ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ในนามของความรัก

    ลำดับตอนที่ #2 : การเผชิญหน้า

    • อัปเดตล่าสุด 29 ต.ค. 48






                          เสียงของแพรวาดังแว่วๆ เหมือนเสียงสะท้อนในหุบเขา กลิ่นยาดมท่านเจ้าคุณโชยฉุนเข้าจมูก สิ่งที่เพื่อนนางเอกของเราฉวยเอามาเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากเพิ่มความสมจริง คือปฏิทินตั้งโต๊ะ เธอตั้งอกตั้งใจกระพือลมใส่หน้าเชิญขวัญ ในระยะที่เส้นผมสามารถสะบัดตามได้ไม่ยาก



    แต่หญิงสาวผู้ถูกศรรักปักกลางแสกหน้า ก็ยังไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว จนถูกบีบขากรรไกรให้อ้าปากแล้วโดนปากกายัดเข้าไปนั่นแหละ คนที่ตกภวังค์จึงได้สติ



    “บ้าเรอะวา….ทำอะไรเนี่ย!”



    “ก็เธอทำท่าจะชัก ชั้นก็กันไว้ก่อน…อย่างที่เธอเคย….ไง” แพรวาพูดหน้าตาเฉย พร้อมจับลูกคางเพื่อให้หันมา ทำท่าจะยัดซ้ำ สายตาก็จ้องเป๋งที่ตาเพื่อน



    เธอจ๋า…ที่จริงแล้ว แพรวา น่ะรู้ทั้งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของตน แต่เธอคิดว่าเหตุผลที่ว่า “เพื่อนหนูตกหลุมรักกะทันหันค่ะ” จะใช้เป็นข้ออ้างกับพวกผู้ใหญ่ได้หรือ…โดยเฉพาะพวกผู้ใหญ่ที่วันๆ ต้องนึกถึงกฎเกณฑ์และเหตุผลอยู่ทุกลมหายใจ



    และ…แน่นอน เมื่อนางเอกของเราได้สติ เธอก็รู้เท่าทันความนัยในสายตาของเพื่อนเช่นกัน ถึงมันจะไม่แนบเนียนนัก แต่อย่างน้อยก็อาจทำให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานีทั้งหลายที่รายล้อมอยู่นี่ มีอะไรสักอย่างไปรายงานเบื้องบน



    “คงเป็นลมแดดละมั้งเนี่ย….” เสียงเหมือนผู้ใหญ่ใจดี เริ่มเห็นดีเห็นงามกับเหตุผลทางสุขภาพ



    “ค่ะ…ดูสิ หน้างิแดงเชียว…ชั้นบอกเธอแล้วให้ส่งถุงมา ชั้นจะถือเองก็ไม่เชื่อ”



    แล้วก็มีเสียงอือออเห็นด้วยดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน



    เชิญขวัญนึกในใจว่าอะไรจะสมจริงปานนั้น หน้าฉันแดงจริงๆ หรือเนี่ย เอาเถอะๆ ทำท่าวิงเวียนศรีษะอีกสักหน่อย แล้วค่อยได้สติก็แล้วกัน



    สถานการณ์ท่าทางจะดีขึ้น หลังจากที่หลายคนเห็นจริงเห็นจังไปกับอาการของสาวน้อย แว่นตาค่อยถูกสวมคืนให้ช้าๆ ทำให้รู้สึกว่าได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งจริงๆ



    อันที่จริง การหาทางออกด้วยการ “ปั้นเรื่อง” เช่นนี้มักจะมีเกิดขึ้นเสมอๆ ในเรื่องที่เล่าเกี่ยวกับความรักทั่วๆ ไป แต่จะต้องเป็นเรื่องเล่าที่สะท้อนภาพความจริงเท่านั้นนะจ๊ะ



    …เพราะถ้าเป็นเรื่องราวพาฝันแล้วหละก็ การโกหกคนรักจะเป็นเหมือนตราบาปเลยทีเดียว



    …ทั้งๆ ที่ ในโลกของความเป็นจริง คนที่รักกันจริงๆ เขามักจะพยายามทำให้คนที่ตนรักสบายใจไว้ก่อนเสมอ…



    ส่วนจะมาสารภาพความจริงกันตอนไหนเมื่อไหร่ ก็เป็นอีกเรื่องนึง



    เอาเถิด ฉันหวังว่าเธอคงให้อภัยนางเอกและผู้ช่วยนางเอกของเรา อย่างไรเสียสาวน้อยทั้งสองคนนี้ก็ยังเป็นคนธรรมดา….เป็นคนธรรมดาที่ตกหลุมรัก เป็นคนธรรมดาที่มีเพื่อนกำลังตกหลุมรัก และทั้งสองคนก็รักกันมาก มากเสียจนยอมทำอย่างที่ฉันเล่ามานี่ได้



    แต่ฉันก็ไม่สนับสนุนให้ใครริทำอย่างนั้นนะ

    ……..

    ……..

    ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ



    กว่าทั้งคู่จะออกมาจากห้องนั้นได้ ก็กินเวลานานพอสมควร นานพอที่จะทำให้เชิญขวัญเลิกหวังว่าจะได้เจอเขาอีกครั้ง



    “นายนั่นมันเป็นใคร เจ้าหนี้เธอเรอะ” น้ำเสียงของแพววาเปลี่ยนไปทันทีที่ก้าวพ้นประตู



    “ก็ เปล่านี่ ก็ ฉันก็เป็นลมไง เป็นลมแดดอย่างที่เธอว่า” คนถูกถามตอบหน้าตาเฉย



    “เฮอะ!” เจ้าของเสียงไม่พอใจหยุดกึกเอาดื้อๆ จนเชิญขวัญหันไปมองหน้า “บอกมาดีๆ ว่านายนั่นน่ะ มันเป็นใคร” เพื่อนนางเอกย้ำคำถาม พร้อมใช้สายตาพาให้เชิญขวัญหันมองตาม



    ตัวต้นเหตุจริงๆ ยังอยู่ ยังยืนอยู่ตรงที่เดิม ถ้าจะบรรยายด้วยสายตาของเชิญขวัญ ฉันจะต้องบรรยายว่า เขายังยืนหล่ออยู่ตรงที่เดิม ด้วยความสูงสักประมาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นติเมตร อาจดูผอมนิดๆ เพราะเสื้อทรงพอดีตัว ผมปรกคิ้วปัดเฉียงซ้ายนิดๆ เผยให้เห็นคิ้วดกเข้มแต่ได้รูปเรียวและเฉียงในองศาที่สวยพอดี ขนตาเส้นตรงหนาเป็นแพเรียงเป็นระเบียบอยู่ที่ขอบตาบนของดวงตาคู่สดใส จมูกขนาดกำลังดีโด่งตั้งเป็นสันแถมเชิดขึ้นนิดๆ จนแลเห็นขนจมูกแพลมออกมาประมาณครึ่งมิลลิเมตร ริมฝีปากสีชมพูสดตอนนี้หุบจนเกือบเป็นอาการเม้มปาก



    ให้ตายสิ!!!!



    นางเอกของเรากำลังเกี่ยวนิ้วตนเองไว้กับกระเป๋าเสื้อของเขาเสียด้วย



    เธอคงได้รู้มาบ้างแล้วนะจ๊ะ ว่าสิ่งที่เดินทางไวกว่าแสง นั่นก็คือความรู้สึกนึกคิดของเรานี่เอง แล้วเชื้อเพลิงที่ช่วยผลักดันความรู้สึกนึกคิดให้พุ่งปรี๊ดได้ดีที่สุด ก็คือ “ความรัก” นี่แหละจ้ะ ไม่เชื่อก็ลองนึกถึงหน้าคนที่เธอรักดูสิ แล้วคนรักของเธอก็จะปรากฏตัวออกมาทันที ในที่ที่ใกล้กับหัวใจของเธอที่สุดเสียด้วย



    ในเรื่องนี้ อานุภาพของมันจึงทำให้เชิญขวัญ “ถลา” เข้ามาได้ไม่ยาก



    “เฮ้ย! ขวัญ….จะทำอะไรน่ะ”



    แพรวาเอาทั้งตัวเข้าแทรกกลางพร้อมกับดันมือเพื่อนออกในเวลาเดียวกัน เขาผงะถอยไปครึ่งก้าว ขณะที่คนกันใช้ท่อนแขนรุนให้เชิญขวัญถอยหลังไปอีกเป็นเมตร



    “อะไร…ยังไง…ไม่รู้ บ้าเรอะวา จะให้ฉันพูดออกมาต่อหน้าเขาเนี่ยนะ ว่า…เอ๊ย..ปั๊ดโธ่เว้ย!!” คนพูดกระแทกส้นเท้าของตนเองลงกับพื้นเต็มแรง รองเท้าส้นเตี้ยส่งแรงสะท้อนกลับเป็นความรู้สึกเสียวแปลบพุ่งขึ้นมาถึงต้นขา



    แต่วิธีการเตือนสติตัวเองแบบนี้ แพรวาไม่เคยเห็นเพื่อนทำมาก่อน เลยแปลเจตนาและอาการของเพื่อนที่เข้าใจมาตั้งแต่แรกไปเป็นว่า ไอ้คนตรงหน้าต้องเคยมีความแค้นอันใหญ่หลวงกับเพื่อนสนิทของเธอเป็นแน่



    ก็มันเห็นๆ อยู่แล้ว เห็นหน้ากันก็ถึงกับผงะ หน้างิแดงแปร๊ดด้วยความโกรธ ขนาดเห็นหน้ากันอีกรอบนี่ ถึงกับถลาเข้าไปกระชากเสื้อ ทั้งๆ ที่ปกติเชิญขวัญเขาออกจะเรียบร้อยจนน่ารำคาญ



    “นี่นาย นายอย่าคิดว่าหน้าตาหล่อๆ ของนายจะมาคิดหักอกเพื่อนชั้นได้ง่ายๆ นะเฟ้ย!”



    ผู้ช่วยนางเอกแปลงสัญญาณอาการแปลกๆ ของเพื่อนเสร็จสรรพ แถมรวบรัดตัดตอนไปถึงช่วง “รักคุด” ได้ทันที



    ชายหนุ่มทำหน้าเหย ขยับๆ เหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมา จนเขาชักรองเท้าของตนออกมาจากใต้รองเท้าผ้าใบเก่าๆ ของแพรวาแล้ว เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ นอกจากสีหน้าโล่งอกปนเจ็บปวดเล็กน้อย ตอนก้มลงไปมองร่องรอยบนรองเท้าคู่ใหม่ของตัว



    แพรวายักคิ้วพอใจกับผลงาน “ก้าวมหากาฬ” ของตัวเองยิ่งนัก รีบหันกลับไปหาเพื่อนตั้งใจจะให้ร่วมชื่นชมวีรกรรมความกล้าหาญด้วยกัน แต่….



    “ยัยบ้า!!!….”



    แล้วสะบัดหน้าวิ่งลงบันไดสถานีไปทันที ทิ้งให้คนที่เหลือยืนสบตากันไปมาอีกหลายอึดใจ





    *******************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×