ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend of Precious Stone

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4

    • อัปเดตล่าสุด 18 ธ.ค. 48


    ตอนที่ 4

        เริ่มย่างเข้าสัปดาห์ที่ 2 นับตั้งแต่วาริสามาพักบ้านของธีมัส หญิงสาวเริ่มสนิทกับครอบครัวของธีมัสมากขึ้นจนรู้สึกราวกับเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวนี้ เธอเรียกมารดาของธีมัสว่าแม่ เรียกธีมัสว่าพี่ เรียกฟาล่าว่า น้อง และทั้งสามคนก็ตอบกลับกับเธอราวกับเป็นอีกคนในครอบครัวเช่นเดียวกัน



        วันนี้วาริสารับอาสาทำหน้าที่ล้างจานแทนฟาล่า หญิงสาวใช้ผ้าขจัดคราบเศษอาหารขณะที่ใจของหล่อนอดหวนนึกถึงวันที่มีเหตุการณ์คล้ายแบบนี้ไม่ได้ วันนั้นเป็นวันที่ 3 ของการมาพักบ้านธีมัส เหมือนกับวันนี้ที่เธอรับอาสาล้างจานแทนฟาล่าที่แอบหนีไปเที่ยวอีกเช่นเคย แต่ขณะที่เธอล้างจานอยู่นั้นเอง เสียงฝีเท้าจากด้านหลังก็แว่วมากระทบโสตประสาทของหล่อน เมื่อวาริสาหันกลับไปมองทางต้นเสียงหล่อนก็พบกับ...



        “ขออภัยที่ทำให้เจ้าตกใจ วาริสา” เสียงนุ่มทุ้มอ่อนโยนดังขึ้น



        “พี่ธีมัสนี่เอง มีอะไรรึเปล่าคะ” วาริสาถามกลับ หากประโยคถัดมาจากร่างตรงหน้าทำเอาหญิงสาวแทบจะปล่อยจานหลุดจากมือ



        “ข้ารักเจ้า หากเจ้ายังไม่มีใคร ให้ข้าเป็นผู้ปกป้องเจ้าได้หรือไม่”



        “อะไรนะคะ” เสียงใสหวานถามขึ้นด้วยความตกใจ



        “ข้าแน่ใจว่าเจ้าได้ยินคำพูดของข้าชัดเจนแล้ว แต่ข้าจักย้ำให้เจ้าฟังอีกรอบก็ย่อมได้ ข้ารักเจ้า ให้เกียรติของเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองเจ้าในฐานะคู่ชีวิตได้หรือไม่”



        “ขอโทษ ฉ..เอ่อ..ข้าคงคิดกับท่านได้เพพียงฐานะพี่ชายเท่านั้น” วาริสาตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา



        “เก็บคำขออภัยของเจ้าไว้เถอะ มันเป็นความผิดของข้าเอง ลืมเรื่องในวันนี้ให้หมด ข้าจักเป็นพี่ชายที่ดีของเจ้าตามที่เจ้าต้องการ”



        ...นับตั้งแต่วันนั้นธีมัสก็เป็นพี่ชายที่ดีของเธอเสมอมา และไม่เคยมีใครกล่าวถึงเรื่องราวในวันนั้นอีกเลย แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต...



        ...กลับมาสู่ปัจจุบัน สถานที่เดิมคือครัวหลังบ้านธีมัส บุคคลที่ล้างจานก็คนเดิม คือ วาริสา



        “วาริสา วาริสา” เสียงเรียกจากด้านหลังทำเอาหญิงสาวหันกลับไปมอง



        “พี่ธีมัสนี่เอง มีอะไรรึเปล่าคะ เรียกซะเสียงดังเชียว”



        “เรานั่นแหละ เหม่อถึงอะไรอยู่ พี่เรียกตั้งนานมิหันมาเสียที”



        “ก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” วาริสาตอบอ้อมแอ้ม ...ก็จะให้บอกได้อย่างไรล่ะว่าคิดถึงวันที่ธีมัสมาสารภาพรัก...ใบหน้าของหญิงสาวซับสีเลือดขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดได้ถึงตรงนี้



        “แล้วเหตุใดใบหน้าของเจ้าจึงดูแดงๆชอบกล เป็นไข้ฤา พี่ว่าจะให้เจ้าไปตามฟาล่าในหมู่บ้านแต่หากเจ้าไม่สบายก็พักผ่อนอยูบ้านเถอะ”



