คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : จดหมายเรียกตัว
จดหมายเรียกตัว
หลังจากที่คณะเดินทางเก็บตัวอย่างหลักฐานเท่าที่จำเป็นมาครบถ้วน และเดินทางกลับมาจนถึงเขตหนึ่งก็ได้แยกย้ายจากกันไปชั่วคราว รอเวลาให้อาจารย์เจตนาซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบตรวจสอบหลักฐานและเอกสารจนเรียบร้อยจึงนัดหมายกันอีกที ซึ่งระหว่างนี้อชิจำเป็นต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยให้อาจารย์เจตนาในขั้นตอนเหล่านี้ด้วย หากแต่ยังไม่ใช่ในวันนี้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับอชิผู้ที่สมาธิกระเจิดกระเจิงอย่างยากจะควบคุม
หญิงสาวเดินทางกลับบ้านพักด้วยอาการเลื่อนลอย ตลอดการเดินทางพลั้งเผลอยกมือขึ้นมาแตะบริเวณหน้าอกตรงที่เก็บรูปเอาไว้ในกระเป๋าเสื้ออยู่บ่อยครั้ง และหักห้ามใจอย่างที่สุดเพื่อที่จะไม่หยิบรูปภาพนั้นขึ้นมาดู รวมไปถึงความคิดวิตกจริตไปถึงขั้นว่ารูปนั้นอาจไม่มีจริง
อชิกลับมาถึงบ้านอีกทีในยามวิกาล ไฟในตะเกียงทุกดวงดับมอดเว้นบริเวณหน้าบ้าน ดูเหมือนว่าทุกคนในบ้านจะนอนหลับกันหมด รวมไปถึงลูกชายเจ้าของบ้านที่ดูเหมือนว่าจะกลับมาแล้วในช่วงระหว่างที่เดินออกเดินทาง เธอสังเกตได้จากรองเท้าคู่ใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ไม่ช้าคงได้เจอกัน…หญิงสาวคิด สายตาละจากรองเท้าคู่นั้น
อชิเดินต่อเข้าไปจนถึงห้องพักของตัวเอง วางกระเป๋าทิ้งไว้ อาบน้ำและเข้านอน เพื่อที่จะพบว่าราตรีนั้นยิ่งยาวนานกว่าปกติ มือทั้งสองข้างของเธอสอดประสานกันที่บริเวณเหนือหน้าอก ใต้มือน้อยๆ นั้นมีรูปถ่ายคู่ระหว่างเธอกับคาวานแอบซ่อนอยู่
ไม่อาจข่มตาลงได้อย่างง่ายดาย…
หญิงสาวตื่นมาอีกทีในยามสาย อันที่จริงเธอทำเรื่องในการลางานสำหรับวันนี้ทั้งวันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จึงน่าจะใช้เวลาที่เหลือในวันนี้หมดไปกับการพักผ่อนเสียมากกว่า หากแต่เธอก็ยังคงฝืนลุกขึ้นจากเตียง และคิดถึงภารกิจมากมายต่างๆ ที่เธอคิดเอาไว้ว่าจะทำ ซึ่งทั้งหมดก็มีไว้เพียงเพื่อนจุดประสงค์เดียวคือการตามล่าหาความจริง รวมไปถึงคำตอบที่ว่าเธอควรจะทำอะไรกับข้อมูลในการเปลี่ยนยีนกลับมาเป็นยีนโลกเก่าที่คาวานได้ทิ้งเอาไว้ให้เธอตัดสินใจ
โดยรวมแล้วแม้วันนี้เธอจะตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนล้าจากการนอนไม่เต็มอิ่ม ทว่าแรงใจนั้นเต็มเปี่ยม
เนื่องจากวันนี้อชิตื่นสาย จึงทำให้พลาดการเจอกับลูกชายเจ้าของบ้านพักไปอีกครั้งอย่างน่าเสียดาย เธอได้ยินว่าเขาต้องออกไปทำธุระจัดการเกี่ยวกับพิธีแต่งงาน ส่วนเธอเองประเดี๋ยวก็คงต้องออกไปทำภารกิจระดับโลกอะไรของเธอต่อไป
…กระทั่งจดหมายจากทางการถูกส่งเข้ามาถึงในมือเธอ
“ส่งมาเมื่อวานแหนะหนู”
คุณป้าเจ้าของที่พักบอก หญิงสาวรับมาด้วยความรู้สึกนิ่งเฉยไม่มีอาการเอะใจแต่ประการใด และยังคงเตรียมตัวเดินทางต่อไปยังศูนย์เก็บหลักฐานสำคัญทางวิทยาศาสตร์ที่เขตหนึ่งตามแผนเดิม อชิใช้ความพยายามเป็นอย่างมากในการเขียนงานวิจัยตามคำสั่งให้กับทางการจนกระทั่งได้รับสิทธิ์ในการเข้ามาในที่แห่งนี้จนได้ กระทั่งพื้นที่ที่เธอจะเข้าไปดูในวันนี้ก็นับเป็นพื้นที่ที่พิเศษมากอีกเช่นกัน จำเป็นต้องเล่นเส้นสายพอสมควรเพียงเพื่อที่จะให้ได้สิทธิ์นี้มาโดยเลือดตาแทบกระเด็น ซึ่งก็คือพื้นที่ในส่วนของการเก็บเอกสารงานวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญในช่วงทศวรรษก่อนอารยธรรมโลกเก่าล่มสลาย
