ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่3
ตอนที่ 3
บ้านที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าวาริสาในขณะนี้เป็นเรือนไม้สองชั้น ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางพรมนุ่มสีเขียวแซมด้วยดอกหญ้าสีขาวที่ธรรมชาติรังสรรค์ หน้าบ้านเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ปลูกดอกไม้ประดับซึ่งแข่งกันอวดโฉมส่งกลิ่นหอมต้อนรับผู้มาเยือน ตัวบ้านมีลักษณะคล้ายเรือนไทยยุคโบราณตามความคิดของวาริสา แน่นอนว่าบ้านทั้งหลังเป็นสีน้ำตาลอ่อนของเนื้อไม้ที่นำมาใช้ปลูกสร้าง ยกเว้นก็แต่สีเขียวของไม้ประดับพันธุ์เล็กในกระบะใต้ขอบหน้าต่างที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากเจ้าของ นกมากมายร้อยทักทายกันด้วยเสียงเจื้อแจ้ว ลมอุ่นโชยชายหอบกลิ่นหอมสดชื่นจากสวนหย่อมหน้าบ้านมาเป็นระยะๆ บรรยากาศที่ได้สัมผัสทำให้จิตใจของวาริสาผ่อนคลายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หลงมาสู่ดินแดนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
   
สิ่งแรกที่วาริสาเห็นหลังบานประตูที่เปิดออก คือ หญิงวัยกลางคนซึ่งจัดได้ว่ามีหน้าตาดีคนหนึ่ง นางไว้ผมยาวสีทองแซมด้วยสีเทาซึ่งมีให้เห็นอยู่ประปราย บ่งบอกถึงวัยที่ผ่านโลกมานานพอสมควร ผิวของนางมีสีค่อนข้างคล้ำตามประสาคนทำงานดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ หากที่สะดุดตามากที่สุดคงหนีไม่พ้นนัยน์ตาสีมรกตของนางซึ่งเหมือนของธีมัสราวกับถอดมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
“กลับมาจนได้นะแม่ตัวดี วันนี้ไปเถลไถลที่ใดมาล่ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยกับฟาล่า และอาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเอ็นดูมากกว่าโกรธจึงทำให้ ‘แม่ตัวดี’ ของนางยิ้มรับ
“เจ้าไม่ต้องยิ้มเลย ฟาล่า วันนี้เจ้าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใดบ้าง เจ้าย่อมรู้ตัวดี” เสียงห้าวปนดูของธีมัสทำให้สีหน้าของผู้เป็นน้องสาวสลดลง
“อย่าดุน้องนักเลย ธีมัส น้องยังเด็ก” หญิงวัยกลางคนกล่าวปรามเมื่อเห็นสีหน้าของฟาล่า
“ท่านแม่ก็ตามใจน้องทุกที นางถึงซนเยี่ยงนี้ ท่านรู้หรือไม่ วันนี้นางเล่นซนจนเกือบจมน้ำตาย”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ท่านแม่ได้ยินมิผิดหรอก วันนี้ฟาล่าเกือบจะจมน้ำตาย หากมิได้คยยวามช่วยเหลือจากแม่นางผู้นี้” คำพูดของธีมัสทำให้หญิงวัยกลางคนหันมามองวาริสาและรับรู้ถึงความมีตัวตนของเธอเป็นครั้งแรก
“คาเรนเธีย” หญิงวัยกลางคนพึมพำกับตัวเองเบาๆทันทีที่เห็นใบหน้าของวาริสา
“คุณน้า มีอะไรผิดปกติบนหน้าหนูรึเปล่าคะ” วาริสาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเมื่อเห็นสายตาของหญิงวัยกลางคนไม่ยอมละไปจากใบหน้าของเธอ