        “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวสาไปตามให้ก็ได้” หญิงสาวแทนตัวเองว่า ‘สา’ ด้วยความเคยชิน



        “หากเจ้าคิดว่าไปไหวก็ช่วยหน่อยแล้วกัน วันนี้พี่นัดเพื่อนไว้ที่บ้าน คงต้องคอยอยู่ต้อนรับ”



        “ได้ค่ะ เดี๋ยวสา ขอเอาเจ้าสีหมอกไปนะคะ” การเดินทางในมิตินี้นิยมให้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทางและแน่นอนว่า ‘เจ้าสีหมอก’ ที่วาริสาเอ่ยถึงก็เป็นนามของอาชาตัวโปรดของเธอนั่นเอง



        “ก็เอาสิ ระวังตัวด้วยล่ะ” ธีมัสตะโกนไล่หลัง



        วาริสาเปลี่ยนชุดมาใส่กางเกงหนังสีดำและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนซึ่งในอดีตเคยเป็นของธีมัสแต่เธอขอมาใส่ด้วยเหตุผลที่ว่าสะดวกในการขี่ม้า ผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้มถูกเก็บไว้อย่างเรียบร้อยภายใต้หมวกแก๊ปสีดำ ดูเผินๆแล้วคล้ายหนุ่มน้อยคนหนึ่งมากกว่าจะเป็นหญิงสาวสวย หลังจากตรวจเครื่องแต่งกายของตนว่าอยู่ในสภาพเรียบร้อยแล้ว วาริสาก็มุ่งหน้าไปยังคอกม้าทันที



        “เจ้าสีหมอก วันนี้เราไปเที่ยวกันนะ” วาริสาลูบจมูกเจ้าม้าตัวโปรดพร้อมกับกระซิบข้างหูมันอย่างนุ่มนวล ก่อนจะพาตัวขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วแล้วกระตุ้นให้มันควบไปข้างหน้าอย่างชำนาญ



        ใกล้ตัวหมู่บ้านเข้าไปทุกที ผู้คนเริ่มหนาตามากขึ้น จากกระท่อมที่ตั้งโดดๆรายทาง ที่ต้องเว้นระยะไปสักหน่อยจึงจะเจออีกหลัง กลายเป็นกระท่อมที่อยู่ติดกัน มีทั้งชาวบ้านและพ่อค้าเดินกันขวักไขว่ และแม้จะเคยเข้าหมู่บ้านมาหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งหล่อนก็มีธีมัสมาเป็นเพื่อน เมื่อครั้งนี้ต้องมาเพียงคนเดียว หญิงสาวก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หล่อนจึงตัดสินใจรีบหาฟาล่า...อย่างน้อยเธอก็จะได้มีคนคุยด้วยแก้เหงา...วาริสาคิดในใจ ...เหงาเหรอ?? คำๆนี้เธอไม่ได้คิดถึงมันมานานเท่าไรแล้วนะ...



        อาจจะเป็นเพราะหมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่มากนักทำให้วาริสาใช้เวลาไม่นานนักในการหาฟาล่า เธอพบฟาล่าในร้านทำขนมแห่งหนึ่ง หญิงสาวจึงผูกเจ้าสีหมอกไว้ข้างนอกก่อนจะก้าวเข้าไปในร้าน



        เสียงกรุ๊งกริ๊งของกระดิ่งดังขึ้นเมื่อหญิงสาวผลักประตูร้านเข้าไป สายลมอ่อนๆหอบโชยกลิ่นของขนมอบใหม่มาแตะจมูก ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ มีโต๊ะไม้ 4-5 ตัว ตั้งอยู่สำหรับให้ลูกค้านั่งกินขนมที่ซื้อจากร้าน และแม้ภายในร้านจะมีโต๊ะอยู่ไม่กี่ตัว หากเทียบกับจำนวนลูกค้าแล้วโต๊ะดูจะมีมากเกินความจำเป็น นอกจากโต๊ที่ฟาล่านั่งแล้ว มีโต๊ะอีกเพียง 2 ตัวที่ถูกจับจอง ตัวแรกเป็นของชายหญิงวัยกลางคนที่ดูคล้ายคู่สามี-ภรรยาออกมาหาอาหารว่างระหว่างช่วงพักทำงาน ส่วนโต๊ะอีกตัวถูกจับจองโดยบุรุษชุดสีครามเข้มจนเกือบดำ ที่วาริสาเห็นเป็นเพียงเสี้ยวด้านหลังของผมสีเดียวกับเสื้อที่ถูกซอยสั้น หากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจกับชายคนดังกล่าวมากนัก หล่อนเดินตรงไปหาฟาล่าทันที