…ออร์โบโนวา…
โครงการสำคัญที่อาจไขกุมความลับทั้งหมดของการล่มสลายของโลกเก่า งานหลักที่เธอทุ่มเทค้นหาอยู่ ทว่าคว้าจับไม่เคยได้
หญิงสาวถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ขณะที่ยกข้อมือส่วนที่เป็นนัลฝังอยู่ขึ้นมาทาบเครื่องแสกน เพื่อที่จะเปิดเข้าไปยังพื้นที่ข้างใน ทว่าแทนที่จะตัวอักษรสีเขียวจะปรากฏขึ้นอย่างที่ควร กลับกลายเป็นอักษรสีแดงแจ้งชัดอยู่บนตัวเครื่อง
‘ใบอนุญาติถูกระงับใช้ชั่วคราว’
หญิงสาวชะงักมือค้างอย่างงุนงง
พลันหวนถึงถึงจดหมายจากทางการขึ้นมา มือเธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าโดยอัตโนมัติ สัมผัสถึงเนื้อกระดาษอันเย็นเยียบของซองจดหมายที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋า
อชิหันหลังกลับแล้วเร่งสาวเท้าไปทางพื้นที่ในมุมอับสายตาผู้คน มือบางค่อยๆ เปิดซองจดหมายแล้วกวาดสายตาอ่านด้วยอากัปกิริยาที่เนิบช้า หากแต่ภายในใจนั้นปั่นป่วนรุนแรง
‘หมายเรียกถึง คุณอชิ’
เพียงบรรทัดแรกที่เธอกวาดตาอ่าน ก็บ่งชัดถึงสถานการณ์ของเธอในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี
…เธอถูกทางการเรียกไปสอบสวน
จดหมายแบบเดียวกันอย่างที่พ่อของเธอได้รับเมื่อหกปีก่อน
อชิรู้สึกว่าตัวเองมีความทรงจำที่กระจ่างชัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอได้กลับมาที่ศาลาในไร่องุ่นร้างที่เขตบ้านเกิด สถานที่ซึ่งได้กลายเป็นเป็นที่พักพิงให้เธอในยามอ่อนล้า เธอยังคงมีเวลาเหลืออีกสามวันในการรายงานตัว ไม่เช่นนั้นจะถูกจับกุมในข้อหากบฏไปอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
ทว่าเธอจะไปรายงานตัวภายในวันนี้แหละ ประวิงเวลาไปก็เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงมีเรื่องที่เธอจะต้องทำคือเขียนจดหมายขึ้นมาสองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งถึงอาจารย์เจตนาเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่พวกเงาตัดสินใจกักตัวเธอเอาไว้ อีกฉบับให้ชานุ เพื่อที่เขาจะได้แจ้งเตือนพ่อแม่ของเธอหากในกรณีที่เธอหายตัวไป
หญิงสาวไม่ได้คุยกับพ่อแม่ของเธออย่างจริงจังมานานแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะกับเรื่องงานซึ่งมีแนวทางบางอย่างที่ขัดแย้งกัน เหตุผลหนึ่งก็เนื่องมาจากที่เธอเคยปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือกับหมอทัศนัยเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ซึ่งแม้กระทั่งมาจนถึงทุกวันนี้เธอก็ไม่เปลี่ยนใจ
อชิเชื่อว่ากลไกบางอย่างสามารถถูกเปลี่ยนได้อย่างละมุนละม่อมกว่าการปฏิวัติ และเธอก็มีอาวุธในการเปลี่ยนยีนของมนุษย์โลกใหม่ให้กลับมาเป็นมนุษย์โลกเก่าที่คาวานเคยไว้วางใจฝากเอาไว้กับเธอ แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป หญิงสาวมีปริศนาสองเรื่องที่จำต้องไขให้กระจ่างชัด
หนึ่งคือสาเหตุที่แท้จริงของการล่มสลายของโลกเก่า สองคือสาเหตุที่เธอมียีนที่ต่างไป
…อาจถึงเวลาที่พ่อแม่ต้องให้คำตอบกับเธอบ้างแล้ว
อชิพับเก็บจดหมายทั้งสองฉบับเอาไว้กับตัว ลุกขึ้นยืน ย่างก้าวออกไปจากไร่องุ่นร้างด้วยฝีเท้าที่มั่นคง
หลังจากที่หญิงสาวทำการส่งจดหมายเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินทางต่อมายังที่บ้าน อชิผูกม้าเอาไว้กับรั้วหน้าบ้าน ก่อนจะขยับกริ่งเรียก
ร่างหนึ่งก้าวพ้นออกมาจากภายในบ้าน น่าแปลกที่ไม่ใช่พ่อของเธอ…แต่เป็นแม่
“อชิ!”
