ตอนที่ 1 : จุดเริ่มต้น
17 ปีก่อนทุกอาณาจักรของโลกมนุษย์ที่ได้รวมตัวกันในนาม สหพันธรัฐแห่งแสง ได้จัดตั้งกองทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเพื่อจบสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจที่ถูกดำเนินมากกว่า 700 ปีโดยการชี้นำของผู้กล้าหนุ่มผู้มีนามว่า ' ดีอ้อน ครูส ลูเซียร์โน่ ' ชายเพียงคนเดียวที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เพราะการขโมยดาบวิเศษจากขุนพลฝ่ายจอมมาร
“บุกเข้าไปจงเชื่อในตัวของท่านผู้กล้า!”
“โอ้!!”
เสียงของทหารชางมนุษย์จำนวนมหาศาลที่กำลังสู้เพื่อเอาชีวิตแลกเพื่อเปิดทางให้ผู้กล้าและสหายสามารถเข้าไปยังปราสาทได้ถึงแม้นั้นจะต้องแลกด้วยชีวิตของพวกเขาก็ตาม
“อมันโด้”
“ได้เลยผู้กล้า!”
เสียงของผู้กล้าเรียกชื่อของสหายคนสนิท อมันโด้ และเขาก็รู้สิ่งที่ผู้กล้าปรารถนาเขาเลยวิ่งเข้าไปจัดการทหารของจอมมารที่ขวางทางเข้าท้องพระโรงก่อนที่เขาจะใช้ค้อนกับขวานของตนทำลายบานประตูของท้องพระโรงจนแหลก
“อมันโด้!”
“ไปเลย อโมรี่ น้องข้าจงไปกับผู้กล้า!”
อมันโด้ตะโกนบอกนักรบหญิงผู้เป็นน้องของตนก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองเหล่าทหารของจอมมารด้านหลังและเตรียมตัวสู้ตายส่วน อโมรี่ ที่คิดจะไปช่วยพี่ชายของตนก็ต้องหยุดเพราะผู้กล้าห้ามเอาไว้ปล่อยให้ประตูท้องพระโรงซ่อมแซมตัวเองจนเสร็จเขาเองก็อยากไปช่วยสหายแต่ก็ไม่อยากขัดขวางความตั้งใจของอีกฝ่าย
“ไปเถอะ”
“อืม”
ทั้งคู่วิ่งไปตามท้องพระโรงเรื่อยๆ แต่ที่น่าแปลกก็คือแทนที่ในนี้จะมีทหารคอยเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นแต่นี่กลับไม่มีเลยสักตัว
“น่าแปลก”
“เจ้าก็คิดเหมือนกันเหรอ”
“อ่า.....มันง่ายเกินไปที่พวกเราจะวิ่งกันโดยไม่เจอพวกปีศาจเลยสักตัว”
“นั้นสินะ”
ผู้กล้าทั้งสองวิ่งกันมาเรื่อยๆ จนต้องมาหยุดยังบานประตูเหล็กยักษ์ที่มีลวดลายสวยงามและที่นั่นยังมีผู้หญิงร่างบางสมส่วนที่น่าจะอายุไม่เกิน 17 หรือ 18 ปีผมทองหูยาวสวมเครื่องแบบเหมือนแม่บ้านแต่พอเห็นแบบนั้นผู้กล้าทั้งสองก็รีบตั้งท่าเตรียมสู้ในทันที
“กำลังรออยู่เลยค่ะท่านผู้กล้าและสหาย ท่านจอมมารกำลังรอพวกท่านอยู่ค่ะโปรดตามมา”
ผู้หญิงผมทองพูดพร้อมกับค่อยๆ เปิดประตูเหล็กบานยักษ์อย่างง่ายดายก่อนจะเดินนำทั้งเข้าไปในห้องปล่อยให้ ผู้กล้าดีอ้อน กับ อโมรี่ หันมามองหน้ากันอย่างมึนงงแต่ก็ยอมเดินตามเข้าไป
“ว้าว”
อโมรี่ อุทานออกมาเพราะภายในห้องโถงขนาดใหญ่ที่ควรจะดูมืดมนและน่ากลัวตามที่เคยได้ยินมากับเป็นห้องสีขาวนวลแต่ที่เด่นชัดที่สุดคงเป็นชั้นบันไดที่สูงและถูกแยกออกเป็นซ้ายกับขวาเพื่อราวกับหลบบานหน้าต่างตรงกลางก่อนที่จะบรรจบที่อีกชั้นที่มีเก้าอี้ที่ถูกประดับไปด้วยรูปปั้นที่สวยงาม
“ข้าเคยชื่นชม มหาราชวังกลางว่าสวยแล้วนะแต่ที่นี่สวยกว่า”
“ข้าเห็นด้วย”
ผู้กล้าทั้งสองชื่นชมกับสิ่งปลูกสร้างโดยรอบก่อนที่พวกเขาจะได้สติกลับมาด้วยเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง
“ได้ยินแบบนั้นก็ดีใจนะ”
“จอมมาร! / ฮะไหนๆ?”
