ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่1
ตอนที่1
    19ปีผ่านไป ณ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย
   
    ไม่มีผู้ใดในมหานครใหญ่แห่งนี้ที่ไม่รู้จักกับ อาเนช เครษฐเวธน์ ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์สีขาวหลังงามสไตล์บาร็อค ตั้งตระง่านโดดเด่นอยู่บนอาณาเขตที่กว้างขวาง แลดูสง่างามหากก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเศร้าสร้อยเนื่องด้วยผู้เป็นเจ้าของต้องการสร้างเพื่อไว้อาลัยแด่ ศศิกานต์ ภรรยาที่จากไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคหัวใจ
    เลยออกไปเบื้องหน้า สวนตรงทางเข้าได้รับการตัดตกแต่งอย่างดีเป็นรูปร่างต่างๆแลเป็นระเบียบ มวลดอกไม้หลากสีที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆถูกปลูกรายล้อมประดับอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ซึ่งพวยพุ่งพรูเป็นสายรวยริน ใจกลางสวนเป็นประติมากรรมหญิงสาวสลักเสลางดงามรูปอาร์เตมิส เทพีในกรีซหรือที่ชาวโรมันนำมาเรียกใหม่จนติดปากว่า ไดอาน่า เทพีแห่งแสงจันทร์ แน่นอนว่าเป็นความประสงค์ของเจ้าของคฤหาสน์ที่ต้องการให้มีสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเคยมีตัวตนของ “ศศิกานต์” ดวงจันทร์อันเป็นที่รักของเขา ปฏิมากรฝีมือดีถูกสั่งให้ทำงานนี้โดยเฉพาะ เรื่องเงินค่าจ้างไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะเจ้าของคฤหาสน์ยินดีจะจ่ายไม่อั้น และในที่สุดก็ได้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งท่วงท่าที่อ่อนช้อย สง่างาม รูปร่างที่ได้สัดส่วน มือทั้งสองข้างถือคันศรในลักษณะพร้อมปล่อยลูกธนู ส่วนที่สลักเป็นเส้นผมยาวเป็นลอนคลื่นราวสะบัดพลิ้วต้องสายลม จนหากมองเพียงผิวเผิน คงนึกว่าเทพีแสนสวยองค์นี้เสด็จลงจากสวรรค์มาประทับอยู่ ณ สวนแห่งนี้จริงๆเป็นแน่แท้
    หากเปรียบไปแล้วคฤหาสน์หลังนี้คงไม่ต่างไปจากสวรรค์ที่ชาวดินวาดฝันเอาไว้ว่าคงเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพ ทว่าในความจริง ผู้คนโดยทั่วไปต่างทราบกันดีว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันมิได้เป็นทวยเทพองค์ใด หรือเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นไหน แต่เขาเป็นเพียงนักธุรกิจผู้ร่ำรวยซึ่งมีกิจการมากมายคนหนึ่ง
    ทินกรสาดลำแสงสุดท้ายของวัน เป็นเวลาเดียวกับที่รถลิมูซีนสีดำติดฟิล์มกรองแสงคันใหญ่แล่นมาจอดอยู่หน้าคฤหาสน์งามหลังนี้ ชายวัยกลางคนผู้มีหน้าที่เป็นคนขับรถรีบกระวีกระวาดลงจากรถฝั่งของตัวเองมาเปิดประตูให้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลัง
    “ไม่เป็นไรจ้ะ ลุงบุญ ฉันเปิดเองได้” เสียงหวานใสดังมาจากในตัวรถ และยังไม่ทันขาดคำหญิงสาวในชุดนักศึกษาผู้เป็นเจ้าของเสียงก็เปิดประตูรถลงมาเอง
    “โธ่ คุณหนูครับ คราวหน้าให้ผมบริการคุณหนูเองนะขอรับ ประเดี๋ยวนายท่านทราบเข้า จะว่าเอาได้ว่าผมดูแลคุณหนูไม่ดี” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ลุงบุญ ตอบกลับอย่างนอบน้อม