ปวีร์ร้องเรียกลูกสาว ก่อนที่โผเข้ามากอด อชิขยับยิ้มจาง ยกแขนขึ้นกอดตอบอย่างนุ่มนวล
“เป็นยังไงบ้าง ลูกไม่ค่อยติดต่อมาเลย”
“มีเรื่องให้คิดเยอะน่ะค่ะ”
ปวีร์เงียบนิ่งไป เข้าใจดีว่าเรื่องที่ต้องคิดของอชินั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรคุยกัน
“เข้ามาในบ้านก่อนสิ” ผู้เป็นแม่ทอดมองมาที่เธออย่างอ่อนโยน เห็นแววตาของอชิไม่ผิดไปจากคนที่ต้องการคำตอบบางอย่าง “พ่อไม่อยู่ แต่แม่เชื่อว่าแม่มีคำตอบให้มากกว่า”
คำตอบที่อชิต้องการทวงถาม
…หลังจากที่อดทนรอมาถึงสี่ปี
หญิงสาวนึกย้อนไปถึงเมื่อสี่ปีก่อน เป็นช่วงเวลาที่เธอเพิ่งจะเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษามาได้สักระยะ และเริ่มที่จะคิดหาคำตอบอย่างจริงจังเกี่ยวกับยีนที่ต่างออกไปของตัวเอง เธอพยายามที่จะตามสืบด้วยการค้นหาเอกสารเท่าที่มีในบ้าน แต่แน่นอนว่าย่อมยากที่จะเป็นไปได้ในการค้นเจอหลักฐานบางอย่างจากคนรอบคอยอย่างเช่นพ่อแม่ของเธอ ดังนั้นอชิในตอนนั้นจึงตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปถามผู้เป็นพ่อตรงๆ และได้คำตอบมาเพียงว่า…ยังไม่ถึงเวลา
แล้วตอนนี้เล่า? อชิคิดว่าแม้แต่ตอนนี้ก็ช้าไปสำหรับเธอด้วยซ้ำ
“ไปตักน้ำมาไป เราคงจะคอแห้งกัน”
ปวีร์บอก อชิทำตามอย่างว่าง่ายและใจเย็น ทั้งที่หัวใจนั้นกำลังเต้นถี่ด้วยความรู้สึกมั่นใจบางอย่างว่าวันนี้จะเป็นวันที่เธอได้รับคำตอบมา แม้จะไม่ทั้งหมดแต่คงต้องได้อะไรมาบ้าง
“เป็นคำถามเดียวกับที่ลูกเคยถามพ่อเมื่อสี่ปีก่อนใช่มั้ย”
ผู้เป็นแม่เกริ่นขึ้น
“ค่ะ”
“ตอนนั้นพ่อของลูกบอกอะไรไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่รู้แล้วก็เหมือนเรียกให้ดาบหันคมเข้ามาที่ตัว”
“หมายความว่าตอนนี้บอกได้?”
