คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : BONDAGE 02 - Lost & Found [end]
//Knight
โอยยยย...
มึนหัวจัง...
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก
ในหัวตอนนี้มีแต่ความมึนงง และความสับสน
ภาพรอบตัวเบลอจนไม่อาจรับรู้ได้เลยว่าที่นี่ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น...
เกิดอะไรขึ้น...
อ๊ะ... ผมโดนจับตัวมานี่หว่า
พอนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ผมก็รีบตั้งสติ รวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อฟื้นจากสภาพเบลอๆนี้ให้ได้
รอบตัวผมตอนนี้คือพื้นที่โล่งกว้าง ทิวทัศน์โดยรอบคือกรุงเทพจากมุมสูง
ที่นี่น่าจะเป็นดาดฟ้าของตึกสูงสักแห่ง... ผมพยายามขยับตัว แต่ไม่สามารถขยับได้ทั้งแขนและขา
พอก้มลงมาดูถึงได้รู้ว่าตัวผมโดนมัดทุกส่วนติดกับเก้าอี้ไว้เรียบร้อยแล้ว
ตัวผมตอนนี้ไม่อาจทำอะไรได้ ผมจึงตัดสินใจไม่โวกเวกโวยวาย รอดูสถานการณ์โดยรอบ
เบื้องหน้าของผมมีเด็กหนุ่มผมยาวมากกกก ปแต่มัดรวมไว้เป็นหางม้า ยืนมองทิวทัศน์อยู่อย่างสบายใจ โดยมีชายชุดดำสี่คนนั่นทำอะไรบางอย่างกระจายตัวอยู่โดยรอบ พอสังเกตดีๆ ถึงได้เห็นว่า พวกมันกำลังใช้ชอล์คสีดำหน้าตาประหลาดขีดเขียนสัญลักษณ์อะไรบางอย่างที่พื้นอยู่ มันดูเหมือน ‘วงแหวนเวทมนตร์’ แบบที่เคยเห็นในการ์ตูนหรือเกมส์ต่างๆ แต่พวกมันวาดขึ้นมาทำไม แล้วทำไมผมถึงต้องมานั่งอยู่กลางวงแหวนนี้ด้วยล่ะ
“ตื่นแล้วหรอครับคุณ” เสียงชายคนนั้นถามขึ้น คงจะสังเกตผมอยู่ตลอดถึงได้รู้ว่าผมรู้สึกตัวแล้ว
“อืม...” ผมตอบเสียงเบา ไม่อยากจะตอบมันเท่าไหร่หรอกครับ
แต่มันถามซะสุภาพขนาดนั้น เลยต้องตอบเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
“ขอโทษด้วยที่ต้องใช้ความรุนแรงกับคุณ แต่ผมสัญญาว่าจะไม่มีความรุนแรงแบบนั้นอีก” แหงสิ
ก็ผมหลุดจากเก้าอี้บ้านี่ไปได้ง่ายๆซะที่ไหนล่ะ
“พาผมมาที่นี่ทำไม แล้วจะทำอะไร” ผมตัดสินใจตั้งคำถามไป ด้วยวาจาสุภาพที่ปกติผมไม่ได้ใช้เท่าไหร่
“สำหรับพวกเราผู้ใช้เวท คุณคือเวย์ หรือผู้มีพลังงานเวทมนตร์เปี่ยมล้นอยู่ในกระแสพลังที่ไหลเวียนอยู่ในกาย
ซึ่งเวย์ที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้เวท จะไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากสิ่งที่มีอยู่ เช่นคุณ”
... เอ๋อแดกครับท่าน
“การทำพิธีย้ายขั้วพลังของเวย์ไปสู่นักเวท จะทำให้นักเวทได้รับพลังอำนาจของเวย์