“ไม่มีหรอกจ้ะ เพียงแค่หน้าของแม่นางคล้ายกับใครบางคนที่น้ารู้จักเท่านั้นเอง ว่าแต่เป็นเพราะแม่นางมาช่วยบุตรสาวข้าทีเดียวจึงทำให้เสื้อผ้าของแม่นางต้องพลอยเปียกปอนเยี่ยงนี้ เสื้อผ้าที่ข้ามีอาจจะหลวมสำหรับแม่นางไปบ้าง แต่หากแม่นางมิรังเกียจก็สามารถใช้ผลัดเปลี่ยนแทนตัวที่เปียกนี้ได้ ฟาล่า เจ้าช่วยพาแม่นางผู้นี้ไปเปลี่ยนชุดที ส่วนตัวเจ้าเองก็ไปเปลี่ยนเสื้อด้วย เดี๋ยวจะไม่สบาย” ประโยคสุดท้ายนางหันมากำชับบุตรีด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างรอสองสาวเปลี่ยนชุด ธีมัสเล่าเรื่องของวาริสาให้มารดาของตนฟังทั้งเรื่องที่นางช่วยฟาล่าและเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงชวนวาริสามาพักที่บ้านซึ่งก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาด คือ แม่ของเขามิได้แสดงท่าทีมิพอใจต่อการตัดสินใจของเขาแต่อย่างใด ทั้งยังสนับสนุดอีกว่า การช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเป็นการกระทำที่สมควรอย่างยิ่ง และแม้จะบอกมารดาตนไปว่าไม่ควรตามใจฟาล่ามาก หากธีมัสก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงมาทำขนมโปรดของฟาล่าอยู่เยี่ยงนี้ ชายหนุ่มดึงถาดขนมออกจากเตาอบพลางคิดถึงใบหน้าของฟาล่าที่ซึมลงถนัดตาด้วยความหงุดหงิด...เอาเถอะ ฟาล่าเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆมา บางทีการได้กินขนมที่ชอบอาจทำให้นางรู้สึกดีขึ้น... ธีมัสคิดในใจ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องครัวพร้อมกับขนมที่ถูกจัดใส่จานไว้อย่างสวยงาม แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าแทบจะทำให้ชายหนุ่มปล่อยจานขนมหลุดจากมือ
แม้จะเป็นเพียงด้านหลังหากธีมัสก็สามารถบอกได้ว่าหญิงสาวที่หันหลังให้เขานี้สวยมากเพียงใด ร่างบางในชุดกระโปรงสีขาวแขนกุดเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนอมชมพู ไล่สายตามองจากแขนเรียวบอบบางไปจนถึงมือคู่งามที่ประสานไว้ข้างหลังแล้วให้ความรู้สึกอยากปกป้องถนุถนอมเป็นยิ่งนัก นี่ขนาดยังไม่นับเอวบางๆที่ดูเปราะบางเสียจนชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าร่างบางตรงหน้าคงแตกสลายทันทีที่ถูกกอดแรงๆ ผมสีน้ำตาลยาวของหญิงสาวตรงหน้าถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อยหากก็ยังมีปอยผมบางปอยทิ้งตัวระต้นคอขาวระหงของเธอ คงจะเป็นเพราะเสียงฝีเท้าของเขากระมังที่ทำให้ร่างบางหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา นัยน์ตาสีครามเข้มซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงหน้าสวยหวานนั้นประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง ...พระเจ้า! นั่นมันหญิงสาวที่ช่วยน้องสาวเรานี่ เรามองข้ามความเหล่านี้ไปได้เยี่ยงไรนะในคราแรก...ธีมัสคิดในใจ เมื่อมองลึกลงไปในนัยน์ตาของคนตรงหน้า ชายหนุ่มก็อดคิดต่อไม่ได้... สิ่งใดกันนะที่ทำให้ดวงตาคู่สวยฉายแววหม่นหมองเยี่ยงนั้น แล้วจักเป็นเขาได้หรือไม่ที่จักดึงความสดใสกลับคืนสู่ดวงตาคู่นั้น...