ผู้กล้าดัอ้อนชักดาบออกมาอย่างรวดเร็วส่วนอโมรี่ที่พึ่งได้สติก็รีบกลับมาทำสีหน้าตั้งใจกับงานอย่างรวดเร็ว
“ยินดีที่ได้พบ ผู้กล้า ดีอ้อน นักรบหญิง อโมรี่”
ทั้งสองเงยหน้าเพื่อมองหาต้นเสียงและสิ่งที่พวกเขาได้พบก็คือร่างของหญิงสาววัย 20 กลางๆ มีปีกคล้ายปีกค้างคาวผมปีกนกอยู่ 6 ปีกเรือนผมทองสีส้มอมแดงใบหน้าหวานและมีเสน่ห์ดวงตาสีอำพันอมแดงที่งดงามสวมชุดสีดำอมม่วงรัดส่วนโค้งเว้าและเปิดเผยเพียงบางส่วน
“รู้จักพวกเราด้วยเหรอ”
“การรู้จักศัตรูถือเป็นกลยุทธ์พื้นฐานของสงครามเลยนะหรือว่าที่โรงเรียนอัศวินของพวกเจ้าจะไม่ได้สอน”
พอได้ยินแบบนั้นผู้กล้าดีอ้อนถึงกับเกาหน้าเขินส่วนอโมรี่ก็แทบจะไม่รู้จะเอาหน้าไว้ไหนเพราะเธอเป็นถึงพวกที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะของโรงเรียนส่วนไอผู้กล้านะเหรอแทบจะสอบตกทุกรอบ
“หึหึ ดูจากท่าทางนั้นคงไม่ได้สนใจเลยละสิ”
“หนวกหูนะ ในสงครามจริงขอแค่มีพลังกายเยอะๆ ก็พอแล้ว”
ผู้กล้าดีอ้อนบนพร้อมกับทำท่าทางไม่พอใจกับคำพูดของจอมมารส่วนอโมรี่ก็แทบจะเอาหน้ามุดดินเพราะความอาย
“เอาหละมาเข้าเรื่องกันดีกว่า”
พอได้ยินแบบนั้นทั้งสองก็เตรียมจะชักดาบแต่พอจอมมารลืมตาเพียงชั่วครู่ร่างของทั้งสองก็ต้องขุกเข่าลงกับพื้น
“เหล่าศาสตราวุธจงกลายเป็นธุลีและกลับคืนสู่ที่มาของเจ้า”
[วิชาปลดอาวุธ : ยกเลิกพันธะศาสตรา]
พอจอมมารร่ายเวทย์เสร็จอาวุธของ ผู้กล้า กับ อโมรี่ ก็กระเด็นออกจากร่างของพวกเขาก่อนที่มันจะแตกสลายไปในทันที
“ข้าไม่ชอบให้ใครเอาของพวกนั้นมาอยู่บนโต๊ะอาหารหรือเวลาอยากคุยกันเฉยๆ ”
“....”
ผู้กล้า กับ อโมรี่ ถึงกับตกอยู่ในความมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้
“ลินาข้ารำคาญเสียงข้างนอกช่วยทำให้เงียบหรือหยุดไปสักพักได้ไหม”
“ค่ะท่านจอมมาร”
ผู้หญิงผมทองหูยาวรับคำสั่งของจอมมารก่อนที่เธอจะเดินออกไปจากห้องและหลังจากนั้นสักพักก็มีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นพร้อมกับเสียงของการรบที่เงียบลงในพริบตา
“สงสัยจะใช้ท่าใหญ่นะเนี่ยแต่พวกเจ้าสบายใจได้คงเหลือสัก 40 – 45 % ได้หละ”
“นี่เหรอพลังของพวกพ้องจอมมาร”
“พูดให้ถูกแค่พลังของลินาคนเดียวต่างหากหละ อโมรี่ เอาหละมาว่ากันว่าหลังจากพวกเจ้ากำจัดข้าได้พวกเจ้าจะทำอะไรต่อไปหละ”
“เอ๋? / ฮะ?”
