ตอนที่ 38 : ตอนที่ 33 : When I Fall in LoVe
ตอนที่ 33 When I Fall in LoVe 28/04/2558
ท่ามกลางความทรงจำที่แสนจะเลือนรางในวัยเด็ก ความทรงจำที่ยังจำได้ติดตาคือ สีแดงฉานของเลือดและเสียงกรีดร้องโหยหวนของใครบางตน
“นะ หนีไป”เสียงที่แหบพร่าจนแทบจะเลือนหายไปถูกเค้นออกจากปากที่ฉ่ำไปด้วยเลือด ร่างสีขาวที่เคยสวยงามบัดนี้กลับถูกอาบย้อมจนแดงฉาน ไหล่ข้างหนึ่งยังคงถูกเขี้ยวคมกัดจนจม ฉีกขย้ำ สะบัดกระชากจนเลือดสีแดงสาดกระเซ็น ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโหยหวน ฝ่าเท้าทั้งสี่ข้างสั่นเทา เรี่ยวแรงอ่อนล้าแทบจางหายก่อนเจ้าของมันจะสบกับดวงตาสีดำคู่วาวโรจน์ กรามคู่ใหญ่กัดขย้ำลงยังคอเหยื่อที่หมดสิทธิอุทธรณ์ขอชีวิต ปลิดลมหายใจสุดท้ายให้หลุดหายออกจากร่าง
เจ้าของขาอันสั่นเทาหันหลังวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตท่ามกลางเสียงขู่กรระโชกที่ตามมาจากด้านหลัง ต้นหญ้าสูงขูดบาดไปตามแผ่นท้องขาวเนียน เส้นขนสองสีเปรอะไปด้วยเศษดิน ดวงตาสีน้ำตาลทอประกายหวาดกลัว สมองว่างเปล่าปราศจากคำสั่งการ ร่างกายวิ่งตามสัญชาตญาณที่บอกให้วิ่ง ต้องวิ่งไปเพื่อให้ตนเองอยู่รอด
กรร
เสียงขู่ดังมาพร้อมเสียงลมที่หวีดหวิวอยู่ข้างหู ร่างเอี้ยวหลบพ้นคมเขี้ยวแต่ก็แลกมาด้วยตัวที่ร่วงถลาไปในทางลาด เล็บที่ยังไม่ถูกฝึกให้คมจิกเกร็งแน่นเพื่อยึดเศษดินไว้ แต่เรี่ยวแรงและความอ่อนล้าก็ทำให้ปลายเล็บนั้นเลื่อนไถล ร่างร่วงลงไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือดวงตาสีดำของหมาปีศาจตัวใหญ่ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนฆ่าแม่ของข้าตายต่อหน้าต่อตา
แม้จะเชื่อว่าตัวเองตายไปแล้วแต่ความเจ็บปวดที่วิ่งเสียดแทงมาจากทั่วทั้งร่างก็ทำให้ข้ารู้ว่าตนเองยังไม่ตาย ร่างที่เล็กจนเหมือนซากขยะนอนนิ่งท่ามกลางความเย็นชื้นของพื้นดิน จมูกสีน้ำตาลอ่อนสัมผัสได้ถึงความชื้นก่อนที่ฝนแรกของการอยู่คนเดียวจะตกลงมา ความหนาวเย็นคืบคลานมาตามกลุ่มขนที่เปียกชุ่ม ขาที่อ่อนแรงทั้งสี่ข้างยันขึ้นอย่างสั่นเทาก่อนจะล้มลงไปพร้อมความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นจากแรงกระแทก ความพยายามครั้งที่สอง สาม สี่เกิดขึ้นตามมาติดๆ หลายครั้งที่อ่อนแรงจนล้มลงทั้งๆที่เพิ่งเดินไปได้แค่ 2 ก้าวแต่ในที่สุดข้าก็สามารถพาตัวเองไปหลบฝนในโพรงที่เล็กจนเหมือนโพรงหนูได้สำเร็จ
ความเย็นจากสายฝนที่สาดผ่านโพรงเล็กๆเข้ามาทำให้ทั้งกายหนาวเหน็บแต่ที่หนาวเหน็บยิ่งกว่าคือใจเมื่อไร้ผู้เคียงข้าง ผู้ที่เป็นแม่ แม้จะมีความทรงจำมากเท่าที่ลูกหมาตัวหนึ่งจะมีได้แต่มันก็เลือนราง เหลือเพียงภาพสีแดงฉานและความตายของผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งข้าเคยเรียกนางว่าแม่