“พี่วาริสา พี่ธีมัส ท่านแม่ให้มาตามพวกพี่ไปกินข้าว” เสียงใสๆปลุกธีมัสจากความคิดของตนเอง เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าเจ้าของเสียงตัวน้อยจ้องขนมที่เขาทำด้วยสายตาเป็นประกายอยู่ก่อนแล้ว
“มองอะไรฮึ เจ้าตัวยุ่ง” ธีมัสเอยถามพลางแกล้งตีหน้าขรึม
“ใครกัน เจ้าตัวยุ่งของท่านพี่” ฟาล่าถามด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ที่ดูเช่นใดก็ทราบได้ว่าแกล้งทำ
“เจ้ามิทราบจริงๆ ฤา ว่าพี่หมายถึงผู้ใด”
“ข้าจักไปทราบได้เยี่ยงใดกันล่ะ” ฟาล่าเถียงกลับ
“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็น่าเสียดาย ข้ากำลังจะนำขนมนี่ไปให้เจ้าตัวยุ่งของข้าอยู่พอดี แต่สงสัยเจ้าตัวยุ่งของข้าจักไม่ยอมรับ” ธีมัสแกล้งพูดยั่วต่อและนั่นเปลี่ยนท่าทีของฟาล่าได้ทันควัน
“อ๋อ...ข้าจำได้แล้ว เจ้าตัวยุ่งนี่เอง ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้าจักนำขนมนี่ไปให้นางเอง รับรองนางต้องยอมกินแน่ๆ” ฟาล่ารีบพูดโดยไม่หยุดพักหายใจ เมื่อเห็นธีมัสทำท่าจะนำขนมไปทิ้ง
“ฝากบอกนางด้วยว่า คราวหน้าอย่าเล่นอะไรแผลงๆมากนัก หากนางเป็นอะไรไปพี่คงเสียใจมาก”
“รับรองว่าคำพูดเหล่านั้นต้องส่งถึงนางได้แน่ค่ะ” ฟาล่ารับคำที่พี่ชายสื่อถึงตนเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยความซึ้งใจหากก็มิวายหยอดทิ้งท้าย
“อ้อ เจ้าตัวยุ่งของท่านพี่ฝากบอกว่า ทำตัวเป็นคนขี้กังวลมากๆระวังหน้าจะแก่ไวนะ” พูดจบแล้วฟาล่าก็รีบวิ่งออกไปทันที
“แม่นาง...เอ่อ...วาริสา...ข้าเรียกเยี่ยงนี้ได้หรือไม่...เราไปรับประทานอาหารกันเถอะ” ธีมัสหันมาบอกวาริสาด้วยสีหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม
...จะดีแค่ไหนหนอ หากมีพี่น้องคอยเอาใจใส่ห่วงใยกันเยี่ยงนี้...วาริสาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ขณะเดินตามธีมัสไปเงียบๆ
บรรยากาศระหว่างมื้อค่ำค่อนข้างจะเงียบเหงาในคราแรก อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีใครคุ้นเคยกับผู้ร่วมโต๊ะคนใหม่ บทสนทนาส่วนใหญ่จึงตกเป็นของเด็กน้อยขี้สงสัยอย่างฟาล่าซึ่งคอยซักถามเกี่ยวกับโลกที่วาริสาจากมา
“โลกของพี่วาริสาเดินทางด้วยรถยนต์หรือคะ และรถยนต์นี่เป็นสัตว์ชนิดใดกัน?”
“เครื่องจักรคือสิ่งใดฤา”
ฯลฯ
ถึงแม้วาริสาพยายามตอบคำถามของฟาล่าด้วยคำอธิบายที่ตัวเธอคิดว่าเข้าใจง่ายมากที่สุด แต่ดูเหมือนเด็กน้อยก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพยายามสื่อจึงเป็นหน้าที่ของธีมัสซึ่งฟังเข้าใจต้องอธิบายให้น้องสาวฟังอีกต่อหนึ่ง และนั่นทำให้บรรยากาศมื้อคำดีขึ้นถนัดตา การแซว การหยอกล้อ ซึ่งในคราแรกดำเนินไปเพียงระหว่างพี่น้องเริ่มขยายวงกว้างไปถึงผู้เป็นมารดาแล้วต่อไปจนกระทั้งมีการดึงวาริสาเข้ามาร่วมวงด้วย และแล้วมื้อค่ำมื้อนั้นก็จบลงด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน
นัยน์ตาของวาริสาทอประกายสดใสแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปหมองเศร้าดังเดิม ...ความสุขที่มีในวันนี้จะอยู่ได้นานเท่าใดนะ?...