อชิพูดเร็วๆ แสดงความใจร้อนออกไปอย่างไม่ปิดบัง หลังจากที่เธอไปตามหมายเรียกแล้วพวกเงาจะทำอะไรกับเธอก็ช่าง อย่างน้อยเธอก็ขอรู้ความจริงในเรื่องนี้เสียก่อน
“แม่เห็นดาบที่กำลังจ่อรอบคอพวกเราทั้งคู่เพียบเลย เพิ่มไปอีกก็ไม่เท่าไหร่”
ปวีร์เอ่ยหน้าตาย อชิขยับยิ้มขำ เธอไม่ค่อยได้คุยอะไรกับแม่เยอะเหมือนกับพ่อก็จริง แต่ก็เคยชินว่าแม่ของเธอก็เป็นคนพูดจากอย่างนี้นี่แหละ
“แม่ไม่รู้หรอกนะว่าลูกกำลังตามสืบอะไรอยู่ แล้วตอนนี้ลูกรู้มากแค่ไหน ถือข้อมูลอะไรอยู่ในมือบ้าง…แต่แม่ก็คิดว่าไม่ควรช้าไปกว่านี้อีกแล้วหากลูกต้องการจะได้รับความจริงเรื่องนี้” ปวีร์ทิ้งช่วงไปครู่หนึ่ง สีหน้าครุ่นคิด “เคยอ่านหนังสือชื่อยี่สิบตุลาคม สองหนึ่งศูนย์ที่เขียนขึ้นโดยนายแพทย์ปิยะไหม”
“ไม่…ไม่เคย”
หญิงสาวตอบไปพลางคิดพลาง หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่เธอนึกอยากอ่านมานานมากแล้ว แต่หาอ่านได้ยากเหลือเกิน แม้กระทั่งอาจารย์เจตนาเองก็ไม่มี ทว่าส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากตัวเธอเองที่ยังไม่ได้ลองพยายามตามหาอย่างจริงจัง อาจจะเพราะเธอมัวแต่ไปสืบถึงเรื่องอดีตในช่วงก่อนที่โลกเก่าจะล่มสลาย จนละเลยเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ควรจะมองข้ามอย่างเช่น 20 ตุลา
“มันถูกเขียนขึ้นโดยแพทย์ที่รับผิดชอบครรภ์ของแม่ตอนตั้งท้องลูก ลองไปตามสืบเรื่องนี้เอาเองแล้วกัน ไม่ยากสำหรับลูกหรอก” ปวีร์ขยับยิ้ม ”…ทีนี้เราจะมาเข้าเรื่องกันจริงๆ ดีกว่า…มีเรื่องหนึ่งที่พวกเงาได้หลอกเรามาโดยตลอด”
รอบด้านเงียบกริบ หญิงสาวกลั้นหายใจ
“ยีนของเด็กจะถูกปรับเปลี่ยนในช่วงแรกของการเริ่มครรภ์…
อชิ…มนุษย์โลกใหม่ไม่ได้รับยีนแบบนี้มาโดยวิธีการธรรมชาติ”
หญิงสาวทั้งรู้สึกถึงความหนักอึ้งและโล่งสบายอยู่ในทีเดียว เบาตรงที่ได้รับคำตอบที่สงสัยมาเนิ่นนาน หนักตรงที่ใจซึ่งรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าโลกนี้มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน
หมอคนที่รับผิดชอบครรภ์ของแม่เธอนั้นไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว หลังจากเธอเกิดมาได้เพียงไม่กี่วันก็มีการตีพิมพ์หนังสือที่เขียนถึงเหตุการณ์ในวันที่ 20 ตุลาคม 210 ขึ้น ซึ่งเขียนถึงเหตุการณ์ครั้งที่มีการพยายามปฏิวัติครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกใหม่ น่าเศร้าที่ทุกอย่างจบลงโดยที่สูญเสียทุกชีวิตไปอย่างโหดร้าย และถูกพยายามทำให้ลืมเลือนไป ซึ่งนายแพทย์ท่านนั้นก็ถูก ‘กำจัด’ ไปเพียงด้วยสาเหตุที่มาจากการพยายามตีแผ่และรื้อฟื้นเหตุการณ์ครั้งนั้นขึ้นมา
…ผู้เขียนถูกฆ่า หนังสือถูกเก็บกวาดทำลายล้าง
หากแต่เธอยังมีชีวิตอยู่ ยีนตามธรรมชาติที่เธอมีอยู่ก็เป็นผลเนื่องมาจากความตั้งใจของนายแพทย์ปิยะ และกลุ่มของหมอทัศนัยก็ยังคงพยายามสืบทอดเจตนารมณ์ของกบฏ 20 ตุลา