“ว่าไงหละ”
“ข....ข้าไม่รู้แต่คงไปเลี้ยงลูกหละมั้ง”
“ส่วนข้าคงช่วยงานของตระกูล”
“เป็นชีวิตที่สงบดีนะ แต่พวกเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความสงบสุขนั้นจะยังยืนไปตลอด”
ทั้งสองถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากทันทีที่จอมมารพูดแบบนั้น
“ดีอ้อนเจ้าบอกว่าจะไปเลี้ยงลูกสินะ”
“ช.....ใช่”
“งั้นข้าจะบอกอะไรให้ฟังนะหลังจากที่พวกมนุษย์อย่างพวกเจ้าชนะสงครามพวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะปล่อยพวกปีศาจอย่างพวกข้าให้มีชีวิตต่อไหม”
“ร....เรื่องนั้น”
“คงไม่ละสิ”
“อ....อืม”
“หลังจากข้าตายเพราะถูกพวกเจ้าฆ่าประชาชนของข้าคงถูกฆ่าราวกับผักปลาบางคนอาจจะต้องกลายเป็นทาสหรือถูกจับไปทรมาณในรูปแบบต่างๆ ”
“ม....มนุษย์ไม่-”
“จะบอกว่ามนุษย์ไม่มีวันเป็นแบบนั้นหรือ”
“อะ.....”
“จากชีวิตที่พวกเจ้าอยู่มาจนถึงตอนนี้พวกเจ้าคิดว่าไม่มีคนแบบที่ข้าพูดจริงๆ นะเหรอ”
ดิอ้อน กับ อโมรี่ ถึงกับเถียงไม่ออกเพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมาพวกเขานั้นก็เจอคนในหลายรูปแบบและก็มีคนแบบที่จอมมารพูอยู่เยอะในสังคมชนชั้นสูงแบบที่ อโมรี่ อยู่ตลอดเวลา
“และหากพวกข้าเป็นฝ่ายชนะพวกข้าบางคนก็อาจจะทำแบบเดียวกัน”
“ฮะ!!!”
“พวกเจ้าคิดว่าหลังสงครามจะไร้ซึ่งความแค้นงั้นเหรอในบรรดาปีศาจที่พวกเจ้าฆ่าไปพวกเขาเหล่านั้นก็มีครอบครัวเหมือนกับมนุษย์เพราะงั้นเชื่อข้าที่อยู่มาเกิน 100 ปีเถอะว่าอีกไม่นานก็ต้องมีการสร้างผู้กล้าหรือจอมมารขึ้นมาใหม่เพื่อธุรกิจของสงครามและเรื่องอื่นๆ ”
“เดียวนะธุรกิจของสงครามเหรอจอมมาร”
อโมรี่ร้องออกมาด้วยความตกใจกับสิ่งที่ได้ยินเพราะเธอไม่เคยรู้เลยว่ามีสิ่งที่จอมมารพูดและเธอก็ไม่เชื่อ
“พวกเจ้าคิดว่าอาหารที่พวกเจ้า กิน อาวุธ และ ทรัพยากรในการทำสงครามได้มาฟรีๆ หรือไง”
“ร....เรื่องนั้น”
“ในยุคสงครามแบบนี้พวกโรงตีเหล็กก็จะได้กำไรมหาสารและสามารถขึ้นราคาได้ตามใจชอบเพราะ ชุดเกราะ และ อาวุธ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น อาหารก็เช่นกันชาวบ้านหลายคนต้องเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวให้มากขึ้นเพื่อเลี้ยงปากท้องพวกทหารทำให้ทีการขึ้นภาษีและราคาที่สูงกว่าแต่ก่อนพวกเจ้าคิดว่าคนธรรมดาที่ไม่ใช่ทหารต้องเสียเงินต่อวันเท่าไหร่เพื่อให้อยู่รอดในยุคนี้ในคณะที่พวกเจ้าได้กินได้ดื่มอย่างฟรีๆ ”
“.....”