        “พี่สา” ฟาล่าอุทานอย่างแปลกใจทันทีที่เห้นร่างตรงหน้าชัดขึ้น



        “ไงฮีเรา จะเถลไถลไปถึงไหน กลับกันได้แล้ว” วาริสาพูดเสียงเข้ม หากดวงตาที่ทอประกายหยอกล้อทำให้เด็กสาวรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้ตั้งใจต่อว่า



        “พี่สา นับวันยิ่งขี้บ่น ทำตัวเยี่ยงพี่ธีมัสเข้าไปทุกที ดูสิแต่งตัวไม่น่ารักเลย แต่เท่ห์จัง”



        “พี่เอาเจ้าสีหมอกมา สวมชุดนี้แล้วสะดวกกว่า”



        “ว้าว! ยอดเลย ขากลับหนีเที่ยวกันดีกว่า” ฟาล่าพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เบานัก



        “เอาสิ อยากไปที่ใดล่ะ”

        

        “พี่สา ให้ไปจริงหรือคะ”



        “ตัวพี่เองก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนนานแล้วเหมือนกันนะ ว่าแต่วันนี้คุณผู้หญิงตัวน้อยจะให้กระผมพาไปที่แห่งใดดีล่ะขอรับ” วาริสาแกล้งดัดเสียงมาดเข้มหยอกล้อกับฟาล่า



        “ค่อยคิดเอาระหว่างทางแล้วกัน พี่สารอเดี๋ยวนะคะ ฟาล่าขอตัวไปจ่ายเงินก่อน” พูดจบเด็กสาวก็โน้มตัวหอมแก้มวาริสาเบาๆก่อนจะเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายค่าขนม



        “เจ้าจักพาเด็กสาวนางนั้นไปที่ใดกัน” เสียงห้วนห้าวที่ดังขึ้นจากด้านหลังฉุดให้วาริสาหันกลับไปมอง



        “มิใช่ธุระอันใดของท่าน” วาริสาตอบกลับเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงคือบุรุษอีกคนที่เธอเห็นเพียงเสี้ยวด้านหลังตอนเดินเข้ามาในร้าน แต่มายามนี้เมื่อได้เผชิญหน้ากันตรงๆแล้ว วาริสาก็อดยอมรับกับตนเองไม่ได้ว่า บุรุษตรงหน้าหล่อเหลาไม่ใช่ย่อย...ผมสีครามเข้มจนเกือบดำซอยสั้นรับกับดวงตาคมประดุจเหยี่ยวสีเดียวกันที่ปราดจ้องมายังเธออย่างดูๆ รูปร่างสูงกำยำ จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากหยักได้รูปขัดกับเสียงห้วนห้าวแข็งกร้าวที่เปล่งออกมาเหลือเกิน...



        “มันก็คงมิใช่ธุระกงการอันใดของข้าหรอกหากว่าเด็กสาวนางนั้นจะไม่บังเอิญเป็นน้องสาวเพื่อนสนิทของข้า และหากข้าไม่บังเอิญได้ยินเจ้าล่อลวงนาง”



        “ข้าเนี่ยนะล่อลวงนาง?”



        “แล้วเจ้าคิดว่าข้าพูดอยู่กับใครล่ะ สารภาพมาตามตรงเถอะ ข้าทราบดีว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่ แต่ข้ามิเข้าใจเลยสักนิดว่าจิตใจของเจ้าทำขึ้นจากสิ่งใดกันจึงได้คิดหลอกได้กระทั่งเด็กสาวไร้เดียงสาเยี่ยงนั้นที่ลงคอ นี่คงอยากเป็นลูกเขยของจอมเวทย์ผู้พิทักษ์พสุธาเต็มที่แล้วล่ะสิ” บุรุษแปลกหน้าเอ่ยเสียงเยาะ