และกลายเป็นเจ้าของกระแสพลังอันนั้นแทน” ชายหนุ่มคนนั้นยังพูดอะไรที่ผมฟังไม่รู้เรื่องต่อไป
“มันทำให้พลังของเวย์อย่างคุณไม่เปล่าประโยชน์อีกต่อไป
ผมจึงอยากขออนุญาตรับเวย์จากตัวคุณไปใช้ต่อน่ะครับ”
“แล้วรู้ได้ไงว่าผมคือเวย์อะไรนั่นน่ะ” ผมยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ถึงจะน่าตกใจไปหน่อยเกี่ยวกับเวทมนตร์
แต่ผมก็เล่นเกมส์อยู่บ้าง การ์ตูนก็เคยดู นิยายก็พอผ่านตา เลยไม่ค่อยช็อคกับมันมาก
แต่ที่ผมสงสัยเพิ่มไปอีกคือ คนๆนี้ใช้อะไรมาตัดสินผมว่าเป็นเวย์แบบที่เค้าว่า
“มนุษย์ทุกคนจะมีเสาแห่งแสงอยู่ นักเวทส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของเสาแห่งแสง
เวลาที่เพ่งกระแสจิตเพื่อเปิดการรับรู้ มนุษย์ทั่วไปก็จะมีเสาแห่งแสงที่เบาบาง
ผู้ใช้เวทด้วยกันจะมีเสาที่ชัดเจน และเวย์อย่างคุณ ก็จะมีเสาแห่งแสงที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเปรียบกับผมแล้ว
เสาแห่งแสงของผมคือใบหญ้า ส่วนของคุณ คือไม้ใหญ่อายุนับร้อยปีที่ตั้งตระหง่านอยู่อย่างชัดเจน”
ดูเหมือนว่าการที่ผมถามคำถามนั้นออกไปจะไม่ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรได้มากกว่าเดิมเลย
แต่จู่ๆผู้ชายคนนี้ก็มีท่าทางแปลกไป...เหมือนรู้สึกตกใจกับอะไรบางอย่าง
“จริงอยู่ที่การมอบเวย์ไม่ใช่เรื่องผิด” เสียงที่ผมคุ้นเคยดังขึ้นจากอีกด้านของดาดฟ้า
“แต่มันก็ต้องได้รับการยินยอมจากผู้เป็นเจ้าของด้วย ไม่เช่นนั้นการมอบเวย์จะไม่สำเร็จ เข้าใจมั้ย ไอ้ทึ่ม!”
ผมหันหลังกลับไป และยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ไอ้สน เน้ช นนท์ มากันครบเลยครับ
เอ๊ะ แล้วใครอีกคนนะที่ยืนถือท่อนเหล็กอยู่ซ้ายมือ...
นั่นมัน...
ไอ้โช!!
“พวกคุณเป็นเพื่อนของคุณเจ้าของเวย์สินะครับ” เค้าเอ่ยถามด้วยคำสุภาพเหมือนเดิม
“เออนะสิครับ แล้วมึงละครับเป็นใคร จู่ๆก็มาอุ้มตัวเพื่อนกูไปแบบนี้ มันเสียงมารยาทนะครับ ^^”
ไอ้สนถามพร้อมกับยิ้มเหี้ยมใส่อีกฝ่าย น่าแม่งเลวได้โล่จริงๆ
“ผมไม่ใช่คนร้ายอะไรหรอกครับ แค่อยากได้เวย์อันนี้ไปเฉยๆ”
โห บอกไม่ร้ายแต่ที่มันใช้คนของมันมาอุ้มตัวผมมาแบบนี้ มันมาเฟียชัดๆ
“สัด มากไปแล้วมั้ง!!” ไอ้โชตะโดกนลั่น ตรงดิ่งมาจะหมายจะเอาไม้ฟาดไอ้คุณชายมาเฟียบ้านี่
บ้าดีเดือดดีแท้ สมกับเป็นเด็กช่างจริงๆ = =
แกร๊ง!! เสียงเหล็กกระทบกับแขนของหนึ่งในชายชุดดำ มันพุ่งมารับท่อนเหล็กของไอ้โชแทนเจ้านายของมัน
ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ แถมแขนที่รับเหล็กนั่น ก็ไม่ใช่แขนธรรมดา
