คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : พบเจออีกครั้ง
1
พบเจออีกครั้ง
…หกปีต่อมา…
หญิงสาวร่างบางก้าวยาวไปตามทางเดินอย่างกระฉับกระเฉง ผมสีดำเกล้าเป็นมวยไว้ด้านหลังแบบหลวมๆ หลุดลุ่ย มือกอดแฟ้มแนบไว้ที่หน้าอก เป็นภาพที่หลายคนพบเห็นจนคุ้นเคยในช่วงเวลานี้
กาลเวลาได้แปรเปลี่ยนจากเด็กสาวกลายมาเป็นหญิงสาว จากผมที่สั้นแตะบ่ามาเป็นผมสีดำยาวถึงกลายหลัง จากใบหน้าจิ้มลิ้มกลายเป็นอ่อนหวาน จากเด็กสาวธรรมดาที่เอ่ยถ้อยน้อยกว่ายิ้ม วางตัวเรียบง่ายกลายมาเป็นหญิงสาวช่างเจรจาที่มีบุคลิกเจิดจ้าสะดุดตาผู้คน
อชิเดินเลี้ยวเมื่อมาถึงหัวมุม ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องหนึ่ง นิ่งคิดทบทวนถึงคำตอบที่เตรียมมาทั้งคืน ก่อนจะเคาะประตูพอเป็นมารยาทแล้วเดินพรวดเข้าไปทันที
“ฉันมาปฏิเสธ”
หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะกวาดตามองผู้ชายสองคนภายในห้อง คนหนึ่งที่ยืนอยู่ เจ้าของผมสีอ่อนและดวงตาสีเขียวจ้องมองมาที่เธออย่างประหลาดใจและสนอกสนใจ ขณะที่ชายอีกคนซึ่งกำลังนั่งก้มหน้ายุ่งวุ่นวายกับกองเอกสารบนโต๊ะ ผมเพ้าฟูยุ่ง เป็นช่วงเวลาสักครู่หนึ่งกว่าที่เจ้าของของห้องจะมีปฏิกิริยาตอบรับการมาของเธอ แล้วเงยหน้าขึ้น
“คุณ!”
อชิอ้าปากค้าง เมื่อใบหน้าที่ปรากฏชัดแก่สายตาคือใบหน้าของคนคุ้นเคย
“เอาล่ะ ฉันโดนเด็กนายปฏิเสธแล้วสิ ฝากคุยด้วยแล้วกัน”
ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่เอ่ยขึ้นมาขัดบรรยากาศในความตกตะลึงของอชิ หญิงสาวหันมองเขาซึ่งกำลังเดินจากไปโดยทิ้งเธอเอาไว้กับชายคนที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาเจอกันอีกในสถานการณ์เช่นนี้
“หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหกปี…” ชายหนุ่มยิ้มประหลาด พร้อมกับว่าช้าๆ “ดูเหมือนว่าสิ่งแรกที่ผมได้ยินจากคุณจะเป็นคำปฏิเสธ”
“พี่เทวา?”