    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ลุงไม่ต้องคอยบริการหนูมากก็ได้ ลุงบุญเอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่านะคะ คุณพ่อไม่ว่าหรอก” หญิงสาวตอบกลับเสียงหวานก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนของตัวบ้านไปตามปกติ
    “ก็เพราะคุณหนูวาริสา นิสัยดี ไม่ถือตัวอย่างนี้สินะที่ทำให้พวกเรารักและเอ็นดูเธอมาก” ลุงบุญหันไปพูดกับป้าสมศรีผู้เป็นแม่ครัวที่ยืนอยู่ข้างๆ
    “แต่ก็คงสู้ความเอ็นดูของท่านที่มีต่อคุณหนูไม่ได้หรอก” ป้าสมศรีพูดตอบ
    “นั่นหน่ะสิ ก็คุณหนูเป็นคนแรกที่ทำให้ท่านยิ้มได้อย่างจริงใจนับตั้งแต่คุณผู้หญิงเสียนี่นา”
    “รู้สึกว่าจะเป็นตอนที่ท่านไปทำบุญที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าสินะ ตอนท่านรับคุณหนูมาเลี้ยง คุณหนูเพิ่งจะ 5 ขวบเองนี่”
    “ตอนนี้คุณหนูก็อายุ 19 แล้วสินะ เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆ แต่ก็แปลกนะ ตั้งแต่คุณหนูมาอยู่ที่นี่ฉันยังไม่เคยเห็นแววตาของคุณหนูยิ้มเลย มันฉายประกายเศร้าสร้อยตลอดเวลา เหมือนรอยยิ้มของนายท่านตอนเพิ่งเสียคุณผู้หญิงไปไม่มีผิด ยิ้มเพียงปากหากแววตาไม่เคยสะท้อนความสุขออกมา”
    “นั่นสินะ คุณหนูเป็นคนที่ทำให้นายท่านยิ้มได้ทั้งปากและตา แต่ใครล่ะที่จะเป็นคนทำให้คุณหนูยิ้มแบบจริงใจอย่างนั้นได้บ้าง?” ป้าสมศรีพูดเปรยๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับคำถามนี้ได้
    วาริสา เศรษฐเวธน์ ผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในขณะนี้ เป็นหญิงสาวร่างสูงระหง ไว้ผมยาวสีน้ำตาลเข้มประบ่า นัยน์ตาสีครามฉายแววเศร้าสร้อยตลอดเวลารับกับใบหน้าเรียวรูปไข่ของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี ผิวเรียบเนียนสีขาวอมชมพูทำให้หล่อนดูสะดุดตาผู้ที่พบเห็นได้ไม่ยาก หญิงสาวผู้นี้เป็นที่อิจฉาของคนหลายต่อหลายคนเพราะนอกจากเธอจะมีรูปร่างหน้าตาสวยโดยธรรมชาติแล้ว พ่อม่ายเศรษฐีระดับพันล้านอย่าง นายอาเนช เศรษฐเวธน์ ยังรับอุปการะเธอเป็นลูกบุญธรรมอีกด้วย เธอได้เรียนในมหาลัยชื่อดัง ผลการเรียนของเธอไม่เคยมีที่ติ เธอมีเงินมากมายไว้จับจ่ายใช้สอยเป็นว่าเล่น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีแม้เพียงชิ้นเดียวที่จะเปลี่ยนแววตาของหญิงสาวให้สดใสร่าเริงดุจเดียวกับคนอื่นๆในวันเดียวกันได้
       
    “ฉันไม่เข้าใจว่า เหตุใดตลอดชีวิตของคนบางคนทุ่มให้กับเพียงการแสวงหาเพียง เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ฉันมีสิ่งเหล่านั้นครบทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ช่วยให้ฉันมีความสุขขึ้นมาเลย ฉันยินดีที่จะแลกสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดกับการทำให้แม่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง คนทั่วไปอาจนึกว่าเด็กที่สูญเสียแม่ตอนอายุ 5 ขวบอย่างฉันจะจำอะไรได้ แต่พวกเขาคิดผิด เรื่องของแม่ยังถูกประทับตราตรึงในความทรงจำของฉันมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งสัมผัสรักที่ถ่ายทอดผ่านแววตาของแม่บ่อยๆ อ้อมกอดที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความห่วงใยและความเอื้ออาทรของแม่ยังเตือนให้ฉันนึกถึงแม่อยู่เสมอๆ