To be continue
บ้านที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าวาริสาในขณะนี้เป็นเรือนไม้สองชั้น ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางพรมนุ่มสีเขียวแซมด้วยดอกหญ้าสีขาวที่ธรรมชาติรังสรรค์ หน้าบ้านเป็นสวนหย่อมเล็กๆ ปลูกดอกไม้ประดับซึ่งแข่งกันอวดโฉมส่งกลิ่นหอมต้อนรับผู้มาเยือน ตัวบ้านมีลักษณะคล้ายเรือนไทยยุคโบราณตามความคิดของวาริสา แน่นอนว่าบ้านทั้งหลังเป็นสีน้ำตาลอ่อนของเนื้อไม้ที่นำมาใช้ปลูกสร้าง ยกเว้นก็แต่สีเขียวของไม้ประดับพันธุ์เล็กในกระบะใต้ขอบหน้าต่างที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีจากเจ้าของ นกมากมายร้อยทักทายกันด้วยเสียงเจื้อแจ้ว ลมอุ่นโชยชายหอบกลิ่นหอมสดชื่นจากสวนหย่อมหน้าบ้านมาเป็นระยะๆ บรรยากาศที่ได้สัมผัสทำให้จิตใจของวาริสาผ่อนคลายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่หลงมาสู่ดินแดนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
   
สิ่งแรกที่วาริสาเห็นหลังบานประตูที่เปิดออก คือ หญิงวัยกลางคนซึ่งจัดได้ว่ามีหน้าตาดีคนหนึ่ง นางไว้ผมยาวสีทองแซมด้วยสีเทาซึ่งมีให้เห็นอยู่ประปราย บ่งบอกถึงวัยที่ผ่านโลกมานานพอสมควร ผิวของนางมีสีค่อนข้างคล้ำตามประสาคนทำงานดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ หากที่สะดุดตามากที่สุดคงหนีไม่พ้นนัยน์ตาสีมรกตของนางซึ่งเหมือนของธีมัสราวกับถอดมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน
“กลับมาจนได้นะแม่ตัวดี วันนี้ไปเถลไถลที่ใดมาล่ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยกับฟาล่า และอาจจะเป็นเพราะน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเอ็นดูมากกว่าโกรธจึงทำให้ ‘แม่ตัวดี’ ของนางยิ้มรับ
“เจ้าไม่ต้องยิ้มเลย ฟาล่า วันนี้เจ้าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใดบ้าง เจ้าย่อมรู้ตัวดี” เสียงห้าวปนดูของธีมัสทำให้สีหน้าของผู้เป็นน้องสาวสลดลง
“อย่าดุน้องนักเลย ธีมัส น้องยังเด็ก” หญิงวัยกลางคนกล่าวปรามเมื่อเห็นสีหน้าของฟาล่า
“ท่านแม่ก็ตามใจน้องทุกที นางถึงซนเยี่ยงนี้ ท่านรู้หรือไม่ วันนี้นางเล่นซนจนเกือบจมน้ำตาย”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ” หญิงสาววัยกลางคนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ท่านแม่ได้ยินมิผิดหรอก วันนี้ฟาล่าเกือบจะจมน้ำตาย หากมิได้คยยวามช่วยเหลือจากแม่นางผู้นี้” คำพูดของธีมัสทำให้หญิงวัยกลางคนหันมามองวาริสาและรับรู้ถึงความมีตัวตนของเธอเป็นครั้งแรก
“คาเรนเธีย” หญิงวัยกลางคนพึมพำกับตัวเองเบาๆทันทีที่เห็นใบหน้าของวาริสา
“คุณน้า มีอะไรผิดปกติบนหน้าหนูรึเปล่าคะ” วาริสาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพเมื่อเห็นสายตาของหญิงวัยกลางคนไม่ยอมละไปจากใบหน้าของเธอ
