ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Exo] He's my love [Kaihun,Chanbaek]

    ลำดับตอนที่ #3 : 2 : ช่วยเหลือกัมจง

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 56


     


    2 ช่วยเหลือกัมจง

     

    คิดว่าเป็นหลานผู้อำนวยการแล้วยังไง รวยมากใช่มั๊ย ใหญ่มากใช่มั๊ย เป็นนักเลงเหรอ กร่างมากเหรอหา? คิดว่าดำแล้วยังไงเหรอ เอากระดาษทรายบ้านฉันไปถูกหน้ากับปากเสียๆนั่นหน่อยดีมั๊ย นายทำฉันสัยเซล์ฟนะไอ้กัมจง โธ่เอ้ย

     

    เมื่อผมจรดปากกาบนตัวหนังสือตัวสุดท้ายเสร็จ ผมก็ยิ้มออกมาน้อยๆแล้วจัดการปิดไดอารี่เล่มโปรดและเก็บมันลงในเป้ไป ที่ยิ้มไม่ใช่อะไร สมองวาดภาพไว้ว่าถ้าไอ้กัมจงมาเห็นต้องเดือดเป็นฟืนเป็นไฟแน่ๆเลย ฮุฮุ แต่คิดแล้วก็เสียเซล์ฟจริงๆแหละ นั่นผมหวังดีจริงๆนะนั่น

     

    “ไม่ทราบว่าจะต้องการอะไรเพิ่มไหมครับ?”พนักงานหันหน้ามาถามผมด้วยรอยยิ้มเมื่อผมลุกจากโต๊ะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์

     

    “ผมอยากได้เลม่อนชีสเค้กชิ้นนึง คิดรวมกับช็อคโกแลตเย็นเลยครับ”

     

    “เลม่อนชีสเค้กหนึ่ง ทานที่นี่หรือกลับบ้านครับ”

     

    “กลับบ้านครับ”

     

    “โอเค รอสักครู่นะครับ ^^

     

    ผมพยักหน้าแล้วรีบหันหน้าหนีสายตาเป็นประกายนั่นทันที ถ้าไม่ติดว่าเค้กร้านนี่อร่อยจริง ผมคงไม่มานั่งกินเป็นประจำให้โดนแทะโลมทางสายตาเล่นๆหรอก

     

    พนักงานหน้าม่อ...

     

    “ได้แล้วครับน้อง ทั้งหมด 250 บาทครับ”พนักงานชายหน้าตาดีบอกผมด้วยรอยยิ้มเป็นประกาย ผมยิ้มตอบน้อยๆแล้วจ่ายเงินให้เขาไปก่อนที่จะเอื้อมมืออีกข้างไปหยิบถุงเค้ก

     

    “...” ผมรีบชักมือกลับแทบไม่ทันเมื่อมือที่ผมเอื้อมไปหยิบเค้กดันโดนกับมือของพนักงานชายคนนั้นพอดี ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือจงใจ แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกแต๊ะอั๋ง...

     

    จากผู้ชายด้วยกัน...T^T

     

    ให้ตายเถอะ ผมรีบเดินออกมาจากร้านด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ไม่ชอบใจเลยๆจริง ผมไม่ใช่ผู้หญิงหรือผู้ชายตัวเล็กๆที่ดูน่ารักอะไรเทือกๆนั้นนะ

     

     

     

     

    ผมเดินเอื่อยๆไปตามทางกลับบ้าน วันนี้ผมปฏิเสธคนขับรถว่าไม่ต้องมารับเพราะอยากใช้เวลาข้างนอกอย่างส่วนตัวๆบ้าง วันนี้ผมไม่มีการบ้าน ก็กะจะเดินเล่นไปเรื่อยๆแล้วค่อยเข้าบ้านตอนค่ำๆ อากาศกำลังดีแถมพ่อกับแม่ก็บินกลับไปดูงานที่ฮ่องกงหลายวัน ขอโอเซฮุนดื่มด่ำกับบรรยากาศบริสุทธิ์ของเกาหลีหน่อยละกัน

     

    “นี่มันสดชื่นจริงๆ” เขาพึมพำออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ เขาเดินตามทางไปเรื่อยๆจนหูแว่วได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายกับรถตู้คันหนึ่งที่แล่นผ่านไปด้วยความเร็วสูง

     

    เขาหรี่ตามองตามรถตู้คันนั้นไปแล้วส่ายหัว

     

    จะรีบไปตายที่ไหนล่ะนั่น?