ฉันคิดดูแล้วบางครั้งสิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุดอาจจะเป็นความรักก็ได้ รักที่เกิดจากความจริงใจไม่ใช่เพื่อหวังสิ่งตอบแทนอย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป แต่มันคงเป็นเรื่องยากมากสินะที่จะหาความรักแบบนั้นในโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอย่างในปัจจุบันนี้ สาเหตุที่ฉันบอกได้เต็มปากว่า ความรักในปัจจุบันดำเนินไปด้วยความหลอกลวง ก็เพราะฉันเคยเจอกับมันด้วยตัวเองเลยหน่ะสิ ทั้งที่ฉันเคยไว้ใจ เคยเชื่อใจเขามากที่สุดแท้ๆ แต่เขากลับเป็นคนที่ทำร้ายฉันได้เจ็บแสบที่สุดเช่นกัน ไม่ใช่ที่ร่างกายหากเป็นที่จิตใจ เขาทำลายความไว้วางใจทั้งหมดที่ฉันมีต่อเขา ทำลายความเชื่อในความรักที่ฉันเคยมี แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงแค่อดีตที่ฉันพยายามจะไม่ขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก  สิ่งที่ฉันทุ่มเทให้มากที่สุดในตอนนี้ ก็คงจะเป็น การตามหาพ่อที่แท้จริง แม่เคยบอกว่าพ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่แต่มีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องแยกทางกับแม่ แม่สอนเสมอไม่ให้ฉันโกรธพ่อที่ทิ้งเราสองแม่ลูกเผชิญชีวิตในโลกลำพัง แม่ยังหวังที่จะได้พบกับพ่ออีกครั้งแต่แม่ก็ต้องมาจากไปเสียก่อน
   
    สมุดบันทึกที่รัก ยังมีความลับอีกอย่างที่ฉันเก็บงำไว้ไม่เคยบอกใครมากก่อน เป็นความลับระหว่างฉันกับแม่ ความลับที่ว่า ฉันมีพลังที่สามารถควบคุมสายน้ำให้เคลื่อนไหวได้ดั่งใจ ไม่ว่าน้ำนั้นจะอยู่ในสภาพของไอน้ำในอากาศ จะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง หรืออยู่ในรูปของน้ำอยู่แล้วก็ตาม ฉันสามารถควบคุมมันได้ทั้งสิ้น  แม่บอกว่าพ่อของฉันก็มีพลังนี้เหมือนกัน ก่อนที่แม่จะตาย แม่พูดแปลกๆ ทำนองว่า....ฉันและแม่ไม่ใช่คนของโลกนี้และสักวันเราต้องกลับไปยังที่ที่เราจากมาก... มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ หรือจะเป็นเพียงคำพูดที่แม่เพ้อด้วยพิษไข้
...เอาเถอะถึงแม้ความหวังของการตามหาพ่อจะดูรางเลือนเต็มที แต่ฉันจะต้องตามหาพ่อให้พบให้ได้” วาริสาอ่านทวนข้อความที่เธอเขียนทั้งหมดอีกรอบ ก่อนจะวางปากกาหมึกซึมด้ามโปรด แล้วปิดสมุดบันทึก
   
    “แม่คะ แม่เป็นกำลังใจให้สาใช่ไหมคะ หนูจะพยายามค่ะแม่ หนูต้องตามหาพ่อให้พบ”วาริสาพูดพลางกำจี้รูปหยดน้ำซึ่งห้อยอยู่กับสร้อยทองคำขาวที่เธอสวมตลอดเวลา มันเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่แม่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