หญิงสาวยืนตัวแข็ง กระพริบตามองหนึ่งในคนที่หายไปจากชีวิตเธอมานาน
“ยินดีที่ได้เจอคุณนะอชิ”
ชายหนุ่มยิ้ม ดวงตาคมปลาบที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์ทอประกายวิบวับ
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ” เธอว่า “คุณเป็นยังไงบ้าง”
“อย่างที่เห็นนะ” เทวาขยับแว่น “ชีวิตผมยุ่งวุ่นวายขึ้นมาพอสมควรเมื่อออกมาอยู่คนเดียว…คุณได้อ่านหนังสือที่ผมส่งไปให้จบมั้ย”
“ทุกเล่ม”
เธอตอบสั้นๆ พร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ลงนั่ง ยังคงแปลกประหลาดใจไม่หายที่ได้มาเจอคนที่เธอไม่คาดคิดในสถานที่ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แม้ว่าเขาจะหายไปจากชีวิตของเธอมานาน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยืนยันตัวตนของเขาในชีวิตเธอถูกส่งมาเสมอสำหรับวันเกิดของเธอในทุกปีที่ผ่านมาคือหนังสือหนึ่งเล่มถ้วนไม่มีพร่อง
ใครจะไปคิด…ว่านักจิตวิทยาที่เธอบ่นนักบ่นหนาว่าไร้มารยาท เอาแต่ใจจะเป็นเทวาไปได้ ทีแรกเขาติดต่อผ่านหัวหน้าของเธอมาอีกทีว่าเพื่อนของเขาอยากให้เธอย้ายไปทำงานด้วย แต่หญิงสาวพอใจกับสถานภาพที่เป็นอยู่ในตอนนี้ดีอยู่แล้ว และสาขาที่เธอเรียนมาก็ไม่ได้จะไปเกี่ยวกับจิตวิทยาแต่อย่างใดจึงปฏิเสธไป ทว่าเขายังคงไม่ยอม ดึงดันส่งข้อมูลมาให้อีก สุดท้ายก็ขอให้เธอไปพบเพื่อพูดคุยในวันนี้
ด้วยเหตุนี้ทีแรกหญิงสาวจึงเตรียมคำปฏิเสธไปพูดใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย
“คุณยังดูเหมือนเดิมนะ”
หญิงสาวจ้องมองเขาราวกับได้เห็นอะไรที่แปลกประหลาด นี่เป็นหนึ่งในคำทักที่เธอไม่ได้ยินมานานมากแล้ว
“แปลกนะคะ มีแต่คนบอกว่าฉันเปลี่ยนไป”
“ผมเห็นคุณเป็นอย่างนี้มานานแล้ว แค่อาจจะ…ดูเป็นตัวคุณมากขึ้นมาอีกหน่อย”
อชิพยักหน้ารับน้อยๆ แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูดสักเท่าไหร่นัก
“แต่ฉันกลับรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไปนิดหน่อย”
หญิงสาวเอ่ยทัก ลอบมองรอยแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายซึ่งยืนยันข่าวลือที่เธอได้ยินมา รูปร่างภายนอกของเทวายังคงดูเหมือนเดิมราวกับเป็นคนเดียวกับเมื่อหกปีก่อน เขายังคงไว้ผมยาวเหมือนเดิมแม้ว่าในเวลานี้จะอยู่ในสภาพยุ่งนิดๆ ยังคงสวมแว่นแบบเดิม และมีดวงตาคมปลาบเช่นเดียวกับที่เธอเห็นนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
…หากแต่มีบรรยากาศบางอย่างที่ต่างออกไป
“อาจจะเป็นความรู้สึกอิสระที่ผมเพิ่งจะได้มาน่ะ หกปีที่ผมไม่ได้เจอคุณเลย ผมใช้ความพยายามทั้งหมดที่จะทวงเอาอิสระคืนมา” หญิงสาวพยักหน้าเรียบๆ ชายหนุ่มพูดขึ้นมาอีก “ได้ยินว่างานจบของคุณทำเรื่องเกี่ยวกับคาวาน ทำอะไรบ้าบิ่นไม่เบานะ”
“ฉันเลยถูกส่งตัวมาทำงานที่นี่ไง” เธอบ่น
หลังจากที่เรียนจบในระดับอุดมศึกษา หญิงสาวก็ถูกส่งตัวมายังเขต 13 ซึ่งจัดว่าเป็นเขตที่แร้นแค้นและด้อยพัฒนาที่สุดรองจากเขต 5 ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ
อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็มองเธอยิ้มๆ แล้วหัวเราะออกมา
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
อชิจ้องมองคนตรงหน้าอย่างงุนงง
“เปล่า ผมแค่นึกถึงตอนที่ผมเจอคุณแรกๆ นะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง “ตอนนั้นคุณนั่งตัวแข็งอยู่ในห้องแนะแนว ดูเกร็งๆ แต่กลับตอบคำถามได้ฉะฉานเสียจนผมอดทึ่งไม่ได้ แล้วครั้งต่อๆ มาที่เราเจอกันอีก คุณกลับนิ่งเฉยและสุภาพเสียจนผมต้องเป็นฝ่ายเกร็งแทน…และพอเจอกันครั้งนี้ คุณก็ปฏิเสธผมทันทีเลย”
“…ไม่ทันดูว่าเป็นคุณนี่”
หญิงสาวพึมพำ รู้สึกขัดเขินเล็กน้อย
“สรุปว่าคุณจะยอมย้ายมาเป็นผู้ช่วยให้เพื่อนผมมั้ย” ชายหนุ่มถามขึ้น
“ฉันไม่แน่ใจว่าจะเป็นให้ได้น่ะค่ะ แล้วฉันก็ติดงานที่นี่อยู่”
“คุณพูดอย่างนี้เพราะคิดปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ทันอ่านรายละเอียดดีน่ะสิ”
เทวาว่าอย่างรู้ทัน
“ฉัน…”
“เขาไม่ใช้งานคุณหนักหรอก งานตรงสายกับที่คุณจบมานั่นล่ะ” เทวาบอกยิ้มๆ “ถ้ายังไงช่วยกลับไปอ่านรายละเอียดแล้วพิจารนาให้ผมอีกทีนะครับ”
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำ พร้อมกับส่งยิ้มให้เทวา
อชิเดินออกมาจากห้องทำงานของเทวา ก่อนจะหยุดยืนพิงกำแพงแล้วจ้องมองเพดานพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าอยู่ๆ เธอจะได้เจอกับคนซึ่งหายเงียบไปนานอย่างเทวา เธอได้ยินข่าวลือหลายอย่างเกี่ยวกับเขามา ซึ่งก็ล้วนแต่จะทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่เสมอ
หลังจากที่เกิดเรื่องที่กุลินหายไปได้ไม่นาน เทวาก็ขอออกจากกลุ่มของหมอทัศนัยพร้อมกับย้ายข้าวของออกจากบ้านไปด้วย อันนี้เป็นเรื่องที่เธอลอบถามมาจากพ่อของเธอ ซึ่งเวลานี้ยังอยู่สุขสบายดีรวมถึงแม่ของเธอ และอีกครั้งที่เธอได้ยินข่าวลือนั้นมาจากการพูดคุยระหว่างเพื่อนสาวของเธอว่าเทวาได้หมั้นกับลูกสาวของนายแพทย์คนหนึ่ง
ดูเหมือนว่าชีวิตของเขาน่าจะเป็นไปได้ดี…ไม่น่าจะถูกส่งตัวมาที่เขตห่างไกลอย่างเขต 13 ได้เลย
อาจจะเหมือนอย่างเธอก็ได้ หญิงสาวซึ่งถูกใครต่อใครคาดหวังมาแต่เด็กว่าจะต้องก้าวไปไกล หน้าที่การงานดี มีตำแหน่ง อาจไปได้ไกลถึงการเป็นผู้คุมกฎในอนาคต แต่ที่เธอเลือกเป็นคือจะใช้ชีวิตตามใจตัวเอง ทั้งที่อาจารย์หลายคนเอ็นดูเธอ ชมเชยว่าเธอขยันเรียนดี ทว่าเธอกลับไม่ทำตามคำแนะนำทั้งหลายของพวกเขา และสุดท้ายก็เลือกจะหนีมาที่นี่ตามคำแนะนำของอาจารย์ที่ปรึกษางานจบซึ่งเป็นคนเดียวที่เข้าใจเธอ
คาวานจะผิดหวังในตัวเธอไหม…เธอย้ำถามตัวเองอย่างนี้อยู่หลายครั้ง
ผ่านมาหกปีแล้ว เด็กสาวยังคงรักษาสัญญาด้วยการเก็บกล่องข้อมูลเอาไว้เป็นอย่างดี เธอพกมันติดตัวอยู่ตลอดราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เพียงแต่เสียดายที่เธอไม่เห็นหนทางจะนำข้อมูลอันมีค่ามหาศาลนี้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์
หญิงสาวเหลือบมองเวลาที่ข้อมือ
…สักพักร่างของเธอก็เลือนหายไป