     

    แล้วผมเดินมาจนถึงหน้าคอฟฟี่ช้อปแห่งหนึ่ง ที่มีผู้ชายคนนึงนอนจมกองเลือดกับผู้ชายอีกสองคนที่ดูกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก ผมชะงักไปด้วยความตกใจ แต่สมองก็ยังสั่งให้ตัวเองเดินเข้าไปใกล้ๆคนพวกนั้น

     

    “ผมจะไปช่วยพี่จุนมยอน!!! พี่อี้ชิงพาหมอนี่ไปส่งโรงพยาบาลเถอะ!

     

    “ไม่นะเทา! ฉันไปด้วย ฉันก็ห่วงจุนมยอนไม่แพ้นายนะเว้ย!”               

     

    “แล้วไอ้หมอนี่ล่ะ...”

     

    “ก็ให้ใครก็ได้พาไปดิ ไม่รู้ล่ะเทา ฉันจะไปกับนาย!

     

    “แต่ว่า...”

     

    ผมเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆพลางลอบฟังบทสนทนานั้นเงียบๆ จนเมื่อทั้งสองคนหันมาเห็นผมเนี่ยล่ะ ทั้งคู่จึงปรี่เข้ามาหาผมทันที

     

    “น้องครับ!ขอร้องล่ะ ช่วยพาผู้ชายคนนี้ไปโรงพยาบาลทีนะน้องนะๆ”คนตัวเล็กกว่าผมเข้ามาขอร้องโดยมือก็ชี้ๆไปที่คนที่นอนจมกองเลือดอยู่ ผมอึกอัก

     

    “เรารีบจริงๆ ขอร้องล่ะครับ”คนตัวสูงกว่าผมก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ภายในผมสัมผัสได้ถึงความร้อนรน

     

    “ผม...ผม...”ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากอย่างเคยชินด้วยความประหม่า ในใจตีกันสับสนไปหมด จะช่วยดี หรือไม่ช่วยดี แต่สุดท้ายแล้วความดีที่มีอยู่ค่อนข้างมากของผมก็ชนะ

     

    “รีบไปเถอะครับ เดี๋ยวผมจะพาเขาไปส่งโรงพยาบาลเอง”

     

    เมื่อผมพูดจบ ทั้งสองก็ขอบคุณผมแล้วรีบขึ้นมอเตอร์ไซค์คันยักษ์โดยมีคนตัวสูงขอบตาคล้ำๆเป็นคนขับออกไปทันที ดูท่าแล้วคงรีบมากจริงๆ อาจมีเหตุร้อนอะไรสักอย่าง...

     

    เหลือแต่ผมกับใครก็ไม่รู้ที่ผมต้องช่วยสินะ...

     

    “โอเซฮุน...นายนี่เป็นคนดีจริงๆ”ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆแล้วเดินเข้าไปใกล้ร่างสะบักสะบอมนั่น ผมชะโงกดูใบหน้าที่มีแต่รอยฟกช้ำนั่นแล้วก็ต้องเบิกตากว้าง

     

    “เห้ย...กัมจง...”ผมรีบทรุดตัวคุกเข่าข้างๆร่างของกัมจงที่สลบไม่รู้เรื่องนั่นด้วยความตกใจ “อะไร...ยังไงเนี่ย...”

     

    แล้วมันตายรึยังนะ? ผมแอบคิดด้วยความสับสน จึงยื่นนิ้วไปอังใต้จมูกเป็นสันนั่นแล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก กัมจงยังมีชีวิตอยู่...

