ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend of Precious Stone

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ย. 48


    ตอนที่ 2

        …หนาวจัง...วาริสาคิดขณะใช้มือควานหาผ้าห่มซึ่งตามปกติแล้วควรจะถูกวางอยู่ข้างๆกาย แต่มาวันนี้...หายไปไหนนะ แล้วทำไมเตียงเป็นแข็งๆผิดปกติชอบกล?”...หากแต่หญิงสาวก็ไม่ปล่อยให้ความสงสัยครอบงำอยู่ได้นาน เธอเผยอเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเบิกโพลงด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าร่างของหล่อนไม่ได้อยู่ในห้องนอนของตัวเองอีกต่อไป อันที่จริงต้องบอกว่าที่ๆเธออยู่ไม่ใช่ห้องเลยด้วยซ้ำ หญิงสาวเริ่มทั้งหยิกทั้งตีตัวเองเพื่อพิสูจน์ว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ความฝันและมันก็เจ็บซะด้วยสิ ลมเย็นๆโชยมาต้องผิวเนื้อ วาริสาจึงกระชับชุดนักศึกษาของตนเพื่อหวังไออุ่นที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด และถึงแม้ว่าจะมีแสงสว่างไม่มากนัก หากหลังจากปรับสายตาให้ชินกับความมืดแล้ว วาริสาก็พอจะมองเห็นเค้าโครงของสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้า ...ที่แห่งนี้รึเปล่านะ สถานที่ซึ่งแม่เพ้อถึงก่อนตาย ดินแดนที่คล้ายโลกมนุษย์แต่ไม่ใช่ ดินแดนซึ่งฉันและแม่จากมา...ไวเท่าความคิด วาริสาสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังสิ่งก่อสร้างที่เห็นทันที ความหวังที่จะพบพ่อถูกจุดประกายขึ้นอย่างริบหรี่ก่อนจะดับวูบลงเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่า สิ่งก่อสร้างที่เธอเห็นเป็นเพียงหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้าง ไร้ซึ่งผู้คน ไร้ซึ่งร่องรอยสิ่งมีชีวิต หญิงสาวได้ยินเพียงเสียงสะท้อนลมหายใจหอบถี่จากการเร่งฝีเท้าของตนเอง รอยเขม่าควันยังคงเกาะติดตามตัวบ้านแต่ละหลังที่ยังคงเหลือเค้าโครงอยู่ ส่วนนอกจากนี้ก็กลายเป็นเศษปูนเศษไม้ทับถมกันระเกะระกะตามทางเดินซึ่งมีหญ้าขึ้นรกเรื้อบ่งบอกสภาพหมู่บ้านที่ถูกทิ้งร้างมานาน



        ดวงอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นจากเหลี่ยมเขาทำให้วาริสามองเห็นซากปรักหักพังของหมู่บ้านได้ชัดเจนขึ้นยิ่งสะท้อนให้รำลึกถึงบรรยากาศของความสูญเสียและความหดหู่ หญิงสาวกวาดสายตาสำรวจเค้าโครงหมู่บ้านที่หลงเหลืออยู่อีกครั้ง และแล้วความสนใจของเธอก็ไปสะดุดก็แท่งเสาหินเก่าๆที่ผิวข้างของมันเต็มไปด้วยมอสและตะไคร่น้ำ แต่ก็ยังพอมองเห็นลวดลายแปลกตาซึ่งสลักอยู่รางๆ หากกล่าวถึงสิ่งที่ตรึงใจวาริสาไว้ได้มากที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นรอยบุ๋มลึกรูปดาวตรงกลางเสา ทั้งที่ผิวรอบข้างปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและฝุ่น หากรอยบุ๋มนี้กลับสะอาดราวกับมีอำนาจมาปกป้อง เพื่อรอคอยบางสิ่งบางอย่างกลับเข้าสู่ที่ทางของมัน หญิงสาวยื่นมือไปสัมผัสและเผลอลูบคลำรอยบุ๋มนั้นอย่างใจลอย ทันใดนั้นเสียงหวีดร้องอย่างตื่นตระหนกของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น เมื่อวาริสาหันไปมองตามที่มาของเสียงเธอก็พบกับร่างของเด็กสาวผู้ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ท่ามกลางกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก โดยไม่ต้องใช้เวลาคิด หญิงสาวรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุทันที พร้อมทั้งใช้พลังบังคับสายน้ำให้นำร่างเด็กสาวคนนั้นขึ้นมา