อชิย้ำชัดกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า หากเธอรอดพ้นจากการรายงานตัวกับพวกเงาในครั้งนี้มาได้ด้วยดี อย่างแรกที่เธอตั้งใจจะทำก็คือตามหาหนังสือเล่มนั้นมาอ่านให้ได้เสียที
เรื่องหนึ่งที่น่าตกใจที่สุดที่เธอเพิ่งจะรู้มาวันนี้คือยีนของมนุษย์โลกใหม่ที่มีความต่างจากมนุษย์โลกเก่านั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาจากกระบวนการธรรมชาติอันเนื่องมาจากระยะเวลาที่ยาวนาน พวกเงาเข้าไปยุ่งเกี่ยว และปรับเปลี่ยนยีนของเด็กที่อยู่ในครรภ์เพื่อให้เติบโตขึ้นมาเป็นประชากรในอุดมคติ หรือจะเพื่อการควบคุมหรืออะไรก็แล้วแต่ เรื่องนี้นั้นเป็นเรื่องโหดร้ายอย่างที่สุดเรื่องหนึ่งที่พวกเงาได้คิดสร้าง อชิรู้สึกคลื่นไส้ ไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่เธอจะรู้สึกปั่นป่วนไปด้วยความโกรธแค้น และเกลียดชังที่แผ่พุ่งเข้ามา
รุนแรง และแผ่วจาง…
กลายเป็นความเศร้าเข้ามาแทนที่
หญิงสาวรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอกลับมาที่ศาลาในไร่องุ่นแล้วเริ่มต้นร้องไห้
…โศกเศร้าไปกับชะตากรรมของทุกคนที่เธอรัก
อชิเดินทางไปตามหมายเรียกด้วยอาการสงบนิ่งอย่างประหลาด หากแต่ภายในสมองนั้นทำงานอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะรับส่งข้อมูลทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับการสอบสวน เมื่อสักครู่หญิงสาวได้ติดต่อไปหาอาจารย์เจตนา ดูเหมือนว่าทางด้านนั้นจะไม่มีอะไรผิดปกติ สาเหตุจากหมายเรียกครั้งนี้จึงไม่น่าจะเกี่ยวโยงกับห้องทำงานลับของคาวานที่พวกเธอลักลอบกันไปสำรวจอย่างผิดกฏ
ที่ผ่านมาแม้หญิงสาวจะคอยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับทั้งเรื่องคาวานและเรื่องสาเหตุที่แท้จริงของการล่มสลายของโลกเก่าซึ่งเป็นเรื่องต้องห้าม แต่อชิก็ได้ดำเนินการทุกอย่างอย่างรอบคอบโดยความช่วยเหลือของชานุซึ่งคอยลบร่องรอยการเคลื่อนไหวของเธอ ถึงกระนั้น หากพวกเงาตรวจพบร่องรอยบางอย่างที่ยังหลงเหลือ ก็อาจเป็นไปได้ว่าเธอจะถูกสอบสวนในเรื่องนี้
…ขออย่างเดียวคือพวกเงาจะรู้เกี่ยวกับความผิดปกติของร่างกายเธอไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
เวลานี้อชิรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน อดคิดไม่ได้ว่าจะเป็นอย่างไรหากเธอทำงานร่วมกับหมอทัศนัย…เป็นไปได้ไหมว่าทุกอย่างจะดีกว่านี้
หญิงสาวหลับตาแน่น นึกถึงรูปถ่ายของเธอและคาวาน
…พลันสายตากลับมาทอประกายกล้า
เธอจะต้องหาคำตอบให้กับตัวเองให้ได้ เรื่องนี้สำคัญต่อสิ่งที่คาวานวางใจฝากไว้กับเธอ การปฏิวัติของหมอทัศนัยเป็นวิถีทางซึ่งนำไปสู่สงคราม และนั่นเป็นสิ่งที่อชิไม่ต้องการ
“คุณอชิใช่ไหม”
เจ้าหน้าที่เอ่ยถาม อชิยื่นส่งหมายเรียกให้เขาดู
“ส่งข้อมือมาด้วย”
หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายใช้เครื่องมือตรวจสอบนัลเพื่อยืนยันตัวตนของเธอ
“กรุณาเดินตามเจ้าหน้าที่ตรงนั้นไป” เจ้าหน้าที่ชี้มือไปทางบุรุษอีกสองคนที่ยืนรออยู่ “พวกเขาจะนำคุณไปรอที่หน้าห้องสอบสวน และการสอบสวนจะเริ่มขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมง”