“ไม่มีหรอกจ้ะ เพียงแค่หน้าของแม่นางคล้ายกับใครบางคนที่น้ารู้จักเท่านั้นเอง ว่าแต่เป็นเพราะแม่นางมาช่วยบุตรสาวข้าทีเดียวจึงทำให้เสื้อผ้าของแม่นางต้องพลอยเปียกปอนเยี่ยงนี้ เสื้อผ้าที่ข้ามีอาจจะหลวมสำหรับแม่นางไปบ้าง แต่หากแม่นางมิรังเกียจก็สามารถใช้ผลัดเปลี่ยนแทนตัวที่เปียกนี้ได้ ฟาล่า เจ้าช่วยพาแม่นางผู้นี้ไปเปลี่ยนชุดที ส่วนตัวเจ้าเองก็ไปเปลี่ยนเสื้อด้วย เดี๋ยวจะไม่สบาย” ประโยคสุดท้ายนางหันมากำชับบุตรีด้วยความเป็นห่วง
ระหว่างรอสองสาวเปลี่ยนชุด ธีมัสเล่าเรื่องของวาริสาให้มารดาของตนฟังทั้งเรื่องที่นางช่วยฟาล่าและเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงชวนวาริสามาพักที่บ้านซึ่งก็เป็นไปตามที่ชายหนุ่มคาด คือ แม่ของเขามิได้แสดงท่าทีมิพอใจต่อการตัดสินใจของเขาแต่อย่างใด ทั้งยังสนับสนุดอีกว่า การช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนเป็นการกระทำที่สมควรอย่างยิ่ง และแม้จะบอกมารดาตนไปว่าไม่ควรตามใจฟาล่ามาก หากธีมัสก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงมาทำขนมโปรดของฟาล่าอยู่เยี่ยงนี้ ชายหนุ่มดึงถาดขนมออกจากเตาอบพลางคิดถึงใบหน้าของฟาล่าที่ซึมลงถนัดตาด้วยความหงุดหงิด...เอาเถอะ ฟาล่าเพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆมา บางทีการได้กินขนมที่ชอบอาจทำให้นางรู้สึกดีขึ้น... ธีมัสคิดในใจ ชายหนุ่มเดินออกจากห้องครัวพร้อมกับขนมที่ถูกจัดใส่จานไว้อย่างสวยงาม แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าแทบจะทำให้ชายหนุ่มปล่อยจานขนมหลุดจากมือ
แม้จะเป็นเพียงด้านหลังหากธีมัสก็สามารถบอกได้ว่าหญิงสาวที่หันหลังให้เขานี้สวยมากเพียงใด ร่างบางในชุดกระโปรงสีขาวแขนกุดเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวเนียนอมชมพู ไล่สายตามองจากแขนเรียวบอบบางไปจนถึงมือคู่งามที่ประสานไว้ข้างหลังแล้วให้ความรู้สึกอยากปกป้องถนุถนอมเป็นยิ่งนัก นี่ขนาดยังไม่นับเอวบางๆที่ดูเปราะบางเสียจนชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าร่างบางตรงหน้าคงแตกสลายทันทีที่ถูกกอดแรงๆ ผมสีน้ำตาลยาวของหญิงสาวตรงหน้าถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อยหากก็ยังมีปอยผมบางปอยทิ้งตัวระต้นคอขาวระหงของเธอ คงจะเป็นเพราะเสียงฝีเท้าของเขากระมังที่ทำให้ร่างบางหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา นัยน์ตาสีครามเข้มซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงหน้าสวยหวานนั้นประสานเข้ากับนัยน์ตาสีเขียวมรกตของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง ...พระเจ้า! นั่นมันหญิงสาวที่ช่วยน้องสาวเรานี่ เรามองข้ามความเหล่านี้ไปได้เยี่ยงไรนะในคราแรก...ธีมัสคิดในใจ เมื่อมองลึกลงไปในนัยน์ตาของคนตรงหน้า ชายหนุ่มก็อดคิดต่อไม่ได้... สิ่งใดกันนะที่ทำให้ดวงตาคู่สวยฉายแววหม่นหมองเยี่ยงนั้น แล้วจักเป็นเขาได้หรือไม่ที่จักดึงความสดใสกลับคืนสู่ดวงตาคู่นั้น...