     

    ...แต่จากที่ดูแล้ว ก็ร่อแร่เต็มที่ ทั้งตัวมีแต่รอยฟกช้ำเหมือนโดนรุมอัดมา แถมต้นขาซ้ายยังมีรอยเหมือนถูกยิงอีกต่างหาก บ้าจริง ต้องรีบพาไปโรงพยาบาลแล้วสิเนี่ย

     

    ผมรีบพยุงร่างสูงกว่าตัวเองขึ้นมาด้วยความทุลักทุเล หมีควายเอ้ย ตัวหนักชิบเลย ผมคอยประคองร่างที่สะบักสะบอมนี่ด้วยความยากลำบาก ก่อนจะโบกเรียกแท็กซี่อย่างรีบร้อน จนมีคันหนึ่งยอมมาจอดและคนขับท่าทางใจดีก็โผล่หน้าออกมาถามผม

     

    “เอ่อ...ไปไหนครับ”

     

    โธ่ คุณลุงครับ แหกตาดูหน่อยก็ได้ครับว่าผมพยุงคนแบบนี้ คงไม่ได้พาไปดำน้ำดูปะการังหรอกครับ ผมบ่นในใจ อีกทั้งคุณลุงที่มองมายังผมและกัมจงอย่างระแวง “คงไม่ได้ตายแล้วใช่ไหม...”

     

    “ไปโรงพยาบาลครับลุง ด่วนๆเลย”ผมถอนหายใจแล้วพูดแทรกคุณลุงแท็กซี่จนแกตกใจมองผมเหมือนตัวประหลาด แต่ไม่รู่ล่ะ ผมรีบพาตัวเองกับคิมจงอินเข้ามาในรถโดยไม่สนว่าคุณลุงเค้าจะปฏิเสธหรืออะไรทั้งนั้น แต่คุณลุงก็พนักหน้าแล้วเคลื่อนรถออกโดยไม่วายมองกระจกมองหลังอย่างหวั่นๆ

     

    “ไม่ได้ตายแล้วจริงๆนะ?”คุณลุงถามย้ำ ผมจับกัมจงให้มาพิงตัวเองแล้วหันมาพยักหน้าตอบคุณลุงให้หายสงสัยด้วยน้ำเสียงเรียบๆกับแววตานิ่งๆที่สบกับคุณลุงผ่านกระจกมองหลัง

     

    “ยังไม่ตายครับ แต่ถ้าคุณลุงไม่รีบๆแล้วล่ะก็คุณลุงนั่นแหละที่จะตาย”

     

    “0_0

     

    “...”แล้วผมก็เสมองออกไปดูวิวนอกหน้าต่าง ไม่สนใจอะไรอีก แต่ผมรู้สึกได้ว่าความเร็วของรถมันเพิ่มขึ้นแฮะ ผมลอบหัวเราะในใจ

     

    ผมเปล่าขู่คุณลุงนะครับ แต่ดูเหมือนแกจะกลัวผมจริงเลยนะนั่น...

     

     

     

     

    กัมจงปลอดภัยแล้ว...

     

    ตอนนี้เขานอนอยู่ในห้องผู้ป่วยธรรมดาและตอนนี้ผมก็นั่งเฝ้าเขาอยู่ รอยฟกช้ำตามตัวไม่กี่วันก็หายแต่แผลถูกยิงคงต้องอีกหลายวัน มั้ง? จากที่หมอบอก ที่จริงผมก็งงตัวเองอยู่เหมือนกันว่าจะมานั่งเฝ้าหมอนี่ทำไม แต่ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยก็รอให้ไอ้กัมจงนี่ฟื้นก่อนแล้วผมค่อยกลับ ถ้าวันนี้ยังไม่ฟื้นเหรอ? งั้นก็ช่างมันละกัน ผมคงไม่ได้ใจดีถึงขนาดนอนเฝ้าหรอก เพื่อนสนิทอะไรก็ไม่ใช่...

     

    จริงสิ พูดถึงเพื่อนสนิท ผมยังไม่ได้โทรไปบอกครอบครัวเขาเลย แต่ผมก็ไม่มีเบอร์นี่ เบอร์ของเพื่อนสนิทหมอนี่อย่างปาร์คชานยอลผมก็ไม่มี รอให้มันฟื้นแล้วโทรบอกเองละกัน

     

    ผมนั่งอ่านนิตยสารฆ่าเวลาเงียบๆได้สักพักจนผมได้ยินเสียงกุกๆกักๆจากเตียงที่กัมจงนอนอยู่ ผมจึงปิดนิตยสารแล้วลุกขึ้นยืนมอง

     

    อ้อ...