เพราะเสียงกระทบที่ดังออกมาบ่งบอกถึงคุณสมบัติความเป็นของแข็งของมันได้เป็นอย่างดี
“ตุ๊กตาเวทมนตร์ เค้าเป็นคนเชิดหุ่นเวทมนตร์ด้วย” เสียงนนท์บอกกับทุกคน
ไอ้พวกนี้มันอะไรกันฟระ เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องเหมือนผู้ชายคนนี้มาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
“ผมไม่อยากสู้กับคุณหรอกนะครับ”
“ก็ปล่อยไนท์ดิวะ!!” โชมันยังคงไม่หยุดบ้าครับ แต่พึ่งสังเกตว่ามันแรงเยอะมาก
เพราะหลังจากที่มันกระแทกเสียงตอนจบประโยค มันก็ฟาดท่อนเหล็กนั่นเข้าที่สีข้างชายชุดดำคนนึงแรงมาก
จนตัวของชาย...เอ่อ...ตัวนั้นแตกกระจาย หักเป็นสองท่อนในพริบตา
“แรงเยอะน่าดูเลยนะครับ คุณคงจะห่วงคุณไนท์ของคุณเอามากๆ”
“กูบอกให้ปล่อย!!” ไอ้โชเริ่มเหมือนคนคลั่งแล้วครับ แต่ยิ่งมันคลั่ง แรงมันก็เริ่มเยอะมากขึ้นๆ เรื่อยๆ
ตอนนี้มันซัดหุ่นชายชุดดำแตกกระจายไปอีกตัวแล้วครับ
“นี่มันพลังอะไรวะเน้ช กูไม่เคยเห็น” ไอ้สนที่ว่าโหดแล้วยังยืนอึ้งมองโชมันจัดการหุ่นเชิดไปทีละตัว
“กูก็ไม่เคยเห็น แต่มึงจะปล่อยให้โชมันฉายเดี่ยวอยู่คนเดียวรึไง” เน้ชมันว่าไอ้สน พลางล้วงหยิบสร้อยคอที่
มีลูกแก้วสีดำห้อยอยู่ออกมา ทันใดนั้น ลูกแก้วนั้นก็ลอยหลุดออกมาแล้วกลายสภาพเป็นไม้เท้าด้ามยาวสีดำ
ในชั่วพริบตา
“Evon bro d’arta” เน้ชมันพึมพำภาษาประหลาดออกมา
ทันใดนั้น พลังงานสีดำก็ก่อตัวขึ้นมาเป็นลูกกลมเก้าลูกลอยวนเวียนอยู่รอบตัวมัน
“adnari!!” สิ้นเสียงไอ้เน้ช ลูกบอลพลังงานสีดำทั้งหมดก็พุ่งตรงไปยังคุณชายมาเฟียนั่นทันที
“คุณไนท์ครับ เอาไว้ถ้ามีโอกาส ผมจะมาหาคุณอีกครับ” พูดจบ มันก็พึมพำภาษาประหลาดเหมือนไอ้เน้ช
ก่อนที่จะหายไปต่อหน้าต่อตา พร้อมกับหุ่นเชิดและซากหุ่นทั้งหมด...
“ฟิ้ว~” เน้ชถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่จะเก็บไม้เท้าสีดำนั่น ให้กลับไปเป็นลูกแก้วเหมือนเดิม
“เจ็บตรงไหนบ้างมั้ยไอ้หล่อ” อ่า เรียกผมแบบนี้ มีคนเดียวครับ ไอ้นนท์ แฝดผู้น้องที่ปากพอๆกะไอ้สน
มันเดินตรงมาปลดเชือกที่มัดผมไว้ออกให้ จนผมได้อิสรภาพกลับคืนมาทั้งหมด
“ไอ้โชอ่ะ” ผมถามถึงรูมเมตของผมที่ตามมาได้ไงก็ไม่รู้
“นู่นไง” นนท์ชี้ไปอีกด้าน เห็นโชมันกำลังนั่งหอบลิ้นห้อยอยู่
“สุดยอดเลยว่ะ แรงควายชิบหาย”นั่นฟังดูเป็นคำชมแล้วครับ สำหรับปากอย่างไอ้สน
“ตอนนี้ไอ้ไนท์มันปลอดภัยแล้ว แต่ที่มึงรู้จักเวทมนตร์เคลื่อนย้ายได้ นี่มันคืออะไร เล่าให้กูฟังได้รึยัง”
“เอ่อ...”