        

        “หนูจ๊ะ เป็นอะไรรึเปล่า” วาริสาเขย่าร่างของเด็กสาวซึ่งนอนหมดสติอยู่ด้วยจิตใจที่ร้อนคน หากผ่านไปไม่นานหนูน้อยคนนั้นก็เผยอเปลือกตาขึ้นน้อยๆทำให้ใจของวาริสาชื้นขึ้นมากทีเดียว ร่างป้อมๆของ หนูน้อยโผกอดเธอแล้วร้องไห้ด้วยความตื่นตระหนกส่งผลให้หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง หลังจากรวบรวมสติของตนได้แล้ว หล่อนจึงค่อยๆลูบผมของเด็กอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมเรียกขวัญของเด็กน้อยให้กลับสู่ตัว หยาดน้ำจากร่างน้อยๆหยดซึมเข้าสู่เสื้อผ้าของวาริสาทีละน้อยจนมันเปียกชื้น



        เวลาผ่านไปนานพอสมควรกว่าเด็กสาวคนนั้นจะคลายความตกใจลง ร่างป้อมๆผละออกจากวาริสาอย่างมีมารยาท



        “ขอโทษจริงๆนะคะ ที่สร้างความเดือดร้อนแก่พี่สาว” เด็กสาวคนนั้นพูดเสียงอ่อยๆ สีหน้าของเธอยังคงซีดเผือดอยู่มากด้วยความตกใจซึ่งยังคงหลงเหลือหลังจากผ่านพ้นวินาทีเฉียดตายมาเพียงไม่นาน



        “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่หนูพอจะรู้รึเปล่าจ๊ะว่าที่นี่คือที่ไหน” วาริสาถาม



        “อ๋อ ที่แห่งนี้เรียกรวมๆว่าดินแดนจอมเวทย์ แต่ที่พี่สาวเห็นเป็นหมู่บ้านเก่าของเรา” เด็กสาวตอบ



        “ดินแดนจอมเวทย์งั้นหรือ?” วาริสาพึมพำกับตัวเอง



        “ใช่ค่ะ ชื่อดินแดนจอมเวทย์ แต่ก็ใช่ว่าทุกคนที่อยู่ ณ ดินแดน แห่งนี้จะมีพลังเวทย์นะคะ คนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับพรสวรรค์พิเศษให้มีพลังเวทย์” เด็กสาวอธิบายพลางมองวาริสาซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้ารูปร่างแปลกตาที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน



        “พลังเวทย์?”



        “มันก็คือ พลังที่จะควบคุมธาตุต่างได้ดั่งใจไงคะ แต่ธาตุหลักซึ่งนับว่าแกร่งที่สุด ได้แก่ ธาตุอัคคี ธาตุวารี ธาตุปฐพี และธาตุวายุ จอมเวทย์ผู้สามารถควบคุมธาตุหลักเหล่านี้ได้จะถูกคัดเลือกและแต่งตั้งให้เป็นจอมเวทย์ผู้พิทักษ์”



        ขณะที่วาริสกำลังตั้งใจฟังคำอธิบายอยู่นั้น เสียงห้าวๆของบุรุษก็ดังแว่วมาแต่ไกล



        “ฟาล่า ฟาล่า เจ้าอยู่ที่ใด”



        “อยู่นี่ค่ะ” เด็กสาวที่อยู่ข้างกายวาริสาตะโกนตอบกลับไป และทันทีที่สิ้นเสียงตะโกนของเด็กสาวผู้ถูกเรียกว่า ฟาล่า บุรุษเจ้าของเสียงห้าวๆในครั้งแรกก็ปรากฏตัวต่อหน้าวาริสา เขาเป็นชายหนุ่มวัยประมาณ25ปี รูปร่างค่อนข้างกำยำ มีผมสีทองตัดซอยสั้นรับกับดวงตาสีมรกตซึ่งจ้องเขม็งไปยังเด็กสาวข้างกายวาริสา



        “นี่ฟาล่า เจ้ามัวไปอยู่หนใดมา ข้ากับท่านแม่เป็นห่วงเจ้าเพียงใด รู้บ้างหรือไม่” เสียงห้าวทุ้มปนดุของชายผู้มาใหม่ต่อว่าเด็กสาว พลอยทำเอาวาริสาตกใจไปด้วย