     

    ฟื้นแล้วคิมจงอินฟื้นแล้ว

     

    “อะ...โอ๊ย” ฟื้นแล้วก็ขยับตัวปั๊บ สมน้ำหน้า เจ็บแผลล่ะสิ ผมยืนมองเจ้าตัวนอนโอดโอยเงียบๆจนเมื่อมันหันมาเห็นผมนั่นแหละ คิ้วหนาของกัมจงถูกเลิกขึ้นสูงทันทีเมื่อเห็นผม ริมฝีปากที่แห้งและแตกขยับเป็นคำพูดเบาๆแต่ผมไม่ได้ยิน

     

    “พูดว่าอะไรนะ?”

     

    “...” หมอนั่นขยับปากอีกรอบ แต่ผมก็ยังไม่ได้ยินอยู่ดี

     

    “ฉันไม่ได้ยิน” ผมกอดอกและขมวดคิ้ว กัมจงกรอกตาไปมาและกระดิกนิ้วเรียกผมเข้าไปหาใกล้ๆ...มั้งนะ ผมเข้าใจได้อย่างนี้ แล้วมากระดิกนิ้วใส่อย่างกับผมเป็นหมา โอเซฮุนไม่ปลื้ม -*-

     

    ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเค้าแล้วค้อมตัวลงเอาหูไปใกล้ๆกับริมฝีปากหนานั่น

     

    “หิว...น้ำ”

     

    “อ่อ...”ที่แท้ก็หิวน้ำ ผมผละตัวออกมาแล้วเดินไปเทน้ำให้ก่อนจะเดินกลับมาแล้วช่วยพยุงร่างสะบักสะบอมที่พยายามที่ยันตัวเองขึ้นพิงเตียง ผมยื่นแก้วน้ำไปให้แต่จงอินก็ไม่รับ ร่างสูงบุ้ยปากไปที่มือข้างนึงที่เจาะน้ำเกลือไว้กับอีกข้างที่นิ้วเข้าเฝือกอยู่

     

    จะบอกว่าหยิบกินเองไม่ได้ว่างั้น?

     

    โอเคๆ ผมจับหลอดแล้วเลื่อนเข้าไปใกล้ปากกัมจง กัมจงก้มหน้าเล็กน้อยให้ดื่นน้ำจากหลอดได้ถนัด ผมยืนถือแก้วและหลอดอย่างนั้นจนเมื่อริมฝีปากสีซีดของกัมจงโดนเข้ากับนิ้วที่จับหลอดอยู่ของผม ผมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังถือหลอดต่อจนเจ้าตัวดื่นจนพอใจจึงเอาแก้วออกมาและเดินไปเก็บ

     

    พอได้น้ำลงคอให้สดชื่นปุ๊บ กัมจงก็เปิดปากถามผมเสียงเข้มทันที “มึงมาได้ยังไง”

     

    “แท็กซี่” ผมเดินไปนั่งที่โซฟาเหมือนเดิม เท้าคางใช้ดวงตาเรียวรีของตัวเองจ้องคนที่นอนขมวดคิ้วอยู่บนเดียว อยากถามอะไรก็ถามมา เดี๋ยวจะกลับแล้ว

     

    “แล้วกูล่ะ? อย่าบอกนะว่ามึงพามา?!

     

    “อือ”

     

    “โกหกป่ะเนี่ย?”

     

    “คุณแม่สอนว่าไม่ให้พูดโกหก ฉันจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องโกหกนาย”

     

    “เห้ย กวนตีนป่ะ...”กัมจงทำหน้าหงุดหงิด แต่ผมก็ทำหน้านิ่งไม่สะทกสะท้านรังสีทะมึนนั่น เหมือนเขาพยายามจะระงับอารมณ์ของตัวเองอยุ่ เงียบไปไม่กี่วิเขาก็ถามขึ้นมาอีก

     

    “แล้วตอนที่มึงพากูมา มีใครอยู่แถวนั้นรึเปล่า?”

     

    “มีผู้ชายสองคน คนนึงสูงๆตาคล้ำๆ อีกคนน่ารักๆแต่เตี้ยกว่าฉันหน่อยนึง ถ้าได้ยินไม่ผิด...น่าจะชื่อเทากับอี้ชิง...”