ตัวข้าผู้เป็นลูกของนางนั้น หลังข้าเกิดพ่อที่ไม่เคยเห็นหน้าก็ถูกหมาปีศาจตัวผู้ตัวใหม่โค่นลงเพื่อขึ้นเป็นจ่าฝูง แน่นอนว่าตัวเมียทุกตัวเป็นสิทธิของจ่าฝูงตามกฎโบราณแสนคร่ำครึ ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น และอีก 1 กฎที่ต้องทำคือการฆ่าลูกของหัวหน้าตัวเก่า นางยอมตายเพื่อปกป้องข้า ช่างเป็นความอ่อนแอที่น่าสมเพช หากนางกล้าพอที่จะหนีออกมาตั้งแต่วันที่ชายผู้ได้ชื่อว่าพ่อข้าตาย หรือกล้าพอที่จะเก่งกล้ากว่านี้นางคงไม่ตาย นางตายเพราะความอ่อนแอของตนเอง ตายจากไปพร้อมกับความอบอุ่นข้างกาย ทิ้งข้าไว้เพียงลำพังท่ามกลางโลกที่โหดร้าย
เมื่อปราศจากไออุ่นข้างกาย ปราศจากคนหาอาหารให้สิ่งแรกที่ข้าต้องทำคือการเอาตัวรอดให้พ้นจากความอ่อนแอที่เกาะกุม การออกล่าครั้งแรงด้วยตนเองล้มเหลวไม่เป็นท่าเมื่อขาอ่อนทั้งสี่ข้างไม่อาจวิ่งทันลูกกระต่าย ข้ามันอ่อนแอ ท้องที่ส่งเสียงประท้วงด้วยความหิวทำให้ข้าพยายามอีกหลายๆครั้ง หลายๆครั้งอย่างคนอ่อนแอที่น่าสมเพช ความหิวจนตาลายทำให้ข้าล่าหนูตัวน้อยที่วิ่งผ่านมาได้สำเร็จ กลิ่นเหม็นสาบของมันช่างน่าสะอิดสะเอียน แต่ก็ต้องกล้ำกลืนอาหารมื้อแรกที่หาได้ด้วยตนเอง หนูสกปรกจาก 1 เป็น 2 นานนับอาทิตย์ที่หมาปีศาจอย่างข้าต้องจับหนูตัวสกปรกเป็นอาหารประทังชีวิต ทุกครั้งที่กินพวกมันข้าได้แต่สาปแช่งความอ่อนแอของตัวเอง ก่อนจะยิ้มร่าเมื่อจับกระต่ายตัวแรกได้สำเร็จ
แต่มันก็แค่ความสำเร็จจอมปลอมที่ไม่สามารถชื่นชมได้นาน เมื่อกระต่ายตัวที่สองของข้าโดนแย่งไปจากอุ้งเท้าด้วยนักล่าอีกตัวที่ตะปบข้าจนกระเด็นติดต้นไม้ ความเจ็บปวดที่เพิ่งห่างหายพุ่งขึ้นมาตามร่าง ดวงตาของข้าวาวโรจน์ก่อนจะกระโจนเข้าหาศัตรูที่ตัวใหญ่กว่าเกือบ 2 เท่า คมเขี้ยวของข้าฉีกกระชากช่วงไหล่มันในขณะที่เขี้ยวของมันกระชากขาข้าแทบขาดแต่ท้ายที่สุดข้าก็ได้ชัยชนะ ชัยชนะที่มาพร้อมเลือดที่อาบร่าง ข้ากินเนื้อมันเป็นอาหาร เลือดที่หวานและหอมหวนด้วยชัยชนะอาบร่างของข้าจนแดงฉาน ข้าผู้ได้ชัยชนะต้องนอนซมไปอีกหลายวันและต้องกลับไปกินหนูสกปรกประทั่งชีวิตอีกครั้ง ศัตรูตัวนั้นมันสอนให้ข้ารู้จักสู้ รู้จักความยินดีในชัยชนะและความเจ็บปวดของการพ่ายแพ้
ข้าออกเดินทางไปเรื่อยๆเพียงลำพัง การเดินทางสอนให้ข้ารู้จักอาหาร การพบปะผู้อื่นสอนให้ข้ารู้จักประมาณตน กาลเวลาทำให้ข้ากร้าวแกร่งและแข็งแรง ร่างกายขยายขนาดใหญ่โตขึ้น กำยำด้วยกล้ามเนื้อ แต่ชีวิตอันโดดเดี่ยวทำให้ข้าลืมสิ้นซึ่งการพูดคุย จนกระทั่งเจอนาง นางหมาปีศาจที่มีกายสีทองสง่า ตัวที่เล็กกว่าข้ากว่าครึ่ง