    “พ่อคะ พ่ออยู่ที่ไหน หนูอยากพบพ่อเหลือเกิน” วาริสาพูดก่อนจะผล็อยหลับไปบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นแสงสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากจี้คริสตัลรูปหยดน้ำของเธอ แสงนั้นค่อยๆแผ่รัศมีครอบคลุมร่างของหญิงสาวอย่างช้าๆ จนในที่สุดร่างของหล่อนก็ถูกกลืนไปกับแสงประหลาดโดยสมบูรณ์
To be continue
    19ปีผ่านไป ณ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของประเทศไทย
   
    ไม่มีผู้ใดในมหานครใหญ่แห่งนี้ที่ไม่รู้จักกับ อาเนช เครษฐเวธน์ ผู้เป็นเจ้าของคฤหาสน์สีขาวหลังงามสไตล์บาร็อค ตั้งตระง่านโดดเด่นอยู่บนอาณาเขตที่กว้างขวาง แลดูสง่างามหากก็แฝงไปด้วยกลิ่นอายของความเศร้าสร้อยเนื่องด้วยผู้เป็นเจ้าของต้องการสร้างเพื่อไว้อาลัยแด่ ศศิกานต์ ภรรยาที่จากไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคหัวใจ
    เลยออกไปเบื้องหน้า สวนตรงทางเข้าได้รับการตัดตกแต่งอย่างดีเป็นรูปร่างต่างๆแลเป็นระเบียบ มวลดอกไม้หลากสีที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆถูกปลูกรายล้อมประดับอ่างน้ำพุขนาดใหญ่ซึ่งพวยพุ่งพรูเป็นสายรวยริน ใจกลางสวนเป็นประติมากรรมหญิงสาวสลักเสลางดงามรูปอาร์เตมิส เทพีในกรีซหรือที่ชาวโรมันนำมาเรียกใหม่จนติดปากว่า ไดอาน่า เทพีแห่งแสงจันทร์ แน่นอนว่าเป็นความประสงค์ของเจ้าของคฤหาสน์ที่ต้องการให้มีสัญลักษณ์บ่งบอกถึงการเคยมีตัวตนของ “ศศิกานต์” ดวงจันทร์อันเป็นที่รักของเขา ปฏิมากรฝีมือดีถูกสั่งให้ทำงานนี้โดยเฉพาะ เรื่องเงินค่าจ้างไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะเจ้าของคฤหาสน์ยินดีจะจ่ายไม่อั้น และในที่สุดก็ได้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจ ทั้งท่วงท่าที่อ่อนช้อย สง่างาม รูปร่างที่ได้สัดส่วน มือทั้งสองข้างถือคันศรในลักษณะพร้อมปล่อยลูกธนู ส่วนที่สลักเป็นเส้นผมยาวเป็นลอนคลื่นราวสะบัดพลิ้วต้องสายลม จนหากมองเพียงผิวเผิน คงนึกว่าเทพีแสนสวยองค์นี้เสด็จลงจากสวรรค์มาประทับอยู่ ณ สวนแห่งนี้จริงๆเป็นแน่แท้
    หากเปรียบไปแล้วคฤหาสน์หลังนี้คงไม่ต่างไปจากสวรรค์ที่ชาวดินวาดฝันเอาไว้ว่าคงเป็นที่อยู่ของเหล่าทวยเทพ ทว่าในความจริง ผู้คนโดยทั่วไปต่างทราบกันดีว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันมิได้เป็นทวยเทพองค์ใด หรือเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นไหน แต่เขาเป็นเพียงนักธุรกิจผู้ร่ำรวยซึ่งมีกิจการมากมายคนหนึ่ง
    ทินกรสาดลำแสงสุดท้ายของวัน เป็นเวลาเดียวกับที่รถลิมูซีนสีดำติดฟิล์มกรองแสงคันใหญ่แล่นมาจอดอยู่หน้าคฤหาสน์งามหลังนี้ ชายวัยกลางคนผู้มีหน้าที่เป็นคนขับรถรีบกระวีกระวาดลงจากรถฝั่งของตัวเองมาเปิดประตูให้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านหลัง
    “ไม่เป็นไรจ้ะ ลุงบุญ ฉันเปิดเองได้” เสียงหวานใสดังมาจากในตัวรถ และยังไม่ทันขาดคำหญิงสาวในชุดนักศึกษาผู้เป็นเจ้าของเสียงก็เปิดประตูรถลงมาเอง
    “โธ่ คุณหนูครับ คราวหน้าให้ผมบริการคุณหนูเองนะขอรับ ประเดี๋ยวนายท่านทราบเข้า จะว่าเอาได้ว่าผมดูแลคุณหนูไม่ดี” ผู้ที่ถูกเรียกว่า ลุงบุญ ตอบกลับอย่างนอบน้อม