“พวกเจ้าได้ชื่อว่าเป็นผู้กล้าพวกเจ้าคิดว่าตำแหน่งนั้นมีเพียงแค่โค่นจอมมารของยุคแค่นั้นหรือไงคำว่าผู้กล้าสำหรับเรานั้นคิดว่าเป็นคำที่ยกย่องผู้ที่แก้ไขปัญหาของแต่ละยุคให้ได้มากกว่า”
“ก....ก็พวกเจ้านะ”
“จะบอกว่าเพราะพวกเราถึงทำให้ทรัพยากรของพวกเจ้าลดลง หรือ จะบอกว่าพวกเรานั้นเป็นปีศาจร้ายที่ฆ่าลูกหลานเจ้าอย่างเลือดเย็น หรือเป็นอสูรตามสิ่งที่เจ้านับถือ”
“ช....ใช่”
ตึง!
จอมมารกระทืบเท้าอย่างแรงพร้อมกับเผลอปล่อยพลังเวทย์ออกมาทำให้เกิดแรงลมพัดพวกผู้กล้ากระเด็นไปชิดกับกำแพงห้องทันที
“โง่หรือเปล่า! สิ่งพวกนั้นเป็นเพียงจินตนาการณ์ที่พวกมนุษย์สร้างขึ้นแล้วก็เอาไปพูดให้เสียๆ หายๆ ไม่ว่าจะเป็นเขียนในตำราเพื่อให้เด็กชื่อหรือเป็นนิทานเล่าให้ผู้อื่นฟังหรือเอาไปใส่ในพระคําภีร์โดยอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วพวกเจ้าก็เชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาแค่เพราะเขาบอกมาแบบนั้นเหรอ!”
พอโดนจอมมารพูดทำให้พวกผู้กล้าทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งสำนึกผิดก่อนจะเป็นผู้กล้าดีอ้อนกล่าวถาม
“แล้วจะให้พวกข้าทำอย่างไร ”
“ผู้กล้าดีอ้อนเจ้ารู้หรือเปล่าว่าประโยคนั้นข้าได้ฟังมาจากผู้กล้าหลายยุคหลายสมัยซึ่งทุกครั้งพอข้าให้คำตอบไปพวกเขาก็แค่ทำตัวให้เหมือนกับหายไปในหน้าประวัติศาสตร์แล้วพวกเจ้าก็สร้างผู้กล้าขึ้นมาใหม่ อีกนับไม่ถ้วนจนข้าหละเบื่อเต็มทน”
จอมมารพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์ของตนก่อนจะค่อยๆ เดินลงมาหาพวกผู้กล้าด้วยสีหน้าและสายตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“เจ้าบอกว่าหลังจากนี้จะไปเลี้ยงลูกสินะแล้วมีแล้วเหรอ”
“ม....มีแล้ว”
ดีอ้อนพูดพร้อมกับหันหน้าไปมองอโมรี่ที่กำลังหน้าแดงเพราะคำพูดของดีอ้อน
“โฮ่....เป็นลูกของพวกเจ้าสินะ”
“ช....ใช้พึ่งคลอดไม่เมื่อเดือนที่แล้วแต่เพราะข้าต้องมารบเลยฝากแม่นมที่บ้านเอาไว้ให้ช่วยเลี้ยง”
“อโมรี่แค่เรื่องแค่นี้เจ้าถึงกับต้องฝากให้คนอื่นเลี้ยงลูกเลยเหรอ”
“ก็....ก็การมาจัดการเจ้าแล้วมอบความสงบสุขให้ทั่วโลกมันสำคัญกว่านิ”
“อโมรี่ข้าจะสอนเจ้าไว้อย่างนึง”
จอมมารพูดพร้อมกับดึงคอเสื้อของ อโมรี่ เพื่อให้เธอได้ยินสิ่งที่เขาต้องการพูดอย่างชัดเจนที่สุด
“ต่อให้โลกมันจะแตกเจ้าก็ต้องห่วงลูกเป็นอันดับแรกสิเว้ย!!!! ”
พูดจบจอมมารก็โยนร่างของ อโมรี่ ทิ้งกับพื้นทันทีก่อนที่เธอจะบินขึ้นไปบนฟ้าด้วยปีกทั้ง 6 ของเธอก่อนจะก้มหน้ามามองพวกผู้กล้า
“ผู้กล้าดีอ้อนที่เจ้าว่า จะให้พวกข้าทำอะไร นั้นหนะข้าได้คิดเอาไว้แล้วหละ”
“....”