อชิมาปรากฏตัวอีกครั้งที่สถานที่ทำงาน เป็นสถานที่ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์โลกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาทั้ง 13 เขต แต่เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคที่ไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมคืบหน้ามานานแล้ว จึงไม่ค่อยเป็นที่สนใจเท่าไหร่นัก นักประวัติศาสตร์ที่ทำงานตรงนี้ก็ดูราวกับจะเป็นพวกหมาหัวเน่านอกคอก ดูเหมือนว่าในความคิดของผู้คุมกฏแล้ว การขุดคุ้ยเทคโนโลยีในยุคสุดท้ายก่อนอารยธรรมโลกเก่าจะล่มสลายกลับมาใช้งานให้ได้มากที่สุดจึงจะเป็นเรื่องที่คุ้มค่าแก่การสนับสนุน
แต่เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นที่ซึ่งอยู่นอกสายตา หญิงสาวจึงสามารถรวบรวมงานอย่างอื่นมาแอบเก็บเอาไว้ในที่แห่งนี้ได้อย่างสะดวกใจ
หญิงสาวกวาดตาไปรอบตัว ก่อนจะพบว่าเธอกลับมาในเวลาที่เขาพากันเลิกงานแล้ว แต่นี่ก็เพิ่งจะแค่บ่ายสามเท่านั้น หลังจากที่เริ่มฝึกงานมาได้สักระยะ เธอก็เริ่มจะปลงกับสภาพเฉื่อยเนือยของคนที่นี่
“อ้าวอชิ วันนี้หัวหน้าให้เธอเลิกงานก่อนเพื่อไปทำธุระไม่ใช่หรือ”
เจ้าหน้าที่หญิงคนหนึ่งเอ่ยทักขณะที่เธอและเพื่อนคนอื่นๆ เริ่มจะเก็บของกลับบ้าน
“ได้เจอนักจิตวิทยาเอาแต่ใจที่ตื๊อให้เธอไปช่วยงานหรือยัง” อีกฝ่ายแซวขึ้น
“ค่ะ เจอแล้ว”
อชิพยักหน้าอย่างปลงๆ …ดันเป็นคนที่เธอไม่คาดคิดด้วยสิ
“คุณตอบเขาไปว่าไง” ชายหนุ่มคนเดียวในกลุ่มนั้นถามขึ้น
“ตอบไปว่าขอคิดดูก่อนน่ะค่ะ”
“แล้วนี่เธอยังจะมาทำงานต่ออีกเหรอ” เจ้าหน้าที่หญิงถามอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นเอกสารในมืออชิ “ปกติเธอก็เลิกช้าตลอดเลย”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ
“ถ้าอย่างนั้นพวกพี่ไปก่อนนะ”
พวกเขาจ้องมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะโบกไม้โบกมือลา แล้วพากันเดินออกไป
ไม่นานก็เหลือเพียงเธอคนเดียวในสถานที่แห่งนี้ อชิถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะคว้าเอกสารกองหนึ่งขึ้นมากอด ฝุ่นคลุ้งกระจายจนหญิงสาวปิดปากจาม สักพักจึงเริ่มไล่ตรวจดูฟอสซิลที่เพิ่งจะถูกขนย้ายเข้ามาใหม่เมื่อวานเพียงลำพัง
“…ยังทำงานอยู่อีกหรือ”
หญิงสาวหันไปตามเสียงเรียก ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงน เมื่อร่างหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง
“อาจารย์เจตนา!?” อชิโค้งศีรษะลงทันทีเมื่อตั้งสติได้ “มาทำอะไรที่นี่หรือคะ”
“มีธุระที่เขตนี้พอดี เลยคิดจะมาดูเธอเสียหน่อย”
ชายชราว่าเรียบๆ เขาเป็นผู้ชายสูงวัยที่ยังคงดูกระฉับกระเฉง ผิวขาวรูปร่างสูงโปร่ง ผมขาวโพลนเกือบทั้งศรีษะ หยักศกและยาวเลยบ่าลงมา เกือบจะดูคล้ายอาจารย์เจตน์ในแบบบวกอายุไปอีกสามสิบ