    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ลุงไม่ต้องคอยบริการหนูมากก็ได้ ลุงบุญเอาเวลาไปพักผ่อนดีกว่านะคะ คุณพ่อไม่ว่าหรอก” หญิงสาวตอบกลับเสียงหวานก่อนจะเดินขึ้นบันไดหินอ่อนของตัวบ้านไปตามปกติ
    “ก็เพราะคุณหนูวาริสา นิสัยดี ไม่ถือตัวอย่างนี้สินะที่ทำให้พวกเรารักและเอ็นดูเธอมาก” ลุงบุญหันไปพูดกับป้าสมศรีผู้เป็นแม่ครัวที่ยืนอยู่ข้างๆ
    “แต่ก็คงสู้ความเอ็นดูของท่านที่มีต่อคุณหนูไม่ได้หรอก” ป้าสมศรีพูดตอบ
    “นั่นหน่ะสิ ก็คุณหนูเป็นคนแรกที่ทำให้ท่านยิ้มได้อย่างจริงใจนับตั้งแต่คุณผู้หญิงเสียนี่นา”
    “รู้สึกว่าจะเป็นตอนที่ท่านไปทำบุญที่บ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าสินะ ตอนท่านรับคุณหนูมาเลี้ยง คุณหนูเพิ่งจะ 5 ขวบเองนี่”
    “ตอนนี้คุณหนูก็อายุ 19 แล้วสินะ เวลาผ่านไปรวดเร็วจริงๆ แต่ก็แปลกนะ ตั้งแต่คุณหนูมาอยู่ที่นี่ฉันยังไม่เคยเห็นแววตาของคุณหนูยิ้มเลย มันฉายประกายเศร้าสร้อยตลอดเวลา เหมือนรอยยิ้มของนายท่านตอนเพิ่งเสียคุณผู้หญิงไปไม่มีผิด ยิ้มเพียงปากหากแววตาไม่เคยสะท้อนความสุขออกมา”
    “นั่นสินะ คุณหนูเป็นคนที่ทำให้นายท่านยิ้มได้ทั้งปากและตา แต่ใครล่ะที่จะเป็นคนทำให้คุณหนูยิ้มแบบจริงใจอย่างนั้นได้บ้าง?” ป้าสมศรีพูดเปรยๆ แต่ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับคำถามนี้ได้
    วาริสา เศรษฐเวธน์ ผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาอยู่ในขณะนี้ เป็นหญิงสาวร่างสูงระหง ไว้ผมยาวสีน้ำตาลเข้มประบ่า นัยน์ตาสีครามฉายแววเศร้าสร้อยตลอดเวลารับกับใบหน้าเรียวรูปไข่ของเจ้าหล่อนได้เป็นอย่างดี ผิวเรียบเนียนสีขาวอมชมพูทำให้หล่อนดูสะดุดตาผู้ที่พบเห็นได้ไม่ยาก หญิงสาวผู้นี้เป็นที่อิจฉาของคนหลายต่อหลายคนเพราะนอกจากเธอจะมีรูปร่างหน้าตาสวยโดยธรรมชาติแล้ว พ่อม่ายเศรษฐีระดับพันล้านอย่าง นายอาเนช เศรษฐเวธน์ ยังรับอุปการะเธอเป็นลูกบุญธรรมอีกด้วย เธอได้เรียนในมหาลัยชื่อดัง ผลการเรียนของเธอไม่เคยมีที่ติ เธอมีเงินมากมายไว้จับจ่ายใช้สอยเป็นว่าเล่น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีแม้เพียงชิ้นเดียวที่จะเปลี่ยนแววตาของหญิงสาวให้สดใสร่าเริงดุจเดียวกับคนอื่นๆในวันเดียวกันได้
       
    “ฉันไม่เข้าใจว่า เหตุใดตลอดชีวิตของคนบางคนทุ่มให้กับเพียงการแสวงหาเพียง เงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ฉันมีสิ่งเหล่านั้นครบทุกอย่าง แต่มันก็ไม่ช่วยให้ฉันมีความสุขขึ้นมาเลย ฉันยินดีที่จะแลกสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดกับการทำให้แม่กลับมามีชีวิตอีกครั้ง คนทั่วไปอาจนึกว่าเด็กที่สูญเสียแม่ตอนอายุ 5 ขวบอย่างฉันจะจำอะไรได้ แต่พวกเขาคิดผิด เรื่องของแม่ยังถูกประทับตราตรึงในความทรงจำของฉันมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งสัมผัสรักที่ถ่ายทอดผ่านแววตาของแม่บ่อยๆ อ้อมกอดที่แฝงไปด้วยความอบอุ่น ถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความห่วงใยและความเอื้ออาทรของแม่ยังเตือนให้ฉันนึกถึงแม่อยู่เสมอๆ