        “เข้าใจผิดแล้วล่ะ เรื่องจริงมันก็คือ...” วาริสาพยายามอธิบายหากโดนขัดขึ้นด้วยเสียงห้าวๆของบุรุษผู้นั้นเสียก่อน



        “เปล่าประโยชน์น่า ไม่ต้องแก้ตัวหรอก หากสำนึกผิดจริงก็เลิกยุ่งกับฟาล่าซะ” และเมื่อเห็นร่างของฟาล่าเดินมา บุรุษผู้นั้นก็ถอยไปเล็กน้อย



        “พี่สาคุยกับใครคะ อ้าวพี่ไคนี่เอง เจอกันได้เยี่ยงไรเนี่ย” เสียงใสๆของฟาล่าซึ่งเพิ่งเสร็จจากการจ่ายเงินถามขึ้นด้วยความสงสัย



        “เห็นน้องฟาล่ามากับเพื่อน พี่ก็ว่าจักมาทักทายเสียหน่อย แต่เดี๋ยวคงต้องขอตัว พี่นัดกับธีมัสไว้ที่บ้าน” บุรุษที่ถูกเรียกว่าไคหันมาตอบฟาล่าเสียงเรียบหากแฝงไปด้วยความเอ็นดูผิดกับน้ำเสียงแข็งกร้าวที่ใช้ขู่วาริสาลิบลับ



        “กรี้ดดดดดดดด!!!!!” เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นนอกร้านดึงดูดความสนใจของผู้ที่อยู่รอบข้าง แน่นอนว่ารวมไปถึง ฟาล่า วาริสา และไคด้วย



        “ฟาล่า เจ้ารออยู่ตรงนี้นะ พี่จะไปดูว่าเกินเหตุการณ์ใดขึ้น” วาริสาหันมากำชับเด็กสาว ก่อนจะรีบออกนอกร้านสวนกระแสผู้คนที่พยายามพาตัวเองหลีกไกลจากเหตุการณ์นี้



        “อย่าเข้าไปเลย ไอ้หนู ถ้าไม่อยากเดือดร้อน” ชาวบ้านคนหนึ่งซึ่งเห็นวาริสาในคราบหนุ่มน้อยจะเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นรีบเตือนด้วยความหวังดี



        “เกิดเหตุอันใดขึ้นฤา” หล่อนถามเสียงดังแข่งกับเสียงจากรอบข้างที่เอะอะกันจนฟังไม่ได้ความ



        “พ่อหนุ่มคงเป็นคนต่างถิ่นล่ะสิ เลยไม่ทราบเรื่องนี้ เอเดส ทหารคนสนิทของดาร์ก ลอร์ด กำลังใช้กำลังฉุดคร่าผู้หญิงยากจนที่ไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองให้นายของมัน ช่างหน้าสงสารจริงๆ...อ้าว ไอ้หนู!” เสียงชาวบ้านผู้หวังดีคนนั้นร้องเสียงหลงเมื่อหนุ่มน้อยที่ยืนสนทนากับเมื่อครู่ แทนที่จะหนีบ้างกลับเร่งร้อนฝ่าผู้คนเข้าไปยิ่งกว่าเดิม



        ภาพที่อยู่ตรงหน้า ทำเอาหัวใจของวาริสาแทบจะจับเป็นน้ำแข็ง หญิงสาวนางหนึ่ง แม้ว่าไม่สวยเลิศเลอ แต่ก็ถือว่าสวยในระดับหนึ่ง ถูกพวกบุรุษในเครื่องแบบทหาร ใช้กำลังฉุดกระชากลากถูอย่างไม่ปราณีปราศรัยโดยไม่ใส่ใจต่อคำอ้อนวอนและอาการขัดขืนอย่างสุดฤทธิ์ของหญิงนางนั้น ยิ่งไปกว่านี้ยังมียายแก่ๆอีกคนหนึ่งพยายามรั้งตัวคนเป็นหลานสาวไว้เต็มความสามารถ



        “ท่านเอเดส โปรดเห็นใจเราสองยายหลานด้วยเถอะ เราไม่มีเงินจริงๆ แต่ข้ารับรอง วันพรุ่งนี้ข้าจักนำเงินมาจ่ายให้ท่านจงได้ ฮือๆๆ โปรดอย่านำตัวหลานข้าไปเลย...” เสียงแหบแห้งของยายที่เฝ้าพร่ำเพ้อของความเมตตาดังไม่ขาดระยะ