ข้าไม่ได้สนใจนางไปมากกว่าผู้คนที่เคยพบพานแบบทั่วไป แต่นางกลับขยันที่จะวนเวียนมาหาข้า คอยพูดคุย คอยถามคำถามมากมายกับข้าและหนึ่งในคำถามมากมายพวกนั้นคือถามว่าข้าชื่ออะไร ข้าเข้าใจที่นางพูดเพราะเหมือนเมื่อนานมาแล้วเคยมีสตรีนางหนึ่งพูดคุยกับข้าด้วยการออกเสียงแบบนี้ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้ออกเสียงจึงลืมเลือนไปแล้วซึ่งการพูดคุย ท้ายที่สุดความพยายามของนางก็สำเร็จผลเมื่อข้ามาเยือนที่ฝูงของนางตามที่นางต้องการ ฝูงที่มีจ่าฝูงเป็นหมาปีศาจสีดำตัวใหญ่ผู้มีดวงตาสีเงินสว่าง การเข้ามาของข้าทำให้ข้าได้พบกับหมาปีศาจที่ข้าสามารถบอกชื่อของตนได้เป็นครั้งแรก
ชีวิตอันโดดเดี่ยวของข้าเริ่มมีสีสัน หัวใจที่เงียบงันเริ่มเต้นกระหน่ำเหมือนมีชีวิต ร่างที่เคยเดิน 4 ขามาตลอดหัดที่จะเดิน 2 ขา หัดที่จะทำหน้าสงสัยเมื่อเห็นสตรีนางหนึ่งหน้าแดงเมื่อเห็นข้าในร่างมนุษย์ครั้งแรก นางเกาะติดข้าก่อนจะกลายเป็นข้าที่เริ่มเกาะติดนาง แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานเท่าไหร่ เปลี่ยนฝูงไปอย่างไรแต่กฎโบราณคร่ำครึก็ยังคงได้รับการสืบทอดเหมือนโรคร้าย ไม่นานเมื่อนางโตเป็นสาวสะพรั่ง วันนั้นก็มาถึง วันที่นางต้องเป็นของจ่าฝูง ประโยคแรกที่ข้าพูดกับนางคือ
“หนีไป กับ ข้า...”
แต่ประโยคของข้ากลับได้รับน้ำตาเป็นสิ่งตอบแทน นางหลั่งน้ำตาก่อนจะหันหลังจากไปกลายร่างเป็นนางหมาปีศาจขนสีทองที่แสนสง่า ถูกจ่าฝูงตัวใหญ่เสพย์สมต่อหน้าข้าที่นางพร่ำบอกว่ารัก ความรักคืออะไร ความเจ็บปวดที่อกซ้ายมันคืออะไรข้าตัดสินใจยืนขึ้นอีกครั้งพุ่งกระแทกเจ้าหมากักขฬะจนล้มกันไปทั้งคู่ ทอดมองนางที่เคยบอกรักข้าทำตัวอ่อนแอเหมือนใครอีกตัวที่ข้ารู้จัก จัดการพวกตัวผู้ที่พุ่งเข้าหาและเผ่นทะยานออกมานอกฝูงอีกครั้ง แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือมีใครอีกคนตามข้ามาด้วย
“ไง ข้าบอกชื่อตนเองแกเจ้าไปแล้วหลายรอบ ข้าชื่อเยอร์เซ็พ คราวนี้ข้าแหกคอกออกมากับเจ้า เจ้าจะบอกชื่อตนกับข้าได้หรือยัง”
“ข้า ซาเวียร์”ครั้งแรกที่ข้าบอกชื่อตนเองกับคนอื่น ชื่อที่สตรีนางหนึ่งเรียกข้าครั้งแรกเมื่อข้าลืมตา ชื่อที่ข้าไม่ได้บอกกับใครแม้แต่หญิงที่บอกว่ารักข้า แต่ข้ากลับบอกมันกับใครอีกคนที่วิ่งฝ่าดงเขี้ยวออกมาพร้อมข้า การเดินทางเพียงลำพังสิ้นสุดลง ข้าอบอุ่นเมื่อมีคนข้างกาย มีใครอีกคนคอยระวังภัย มีใครอีกคนสอนข้าพูดภาษาแบบมนุษย์จนมันเองก็กลายเป็นพวกพูดเยอะขึ้น สอนข้าใช้ชีวิตแบบมนุษย์ เจ้าหมาที่ข้าเรียกได้เต็มปากว่าเพื่อน เพื่อนที่แข็งแกร่งทัดเทียมกัน แต่แน่นอนว่าใจข้ายังหนาวเหน็บและว่างเปล่า ช่องว่างที่เหมือนจะขยายกว้างกว่าเดิม
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่มาถึงเมื่อเราทั้งคู่เจอฝูงใหม่ แต่ฝูงนี้ต่างออกไป ความแปลกประหลาดทำให้เราตัดสินใจจะซุ่มดู กลุ่มที่ปักหลักและใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์มากกว่าทุกกลุ่ม ย้ายถิ่นฐานเพียงนานๆครั้ง ปักหลักใกล้แหล่งน้ำเพื่อจับปลาทำอาหารเลี้ยงตนเอง ป้องกันตนเองด้วยกองกำลังพวกตัวผู้ ในวันหนึ่งที่ฝูงโดนบุกเป็นข้ากับหมาอีกตัวที่ข้าเรียกว่าเพื่อนกระโดดออกไปช่วยและนั้นทำให้ข้าได้รู้จักกับชายที่ชื่อว่าทิเบอริส จ่าฝูงที่มีร่างใหญ่โตแต่กลับกระทำแตกจากจ่าฝูงทั่วไป ความแปลกประหลาดนั้นทำให้ข้าเฝ้ามองห่างๆ หาอาหารเลี้ยงตนเองไปท่ามกลางการเฝ้ามองฝูงใหม่นั้น