        “แล้วนั่นเจ้าไปเล่นซนเยี่ยงไรมา เนื้อตัวจึงดูเปียกมะล่อกมะแล่กเช่นนี้เล่า” บุรุษคนเดิมยังคงว่าใส่ผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาวต่อ โดยไม่ทันสังเกตร่างของวาริสาที่นั่งอยู่ข้างๆ



        “เอ่อ...คือ” ฟาล่าอำอึ้งขณะพยายามบุ้ยใบ้ให้พี่ชายตนเห็นวาริสา



        “พี่ต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ แล้วนี่ทำท่าอันใดแป...” ก่อนที่คำว่า แปลก จะหลุดออกจากปาก หางตาของบุรุษผู้นั้นก็ไปสะดุดกับร่างของวาริสา



        “ขออภัยด้วยแม่นาง ข้าไม่ทันสังเกตเห็นแม่นางจึงได้แสดงกิริยาไร้มารยาทเช่นนั้นออกไป” ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีสุภาพผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน แล้วหันหน้าไปถลึงตาใส่น้องสาวต่อ ฟาล่าจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พี่ชายฟัง



        “ข้าขอบใจแม่นางมาก ที่ช่วยเหลือน้องสาวจอมยุ่งของข้า ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะบอกนามของแม่นางได้หรือไม่” ชายหนุ่มกล่าวขึ้นหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด



        “ฉ..ข้ามีนามว่า วาริสา” หญิงเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองให้เข้ากับชายหนุ่ม



        “นามของข้า คือ ธีมัส แม่นางอาศัยอยู่ที่ใดฤา คงเป็นเกียรติแก่ข้า หากข้าได้ไปส่งแม่นาง” ธีมัสเอ่ย ขณะที่หญิงสาวครุ่นคิดเรื่องของตนด้วยความกังวล...จริงสิ แล้วเราจะกลับยังไง...



        “พี่วาริสา เกิดสิ่งใดขึ้น มิพอใจพี่ธีมัสเหรอ พี่เขาก็ทำเจ้าชู้ไปทั่วแหละ พี่วาริสามิต้องไปใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นหรอก” เสียงใสๆช่างเจรจาของฟาล่าปลุกวาริสาออกจากภวังค์



        “เปล่าหรอกจ้ะ พี่ไม่ได้คิดเรื่องนั้น” หญิงสาวรีบปฏิเสธโดยเร็ว เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องของตนให้สองพี่น้องฟัง



        “หากข้าเข้าใจเรื่องที่แม่นางเล่ามามิผิด แม่นางหมายความว่า แม่นางมิใช่คนของดินแดนนี้ แลแม่นางมาที่แห่งนี้ได้จากการนอนหลับฤา” ชายหนุ่มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ



        “พวกท่านเข้าใจถูกต้องแล้วล่ะ” หญิงสาวตอบ



        “คืนนี้พี่วาริสาจะนอนที่แห่งใดล่ะคะ” ฟาล่าเอ่ยถาม



        “พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน” วาริสาพูดพลางทำสีหน้าหนักใจ



        “หากเป็นเช่นนั้น พี่วาริสาไปพักบ้านของเราสองพี่น้องก่อนสิคะ”



        “แต่ว่า...” วาริสาพูดยังไม่ทับจบธีมัสก็แทรกขึ้นมาก่อน



        “ข้อเสนอของฟาล่าก็เป็นความคิดที่มิเลว บ้านของข้ายังมีห้องว่างอีกมาก มารดาของข้าก็คงมิขัดข้อง ยิ่งรู้ว่าแม่นางเป็นผู้ช่วยฟาล่าด้วยแล้วล่ะก็”



        “แต่..”



        “พี่วาริสา คงไม่รังเกียจ เราสองพี่น้องนะคะ” คราวนี้ฟาล่าเป็นผู้เอ่ยขัดบ้าง



        “พี่ไม่รังเกียจหรอก แต่..”



        “หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นอันว่าตกลง” ธีมัสสรุปเอาเองดื้อๆ เขาและน้องสาวแอบขยิบตาให้กัน



        “พี่วาริสาไปกันเถอะนะคะ” ฟาล่าหยอดเสียงอ้อนตอนท้าย นั่นทำให้วาริสาไม่อาจปฏิเสธได้

        

        “หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องขอขอบคุณสำหรับที่พักล่วงหน้าด้วยนะจ๊ะ” ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของวาริสา ฟาล่าก็โห่ร้องด้วยความดีใจ





    To be continue…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×