“พี่วาริสา พี่ธีมัส ท่านแม่ให้มาตามพวกพี่ไปกินข้าว” เสียงใสๆปลุกธีมัสจากความคิดของตนเอง เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็พบว่าเจ้าของเสียงตัวน้อยจ้องขนมที่เขาทำด้วยสายตาเป็นประกายอยู่ก่อนแล้ว
“มองอะไรฮึ เจ้าตัวยุ่ง” ธีมัสเอยถามพลางแกล้งตีหน้าขรึม
“ใครกัน เจ้าตัวยุ่งของท่านพี่” ฟาล่าถามด้วยสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ที่ดูเช่นใดก็ทราบได้ว่าแกล้งทำ
“เจ้ามิทราบจริงๆ ฤา ว่าพี่หมายถึงผู้ใด”
“ข้าจักไปทราบได้เยี่ยงใดกันล่ะ” ฟาล่าเถียงกลับ
“หากเป็นอย่างที่เจ้าพูดก็น่าเสียดาย ข้ากำลังจะนำขนมนี่ไปให้เจ้าตัวยุ่งของข้าอยู่พอดี แต่สงสัยเจ้าตัวยุ่งของข้าจักไม่ยอมรับ” ธีมัสแกล้งพูดยั่วต่อและนั่นเปลี่ยนท่าทีของฟาล่าได้ทันควัน
“อ๋อ...ข้าจำได้แล้ว เจ้าตัวยุ่งนี่เอง ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวข้าจักนำขนมนี่ไปให้นางเอง รับรองนางต้องยอมกินแน่ๆ” ฟาล่ารีบพูดโดยไม่หยุดพักหายใจ เมื่อเห็นธีมัสทำท่าจะนำขนมไปทิ้ง
“ฝากบอกนางด้วยว่า คราวหน้าอย่าเล่นอะไรแผลงๆมากนัก หากนางเป็นอะไรไปพี่คงเสียใจมาก”
“รับรองว่าคำพูดเหล่านั้นต้องส่งถึงนางได้แน่ค่ะ” ฟาล่ารับคำที่พี่ชายสื่อถึงตนเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยความซึ้งใจหากก็มิวายหยอดทิ้งท้าย
“อ้อ เจ้าตัวยุ่งของท่านพี่ฝากบอกว่า ทำตัวเป็นคนขี้กังวลมากๆระวังหน้าจะแก่ไวนะ” พูดจบแล้วฟาล่าก็รีบวิ่งออกไปทันที
“แม่นาง...เอ่อ...วาริสา...ข้าเรียกเยี่ยงนี้ได้หรือไม่...เราไปรับประทานอาหารกันเถอะ” ธีมัสหันมาบอกวาริสาด้วยสีหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม
...จะดีแค่ไหนหนอ หากมีพี่น้องคอยเอาใจใส่ห่วงใยกันเยี่ยงนี้...วาริสาอดคิดกับตัวเองไม่ได้ขณะเดินตามธีมัสไปเงียบๆ
บรรยากาศระหว่างมื้อค่ำค่อนข้างจะเงียบเหงาในคราแรก อาจจะเป็นเพราะยังไม่มีใครคุ้นเคยกับผู้ร่วมโต๊ะคนใหม่ บทสนทนาส่วนใหญ่จึงตกเป็นของเด็กน้อยขี้สงสัยอย่างฟาล่าซึ่งคอยซักถามเกี่ยวกับโลกที่วาริสาจากมา
“โลกของพี่วาริสาเดินทางด้วยรถยนต์หรือคะ และรถยนต์นี่เป็นสัตว์ชนิดใดกัน?”
“เครื่องจักรคือสิ่งใดฤา”
ฯลฯ
ถึงแม้วาริสาพยายามตอบคำถามของฟาล่าด้วยคำอธิบายที่ตัวเธอคิดว่าเข้าใจง่ายมากที่สุด แต่ดูเหมือนเด็กน้อยก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพยายามสื่อจึงเป็นหน้าที่ของธีมัสซึ่งฟังเข้าใจต้องอธิบายให้น้องสาวฟังอีกต่อหนึ่ง และนั่นทำให้บรรยากาศมื้อคำดีขึ้นถนัดตา การแซว การหยอกล้อ ซึ่งในคราแรกดำเนินไปเพียงระหว่างพี่น้องเริ่มขยายวงกว้างไปถึงผู้เป็นมารดาแล้วต่อไปจนกระทั้งมีการดึงวาริสาเข้ามาร่วมวงด้วย และแล้วมื้อค่ำมื้อนั้นก็จบลงด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของทุกคน
นัยน์ตาของวาริสาทอประกายสดใสแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปหมองเศร้าดังเดิม ...ความสุขที่มีในวันนี้จะอยู่ได้นานเท่าใดนะ?...
To be continue
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น