ในวันหนึ่งชายคนนั้นได้เดินเข้ามาพร้อมบางอย่างในมือ
“เนื้อกวางย่าง ลองกินสิ ย่างไม่สุกนักหรอกถือว่าตอบแทนที่พวกเจ้าช่วยข้าเมื่อวันนั้น”พูดแบบนั้นแล้วก็เดินจากไปทั้งร่างมนุษย์ ปราศจากการป้องกันที่หากตะปบเพียงครั้งเดียวคออาจขาดได้ นั้นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลิ้มลองอาหารอื่นๆนอกจากเลือดสดๆและเนื้อดิบๆ มื้อแรกนั้นทำให้ข้ากับเยอร์เซ็พเข้าร่วมฝูงใหม่ ฝูงที่มีจ่าฝูงชื่อทีเบอริส ฝูงที่จ่าฝูงไม่ทำตามกฎบ้าๆแสนโบราณนั้น จ่าฝูงที่พูดว่า
“...คิดซะว่าที่นี้เป็นที่พักอาศัยแล้วกัน มันอาจไม่ได้ดีจนเรียกได้ว่าเป็นบ้านแต่หากเหนื่อยและอยากพักก็มาที่นี้ได้เสมอ ข้ายินดีต้อนรับพวกเจ้าในฐานะสหาย..”และในที่แห่งนั้นเยอร์เซ็พก็ได้พบกับผู้ที่มันเรียกว่าคู่ ในฐานะเพื่อนข้ายินดีที่สหายได้พบกับคู่ของตนเอง เจ้ามนุษย์สีผิวขาวเหลืองตัวเล็กผอมที่มีวิธีการรักษาที่ประหลาด ความจริงเจ้านั้นไม่ใช่มนุษย์คนแรกของที่นั้น มีอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วอีกคน แต่ข้าไม่ได้สนใจ เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์ยังไงซะก็อ่อนแออยู่ร่ำไป
วันเวลาของข้าผ่านไปอย่างเรียบเรื่อย มีความอบอุ่นข้างกายมากขึ้นแต่ใจข้ายังคงไม่อบอุ่น แม้จะมีสตรีมากกมายเมียงมองมาแต่ข้ากลับไม่สนใจเพราะพวกนางเหล่านั้นล้วนอ่อนแอ ความอ่อนแอที่ข้าแสนเกลียดชัง จนกระทั่งวันหนึ่งที่ข้าได้พบกับเขา ชายผู้หนึ่งที่นั่งทับอยู่บนเข่าตัวเอง ตัวอาบไปด้วยเลือด ร่างโงนเงนจนแทบจะพยุงตัวไม่อยู่แต่มือกลับไม่ปล่อยดาบเล่มสั้นนั้น ดวงตาสีเทาคู่นั้นมองตรงมาที่ข้ามันปราศจากความลังเล ปราศจากความหวาดกลัวมีเพียงความมุ่งมั่นที่ทำให้ใจข้ากระตุก ก่อนที่ร่างทั้งร่างของมันจะล้มโครม
นั้นเป็นครั้งแรกที่ใจข้ากระตุกเพราะใครบางคน ความรู้สึกที่ไม่ได้พบเจอมานานทำให้ข้าเริ่มสงสัยแม้ทั้งร่างจะอาบไปด้วยเลือดแต่ข้ากลับได้กลิ่นมนุษย์โชยออกมาชัดเจน มนุษย์ที่จ้องข้าโดยไม่หลบตาไม่เคยมี แต่ตอนนี้ข้าพบแล้ว
ครั้งที่สองกลางลานประชุมเป็นอีกครั้งที่ข้าอดแปลกใจไม่ได้เมื่อร่างกายนั้นเคลื่อนไหวต่อสู้ไปรอบๆวง การเคลื่อนไหวร่างกายที่เป็นจังหวะและแสนจะมีเสน่ห์ชวนมอง สะกดสายตาข้าให้จับจ้องอยู่เพียงคนๆเดียวท่ามกลางฝูงหมาปีศาจแต่เพราะความอ่อนแอของร่างกายนั้นทำให้พลาดท่าและเป็นข้าที่ถลาเข้าขวางและออกปากขอดูแลเพื่อเยื้อชีวิตอ่อนแอนั้นเอาไว้ ความสับสนนั้นวนเวียนในหัว ทั้งๆที่รู้ว่าอ่อนแอแต่ทำไมข้ายังสนใจสะดุดตาได้ขนาดนั้น มันทำให้ข้าละสายตาไปไม่ได้จนต้องมองอยู่ห่างๆ