“ว่าไง” ไอ้เน้ชมาช่วยกดดันไอ้โชอีกคน
“คือ...”
“เดี๋ยวก่อน” เสียงของผมเบรคทุกอย่างได้อย่างที่คิด ทั้งไอ้สนและไอ้เน้ชค่อยๆหันมาหาผมอย่างช้าๆ
“มึงเล่าให้กูฟังก่อนดีกว่ามั้ย ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ เพื่อนๆ^^” ผมถามพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ทุกคน
หึหึหึ...
แล้วพวกเราทั้งหมด ก็กลับมาพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ร้านประจำของพวกเรา
ร้านนั้นชื่อว่า”DukPhu” (สาบานว่ามันอ่านว่าดุกฟูครับ ร้านนี้เด็ดที่ยำปลาดุกฟู เด็ดจริงๆ)
ตอนนี้อาหารเต็มโต๊ะแล้ว แต่ไม่ยักกะมีใครแตะเลยแฮะ
เว้นแต่ไอ้นนท์ที่นั่งกินส้มตำทอดของโปรดอยู่อย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนอะไร
“ไง ท่านๆทั้งหลาย เล่ามาให้กูฟังซักคนสิครับ” ผมพูดทีเล่นทีจริง ไม่อยากให้โต๊ะมันอึมครึมไปมากกว่านี้
“เอาง่ายๆละกัน อย่างที่มึงเห็นแล้ว เราสามคนเป็นนักเวท เอ่อ... ผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้
เพราะได้รับการฝึกฝนพลัง และสืบทอดพลังกันมาจากต้นตระกูล” เน้ชมันรวบรวมลมปราณ
ก่อนที่จะถ่ายทอดออกมาให้ผมฟัง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากสำหรับพวกมันที่จะเล่าเรื่องนี้ออกมา
“เพราะงั้น เวทมนตร์ที่มึงเห็นในเกมส์ มันมีอยู่จริง เพียงแต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ได้
ต้องเป็นผู้ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดี และต้องอาศัยพรสวรรค์บางส่วนซึ่งมันจะตกทอดกันมาทางสายเลือด”
“และทุกวันนี้ ทุกสิ่งเกี่ยวกับเวทมนตร์ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้คนธรรมดารับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน”
“อ้าว ทำไมวะ กูว่ามันก็ดีออก” ผมสงสัยจึงถามมันไป
“แค่ทุกวันนี้โลกก็จะบรรลัยอยู่แล้ว มึงลองนึกดูว่า ถ้าระเบิดนิวเคลียร์เป็นอันตรายมากแล้ว
แต่เวทมนตร์เป็นอะไรที่อันตรายกว่าหลายร้อยเท่า มึงยังอยากให้ทุกคนใช้มันได้มั้ยล่ะ”
ไอ้สนมันตอบแทนไอ้เน้ช ที่ตอนนี้เริ่มลงมือกินของที่อยู่บนโต๊ะแล้ว คงจะเหนื่อยมาจากตอนนั้นมิใช่น้อย
“อืม...” เป็นจริงอย่างที่มันว่า ของดีถ้าใช้ดีก็ดีไป ถ้าเอาไปใช้ชั่วๆ คงจะเลวร้ายมากๆ เช่นไอ้คนที่มันอุ้มผมไป
“แล้วๆๆ กูฟังมาจากไอ้บ้านั่นอีกทีนะ มันบอกว่ากูเป็นเวนอะไรซักอย่างนี่ล่ะ มันคืออะไรวะ”
“เค้าเรียกว่าเวย์ว้อย w-e-y อ่านว่าเวย์ แปลว่า ผู้ที่มีเสาแห่งแสง หรือแหล่งพลังงานของตัวเองมากมายมหาศาล”