     

    “แล้วพี่จุนมยอนล่ะ!”กัมจงถามเสียงดัง ผมส่ายหัว

     

    “ไม่มี ไม่รู้จักด้วย”

     

    “โดนพวกมันจับตัวไปแล้วแน่ๆ! ทำไมกูกากงี้วะโธ่เว้ย!”กัมจงสบถลั่นแล้วพยายามจะลุกออกจากเตียง แต่คงเกิดเจ็บแผลที่ขาขึ้นมาจึงร้องโอ๊ยเสียงดัง ร่างสูงล้มตัวลงนอนบนเตียงเหมือนเดิมพลางสบถยาวยืดที่ผมจับใจความได้ประมาณว่า

     

    ยิงขากู! ไอ้พวกเวร! กูจะไปแก้แค้นแน่! ประมาณนี้...

     

    ผมส่ายหัวแล้วเดินไปยืนข้างเตียงผู้ป่วยก่อนจะพูดเสียงเบา “สมน้ำหน้า เจ็บแล้วไม่เจียมตัว”

     

    กัมจงถลึงตาใส่ผมเป็นรอบที่สองของวัน “มึงอยากมีเรื่องกับกูมากใช่ไหมไอ้เด็กทุน!

     

    “จะมีตอนนี้เลยก็ได้นะ เอาจริงลุกขึ้นมาให้ได้ก่อนเถอะ”ผมชูหมัดขึ้นแล้วยิ้มจนตาหยี ไอ้กัมจงทำท่าฟึดฟัดแล้วตะคอกใส่ผม

     

    “ไปไกลๆหน้ากูเลยไปไอ้เด็กทุน!

     

    “ไม่ต้องไล่ ฉันจะกลับอยู่แล้ว”ผมหันหลังเดินไปคว้าเป้มาสะพายพร้อมกับถุงเค้กที่สภาพคงไม่ค่อยดีแล้วล่ะ ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันกลับไปพูดนิ่งๆ “แล้วอีกอย่าง ฉันไม่ใช่ชื่อเด็กทุนด้วย เลิกเรียกอย่างนี้สักที”

     

    “อ๋อเหรอ แล้วมึงชื่ออะไรล่ะ?”อีกฝ่ายเลิกคิ้วๆน้อยพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ลดความหงุดหงิดลงไปนิดแต่กลับเพิ่มความกวนตีนเข้ามาหนึ่งเลเวล จนทำให้ผมรู้สึกคิ้วกระตุกยึกๆแต่ก็ตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร

     

    “โอเซฮุน”

     

    “อะไรนะ! แมงกะพรุน”

     

    “ฉันชื่อโอเซฮุน”

     

    “ห้ะ! มึงกลิ้งหลุนหลุน บ๊ะ! นี่กูถามชื่อมึงนะ”

     

    แม่งกวนบาทา...

     

    “ฉันบอกว่าฉันชื่อโอเซฮุน”

     

    “อ้าว อยากกินใครตุ๋นงั้นเหรอ!? แหม่ ก็ไม่บอก~

     

    “ใครตุ๋นบ้านนายสิไอ้เวรหมีดำกัมจง!!”ผมหมดความอดทนตะโกนใส่กัมจงหน้าดำหน้าแดงพร้อมกับปาถุงเค้กใส่หน้าเจ้าตัวโดยไม่คิดว่าจะโดนหรือไม่โดน ผมเดินฮึดฮัดไปที่ประตูพร้อมกับเปิดมันออกอย่างแรงและปิดเสียงดัง

     

    ปัง!!!

     

    “เห้ยๆ นี่โรงพยาบาลนะเว้ยโอเซฮุน!” คิมจงอินตะโกนไล่หลังไปด้วยรอยยิ้มขัน ร่างสูงผิวเข้มหยิบถุงเค้กที่ตัวเองรับไว้ได้ทันมาดูแล้วทำหน้าเซ็ง



    “เค้กแม่งเละแล้วนี่หว่า! เสียดายว่ะ ยังกินได้ป่ะเนี่ย”


    Writer say ; ไปปั่น If This A Love,I Will...ต่อ ฮิๆ สปอยเรื่องนั้นว่าน้องคยองซูจะมาแว้ววววว

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×