าจึงรู้ ข้าจึงเห็น”
มิเชลสงสัยคำพูดประหลาดๆ เลยจ้องลึกตามเข้าไปในลูกแก้ว มันสะท้อนภาพของโทนี่และชายหนุ่มแปลกหน้ายืนเคียงกัน... เมื่อเธอขยับ เขาก็ขยับ แม้ว่าภาพในนั้นจะดูอ้วนขึ้นนิดหน่อย แต่ลูกแก้วตรงหน้านี้ใสจนใช้แทนกระจกเงาได้ ปริศนารูปร่างผู้ใหญ่ของเธอกระจ่างแล้ว...
เธอกลายเป็นผู้ชาย ใบหน้าที่พอมีเค้าโครงมิเชลตัวน้อยอยู่ กลายเป็นหนุ่มหน้าหวานไปซะแล้ว กล้ามเนื้อดูล่ำสันเป็นเงา หน้าอกแน่นตึงแต่แบนราบ!
พอบรรยายจบ หมอผีโจเซ่ก็แจกกล่องถนอมอาหาร กระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำได้ 1ลิตร มีฝาปิด แว่นขยายสิบอัน เป้หนังแมวป่าบรรจุของได้ 300ช่อง แต่ให้ถุงของขวัญมิเชลเพียงคนเดียวเป็นรางวัลฟังทน เขาสะบัดมือรอบๆ ลูกแก้ว ปรากฏแสงวูบวาบใต้เท้าพวกเด็กๆ ภาพภายในเต๊นเปลี่ยนไปกลายเป็นทุ่งหญ้าทันที
เด็กทั้งสองใช้เวลาเพียงครู่เดียว ก็เข้าใจว่าถูกทักษะของระบบในการเคลื่อนย้ายออกจากเขตมือใหม่ โทนี่ตื่นเต้นจนวิ่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งแบบไร้ความหมาย ส่วนมิเชลทำหน้าบอกไม่ถูก เธอดึงชายเสื้อเพื่อนเบาๆ
“โทนี่... มิเชลเล่าให้โทนี่ฟังที่โรงเรียนแล้วไงว่าเพศในเกมของมิเชลเป็นผู้ชายเพราะถูกโอนมาจากวิช่วลเวิร์ล แต่พ่อช่วยแต่งสัดส่วนให้ดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น ก็ลืมคิดไปว่าร่างตอนโตของมิเชลไม่ได้โดนปรับแต่งให้ลักษณะดูเป็นผู้หญิงด้วย”
“ตัวเธอที่ยืนตรงหน้าฉันตอนนี้เป็นผู้ชาย”
“ใช่เลย มิเชลกำลังจะพูดคำนั้น…”
ในตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ชายร่างสูง ผมสีดำยาวปล่อยถึงกลางหลัง ริมฝีปากเล็ก จมูกโด่ง ใบหน้ายังเหลือเค้าของมิเชลตัวน้อยนิดหน่อย แขนขาที่โผล่จากเสื้อคลุมหลวมๆ แสดงให้เห็นว่าพอมีกล้ามเนื้อ ดูแล้วเหมือนหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ ที่มีการออกแรงอยู่เป็นประจำ
โทนี่ระเบิดเสียงหัวเราะแบบไม่เกรงใจ เขาลูบมือและแขนขาเธออีกหลายรอบเพื่อรับรู้ในลักษณะของคนตาบอด ความแตกต่างระหว่างหญิงกับชายสามารถบอกได้ผ่านผิวหนังหากตั้งใจสัมผัสจริงๆ
มิเชลอยากจะโยนเพื่อนตัวดีเข้าปากเสือดาวม่วงเสียจริงๆ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น