“เอางี้ มันต้องเริ่มจากการใช้เวทมนตร์ก่อน เวทมนตร์เนี่ย มันคือการที่มึงใช้พลังของตัวเอง
เพื่อขอพลังสนับสนุนจากธรรมชาติ เพื่อให้แปรออกมาเป็นสิ่งที่เราต้องการ
แต่การที่มึงมีพลังจำกัดเนี่ย มันก็จะทำให้มึงขอพลังจากธรรมชาติได้เท่าที่มึงจะสละพลังให้ธรรมชาติได้”
“ในทางกลับกัน ถ้ามึงเป็นเวย์ มึงจะมีพลังเป็นของตัวเอง สามารถใช้เวทมนตร์ได้ทันที
ไม่ต้องร้องขอจากธรรมชาติ หรือไม่งั้นมึงจะสามารถขอพลังจากธรรมชาติได้
มากกว่าคนอื่นหลายร้อยหลายพันเท่า”
“อ้าว แต่กูก็ไม่เห็นจะมีพลังอะไรตรงไหนเลยนี่” ถ้าเป็นแบบที่มันบอก ผมก็ต้องมีพลังสิ
เพราะผมไม่ต้องขอยืมพลังจากธรรมชาติมาใช้
“แต่มึงก็ไม่ได้ฝึกการใช้เวทมนตร์มา มึงไม่เคยฝึกพลังของตัวเอง ต่อให้เป็นพลังของมึง
แต่การจะใช้เวทมนตร์ได้ มึงก็ต้องรู้รูปแบบการใช้ของมันด้วย” ไอ้นนท์เริ่มพูดขึ้นบ้าง
หลังจากที่อาหารในจานมันหมดเกลี้ยงแล้ว
“อ่อ...”
“แล้วไอ้โชล่ะ มึงก็ใช้เวทมนตร์เป็นหรอ” ผมหันไปถามมันบ้าง
แล้วดันไปถามตอนที่มันยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่มพอดี ทำให้มันสำลักน้ำเปียกไปหมด
“แค่กๆๆ ปล่าวๆ กูไม่ใช่นักเวทหรอก” มันรีบปฏิเสธลิ้นรัว
“แล้วมึงมาได้ยังไงวะ เอ้อ แล้วพวกมึงรู้ได้ไงว่ากูโดนจับตัวมา แล้วรู้ได้ไงว่ากูอยู่ที่ตึกนั้น”
ผมพึ่งมานึกเอะใจได้ว่า ตอนที่ผมโดนจับตัวมา ไม่มีใครรู้เห็นอะไรเลยนี่หว่า
“ก็ไอ้โชนั่นแหละมันโทรบอกพวกกู มันบอกว่ามันเห็นมึงโดยไอ้พวกหุ่นเชิดนั่นอุ้มขึ้นรถตัว
แล้วใช้เวทมนตร์เทเลพอร์ตไปที่อื่น” ไอ้สนเป็นคนอธิบายเรื่องนี้เองครับ “พวกกูพอรู้อยู่แล้วว่ามึงเป็นเวย์
แต่ไม่รู้จะบอกมึงทำไมไง พอรู้ว่ามึงโดนจับไป ก็อาศัยว่ามึงเป็นเวย์นี่ล่ะ ถึงหามึงเจอ
เวย์อย่างมึงต่อให้อยู่ไกลไปอีกสิบโลพวกกูก็หาเจอ เพราะคนที่เป็นเวย์อย่างมึงอ่ะ ไม่ใช่ว่าจะมีเยอะนะเว้ย
มันหายากมากๆๆๆๆ”
“แต่ที่น่าแปลกก็คือไอ้โชนี่ล่ะ มึงรู้ได้ไงวะว่าไอ้ที่มันใช้อ่ะคือเวทมนตร์ แล้วทำไมถึงเลือกจะโทรหากู
ไม่ไปแจ้งตำรวจวะ” ไอ้สนกลับไปตั้งคำถามกับโชอีกรอบ
“อ่า...ก็...ก็กูเคยเห็นในเกม มันก็น่าจะเหมือนเปิดวาร์ปกลับเมืองไรงี้ไง แล้วพอกูเห็นแบบนั้น
กูก็ไม่รู้จะบอกใคร ไปบอกตำรวจแม่งก็คงไม่เชื่อ เลยนึกถึงพวกมึงที่เป็นเพื่อนกะไอ้ไนท์มันก่อนไง”
ดูเหมือนมันจะหาคำตอบมาไขข้อคำถามของไอ้สนได้ดีครับ
แต่ผมรู้สึกได้ว่ามันโกหก แม่ง มันต้องปิดบังอะไรผมแน่ๆ!!