อชิกระตุกยิ้มที่มุมปาก
ยากเหลือเกินจะข่มกลั้นความเกลียดชังที่มีอยู่
หญิงสาวนั่งประสานมือสงบนิ่งรอคอยเวลา
และประตูก็เปิดออก เธอยืนขึ้นและก้าวเข้าไปในห้องนั้น
“ขออนุญาตค่ะ”
อชิเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลง เบื้องหน้าเธอเป็นม่านสีดำทึบ ไม่เห็นแม้กระทั่งว่าผู้ที่อยู่ตรงข้ามเธอนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือแม้กระทั่งมีจำนวนกี่คน
หัวใจของเธอกระตุกวูบหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกของเธอสำหรับการได้เผชิญหน้ากับผู้คุมกฎ หรือ’พวกเงา’
“คุณอชิ” ผู้คุมกฎเอ่ยขึ้น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเสียงที่ถูกดัดแปลงจากเสียงจริง “ทราบไหมว่าเหตุใดคุณถึงมานั่งอยู่ตรงนี้”
“ไม่ทราบค่ะ”
หญิงสาวพยายามตอบกลับอย่างใจเย็น แม้จะสัมผัสได้ชัดเจนก็ตามว่าอีกฝ่ายกำลังคุมคามตัวเธออยู่ ทั้งที่แค่ว่าด้วยความแตกต่างของสถานะที่มีอยู่ ก็เพียงพอแล้วจะทำให้เธอไม่อาจแสดงความแข็งกร้าวข้างในออกไปได้แม้เพียงแต่สักนิด
“คุณมีความประพฤติและประวัติหลายอย่างที่มีแนวโน้มจะออกนอกกฏ”
ออกนอกกฏรึ…? อชิพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ยิ้มหยัน…หมายถึง ‘กบฏ’ มากกว่ากระมัง
“ขออภัยค่ะ ดิฉันขอทราบ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ อีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงพลิกหน้าของกระดาษ
“บิดาคุณมีประวัติในการทำผิดกฎร้ายแรงมาก่อน คุณมีความสนิทสนมเป็นพิเศษกับอาจารย์เจตนาซึ่งถูกจับตามองมาสิบกว่าปีในฐานะที่ถูกสงสัยว่ามีความคิดออกนอกกฎ งานวิจัยชิ้นหนึ่งของคุณเป็นเรื่องบุคคลต้องห้ามอย่างคาวาน และเรามีข้อมูลยืนยันมาว่าคุณกำลังสืบหาข้อมูลในช่วงสองปีก่อนที่โลกเก่าจะล่มสลาย”
อชิยิ้มเครียด หากแต่ภายในใจนั้นโล่งเบาเหมือนเพิ่งจะยกภูเขาออกไปจากอก ทีแรกเธอนึกว่าพวกเงาจะมีข้อสงสัยในตัวเธอที่รุนแรงกว่านี้ แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเพียงข้อสงสัยที่ไม่มีน้ำหนักอะไร
“ดิฉันคล้ายกับอาจารย์เจตนาค่ะ แม้จะอยากรู้อยากเห็นไปบ้างด้วยความเป็นนักประวัติศาสตร์ แต่ดิฉันยังคงมีความภัคดีต่อ ‘กฏ’ และปรารถนาให้โลกใหม่นี้ดำเนินต่อไปด้วยความสุขสงบ”
“คุณอชิ” เสียงที่ผ่านการดัดแปลงของผู้คุมกฎเข้มขึ้นอย่างมีอำนาจ “คุณอาจไม่ทันตระหนักถึงคำเตือนที่แฝงอยู่เมื่อครู่นี้ เราต้องการจะบอกคุณตรงนี้อย่างชัดเจนว่า…เลิกสืบหาในสิ่งที่คุณกำลังสงสัยอยู่เสีย นี่เป็นความปราถนาดีเพื่อไม่ให้คุณหลงผิด”
นี่หรือสิ่งที่พวกเงาพูดคุยกับมนุษย์โลกใหม่ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีอารยะกว่ามนุษย์โลกเก่า? ดูราวกับคำสั่งที่มีต่อสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ เสียมากกว่า
มาจนถึงตอนนี้อชิเริ่มกลัว…กลัวความรู้สึกโกรธแค้นของเธอที่มีต่อพวกเงา…
ที่นับวันยิ่งจะทวีคูณ
ความคิดเห็น