หญิงสาวได้รับข่าวมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เธอได้เข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาว่าพ่อของอาจารย์เจตน์มีตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์สอนอยู่ที่นี่ หากแต่เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าอาจารย์ท่านนี้แหละที่จะมาเป็นที่ปรึกษางานจบให้กับเธอ และยอมให้เธอทำวิจัยในหัวข้อที่อาจารย์ทุกท่านล้วนแต่ส่ายหน้าหนี ความโชคดีของเธอทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่เธอเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เจตน์ของเธอมาก่อน
ดูเหมือนว่านับตั้งแต่เกิดการปล่อยตัวคนจำนวนหนึ่งอย่างลึกลับโดยมีชื่อของคาวานมาเกี่ยวข้อง…คาวานก็ดูราวกับเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์โลกเก่าต้องห้าม
“งานน่าเบื่อไหม” เจตนาถาม
“ตัวงานไม่น่าเบื่อหรอกค่ะ แต่คนที่นี่ไม่ค่อยกระตือรือร้น” หญิงสาวตอบ ชายชราพยักหน้าเรียบๆ “มีข่าวเรื่องอาจารย์เจตน์มาบ้างมั้ยคะ”
“มีแต่ข่าวบางๆ ที่เชื่อถือไม่ค่อยได้” ผู้เป็นอาจารย์ส่ายหน้า “ไม่นึกเลยว่าลูกชายฉันจะทำเรื่องอย่างนี้ แต่ก่อนผมคิดว่าลูกชายผมมันเอาจริงเอาจังเกินไป ไม่นึกว่าบทจะบ้าก็บ้าเอาเรื่อง นี่ทำเอาหัวหมุนกันไปหมด”
อชิยิ้มเจื่อน ถึงอย่างไรอาจารย์เจตน์ก็เป็นอาจารย์ของเธอเช่นกัน
“เออปีนี้หลานผมจะต้องเรียนเสริมแล้ว ผมอยากขอคุณไปเป็นคนสอนให้เธอหน่อย”
อชิกระพริบตาปริบๆ หากเป็นก่อนหน้าจะเจอเทวา หญิงสาวคงรับคำอย่างยินดีแทบจะทันที แต่พอมาได้ฟังตอนนี้ เธอก็รู้สึกราวกับว่าระยะนี้เธอชักจะเริ่มรับงานมาเยอะไป
“ได้ค่ะ หนูยินดี”
“ดีเลย ผมค่อยโล่งอก นอกจากคุณแล้วผมก็ไม่ไว้ใจคนอื่น ผมไม่อยากให้หลานสาวผมโตมาแบบถูกล้างสมอง แต่ก็อย่าไปทำให้เธอเกิดบ้าขึ้นมาอย่างพ่อเขาล่ะ”
ระหว่างที่อาจารย์เจตน์หายตัวไป ลูกสาวของอาจารย์เจตน์ก็ถูกส่งมาอยู่กับปู่ของเธอ ซึ่งก็คืออาจารย์เจตนา
“แต่อาจารย์คงไม่ได้มาหาหนูด้วยเรื่องนี้ใช่มั้ยคะ” อชิถามขึ้น
“แน่ล่ะ ผมก็แก่แล้วคุณ มาทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้ม”
“เอ้อ”
“เออนี่ไม่ใช่กะโหลกของพวกออสตราโลพิคัสนะ น่าจะเป็นโฮมินิดพันธุ์อื่นมากกว่า” ชายชราชี้ไปที่เอกสารทางวิชาการที่วางกองอยู่ “ถึงทางการจะละเลยยังไงก็ไม่น่าจะปล่อยให้มั่วขนาดนี้นะ”
โฮมินิดหมายถึงสัตว์สายพันธุ์คล้ายมนุษย์ โฮมินิดในแต่ละพันธุ์อาจเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์หรือไม่ก็ได้
บางครั้งอชิก็อดคิดไม่ได้ ว่าอาจารย์เจตน์นั้นนิสัยแตกต่างกับผู้เป็นพ่อมากอยู่ทีเดียว หญิงสาวนึกไปถึงสมัยที่เธอเคยเรียนกับอาจารย์เจตน์ เธอพบว่าอาจารย์เจตน์นั้นในบางเวลาก็ทั้งดุทั้งเข้มงวดอยู่มากทีเดียว แต่นอกเหนือจากเวลาสอนแล้วก็ค่อนข้างเงียบขรึม ในขณะที่อาจารย์เจตนานั้นไฮเปอร์ หญิงสาวต้องพยายามตามเรื่องให้ทันเสียจนหัวหมุนอยู่บ่อยๆ
“เอ้อ คุณทำงานไปก่อนนะ เดี๋ยวผมมาใหม่”
อยู่ๆ อาจารย์เจตนาก็พูดขึ้นมาหลังจากที่เงยหน้าขึ้นจากนัล
“งานด่วนหรือคะ”
“ใช่” ชายชราตอบ ใต้ตากระตุก “เมียผมน่ะ”
หญิงสาวกระพริบตาถี่
…ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คุ้นกับเรื่องนี้เสียทีเดียวหรอก
“อชิ!”