ร่างกายที่อ่อนแอนั้นแข็งแรงขึ้นตามลำดับ อยู่อาศัยและเคลื่อนไหวรวมกลุ่มไปได้อย่างแนบเนียน แต่ถึงแบบนั้นก็แสนจะดึงดูด มีหลายตัวที่จับตาดูอย่างใกล้ชิดแบบที่ข้าไม่ชอบใจจนต้องเดินออกไปทัก การออกไปทักของข้าทำให้เจ้านั้นร่วงลงมาจากหลังคา ข้าเบิกตากว้างมองคนที่ห้อยต่องแต่งแต่กลับไม่ตกลงมาด้วยความสนใจ ร่างกายตอบสนองเป็นเยี่ยมแถมปากยังร้ายสุดยอด ข้าตัดสินใจอีกครั้งว่าจะจับตาดูอย่างใกล้ชิดแต่ก็ทำได้ไม่นานเมื่อถูกเยอร์เซ็พลากออกไปลาดตระเวนเพราะมันเป็นเวรข้า แต่การลาดตระเวนที่แสนน่าเบื่อนั้นก็จบลงเมื่อข้าได้กลิ่นเลือดและได้ยินเสียงปืน
ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ออกวิ่งสุดฝีเท้า กลิ่นจางๆที่ลอยมาตามลมทำให้ข้าออกออกแรงวิ่งเพื่อทิ้งระยะห่างเยอร์เซ็พที่ตามมาไม่ห่างช่วง เวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ข้าพุ่งชนใครบางคนที่เริ่มมีกลิ่นกายอันคุ้นเคยก่อนจะออกแรงคาบขึ้นบนหลังแล้ววิ่งหายไป ทิ้งซากศพมนุษย์พวกนั้นไว้ด้านหลัง ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแต่ข้ากลับเชื่อว่าหากปล่อยมนุษย์ที่ชื่อว่าคาโลเอาไว้ตรงนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่
ช่วงเวลาที่คนตรงหน้าหลับทำให้ข้าได้พิจารณามันอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรก ทั้งเส้นผมสีทองแสนนุ่มมือที่มีกลิ่นแบบที่ข้าชอบ หน้าผากเกลี้ยงเกลา ผิวที่ขาวเหมือนพวกทางเหนือ จมูกโด่งๆ ริมฝีปากสีส้มที่แสนนุ่มมือ ไรหนวดจางๆที่ทำให้คนตรงหน้าดูหล่อเหลา งดงาม ช่วงคอยาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วงไหล่กว้างที่แข็งแรงลงตัวได้รูปสวย แต่ชื่อบางคนที่ออกจากปากบางนั้นกลับทำให้ข้าชะงักก่อนจะโดนผู้ที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ต่อย มนุษย์คนแรกที่กล้าต่อยข้าและมันเจ็บน่าดู
การพูดคุยกับใครคนนั้นทำให้ข้าทั้งสนใจและหมั่นไส้ไปพร้อมกัน ริมฝีปากสีส้มที่ได้ครอบครองเพียงชั่วขณะกลับทำให้ใจเต้นกระหน่ำ โหยหาความนุ่มหยุ่นที่ได้สัมผัส เวลามันน้อยเกินไป ข้าอยากได้มากกว่านี้ อยากครอบครองมากกว่านี้
เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเพราะการรุกรานจากมนุษย์ภายนอกทำให้ทั้งกลุ่มหวาดหวั่นแต่ความหวาดหวั่นนั้นไม่ใช่จากภัยภายนอก แต่เป็นภัยจากภายในที่มองไม่เห็นต่างหาก ทีเบอริสฉลาดและมองการณ์ไกล แต่เมื่อเขาไม่มีคำสั่งข้าก็ไม่จำเป็นต้องสอดจมูกเข้าไปยุ่ง เพียงแต่วินาทีที่ใครบางคนกระโดดเข้ามายุ่งมันกลับทำให้ใจข้าสั่นไหว สั่นไหวเพียงได้กลิ่นกายที่คุ้นเคย สมองข้าจดจ่อกับสถานการณ์วุ่นวายของพวกมนุษย์และพวกตัวเมียแต่ใจข้ากลับวิ่งไปอีกทาง และเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดมาจากทิศทางที่ใจใฝ่หาข้าก็วิ่งเต็มแรง เมื่อเห็นว่าใครคนนั้นต่อสู้อย่างห้าวหาญมันกลับทำให้หัวใจพองโตด้วยความปลาบปลื้มก่อนจะฝ่อลงเมื่อเห็นพวกลอบกัด ร่างกายที่เคลื่อนไหวไปเองทำให้ข้าเอาตัวเองบังทางกระสุนพวกนั้น แม้จะเจ็บกายแต่พอได้เห็นดวงตาสีเทานั้นทอประกายห่วงใยมันกลับทำให้หัวใจที่เคยเย็นเฉียบนั้นอบอุ่น หากข้าจะขอยึดความอบอุ่นนี้ไว้กับตัวมันจะได้หรือไม่
ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับมนุษย์คนนั้นมันทำให้ข้าไม่เหงา ทำให้หัวใจข้าอบอุ่นแต่ชื่อของ อเรสซิโอจากปากสีส้มนั้นกลับเหมือนหนามแหลมที่คอยทิ่มแทงและข้ากลับปัดมันออกจากหัวได้ในวินาทีที่ได้ครอบครองร่างนั้น ร่างกายที่สวยงาม กลิ่นกายที่ข้าหลงใหล ความสมบูรณ์แบบและความแข็งแกร่งที่ถูกข้ากลืนกลิ่นอย่างตะกุกตะกลาม เติมเต็มร่างกายและหัวใจที่ว่างเปล่าของข้าได้อย่างท่วมท้นจนล้นปรี่ มันเป็นวินาทีที่ข้ากล้ายอมรับกับตัวเองว่าข้าชอบทุกอย่างที่กำลังเป็นอยู่ ชอบผู้ชายที่นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดข้า ข้ากำลังหลงใหลร่างกายนี้ หลงใหลจนกระทั่งคลั่งไคล้ในตัวคนๆนี้ อยากอยู่ใกล้ อยากมองเห็น อยากได้กลิ่น อยากอยู่แบบนี้ มีชายคนนี้ในอ้อมกอดไปเรื่อยๆและหากสิ่งที่ข้าเป็นมันเรียกว่ารัก ข้าคงตกหลุมรักชายคนนี้จนหมดหัวใจ
วินาทีที่ข้าแน่ใจว่ารักก็เป็นดั่งวินาทีที่เหมือนตกนรกเพราะชายคนที่ข้าเพียงเคยได้ยินชื่อ ชายที่คาโลมักละเมอถึงออกมาและเป็นชายคนสำคัญของคนที่ข้ารัก อเรสซิโอ ข้าเกลียดมัน เกลียดจนอยากฆ่าให้ตายด้วยมือคู่นี้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ แม้จะอยากอาละวาดให้สาสมกับความทรมานในอก แม้จะอยากหนีไปให้ไกลจากคนที่ทำให้ข้ารู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์และตกนรกได้ในเวลาเดียวกันแต่ข้าก็ทำไม่ได้ เพียงแค่ดวงตาสีเทาคู่นั้นมองมาที่ข้าด้วยความอ่อนโยนข้าก็พ่ายแพ้ทุกอย่าง พ่ายแพ้กับความพยามอันแสนจะอ่อนแอของตนเอง ข้ายอมก้มหน้ารับกับความขมขื่นเพื่อแลกกับเวลาแห่งความอบอุ่นและความสุขที่เคยได้รับ โดยหวังว่าสักวันข้าได้รับความสุขที่แท้จริงเสียที
แต่วันนั้นมันไม่เคยมาถึง และอาจไม่มีวันมาถึง แม้คาโลจะยอมให้ข้ากอด ยอมอยู่ในอ้อมแขนข้าแต่บ่อยครั้งที่ดวงตาแสนสวยคู่นั้นกลับทอดมองไปยังสถานที่ห่างไกล ทอดมองไปยังใครบางคนที่ข้าไม่มีสิทธิห้ามปราม เจ้าอาจไม่รู้แต่ข้าทรมานทุกครั้งที่เห็นสายตานั้นจากเจ้า เพราะช่วงเวลานั้นใจเจ้าไม่ได้เป็นของข้า สิ่งที่ข้าทำได้คือกอดเจ้าได้เพียงกายแต่กลับไม่ถึงหัวใจ ข้าอาจจะเป็นหมาโง่งมตัวหนึ่งที่หลงวนเวียนอยู่ในความเมตตาเพียงน้อยนิดที่เจ้ามอบให้ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง อยากหนีเพียงไหนก็ทำไม่ได้เพราะทุกครั้งที่พยายามจะตัดใจก็เป็นเจ้าเองที่ดึงข้ากลับมา แค่ความพยายามเพียงน้อยนิดของเจ้าก็ทำให้ข้ายอมสยบแทบเท้า หรือจะเป็นข้าเองที่อ่อนแอเกินกว่าจะเดินจากเจ้าไป ขอเพียงเจ้าเมตตาข้าสักนิดข้าก็พร้อมจะอยู่ข้างเจ้า จนกว่าวินาทีที่เจ้าไม่ต้องการ แม้การอยู่ข้างเจ้ามันจะหมายถึงความสุขที่แสนทรมาน แต่ข้าก็จะทำแม้มันจะหมายถึงการทรยศต่อคนทั้งโลกก็ตามขอเพียงเจ้ามองมาที่ข้าบ้าง