ฉันคิดดูแล้วบางครั้งสิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุดอาจจะเป็นความรักก็ได้ รักที่เกิดจากความจริงใจไม่ใช่เพื่อหวังสิ่งตอบแทนอย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป แต่มันคงเป็นเรื่องยากมากสินะที่จะหาความรักแบบนั้นในโลกที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอย่างในปัจจุบันนี้ สาเหตุที่ฉันบอกได้เต็มปากว่า ความรักในปัจจุบันดำเนินไปด้วยความหลอกลวง ก็เพราะฉันเคยเจอกับมันด้วยตัวเองเลยหน่ะสิ ทั้งที่ฉันเคยไว้ใจ เคยเชื่อใจเขามากที่สุดแท้ๆ แต่เขากลับเป็นคนที่ทำร้ายฉันได้เจ็บแสบที่สุดเช่นกัน ไม่ใช่ที่ร่างกายหากเป็นที่จิตใจ เขาทำลายความไว้วางใจทั้งหมดที่ฉันมีต่อเขา ทำลายความเชื่อในความรักที่ฉันเคยมี แต่ก็ช่างเถอะ เรื่องเหล่านั้นเป็นเพียงแค่อดีตที่ฉันพยายามจะไม่ขุดคุ้ยมันขึ้นมาอีก  สิ่งที่ฉันทุ่มเทให้มากที่สุดในตอนนี้ ก็คงจะเป็น การตามหาพ่อที่แท้จริง แม่เคยบอกว่าพ่อของฉันยังมีชีวิตอยู่แต่มีเหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องแยกทางกับแม่ แม่สอนเสมอไม่ให้ฉันโกรธพ่อที่ทิ้งเราสองแม่ลูกเผชิญชีวิตในโลกลำพัง แม่ยังหวังที่จะได้พบกับพ่ออีกครั้งแต่แม่ก็ต้องมาจากไปเสียก่อน
   
    สมุดบันทึกที่รัก ยังมีความลับอีกอย่างที่ฉันเก็บงำไว้ไม่เคยบอกใครมากก่อน เป็นความลับระหว่างฉันกับแม่ ความลับที่ว่า ฉันมีพลังที่สามารถควบคุมสายน้ำให้เคลื่อนไหวได้ดั่งใจ ไม่ว่าน้ำนั้นจะอยู่ในสภาพของไอน้ำในอากาศ จะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง หรืออยู่ในรูปของน้ำอยู่แล้วก็ตาม ฉันสามารถควบคุมมันได้ทั้งสิ้น  แม่บอกว่าพ่อของฉันก็มีพลังนี้เหมือนกัน ก่อนที่แม่จะตาย แม่พูดแปลกๆ ทำนองว่า....ฉันและแม่ไม่ใช่คนของโลกนี้และสักวันเราต้องกลับไปยังที่ที่เราจากมาก... มันหมายความว่าอย่างไรกันนะ หรือจะเป็นเพียงคำพูดที่แม่เพ้อด้วยพิษไข้
...เอาเถอะถึงแม้ความหวังของการตามหาพ่อจะดูรางเลือนเต็มที แต่ฉันจะต้องตามหาพ่อให้พบให้ได้” วาริสาอ่านทวนข้อความที่เธอเขียนทั้งหมดอีกรอบ ก่อนจะวางปากกาหมึกซึมด้ามโปรด แล้วปิดสมุดบันทึก
   
    “แม่คะ แม่เป็นกำลังใจให้สาใช่ไหมคะ หนูจะพยายามค่ะแม่ หนูต้องตามหาพ่อให้พบ”วาริสาพูดพลางกำจี้รูปหยดน้ำซึ่งห้อยอยู่กับสร้อยทองคำขาวที่เธอสวมตลอดเวลา มันเป็นสมบัติเพียงชิ้นเดียวที่แม่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
    “พ่อคะ พ่ออยู่ที่ไหน หนูอยากพบพ่อเหลือเกิน” วาริสาพูดก่อนจะผล็อยหลับไปบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน เธอจึงไม่ทันสังเกตเห็นแสงสีทองที่เปล่งประกายออกมาจากจี้คริสตัลรูปหยดน้ำของเธอ แสงนั้นค่อยๆแผ่รัศมีครอบคลุมร่างของหญิงสาวอย่างช้าๆ จนในที่สุดร่างของหล่อนก็ถูกกลืนไปกับแสงประหลาดโดยสมบูรณ์
To be continue
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น