“อ๋อหรอ แน่ใจนะ?” นนท์มันมาช่วยกดดันครับ ผมละสงสารมันจริงๆ เหงื่อแตกพลั่กๆเลยล่ะ ฮ่าๆๆ
“แน่สิ ก็พวกมึงเป็นเพื่อนมันนี่ จริงป่าว”
เหอะๆๆ
เอาไว้กลับห้องผมค่อยไปเค้นความจริงจากมันก็ได้ครับ
//Cho
โอ้ยยย...
ผมโดนซักจนขาวสะอาด ไม่ต้องใช้โอโม่แล้วล่ะครับ T^T
ใครจะไปอยากบอกพวกมันล่ะครับ ว่าผมรู้ได้ยังไง
เดี๋ยวกลายเป็นเรื่องใหญ่อีก
หลังจากที่กินกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็รีบแยกย้ายกันกลับบ้านกลับช่องกัน
แต่ก่อนที่จะแยกกัน จู่ๆไอ้นนท์มันก็มากระซิบบอกผม
“มึงไม่บอกกูไม่เป็นไร แต่มึงน่าจะบอกไอ้ไนท์นะ มึงจะได้ปกป้องมันได้ไง”
มันพูดยิ้มๆ ก่อนที่จะรีบขึ้นแท็กซี่ไปกับพี่มัน หนอย ไอ้ตี๋ตาขีด ชอบมาพูดให้คิดอีกแล้ว
แต่ก็จริงอย่างที่มันพูด
ถ้าไนท์มันรู้ความจริงระหว่างผมกับมัน
ผมก็จะสามารถปกป้องมันได้
ไม่เหมือนกับเมื่อตอนกลางวัน ที่ผมทำอะไรไม่ได้เลยเพื่อที่จะช่วยมัน...
ผมควรบอกมันดีมั้ย...?
กลับมาถึงห้อง ผมยังคงไม่กล้าพูดอะไร มีแต่ถามมันว่ามีบาดแผลอะไรมั้ย จะได้หายาทาให้เรียบร้อย
ซึ่งมันก็ไม่เป็นอะไรหรอกครับ แต่มันอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ
จู่ๆ มาเจอเรื่องประหลาดๆ เหนือธรรมชาติ พร้อมกันหลายเรื่องแบบนี้
งี้ถ้ามันมารับรู้เรื่องผมอีกทีคงจะเมากเกินรับได้แล้วล่ะมั้ง
แต่ขณะที่ผมกำลังครุ่นคิดหลายๆอย่างในหัว เสียงเรียกจากไอ้ไนท์ก็ดังแทรกเข้ามาในหัวผม
“โช”
“หืม..?”
“ขอบใจนะเว้ย ที่ตามมาช่วยอ่ะ...” แอบสังเกตเห็นมันหน้าแดงตอนพูดด้วยอ่ะ
ถึงมันจะไม่ได้หันมาหาผมก็เถอะ
“ไม่เป็นไร ดีแล้วล่ะที่ยังปลอดภัย” ผมตอบกลับมันไป แล้วเราสองคนก็ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมห้อง
แต่ผมก็แอบมั่นใจ ว่าผมเห็นมันอมยิ้มเล็กๆอยู่ตลอดเลย ไอ้ไนทอ่ะ
อืมมม...
...ให้ตายสิ
ขอบคุณโชคชะตาจริงๆ ที่ทำให้เราได้มาเจอกันแบบนี้
อยู่กันห่างไกล แต่สุดท้ายก็ได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้...
ถึงจะเป็นแค่รูมเมต ผมก็โอเค
ขอแค่ให้ผมได้ทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุดก็เกินพอแล้ว...
หน้าที่ที่ผมต้องทำต่อผู้เป็นนาย...
ความคิดเห็น