คำภาวนาของข้าไม่เป็นจริง สิ่งที่เจ้ามอบให้ข้าคือเศษเสี้ยวแห่งความสงสาร ที่เจ้ามอบให้กับหมาตัวหนึ่ง หมาโง่งมที่หลงรักความแข็งแกร่ง ความสดใส ความเป็นตัวเจ้าจนหมดหัวใจ และแล้ววินาทีที่ข้าหวากลัวที่สุดก็มาถึง วินาทีที่เจ้าไม่ต้องการข้า
แม้การอยู่กับคาโลมันจะทำให้ข้าทั้งสุขและทุกข์ไปในคราวเดียวกันแต่มันก็เป็นความสุขที่ข้าต้องการ และความทุกข์ที่ข้ายอมรับได้ แต่ทุกอย่างมันเริ่มเลวร้ายเมื่อคาโลต้องการจะกลับไป กลับไปยังที่ๆเขาจากมา กลับไปหาใครคนนั้น
คาโลมีความมุ่งมั่นและตั้งใจสูง เรื่องนั้นข้ารู้ดีและชื่นชอบมันเสมอ แต่ความมุ่งมั่นที่จะกลับไปหาใครคนนั้นมันให้ข้าแสนเกลียดและหวาดหวั่น ข้าหวั่นว่าหากกลับไปแล้วเขาจะลืมเลือนข้า หลงลืมหมาโง่ๆตัวหนึ่งที่หลงรักเขาอย่างงมงาย ข้าอยากเยื้อเขาเอาไว้ อยากทำทุกอย่างเพื่อเยื่อเอาไว้แต่ข้ากลับทำไม่ลง แค่เห็นความพยายามในดวงตาคู่นั้น เห็นความผิดหวังเมื่อหนทางกลับนั้นแสนริบรี่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก ข้าพูดไม่ได้ ขอร้องให้เขาอยู่กับข้าไม่ได้ทำได้เพียงปล่อยให้เขาไป และตามติดเขาไปเหมือนหมาโง่ ด้วยความปรารถนาเพียงขอให้ทุกอย่างเป็นเหมือนเดิมแม้จะเจอใครคนนั้น
และแน่นอนที่ความปรารถนาของข้าไม่เป็นจริงอีกครั้ง คาโลยินดีที่ได้กลับไปแต่ข้ากลับเศร้าตรม ข้ายินดีที่เห็นเขาอยู่ตรงหน้าแต่ก็ทรมานเมื่อเขามองข้าอย่างไม่เข้าใจ ดวงตาสีเทาคู่นั้นเบิกกว้าง มันมองตรงมาที่ข้าเหมือนข้าเป็นตัวประหลาด เขาไม่ตอบคำถามข้าเช่นเคยเป็น เหมือนเขาไม่เข้าใจ
สิ่งที่ข้าคิดมันเป็นจริง คาโลไม่เข้าใจข้า เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดอีกต่อไปแล้ว ความจริงที่ได้รับรู้มันทำให้ข้ารู้สึกว่าตนเองนั้นช่างแตกต่าง คาโลมีโลกที่เขาแสนคุ้นเคย โลกอันสมบูรณ์แบบมีคนที่เขารัก มีคนที่รักเขาซึ่งมันไม่มีข้า ข้าพยายามแล้วที่จะสื่อสาร พยายามแล้วที่จะเข้าใกล้แต่กลับเป็นเขาเองที่ถอยห่างจากข้าไป ไปอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน ใครอีกคนที่เจ้าสวมกอดเขาด้วยความยินดีและหมางเมินหนีจากข้า แม้ท่าทางเจ้าจะเหมือนเดิมแต่แววตาเจ้ากลับไม่เหมือน แม้อาหารมื้อนั้นที่เจ้าทำให้ข้าทานจะเลิศรสเพียงใดแต่สิ่งที่ลิ้นข้าสัมผัสได้คือความขมปร่าและสากระคายยิ่งกว่าเนื้อหนูสกปรกที่ได้กินครั้งแรก