        “เฮอะ พรุ่งนี้รึ วันนี้ยังไม่มีแล้วพรุ่งนี้จักมีเงินได้เยี่ยงไร ในเมื่อยายไม่จ่ายค่าคุ้มครอง ข้าก็ต้องทำเยี่ยงนี้เพื่อไม่ให้ชาวบ้านคนอื่นเอายายเป็นเยี่ยงอย่างได้ ถือว่าเจ๊ากันแล้วนี่ ยายก็ภาวนาให้นายน้อยลาร์ฟ ชอบหลานยายมากๆแล้วกัน เอาเป็นว่าถ้านายน้อยเผื่อแผ่หลานยายมาถึงพวกข้าพวกข้ารับรองว่าจะไม่รุนแรงกับหลานของยาย” บุรุษผู้ถูกเอ่ยนามว่า เอเดส โต้ตอบกับยายผู้น่าสงสรคนนั้น พลางมองไปยังร่างหญิงสาวด้วยสายตาหื่นกระหาย ทำเอาวาริสาที่ดูเหตุการณ์อยู่ทนไม่ได้ เร็วเท่าความคิด มือข้างหนึ่งฉวยเอาก้อนหินขนาดเขื่องมาไว้ในอุ้งมือแล้วขว้างออกไป หมายเอาหัวของนายทหารที่ใช้กำลังฉุดดึงร่างบอบบางของหญิงสาวผู้โชคร้ายอย่างเอาเป็นเอาตาย



        “โอ๊ย!” เข้าเป้าเหมาะเจาะ  ที่หัวของนายทหารคนนั้นถึงกับเลือดอาบ มือที่กุมบาดแผลชุ่มโชกไปด้วยโลหิต



        “ใครกันที่บังอาจกล้าทำร้ายลูกน้องของข้า” เอเดสชี้กราดเข้าหาฝูงชนที่ยืนมุงดูแน่นขนัดอย่างกล้าๆกลัวๆ



        “ข้าเอง ข้าขว้างเอง ปล่อยผู้หญิงคนนั้นซะ มิเช่นนั้นจักหาว่าข้ามิเตือนไม่ได้ล่ะ”วาริสาตะโกนเสียงดังพร้อมกับก้าวเท้าออกมาให้เห็นเด่นชัดพลางเชิดหน้าขึ้นด้วยความทระนง



        “ฮ่าๆๆ อย่างเจ้าเนี่ยนะ หนุ่มน้อยที่คิดจะต่อกรกับข้า...เอาเถอะข้าเห็นว่าเจ้าคงมาจากต่างถิ่น ไม่รู้เรื่องราวอันใด หากยอมกราบขอโทษงามๆที่เท้าข้าสัก 3 ครั้งข้าจักยอมเว้นชีวิตให้ ฮ่าๆๆๆ” เอเดสหัวเราะอย่างดูถูกเมื่อเห็นคนพูดเป็นเพียงเด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้น



        “เรื่องก้มหัวให้สุนัขรับใช้เลวๆที่ดีแต่ประจบสอพลอเลียแข้งเลียขานายไปวันๆอย่างเจ้ายังไม่เคยอยู่ในหัวสมองของข้าหรอก ไอ้สุนัขไร้ค่า” วาริสาด่ากลับไม่ยั้งทำเอาใบหน้าของเอเดสกลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความความโกรธขณะที่ชาวบ้านหลายคนอมยิ่มเพราะสะใจเหลือจะกล่าว



        “แล้วข้าจักคอยดูว่าเจ้าจักปากกล้าได้สักกี่น้ำ” เอเดสกัดฟันพูด ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้อยที่ตามหลังมา 7-8คน “เฮ้ย สั่งสอนไอ้หนุ่มปากกล้าหน่อยซิ”



        วาริสาตื่นตัวเต็มที่ พร้อมรับการต่อสู้ทุกรูปแบบ ชาวบ้านพากันแตกฮือ บ้างก็ดูอยู่ห่างๆ บ้างกลับเข้าที่พักด้วยกลัวลูกหลง สองยายหลานที่ถูกปลดจากพันธนาการยืนดูอยู่ห่างๆด้วยใจที่เต้นระทึก



    To be continue....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×