ผู้กล้าดีอ้อน กับ อโมรี่ เงยหน้ามองจอมมารราวกับรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ
“ตัวข้าจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าผู้กล้าขึ้นมาเองโดยลูกของพวกเจ้านั้นหละจะกลายมาเป็นผู้กล้าที่มีพลังพอที่จะฆ่าข้าได้ในอณาคต ”
“ล....ลูกของพวกเราเหรอ”
อโมรี่พูด เธอคิดถึงภาพหลังจากที่ลูกของเธอสามารถโค่นจอมมารลูกเธอคงจะต้องมีชื่อเสียงและเงินทองมากมายให้ใช้อย่างไม่หมดสิ้นและตระกูลเธอจะได้รับการยกย่องว่าเป็นตระกูลที่โค่นจอมมารได้
“ ลูกข้าเหรอ”
ดีอ้อนกำลังคิดภาพแบบเดียวกับ อโมรี่ อย่างแน่นอนและนั้นก็ไม่พ้นสายตาของคนที่อยู่มานานอย่างจอมมารแน่นอน
“ขออ้อนวอนต่อเทพอัศนีและเทพแห่งรัตติกาลขอให้ท่านมอบเศษเสี้ยวแห่งชัยชนะในพริบตาให้แก่เรา”
[วิชาสายฟ้า : ลูกอัศนีทมิฬ]
ลูกบอลสายฟ้าสีดำปรากฏขึ้นในมือของจอมมารก่อนที่มันจะพุ่งไปใสพวกผู้กล้าในทันทีและด้วยพลังของมันเลยทำให้ร่างกายของผู้กล้าดีอ้อนกับอโมรี่แหลกสลายไปในชั่วพริบตาโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องแห่งความเจ็บปวด
“เห้อ~”
“เรียบร้อยแล้วเหรอคะท่านจอมมาร”
ลิน่าถามโดยเธอสื่อสารกับจอมมารผ่านโฮโลแกรม ( แบบเดียวกับวิทยาการในโลกแฟรี่ หากแต่ของยุคนี้โบราณกว่าเล็กน้อย )
“อืม.....ลีน่าแล้วทางเธอหละ”
จอมมารเปลี่ยนศัพท์นามในการเรียกลูกน้องเพราะเอาจริงๆ แล้วเธอไม่ค่อยชอบพูดอะไรที่มันย้อนยุคมากนักเพราะมันเหมือนตอบย้ำอายุของเธอ
“คะ....ฉันได้ปล่อยข่าวเรื่องของผู้กล้าที่ตายด้วยฝีมือท่านแล้วก็ให้สายของเรามอบคำทำนายให้กับราชาผู้โง่เขลาแล้วว่าผู้ที่สามารถโค่นท่านได้มีเพียงเด็กที่เหมาะสมกับค่าผู้กล้าที่แท้จริง”
“แล้วสายของเราหละ”
“พวกหน่วยลับได้พาเธอกลับมาที่ประเทศของเราอย่างปลอดภัยแล้วค่ะ”
“ดี.....งั้นทีนี้ก็เหลือเพียงเรื่องเดียว”
“ทราบแล้วค่ะดิฉันจะรีบเตรียมเครื่องนั้นให้ท่านจอมมารอย่างเร็วที่สุด”
ลินายังคงเป็นสุดยอดเลขาของเธออย่างดีเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลงเพราะหล่อนรู้ว่าจอมารของเธอต้องการอะไรและเธอก็พร้อมสรรหามาให้ด้วยความจงรักภักดีเสมอ
“อืม.....ขอบใจ”
จอมมารบินไปทางหน้าต่างของห้องโถงเธอเห็นพวกกองทัพของมนุษย์กำลังล่าถอยไปเรื่อยๆ และทหารของเธอที่กำลังรักษาบาดแผลแต่สิ่งที่เธอสนใจคือดวงจันทร์สองดวงที่กำลังส่องแสงสว่างอยู่ในตอนนี้แม้จะเรียกว่าอีกมิติแต่มันก็คืออีกโลกที่บรรพบุรุษของเธอเจอด้วยความบังเอิญแล้วเข้ามาอาศัยที่นี้
“ดวงจันทร์นี่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งก็ยังคงสวยงามเหมือนเดิมเลยแฮะ”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