ข้าพยายามเข้าหาเจ้าอีกครั้ง อธิบายบอกเจ้าเป็นร้อยพันตะโกนบอกรักเจ้าเป็นล้านครั้งแต่เจ้ากลับไม่ได้ยิน เพียงแค่คิดที่จะคว้าเจ้ามาอยู่ในอ้อมกอดเหมือนเคยกลับเป็นเจ้าที่เอาเจ้ามัจจุราชสีดำจ่อมาที่ข้า น่าแปลกที่ข้าไม่ได้กลัวมันหากยินดีรับมันด้วยความเต็มใจ อย่างน้อยการได้ตายด้วยมือเจ้ามันคงรู้สึกดีมากกว่าการอยู่โดยถูกเจ้าหวาดกลัว เจ้าหวาดกลัวข้าเสียแล้ว ทำไมต้องกลัวข้าหละ ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้าหรอกคาโล ข้าไม่มีวันทำร้ายดวงใจของข้าได้
แต่ความในใจของข้ามันก็ไม่สามารถสื่อไปถึงเจ้าได้อีกแล้ว ไม่ได้อีกต่อไป เจ้าวิ่งหนีข้าเหมือนข้าเป็นสิ่งที่น่ารังเกลียดแม้ข้าจะนั่งรอเจ้าอยู่ตรงนั้นเจ้าก็ไม่ย้อนกลับมา ข้าแพ้แล้วงั้นเหรอ หัวใจที่เจ็บจนแทบร้าวรานสั่งให้ข้าไปหาเจ้าแต่ภาพความสนิทสนมที่เจ้าให้กับทุกคนยกเว้นข้ามันยิ่งทรมานแต่มันเทียบกันไม่ได้เลยกับสิ่งที่ข้ากลัวที่สุด เจ้าไม่ต้องการข้าอีกต่อไป เจ้าออกปากไล่ดังเช่นที่หวาดหวั่น ดวงตาคู่นั้นไม่สะท้อนภาพของข้าอีกแล้วแม้ข้าจะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า ข้าพ่ายแพ้แล้วให้กับความอ่อนแอของตนเอง พ่ายแพ้แล้วให้กับความแข็งแกร่งของเจ้าที่แม้จะไม่มีข้าเจ้าก็ยังคงเปล่งประกายน่าหลงใหล เป็นข้าเองที่หวังไปเพียงลำพัง ขอให้เจ้ารักข้าบ้าง แต่ความหวังนั้นก็ไม่เคยเป็นจริง เจ้าไม่เคยรักข้าสินะคาโล
สวัสดียามค่ำคะนักอ่านทุกท่านได้เวลาส่งตอนใหม่กันอีกครั้งแล้ว
สำหรับตอนใหม่นี้ก็ยังคงเป็นการส่งความหน่วงอย่างต่อเนื่อง เป็นการเล่าเรื่องในส่วนของซาเวียร์ อธิบายความเป็นไปในใจของพ่อหมาทั้งปมต่างๆของเจ้าตัวและความรู้สึกที่มีต่อคาโล หวังว่านักอ่านทุกท่านจะยังพอมีทิชชู่เหลือจากการซับน้ำตานะคะ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าคะ
ปล. นิยายเรื่องนี้จัดทำเป็นรูปเล่มแล้วนะคะ สามรถสั่งจองกันได้ที่ ตอนที่ 36 อย่าลืมนะ
ตอบ Comment (10/05/2558) 288
key13 ช่วงนี้คือเวลาเรียกคะแนนสงสารของพ่อหมาเขาหละ
ปล.นักอ่าน...Inwcool เพราะcommentนี้ทำให้นางมารจัดการrewrite ตอนนี้ใหม่เพราะอ่านรอบแรกมันก็โอเค อ่านรอบสองมันไม่เศร้ายังไงไม่รู้เหมือนที่ นักอ่าน...Inwcool บอกเลยลองปรับใหม่ดูชอบไม่ชอบยังไงติชมกันได้นะคะ
ปล2. อืม หน้าอัพเดทนิยายแบบใหม่งั้นเหรอมันใช้ยังไงหละเนี่ย
ปล3. เนื่องจากช่วงกลางเดือนมิถุนายนนางมารจะกลับต่างจังหวัดจึงไม่สะดวกในการรับโอนเงินด้วยประการทั้งปวงประกอบกับการรอปกเล่มสองที่นางมารดันติดต่อไปช้าทำให้ทุกอย่างล่าช้าไปนิดหน่อยจึงขอเลื่อนกำหนดการจองและการโอนออกไปดังนี้คะ
จองเรื่อง วันที่ - 5กรกฏาคม
โอนเงิน 15 มิถุนายน - 5 กรกฏาคม
ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้่คะ
เอ่อ....แลดูเศร้าเนาะ
ไม่รู้จะสงสารดีรึเปล่า....สับสนอ่ะ คือแบบ จะเศร้าก็เศร้าอ่ะนะแต่...มันดูไม่ค่อยเศร้า
...เอ๊ะยังไง