หญิงสาวสะดุ้ง เมื่อคนที่เธอคาดว่าออกไปแล้วกลับชะโงกหน้าเข้ามาเรียก
“หลานสาวผมรออยู่ข้างนอกแหนะ ฝากหน่อย”
อชิทำหน้าเหวอ ก่อนจะพยักหน้าอย่างงุนงง แล้วเดินออกไปหาหลานสาวของอาจารย์เจตนาซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างนอก หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะก้มตัวลงคุย
“นาวาจ๊ะ”
เด็กสาวหันมอง เธอดูราวกับนาราขนาดย่อส่วนไม่ผิดเพี้ยน แต่มีดวงตาที่เหมือนอาจารย์เจตน์ บางครั้งเธอก็อดคิดไม่ได้ว่าอาจารย์เจตน์รู้สึกยังไงนะเวลาที่มองเด็กคนนี้ เหมือนอย่างที่อชิอดนึกถึงนาราในทุกครั้งที่ได้มองอย่างอดไม่ได้
“พี่อชิ”
เด็กสาวกระโดดลงจากเก้าอี้ พร้อมกับส่งรอยยิ้มน่ามองให้กับเธอ
“ทำไมคุณปู่ไม่พานาวาไปด้วยล่ะ”
“คุณปู่บอกว่าจะต้องไปไหนไม่รู้กับคุณยายน่ะค่ะ เลยบอกให้นาวากลับบ้านพร้อมพี่อชิ”
หญิงสาวพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อย่างอดนึกสงสารเด็กสาวตรงหน้าไม่ได้ที่ไม่ได้อยู่กับทั้งพ่อและแม่ เธอได้ยินว่านาราต้องการจะพาตัวลูกสาวกลับไป แต่ญาติทางฝั่งพ่อไม่ยินยอม รวมทั้งตัวเธอเองก็พูดออกมาเลยว่าไม่ชอบแม่
“ถ้าอย่างนั้นนาวารอพี่อยู่ตรงนี้ก่อนนะ ข้างในฝุ่นเยอะ”
“คิดถึงอากุลิน” เด็กสาวเอ่ยขึ้น “อากุลินแพ้ฝุ่น”
อชิทอดมองเด็กสาวด้วยความรู้สึกซับซ้อน นาวาแทบไม่เคยพูดถึงนารา แต่กลับบ่นถึงกุลินอยู่เสมอ บ่อยกว่าที่พูดถึงพ่อของเธอด้วยซ้ำ
“พี่เองก็เหมือนกัน”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เธอเคยเจอกุลินแค่ครั้งเดียว แต่กลับรู้สึกผูกพันเหมือนรู้จักกันมานาน
…ไม่ว่าจะอาจารย์เจตน์ หรือกุลิน…อชิก็ได้แต่หวังให้คนทั้งคู่ปลอดภัยดี
ความคิดเห็น